ความคิดเห็นที่ 1 ว่ากันตามความจริงแล้ว เมื่อก่อนมนุษย์นับถือพระอาทิตย์บ้าง  พระจันทร์บ้าง  นับถือไฟบ้าง  เป็นความขลาดกลัวของมนุษย์  จึงต้องหาที่พึ่ง  จึงเกิดการสมมุติเทพต่างๆขึ้นมา  ซึ่งจะมีจริงหรือไม่ ไม่ขอออกความเห็น  คนที่ตอบก็คงจะอิงจากความคิดที่กล่าวมา  เพราะพระเจ้ามีจริงหรือไม่  พิสูจน์ไม่ได้   ส่วนกฎแห่งกรรมพิสูจน์ได้  ศึกษาได้จากเคสมากมาย  ถ้ามีผู้กล่าวว่า  กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสมมุติขึ้นมา  ก็เป็นผู้ที่น่าสงสาร เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าไฟนั้นร้อน  ยื่นมือเข้าไปในไฟโดยตรง  ย่อมเจ็บปวดทุกข์  เพราะความไม่รู้นั้นเอง จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:23:50

ความคิดเห็นที่ 2 เอาหลักฐานมาว่ากันซี... เรื่องโลก หรือ มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า  ยังไม่มีข้อพิสูจน์อะไรออกมา ...แต่เรื่องกฏแห่งกรรม หรือกฏแห่งผลของการกระทำกรรม สามารถเห็นได้ทุกๆวัน  ชัดเจน  ปรากฏกับทุกๆคนในสังคมมนุษย์  ชัดๆ   โดยไม่ต้องพูดถึงอดีตชาติ ...  เช่น สิ่งปลูกสร้างหรือผลผลิตต่างๆ บนโลกนี้ ที่เกิดจากการก่อสร้างของมนุษย์  นี่คือกฏแห่งกรรม  มนุษย์ได้ก่อกรรมคือก่อสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา หรือผลิตสิ่งต่างๆ  ก็ย่อมได้รับผลกรรมคือ ได้สิ่งปลูกสร้างต่างๆขึ้นมา ได้ผลิตต่างๆขึ้นมา หรือการกระทำอื่นๆ เช่น  ผู้ก่อการร้ายลงมือ เผา ฆ่า วางระเบิด  ก็ย่อมโดนไล่ล่าจากเจ้าหน้าที่หรือผู้เสียหาย   เขาก็ไล่ล่า สังหาร ทำลายผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น  นี่คือกฏแห่งกรรม  ต่อให้ผู้ก่อการร้ายพวกนั้นจะนับถือพระเจ้าหนักแน่นแค่ไหนก็ตาม พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้   ก็ยังต้องรับผลกรรมจากการก่อการร้ายนั้นอยู่ดี  เช่น โดนสังหารบ้าง  ติดคุกบ้าง   นี่ก็คือกฏแห่งกรรม ทั้งนั้น  ซึ่งเห็นผลชัดเจนทุกๆวัน  ในชีวิตประจำวันของทุกๆคน  เห็นได้ทันที  พิสูจน์ได้ทันที   ..แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์พระเจ้า  ..ไหนละ  พระเจ้าอยู่ไหน  เอาอะไรมาพิสูจน์ว่ามีจริง ? หรือตัวอย่างกรณีใหญ่ๆ  เช่น พวกอิรัก พวกตาลิบัน  พวกอัลกออิดะฮฺ  แม้จะศรัทธาในพระเจ้ามากไ    แต่เพราะไปก่อกรรมไม่ดีไว้  ก็โดนฝ่ายตรงข้ามนำโดยอเมริกา  ยกพวกไปถล่มจนย่อยยับดับสูญแทบหมด  แต่เขาปิดบังตัวเลขไว้ว่า สังหารไปกี่ศพ   อย่างน้อยไม่น่าจะต่ำกว่า ๑๐ ล้าน(เดาเอา)  เพราะแค่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อปี  ๑๙๙๐  อิรักก็โดนสังหารไปกว่า ๔ ล้านศพแล้ว   ไม่เห็นมีพระเจ้าที่ไหนจะมาช่วยป้องกันพวกนั้นได้เลย    ...ต่อไป  อิหร่าน ถ้ายังดื้อดึง อาจจะโดนไปอีกหลายล้านศพ  ก็คงไม่มีพระเจ้าไหนมาช่วยได้เช่นเดียวกับพวกในอิรักหรือในอาฟกานิสตาน หรือในประเทศอื่นๆ  ที่โดนปลิดวิญญาณส่งไปล่วงหน้าไปให้อัลเลาะฮฺ ก่อนแล้วนั้น  ... ตอนนี้ในซีเรีย  รัฐบาลก็ส่งวิญญาณพวกชาวบ้านไปหาอัลเลาะฮฺ ทุกๆวัน วันละหลายสิบ หรือหลายร้อยศพ  หรือว่างานนี้อัลเลาะฮฺเข้าข้างฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้เข้าข้างชาวบ้าน   งั้นหรือ ? ฮ่าๆๆ..... แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 10:36:01 จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:25:08

ความคิดเห็นที่ 3 แวะมาให้กำลังใจคุณแครอท จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:30:30

ความคิดเห็นที่ 4 คุณโขตาน  งันผมจะพิสุจนNด้วยการหักล้างทีละศาสนาทีละความเชื่อแล้วกัน จนกว่าจะเหลือศาสนาที่นับถือผู้สร้างเพียงองค์เดียวศาสนาเดียว เริมจาก atheist ที่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ข้อสังเกตการเวียนว่ายตายเกิด กับคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างมีเหตุผล ความเป็นอยู่ของมนุษย์แต่ละคน หรือ สิ่งต่างๆที่ประสบกับมนุษย์แต่ละคนในชาตินี้ ( เช่น เด็กชาย ก. พิการตั้งแต่เกิด ) เป็นเพราะผลกรรมที่ทำมาจากชาติที่แล้ว หรือ ชาติก่อนหน้านี้   ชาติปัจจุบันของเด็กชาย ก. ที่เกิดมาพิการ จะเกิด หรือ มีขึ้นไม่ได้เด็ดขาก ถ้าไม่เป็นเพราะผลกรรมจากชาติที่แล้วหรือชาติก่อนหน้านี้ที่เด็กชาย ก.ได้ทำเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ชาติหนึ่งชาติใดจะมีขึ้นหรือเกิดขึ้นมาได้ ก็จะต้องอาศัยกรรม (ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว) จากชาติที่แล้วหรือชาติก่อนๆหน้านั้น ส่งผลทำให้เกิดชาติปัจจุบันนั้นๆ   และสมมุติว่า ชาติปัจจุบันนี้ของมนุษย์เราทุกคนเป็นชาติที่ 100  แน่นอนที่สุดชาติที่ 100 ย่อมไม่อาจที่จะมีหรือเกิดขึ้นมาได้อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่เป็นเพราะผลกรรมจากชาติที่ 99 หรือ ชาติก่อนๆหน้านั้นส่งผลมา และ ชาติที่ 99 ก็เช่นกัน ไม่อาจที่จะมีหรือเกิดขึ้นมาได้อย่างเด็ดขาด ถ้าไม่เป็นเพราะผลกรรมจากชาติที่ 98 หรือ ชาติก่อนๆหน้านั้นส่งผลมา และ ถ้าเราย้อนหลังไปเรื่อยๆเราจะไปเจอชาติที่ 1 คำถามที่จะต้องถามอย่างไม่หลอกตัวเอง และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ แล้วชาติที่ 1 เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรามักไดย้นิ คำพดู ว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม’ แต่ถ้า เราจะตั้งคำถามว่า มนุษย์กับกรรม อย่างไหนมีขึ้นมาก่อน ? ..ถ้า ตอบว่ากรรมมีขึ้นมาก่อน คำ ถามก็คือ อยู่ ดีๆกรรมจะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ แต่กรรมจะตอ้งอาศัยมนุษยเป็นผู้กระทำ ...มันจะยุติธรรม ได้อย่างไรที่อยู่ดีๆจะกรรมล่องลอยอยู่ แล้ว ก็มีมนุษยคนหนึ่งเกิดขึ้นมาเพียงเพราะผลของกรรมนั้น ท้้ง ๆที่เขาผูน้้นไม่ได้ทำกรรมนั้นเอาไว้? แต่ถ้าตอบว่ามนุษย์เกิดขึ้นมา ก่อนกรรม คำถามก็คือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะเกิดขึ้นมา ท้้งๆที่ไม่มีกรรมใดๆส่งผลมาให้เขาเกิดมา เพราะฉน้ั้น ไม่ว่าจะตอบเช่นไรก็ เกิดความขัดแย้งกันในตัวเองท้้งคู่ และกฏมีอยวู่า่ สิ่งใดก็แล้ว แต่ที่มีความขัดแย้งกัน ในตัว เอง สิ่งนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นสจัธรรมความจริงได้ บางคนอ้างว่า เป็นเรื่องอาจินไตย แต่เราขอชี้แจงให้รับรู้วา่ สวรรค ์ หรือ นรก คือ สิ่งที่สติปัญญาหยงั่ ไม่ถึง เช่นเดียวกนั สภาพของพระผูเ้ ป็นเจา้ ที่แทจ้ ริงเป็นเช่นไรนั้น 2 สติปัญญาหยั่งไม่ถึง แต่กระนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวเอง เพราะฉะนั้น การ ที่สิ่งหนี่งมีสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างเห็นไดช้ ดั เช่นเรื่องการเวี่ยนวา่ ยตายเกิดตามที่ได้ยกมาให้ ดู แลว้ จะมาอา้ งในลกั ษณะ ‘เนียน’ ว่า เป็นสิ่งที่สติปัญญาหยั่งไม่ถึงดว้ย เป็นเรื่องอาจินไตย ถือว่าเป็นคาํ อา้ งที่ไร้เหตุผล ฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนัก เปรียบเสมือนที่เราไปที่บา้ น เพื่อนเรา และถามเพื่อนวา่ บา้ นหลงั นี้ใครเป็นคนสร้าง และสร้างขึ้นมากี่ปี แลว้ เพื่อนเรา ก็ตอบวา่ “ ผมเป็นคนสร้างบา้ นหลงั นี้เอง และ สร้างมา 50 ปี แลว้ ” ท้งั ๆที่เพื่อนเราอายุ เพียงแค่ 30 ปี เอง เราจึงถามเพื่อนกลบั ไปว่า “ จะเป็นไปได้อย่างไรที่คุณจะสร้างบา้ ง หลงั นี้ขึ้นมา ” เพื่อนจึงกล่าวตอบว่า ไม่ไปสนใจเลย มนั เป็นสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ หยั่ง มันเป็นเรื่องจินไตย ” สมมุติวา่ คุณและครอบครัวของคุณกาํ ลงั นงั่ อยา่ งมีความสุขอยใู่ นบา้ น จากน้นั ก็ มีตาํ รวจบุกเขา้ มาในบา้ น มาจับตัว คุณและคนในครอบครัว คำ ถามกค็ ือ ถา้ เป็นคุณๆจะ พดู อะไรกับ ตาํ รวจ? แน่นอนคุณก็จะตอ้ งถามเขาวา่ ‘ มาจับผมทาํ ไม ผมทาํ อะไรผดิ ’ และ ถา้ ตาํ รวจบัง คบั คุณและจบั คุณและคนในครอบครัวคุณเขา้ คุกโดยไม่ตอบใหคุ้ณไดรู้เลย วา่ คุณทาํ ผดิ อะไร แน่นอนที่สุดคุณและครอบครัวคุณจะตอ้ ง ด่า สาปแช่ง ตาํ รวจน้นั ที่ ทาํ สิ่งที่ไร้เหตุผล ไร้ความยตุ ิธรรม เรารู้กันดีว่า เด็กที่เกิดมาพิการ หรือ คนที่ยากจน ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คนที่ตก ทุกขไ์ ดย้ าก ถา้ ตามความเชื่อของพทุ ธแลว้ ถือวา่ สิ่งเหล่าที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผลกรรมที่ เขาทาํ มาจากชาติก่อนๆส่งผลมายงั ชาตินี้ แต่คาํ ถามกค็ ือ คนที่ยากจน ใชชี้วติ อยา่ ง ยากลำบาก คนที่ตกทุกขไ์ ดย้ ากเหล่าน้นั เขาตอ้ งการจะรู้วา่ เขาไดท้ าํ กรรมอะไรเขาถึง ตอ้ งมาทุกขท์ รมานเช่นนี้ในชาตินี้ เพื่อที่เขาจะไดไ้ ม่ทาํ ความผดิ นี้อีก เพื่อเขาจะไดไ้ ม่ ตอ้ งมาตกอยใู่ นความทุกขเ์ ช่นนี้อีกในชาติถัดไป... แต่ทาํ ไมพวกเขาเหล่าน้นั จึงไม่ สามารถนึกไดเ้ ลยวา่ พวกเขาไปทาํ กรรมอะไรเอาไว้ ซึ่งถา้ เป็นอยา่ งนี้กไ็ ม่ต่างอะไรกบั ตวั อยา่ งขา้ งตน้ และถา้ เป็นเช่นนี้แลว้ การเวยี นวา่ ยตายเกิดกเ็ ท่ากบั ฆ่าตวั เอง เพราะกฏ การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่เพื่อความยุติธรรม แต่เมื่อวิเคราะห์แล้ว กฏนี้กลับขัดแย้งกันใน ตัวเอง แถมยังไม่มีความยุติธรรมอีกด้วย 3 สมมุติวา นาย ก.เป็นทหารและกำลังจะยิงปืน แต่นาย ก. จะยงั ยงิ กระสุนออกจาก ปากกระบอกปืนไม่ได้ก่อน นอกจากเสียว่าจะได้รับคำสั่งจากนายทหารอีกคนที่อยู่ข้างหลังเขา และนายทหารที่อยู่ข้างหลังนาย ก. ก็ไม่อาจที่จะสั่งใหน้ าย ก. ยิงปืนได้เช่นกัน นอกจากเขาจะตอ้งไดรั้บคำ สั่งจากนายทหารอีกคนหนึ่งเช่นกัน ถามว่าถ้ามีการย้อนหลัง รับคำ สั่ง กัน อยู่เช่นนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น (infinite regress) นาย ก. จะมีวัน ยิง ลูกกระสุน ออกจากปากกระบอกปืนได้ หรือไม่ ... คำตอบก็คือ นาย ก. ไม่มีวนั เลยที่จะยิง กระสุน ออกจากปากกระบอกปืนได้อย่างแน่นอน แต่ถา้ สมมุติวา่ ลูกกระสุนถูกยิงออกไปจาก ปากกระบอกปืนแล้วนั้น บ่งใหรู้ว่า อะไร ...นนั่ หมายความวาอยา่ งไร? คาํ ตอบก ้คือคำสัง ได้ไปหยุดลงอยู่ที่หนึ่งที่ใดแล้ว และ ตรงนั้นเองที่เป็นที่มาของคำสั่งทั้งหลายที่ให้นาย ก. ยงิ่ กระสุนออกจากปากกระบอกปืนได้ บางคนอา้ งวา่ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเราไม่สามารถนับชาติได้ว่าเป็นชาติที่ เท่าไหร่ แต่เราขอตอบวา่ การนบั ชาติไม่ไดว้ า่ เป็นชาติที่เท่าไหร่น้นั ไม่ใช่ประเดน็ สาํ คญั แต่ประเด็นสำคัญก็คือชาตินั้นมีที่สิ้นสุดหรือไม่ ถ้าย้อนหลังกลับไป ถ้าตอบว่า ชาตินั้น ย้อนหลังกลับไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า มนุษย์จะต้องยงั ไม่ เกดิ สัตว์ท้งั หลายจะต้องยงั ไม่เกดิ ขึ้นมาบนโลกนี้ เหมือนกับลูกกระสุนที่ยังไม่ถูกยิงออก จากปากประบอกปืน แต่ความจริงก็คือว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้ว สัตว์เกิดขึ้นมา บนโลกนี้แล้ว มันก็เหมือนกับที่ลูกกระสุนไดถู้กยงิ ออกไปจากปากกระบอกปืนแลว้ นนั่ ก็พิสูจน์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นจะต้องมีจุดเริ่มต้น จะย้อนหลังกลับไปไกลแค่ไหนก็ แล้วแต่ๆสุดท้ายก็ต้องไปเจอกับชาติที่ 1 อยดูี่ เพราะฉะน้นั การอา้ งวา่ ‘การเวียนวา่ ยตาย เกิดนั้น ย้อนหลังกลับไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด’ จึงเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น ไม่มีน้ำหนักเพราะ ขดั แยง้ กบั ความเป็นจริง ตามที่ไดว้ เิ คราะห์ไปขา้ งตน้ ดว้ ยการยกตวั อยา่ งประกอบเพื่อให้ เห็นภาพชดั ทั้งหมดเหล่านี้คือ การวิเคราะห์กันในบางประเด็นที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็เป็นที่ชัดเจนที่จะยืนยันได้แล้วว่า ความเชื่อเรื่องการเวยี นวา่ ยตายเกิดน้นั เป็นสิ่งที่ไม่ เป็นความจริง และเป็นหน้าที่ของผู้ที่แสวงหาสัจธรรมความจริง และไม่หลอกตัวเองที่ จะต้องเลิกเชื่อในสิ่งที่เป็นเท็จ หรือผิดพลาด และเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง เปรียบได้กับที่คน 4 ในอดีตเชื่อวา่ โลกแบน แต่เมื่อหลักฐานข้อพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าโลกนั้นกลม ผู้ที่ไม่หลอก ตวั เองก็จะต้องมาเชื่อในสิ่งที่เป็นความจริง และเลิกเชื่อในสิ่งที่เป็นความเทจ็ http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:jiMrZLe5NAIJ:guru.google.co.th/guru/thread%3Ftid%3D34dfaeffde7ab2cc+&cd=5&hl=th&ct=clnk&gl=th จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:32:50

ความคิดเห็นที่ 5 อันนี้สำหรับ  atheist ที่ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด แต่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ Normally, when I meet an atheist, the first thing I like to do is to congratulate him and say, " My special congratulations to you", because most of the people who believe in God are doing blind belief - he is a Christian, because his father is a Christian; he is a Hindu, because his father is a Hindu; the majority of the people in the world are blindly following the religion of their fathers. An atheist, on the other hand, even though he may belong to a religious family, uses his intellect to deny the existence of God; what ever concept or qualities of God he may have learnt in his religion may not seem to be logical to him. My Muslim brothers may question me, "Zakir, why are you congratulating an atheist?" The reason that I am congratulating an atheist is because he agrees with the first part of the Shahada i.e. the Islamic Creed, ‘La ilaaha’ - meaning ‘there is no God’. So half my job is already done; now the only part left is ‘il lallah’ i.e. ‘BUT ALLAH’ which I shall do Insha Allah. With others (who are not atheists) I have to first remove from their minds the wrong concept of God they may have and then put the correct concept of one true God. LOGICAL CONCEPT OF GOD My first question to the atheist will be: "What is the definition of God?" For a person to say there is no God, he should know what is the meaning of God. If I hold a book and say that ‘this is a pen’, for the opposite person to say, ‘it is not a pen’, he should know what is the definition of a pen, even if he does not know nor is able to recognise or identify the object I am holding in my hand. For him to say this is not a pen, he should at least know what a pen means. Similarly for an atheist to say ‘there is no God’, he should at least know the concept of God. His concept of God would be derived from the surroundings in which he lives. The god that a large number of people worship has got human qualities - therefore he does not believe in such a god. Similarly a Muslim too does not and should not believe in such false gods. If a non-Muslim believes that Islam is a merciless religion with something to do with terrorism; a religion which does not give rights to women; a religion which contradicts science; in his limited sense that non-Muslim is correct to reject such Islam. The problem is he has a wrong picture of Islam. Even I reject such a false picture of Islam, but at the same time, it becomes my duty as a Muslim to present the correct picture of Islam to that non-Muslim i.e. Islam is a merciful religion, it gives equal rights to the women, it is not incompatible with logic, reason and science; if I present the correct facts about Islam, that non-Muslim may Inshallah accept Islam. Similarly the atheist rejects the false gods and the duty of every Muslim is to present the correct concept of God which he shall Insha Allah not refuse. (You may refer to my article, ‘Concept of God in Islam’, for more details) QUR’AN AND MODERN SCIENCE The methods of proving the existence of God with usage of the material provided in the ‘Concept of God in Islam’ to an atheist may satisfy some but not all. Many atheists demand a scientific proof for the existence of God. I agree that today is the age of science and technology. Let us use scientific knowledge to kill two birds with one stone, i.e. to prove the existence of God and simultaneously prove that the Qur’an is a revelation of God. If a new object or a machine, which no one in the world has ever seen or heard of before, is shown to an atheist or any person and then a question is asked, " Who is the first person who will be able to provide details of the mechanism of this unknown object? After little bit of thinking, he will reply, ‘the creator of that object.’ Some may say ‘the producer’ while others may say ‘the manufacturer.’ What ever answer the person gives, keep it in your mind, the answer will always be either the creator, the producer, the manufacturer or some what of the same meaning, i.e. the person who has made it or created it. Don’t grapple with words, whatever answer he gives, the meaning will be same, therefore accept it. SCIENTIFIC FACTS MENTIONED IN THE QUR’AN: for details on this subject please refer to my book, ‘THE QUR’AN AND MODERN SCIENCE – COMPATIBLE OR INCOMPATIBLE? THEORY OF PROBABILITY In mathematics there is a theory known as ‘Theory of Probability’. If you have two options, out of which one is right, and one is wrong, the chances that you will chose the right one is half, i.e. one out of the two will be correct. You have 50% chances of being correct. Similarly if you toss a coin the chances that your guess will be correct is 50% (1 out of 2) i.e. 1/2. If you toss a coin the second time, the chances that you will be correct in the second toss is again 50% i.e. half. But the chances that you will be correct in both the tosses is half multiplied by half (1/2 x 1/2) which is equal to 1/4 i.e. 50% of 50% which is equal to 25%. If you toss a coin the third time, chances that you will be correct all three times is (1/2 x 1/2 x 1/2) that is 1/8 or 50% of 50% of 50% that is 12½%. A dice has got six sides. If you throw a dice and guess any number between 1 to 6, the chances that your guess will be correct is 1/6. If you throw the dice the second time, the chances that your guess will be correct in both the throws is (1/6 x 1/6) which is equal to 1/36. If you throw the dice the third time, the chances that all your three guesses are correct is (1/6 x 1/6 x 1/6) is equal to 1/216 that is less than 0.5 %. Let us apply this theory of probability to the Qur’an, and assume that a person has guessed all the information that is mentioned in the Qur’an which was unknown at that time. Let us discuss the probability of all the guesses being simultaneously correct. At the time when the Qur’an was revealed, people thought the world was flat, there are several other options for the shape of the earth. It could be triangular, it could be quadrangular, pentagonal, hexagonal, heptagonal, octagonal, spherical, etc. Lets assume there are about 30 different options for the shape of the earth. The Qur’an rightly says it is spherical, if it was a guess the chances of the guess being correct is 1/30. The light of the moon can be its own light or a reflected light. The Qur’an rightly says it is a reflected light. If it is a guess, the chances that it will be correct is 1/2 and the probability that both the guesses i.e the earth is spherical and the light of the moon is reflected light is 1/30 x 1/2 = 1/60. Further, the Qur’an also mentions every living thing is made of water. Every living thing can be made up of either wood, stone, copper, aluminum, steel, silver, gold, oxygen, nitrogen, hydrogen, oil, water, cement, concrete, etc. The options are say about 10,000. The Qur’an rightly says that everything is made up of water. If it is a guess, the chances that it will be correct is 1/10,000 and the probability of all the three guesses i.e. the earth is spherical, light of moon is reflected light and everything is created from water being correct is 1/30 x 1/2 x 1/10,000 = 1/60,000 which is equal to about .0017%. The Qur’an speaks about hundreds of things that were not known to men at the time of its revelation. Only in three options the result is .0017%. I leave it upto you, to work out the probability if all the hundreds of the unknown facts were guesses, the chances of all of them being correct guesses simultaneously and there being not a single wrong guess. It is beyond human capacity to make all correct guesses without a single mistake, which itself is sufficient to prove to a logical person that the origin of the Qur’an is Divine. CREATOR IS THE AUTHOR OF THE QUR’AN The only logical answer to the question as to who could have mentioned all these scientific facts 1400 years ago before they were discovered, is exactly the same answer initially given by the atheist or any person, to the question who will be the first person who will be able to tell the mechanism of the unknown object. It is the ‘CREATOR’, the producer, the Manufacturer of the whole universe and its contents. In the English language He is ‘God’, or more appropriate in the Arabic language, ‘ALLAH’. QUR’AN IS A BOOK OF SIGNS AND NOT SCIENCE Let me remind you that the Qur’an is not a book of Science, ‘S-C-I-E-N-C-E’ but a book of Signs ‘S-I-G-N-S’ i.e. a book of ayaats. The Qur’an contains more than 6,000 ayaats, i.e. ‘signs’, out of which more than a thousand speak about Science. I am not trying to prove that the Qur’an is the word of God using scientific knowledge as a yard stick because any yardstick is supposed to be more superior than what is being checked or verified. For us Muslims the Qur’an is the Furqan i.e. criteria to judge right from wrong and the ultimate yardstick which is more superior to scientific knowledge. But for an educated man who is an atheist, scientific knowledge is the ultimate test which he believes in. We do know that science many a times takes ‘U’ turns, therefore I have restricted the examples only to scientific facts which have sufficient proof and evidence and not scientific theories based on assumptions. Using the ultimate yardstick of the atheist, I am trying to prove to him that the Qur’an is the word of God and it contains the scientific knowledge which is his yardstick which was discovered recently, while the Qur’an was revealed 1400 year ago. At the end of the discussion, we both come to the same conclusion that God though superior to science, is not incompatible with it. SCIENCE IS ELIMINATING MODELS OF GOD BUT NOT GOD Francis Bacon, the famous philosopher, has rightly said that a little knowledge of science makes man an atheist, but an in-depth study of science makes him a believer in God. Scientists today are eliminating models of God, but they are not eliminating God. If you translate this into Arabic, it is La illaha illal la, There is no god, (god with a small ‘g’ that is fake god) but God (with a capital ‘G’). Surah Fussilat: "Soon We will show them our signs in the (farthest) regions (of the earth), and in their own souls, until it becomes manifest to them that this is the Truth. Is it not enough that thy Lord doth witness all things?" [Al-Quran 41:53] [Please also visit the section Especially for those with a Curious Mind ] by Dr. Zakir Naik จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:34:13

ความคิดเห็นที่ 6 กฎแห่งกรรมที่พวกคุณเชื่อ อย่ามาบอกให้เสียเวลา และเป็นที่น่าขบขันว่า เป็นเรื่องของปัญญา เพราะกฎแห่งกรรมที่เห็นกันในปัจจุบันคือ กินเหล้า=เมาสนุก ผิดประเวณี=มันส์สะใจ โกงกิน=ร่ำรวย มันเป็นเรื่องที่เราพบเห็นได้อยู่แล้ว ส่วนผลที่เกิดขึ้นเช่น โกงกิน แล้วติดคุก นั่นเกิดจากกรรมอันไม่ระมัดระวังให้แนบเนียน หรือไม่เลวพอ จึงโดนจับได้ นี่คือผลของกรรมที่แสดงออกมา แต่เรื่องจะไปตามสนองเอาภายหลังจากตาย ถามว่ามันเป็นความเชื่อหรือเปล่าล่ะ อันนั้นมันเรียกได้ว่า ความเชื่อล้วนๆ ก็ว่าได้ เอาไว้อ้างเวลาที่ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำไมอยู่ๆ คนคนนี้เกิดแย่ขึ้นมา โดยไม่ได้ทำอะไรมาก่อน เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่า กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของการพิสูจน์ได้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:34:33

ความคิดเห็นที่ 7 อันนี้ สำหรับผู้ที่เชื่อว่าผู้สร้างทรงมีบุตร Can GOD have a son จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:37:26

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าจะอ้างเรื่องพระเจ้า การศรัทธาพระเจ้า ก็เกิดจากการยอมรับที่ผ่านการใช้ปัญญามาอย่างมากมายแล้วได้เช่นกัน ดูกระทู้ ต่างๆ ของคุณใจนิ่งก็ได้ ผมยกตัวอย่างมาเพื่ออะไร มาเพื่อให้พวกคุณเข้ามาแสดงความเห็นลำเอียงเข้าข้างตนเองแบบนั้นนั่นแหละ เพื่อให้เห็นว่า ศาสนาใคร ใครก็ว่าดี ถ้ามีคนไปบอกว่า ที่ตัวเอง เชื่อนั้น เกิดจากความโง่เขลา คุณจะพอใจหรือไม่? ก็ไม่พอใจพร้อมหาเหตุผลมาสนับสนุนซะยกใหญ่ และผมยกเหตุผลมา เพื่อประกอบว่า ศรัทธาของคนอื่นนั้นก็มีหลักฐาน มีการพิสูจน์ด้วยเช่นกัน อย่าได้คิดว่า ตัวเองเท่านั้นที่จะเรียก ตัวว่า มีปัญญาได้ คนอื่นก็มีปัญญาครับ พอจะเข้าใจประเด็นหรือไม่ครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:39:48

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้สำหรับกลุ่มที่เชื่อพระเจ้าหลายองค์ อัลอัมบิยาอฺ 22. หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน(*1*) อัลลอฮ์พระเจ้าแห่งบัลลังก์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้น (1)  หากในจักรวาลนี้มีพระเจ้าหลายองค์ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ระบบการบริหารจักรวาลก็จะปั่นป่วน เพราะจะเกิดการแตกแยกการขัดแย้งกันในการสร้าง การจัดระบบ และการมุ่งเอาชนะซึ่งกันและกัน เป็นที่ประจักษ์แล้วมิใช่หรือว่า ไม่มีกษัตริย์สององค์อยู่ในเมือง ๆ เดียวกัน 43. หรือว่าพวกเขามีพระเจ้าหลายองค์ นอกไปจากเรา คอบป้องกันพวกเขา(*1*) ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าเหล่านั้นไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเอง และไม่สามารถป้องกันตัวเองให้พ้นจากการลงโทษของเราได้(*2*) (1)  ให้พ้นจากการลงโทษของเรา (2)  ในกรณีเช่นนี้แล้วพวกเขาจะช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร 44. แต่ทว่า เราได้ให้ความสุขสำรายแก่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขามีอายุยั่งยืน พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงเราได้มายังแผ่นดินเพื่อทำให้มันคับแคบลงจากขอบเขตของมัน(*1*) แล้วพวกเขาจะเป็นผู้ชนะอีกหรือ?(*2*) (1)  ด้วยการให้บรรดามุสลิมีนพิชิตและเข้าไปครอบครองพื้นที่ และขยายขอบเขต และทำให้พื้นที่ของพวกกุฟฟารแคบลง (2)  คือใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ มุสลิมีนหรือกุฟฟาร 45. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “แท้จริงฉันเพียงตักเตือนพวกท่านด้วยวะฮีเท่านั้น” (*1*) แต่คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงเรียกร้อง เมื่อพวกเขาถูกตักเตือน(*2*) (1)  คือเป็นวะฮ์ย์มาจากพระเจ้า ฉันมิได้คิดขึ้นเอง (2)  เพราะความงี่เง่าและการดื้อดันของพวกเขา จึงเปรียบเสมือนคนหูหนวก 46. และหากการลงโทษเพียงเล็กน้อยจากพระเจ้าของเจ้าประสบกับพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็จะกล่าวว่า “โอ้ความหายนะแก่เรา แท้จริงเราเป็นผู้อธรรม”(*1*) (1)  คือยอมสารภาพในการทำผิดของพวกเขา 45. และเจ้าจงถามผู้ที่เราได้ส่งมาก่อนเจ้าจากบรรดารอซูลของเราว่า เราได้ตั้งพระเจ้าหลายองค์อื่นจากรพะผู้ทรงกรุณาปราณี เพื่อเคารพบูชากระนั้นหรือ ? (*1*)   (1)  โอ้มุฮัมมัดหากเจ้ามีความสงสัยในเรื่องการให้ความเอกภาพแด่อัลลอฮฺ ก็จงถามบรรดาร่อซูลคนก่อน ๆ ว่ามีร่อซูลท่านใดเรียกร้องให้อิบาดะฮฺ พระเจ้าหลายองค์อื่นจากอัลลอฮฺหรือ ? อะบุสสะอู๊ดกล่าวว่าจุดมุ่งหมายของอายะฮฺก็คือ เป็นการยืนยันแก่บรรดานะบีถึงการให้ความเป็นเอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซูเราะฮฺ อัซซุครุฟ 46. และโดยแน่นอนเราได้ส่งมูซา(โมเซส)พร้อมด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราไปยังฟิรเอานฺ(ฟาโร) และบรรดาผู้นำของเขา แล้วเขากล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นร่อซูลของพระเจ้าแห่งสากลโลก ซูเราะฮฺ ศอด 5. เขาได้ทำให้พระเจ้าหลายองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวกระนั้นหรือ ? แท้จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดจริง ๆ “ (*1*) (1)  เขาอ้างว่าพระเจ้าที่ถูกเคารพนั้นเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ในการอ้างของเขาเช่นนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างแท้จริง 6. และพวกหัวหน้าของพวกเขาพากันออกไป (พลางกล่าวว่า) “จงก้าวหน้าต่อไปและอดทน ในการยึดมั่นต่อบรรดาพระเจ้าของพวกท่านต่อไป! แท้จริงเป็นเรื่องที่ถูกวางแผนไว้แล้ว (*1*) (1)  พวกหัวหน้าพากันกล่าวว่า พวกท่านอย่าไปเชื่อมุฮัมมัดในสิ่งที่เขาเรียกร้องให้พวกท่านเคารพสักการะต่ออัลลอฮฺพระเจ้าองค์เดียว มุฮัมมัดต้องการจะให้พวกท่านหันห่างจากศาสนาของปู่ย่าตายาย เพื่อที่เขาต้องการจะมีอำนาจเหนือพวกท่าน จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:45:17

ความคิดเห็นที่ 10 อันนี้สำหรับคนที่กำลังสับสน ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี พิสูจน์อิสลามเชิงประจักษ์ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:50:53

ความคิดเห็นที่ 11 โทษทีนะคุณโขตาน  ผมไม่ได้โกรธคุณแต่เพื่อตัวคุณเองที่จะปลอดภัยในโลกหน้า ในวันแห่งการพิพากษาโดยผู้สร้าง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:52:57

ความคิดเห็นที่ 12 มีใครเคยพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:57:15

ความคิดเห็นที่ 13 มันก็เรื่องจริงล่ะครับ แต่เปลี่ยนจาก โง่ เป็นคำอื่นอาจจะดูขัดแย้งน้อยลงนะผมว่า จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:00:19

ความคิดเห็นที่ 14 จากใน tube ของท่านใจนิ่ง คุณ ชารีฟ ขี้โม้สไตล์ mlm เป๊ะ คนอย่างนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยครับ ในสังคมปกติคนบุคลิกจำพวกนี้มักจะเติบโตมาเป็นนักการเมืองจอมเขมือบ คุณ อามึน ล่อน้า เหตุผลแน่นกว่า มีบุคลิกคล้ายท่าน ว. (แต่เป็น ver.จิตหน่อยๆ) ทำให้ดูแล้วรู้สึกหดหู่พิกล ทั้งสองท่านให้เหตุผลอวยตัวเองกันแบบสุดๆ และก็เหน็บศาสนาอื่นแบบเอาแต่ใจตัวเองสุดๆเหมือนกัน โดยคุณชารีฟ ตะกละพูดมาก พอคุณอามึนจะขอพูดบ้าง โดนตัดบทประจำเลย คราวที่แล้วท่านใจนิ่งบอกให้ดู ไอ้กระผมก็ทนดูจนเพลียใจ ดูบ้างปิดบ้างกว่าจะจบหลายวันเลย :D แตีไม่ใช่ของดีหรอกครับ อย่าเอามาเปิดบ่อยๆเลย เสียภาพฯมากกว่า จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:13:15

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยเด็กๆ เคยบู๊เรื่องนี้กับคริสเตียนมาเยอะแล้ว ถึงรู้ว่า อธิบายให้ตายก็ไร้ประโยชน์ คำว่า "ปัญญา" ในความหมายของพุทธ กับ คุณๆทั้งหลาย มันต่างกันมากนัก ขอเตือนชาวพุทธทุกคนที่คิดจะมา Convince ศาสนิกอื่นนะครับ ว่าเหนื่อยเปล่าจริงๆ ของพวกนี้ ถ้าไม่ได้ประจักษ์โดยประสบการณ์ตรงแล้วล่ะก็ ยากที่เชาจะเชื่อตามครับ อย่าลืมว่า "ธรรมะ" เป็นเรื่องที่รู้(แจ้งเห็นจริง)ได้เฉพาะคนครับ สำหรับคนที่ไม่แม้แต่คิดที่จะศึกษา ก็ไม่มีทางที่เค้าจะรู้ตามได้หรอกครับ จากคุณ : Zauron เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:19:22

ความคิดเห็นที่ 16 ชาวพุทธคนนี้บอกว่า พูดได้นะ พวกท่านเห็นอย่างไร     ความคิดเห็นที่ 14 MsgStatus(Msv[14], 14); คุณใจนิ่ง ขอบคุณที่แสดงความเห็น แต่ภาษาอังกฤษ ยาว ๆ อ่านไม่ไหวครับ ขอบคุณ คุณ mce ที่ร่วมแสดงความเห็นครับ คุณ AvijJA ช่วยสร้างบรรยากาศคลายร้อนได้ดี ต้อง ขอบคุณ คุณ Carroth ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ผมก็สามารถพูดได้ว่า กรรม และนิพพาน เป็นสิ่งสมมุติที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสร้างขึ้น ได้หรือไม่? -------------------------------------------------------------------- ตอบว่า ได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นความเห็นของคุณ และถ้าคุณมีความเชื่ออย่างบริสุทธ์ใจเช่นนั้น ผมยินดี รับฟัง และ เคารพ ความเห็นนี้ของคุณครับ Faraday --------------------------------------------------------------------- คิดว่าเห็นความเห็นหรือไม่? ใช้ปัญญาสิครับ จากคุณ : Carroth [FriendFlock] เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 09:57:29 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 10:40:41 จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:39:37 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:25:34

ความคิดเห็นที่ 17 คุณใบไม้กำนั้น ที่ว่าจริง คืออะไร อันนี้ใช่ไหม แล้วผมก็ควรพูดใช่หรือเปล่า กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสมมุติขึ้นมา เมื่อท่านยอมรับว่าจริง ผมจะได้เปลี่ยนคำว่าโง่เป็นคำอื่น   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:27:52

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นเหมือนกับ คห..14   ที่ว่า... "  คุณ ชารีฟ ขี้โม้สไตล์ mlm เป๊ะ คนอย่างนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยครับ ในสังคมปกติคนบุคลิกจำพวกนี้มักจะเติบโตมาเป็นนักการเมืองจอมเขมือบ คุณ อามึน ล่อน้า เหตุผลแน่นกว่า มีบุคลิกคล้ายท่าน ว. (แต่เป็น ver.จิตหน่อยๆ) ทำให้ดูแล้วรู้สึกหดหู่พิกล ทั้ง สองท่านให้เหตุผลอวยตัวเองกันแบบสุดๆ และก็เหน็บศาสนาอื่นแบบเอาแต่ใจตัวเองสุดๆเหมือนกัน โดยคุณชารีฟ ตะกละพูดมาก พอคุณอามึนจะขอพูดบ้าง โดนตัดบทประจำเลย  " พอ 2 คนนี้มีวาทะศิลป์ดี  ลีลาการพูดดี คนฟังก็หลงเชื่อว่าจิงทุกอย่างแระ !!.. จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:54:30

ความคิดเห็นที่ 19 #  1 .. nuch_tre ถ้างั้น  ก็แสดงว่าคุณ Carroth ก็เป็นผู้ที่น่าสงสาร เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าไฟนั้นร้อน  ยื่นมือเข้าไปในไฟโดยตรง  ย่อมเจ็บปวดทุกข์  เพราะความไม่รู้นั้นเอง  ใช่มั้ยจ๊ะ ?     ^_^ จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:00:07

ความคิดเห็นที่ 20 กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องเหตุและผล เทียบกับ ปลูกต้นมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง แต่ บางทีไม่ได้ผลนะ เพราะมีเหตุอื่น เช่น น้ำท่าไม่บริบูรณ์ ปุ๋ยไม่ดี ไปปลูก บนก้อนหิน ไปปลูกในที่แห้งแล้ง โรคเบียดเบียน โดนโค่นทำลาย ฯลฯ ที่ว่า กินเหล้า=เมาสนุก ผิดประเวณี=มันส์สะใจ โกงกิน=ร่ำรวย ท่านกล่าวว่า เพราะกรรมชั่วยังไม่ให้ผล กินเหล้า จนเมา แล้วทะเลาะกัน จนยิงกันตาย จน ขับรถเกิดอุบัติเหตุ ซิ (น่าจะเคยอ่านเจอในข่าวกันบ่อยๆ นะ) ลองผิดประเวณี จนสามีเขาจับได้ ก็ คงดูไม่จืด เป็นเหตุแห่งการแตกแยกของครอบครัว หรือโกง จนโดนจับได้ ก็ไม่จืด (ขออนุญาต ลองดู ท่านอดีตรัฐมนตรี ท่านหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน ท่านได้พ้นโทษทางโลก และ ออกบวช) และ กฎแห่งกรรม ยากนักที่คนทั่วๆ ไปจะประเมินได้ ซึ่งผมไม่สามารถขนาดนั้น คงต้องนิมนต์ระดับ พระอริยสงฆ์ หรือพระพุทธเจ้า ปัญญาผมน้อย คงไม่อาจถกปัญหากับท่านๆ ได้ จากคุณ : Nobikun (NobiKun) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:03:19

ความคิดเห็นที่ 21 คุณมีด   ตามปกติคนที่เป็นมิจฉาทิษฐิ  คิดว่าถ่านติดแดงนั้นไม่ร้อน  จึงได้เหยียบที่กองถ่านนั้น  แต่ในขณะนั้นเขาไม่ร้อน เพราะมีขี้เถ้าคือบุญกุศลกลบอยู่   เมืีอใดที่ขี้เถ้านั้นหมดลง  เขาย่อมได้รับผลอันเผ็ดร้อนจากกรรมที่เขาได้กระทำ เปรียบการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารนี้  เป็นภาพยนต์ที่ยาวมาก  ชีวิตนี้คือฉากหนึ่งในละคร  เมื่อฉากก่อน  เราเคยฆ่าคน มาพอฉากนี้  เราทำบุญแต่เราอายุสั้นหรือมีโรคภัยมาก  แต่ความไม่รู้ (อวิชชา) หุ้มห่อไว้ว่า ทำดีต้องได้ดี  เกิดโลภะ  เกิดความอยากและไม่อยาก  เมื่ออยากแล้วไม่ได้หรือไม่อยากได้แล้วได้  ก็โทษว่า  ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่กรรมดีและกรรมชั่วนั้น  เหมือนคนที่นั่งเก้าอี้  เมื่อกรรมชั่วนั่งเก้าอี้อยู่  กรรมดีก็ยังนั่งไม่ได้ กรรมไม่ว่าจะดีหรือชั่ว  ล้วนใช้เวลาในการออกผล  เหมือนการปลูกข้าว  คนส่วนมากต้องการปลูกข้าววันนี้  ให้ผลพรุ่งนี้  จะเป็นไปได้อย่างไร   หน้าที่ในการหว่านเมล็ดพืชเป็นของเรา แต่การออกผลนั้นเป็นหน้าที่ของตัวกรรม  เป็นธรรมชาติของกรรม แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 14:12:47 จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:11:15

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 16     ชาวพุทธคนนี้บอกว่า พูดได้นะ พวกท่านเห็นอย่างไร ความคิดเห็นที่ 14 MsgStatus(Msv[14], 14);   คุณใจนิ่ง ขอบคุณที่แสดงความเห็น แต่ภาษาอังกฤษ ยาว ๆ อ่านไม่ไหวครับ ขอบคุณ คุณ mce ที่ร่วมแสดงความเห็นครับ คุณ AvijJA ช่วยสร้างบรรยากาศคลายร้อนได้ดี ต้อง ขอบคุณ คุณ Carroth ถามว่า ถ้าเช่นนั้น ผมก็สามารถพูดได้ว่า กรรม และนิพพาน เป็นสิ่งสมมุติที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสร้างขึ้น ได้หรือไม่? -------------------------------------------------------------------- ตอบว่า ได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นความเห็นของคุณ และถ้าคุณมีความเชื่ออย่างบริสุทธ์ใจเช่นนั้น ผมยินดี รับฟัง และ เคารพ ความเห็นนี้ของคุณครับ Faraday --------------------------------------------------------------------- คิดว่าเห็นความเห็นหรือไม่? ใช้ปัญญาสิครับ จากคุณ : Carroth [FriendFlock] เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 09:57:29 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 10:40:41 จากคุณ : Faraday   เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:39:37           -------------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : Carroth     เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:25:34            ความคิดเห็นที่ 17     คุณใบไม้กำนั้น ที่ว่าจริง คืออะไร อันนี้ใช่ไหม แล้วผมก็ควรพูดใช่หรือเปล่า กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสมมุติขึ้นมา เมื่อท่านยอมรับว่าจริง ผมจะได้เปลี่ยนคำว่าโง่เป็นคำอื่น จากคุณ : Carroth     เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:27:52     ผมเห็นด้วยครับ ทุกสิ่ง ก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์ผู้โง่เขลา กำหนดขึ้นมา อายุเยอะกันแล้ว เลิกยึดติดเถอะครับ มันหนัก จะศาสนาอะไร ขอให้เป็นคนดีของสังคม ก็ดีมากพอแล้วครับ จะพระเจ้า ไม่พระเจ้า พุทธ คริสต์ อิสลาม สุดท้าย มนุษย์อย่างเราๆ เจ็ดสิบแปดสิบปี ก็ตายกันแล้วครับ จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:13:03

ความคิดเห็นที่ 23 ที่นี่เข้าใจกันบ้าง หรือยัง หวังว่าคงจะทราบถึงประเด็น ของ จขกท ที่ต้องการสื่อถึง จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:48:11

ความคิดเห็นที่ 24 ประเด็นของผมคืออะไร ยังไม่รู้ แบบนี้จะบอกว่า กฎแห่งกรรมใช้ปัญญาหรือ? นั่นมันความเชื่อของพวกท่าน ผมเองสามารถพูดได้เลยว่า กฎแห่งกรรมไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เป็นแต่เพียงเรื่องแต่งสำหรับมนุษย์ผู้โง่เขลาทั้งสิ้น ส่วนพวกท่าน ก็ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง หรือก็ให้ความสำคัญกับความเชื่อตัวเองมากกว่า ผมจึงถามว่า ถ้าผมจะพูดว่า กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องสมมุติของมนุษย์ผู้โง่เขลาเอาไว้หลอกตัวเอง นั้น เหมาะสมหรือไม่ แต่ดูเหมือนพวกคุณจะพยายามยกความเชื่อตัวเอง ข่มคนอื่น นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยให้มีการดูแคลนกัน มันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะต่างคนต่างมองอีกศาสนาว่าไร้เหตุผล แล้วถ้าปล่อยให้ด่าทอกันต่อไป มันจะสงบได้อย่างไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:46:41

ความคิดเห็นที่ 25 " กฏแห่งกรรมเป็นเรื่องที่มนุษย์ผู้โง่เขลาสมมติขึ้นมา " พูดไปแล้วก็เขิน ว่าผมจะวิจารณ์คำสอนของศาสนาตัวเอง แต่ผมว่า กฏแห่งกรรมก็เป็นเรื่องที่ไม่ต่างกับเรื่องของพระเจ้าจริงๆครับ มันเป็นตัวแทนของพระเจ้าในศาสนาพุทธก็พอจะเทียบอย่างนั้นได้ คือให้คุณให้โทษ ต่อการกระทำของเราได้นั่นเอง เพียงแค่ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นกฏแห่งกรรม และผมว่ามันไม่ได้น่าใส่ใจอะไรสักนิดเลย เพราะ 1. ไม่มีประโยชน์ ต่อการพัฒนาจิตใจ เป็นแค่เรื่องของการปลอบใจ สำหรับผู้เริ่มต้นในพุทธมากกว่า ที่จะบอกว่าทำดีมีคนเห็น ทำไม่ดีมีคนรู้นะ ซึ่งถ้าพุทธจะบอกตามสัจธรรมไปเลยว่า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นแค่ปัจจัยที่เกิดกระทบกันเพียงเท่านั้น ก็ดูจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับศาสนิกชน (ผมว่าอันนี้เป็นพื้นฐานของทุกศาสนา หรือของทุกการปกครองครับ) แต่สุดท้ายแล้ว ศาสตร์แห่งพุทธก็ต้องข้ามเรื่องกฏแห่งกรรมไปจริงๆ นั่นแหละ คือแม้ว่ามันจะมีหรือไม่ ก็ไม่มีค่าควรแก่การสนใจ และปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันนั่นเองครับ 2. ถ้าจะต้องปกครองคน พระเจ้าจะลงโทษ พระเจ้าให้รางวัล หรือกฏแห่งกรรม จะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก ผมว่าของพวกนี้มันเกิดขึ้นมา ด้วยเหตุดังกล่าวครับ เพียงแค่ต่างกรรม ต่างวาระ และต่างศาสนาเท่านั้นเอง ที่นี้จะถามว่า ไอ้กฏแห่งกรรมนี้มาจากมนุษย์ผู้โง่เขลาไหม 1. ส่วนตัวผมว่ามาจากหลังพระพุทธเจ้า ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับท่านพุทธทาส ว่าในพระไตรปิฏก มีเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งพุทธ (ศาสตร์ของพุทธ ในส่วนที่ไม่ใช่ศาสนา) อยู่บานตะไทเลย โดยพวกพระรุ่นหลังๆ ซึ่งไม่ได้โปรดั่งพระศาสดา มาใส่เพิ่มให้ตามความหน่อมแน้มเฉพาะตน ดังนั้น ตัดทิ้งมันซะได้ รับรองว่าเข้าใจพุทธศาสตร์ได้ง่ายอีกอักโขทีเดียว 2. แต่ถ้ามันเกิดมาจากพระพุทธเจ้าเองจริงๆ แล้วคุณแครอทจะด่าท่านอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ หรือถ้าไม่ได้มาจากท่าน แล้วคุณแครอทอยากจะด่าท่านเพื่อความบันเทิง ผมก็ไม่ได้แคร์สื่อแต่อย่างใดครับ :D 3. หรือคุณแครอท อยากจะด่าแถมในเรื่องของ พระธรรมคำสั่งสอนอื่นๆ เช่น อริยสัจ4 นิพพาน ธรรมชาติ สัจธรรม ว่าเป็นเรื่องโง่ๆ ผมก็ไม่โกรธอยู่ดีนั่นแหละ เพราะพุทธมันเป็นแค่องค์ความรู้ ที่ได้ค้นพบขึ้นมา ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้มีฤทธิ์ ไม่ได้อยู่เหนือการดูถูกได้ ( ดังนั้นดูถูกยาวไปเลยครับ ใส่ได้ตามสะดวก ให้หายเครียด พุทธจะเป็นกระสอบทรายให้เอง พุทธทนได้ ) สรุปในส่วนนี้ว่า พุทธ มันเป็นเพียงแค่ศาสตร์ หรือเป็นหลักของวิทยาศาสตร์ด้านจิตใจ ในการทำให้จิตใจของคนเราแข็งแรงขึ้น ไม่ต่างกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่พุทธมันเป็นศาสตร์การออกกำลังในเชิงความคิด และจิตใจ ให้เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ อย่างมีความสุข โดยการพึ่งพาตัวเราเองได้เท่านั้นเอง ผมไม่ได้ดูถูกพระเจ้าของคุณหรอกครับ เพียงแค่แลกเปลี่ยนเสนอความคิดเห็น เผื่อคุณจะถึงจุดที่อยากจะลองมาพึ่งตัวเองดูบ้างแล้ว (ช้าหรือเร็วก็ตาม มันต้องเกิด) ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวคุณเอง สำหรับกลุ่มคนพุทธที่ชอบเรื่องเข้าองค์ทรงเจ้า ผมก็อยากให้เค้าไปนับถือพระเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดเลยมากกว่า เพราะมันเข้าใจได้ง่าย และได้ผลดีสำหรับตัวของเค้าเองมากกว่า โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังพึ่งพาด้านความเชื่อ และยังจำเป็นต้องใช้อารมณ์ (เช่น อารมณ์ปลื้มปิติ อิ่มบุญ หรือสัมผัสถึงความรักจากอะไรบางอย่าง - เช่นพระเจ้า) ในการดำรงชีวิตเป็นสำคัญ ซึ่ง ผมว่าคริสต์นี่ กำลังดี อิสลามแรงเกินไป จนทำให้เกิดความเข้าในผิดในการใช้ความเชื่อทางศาสนาที่สุดโต่ง และนำไปก่อเป็นโศกนาฏกรรม ที่เราเห็นๆอยู่ อย่างกว้างขวาง (คริสต์นุ่มนวลและแบ๊วกว่า) เวลาเราอยู่ใกล้ๆมุสลิม ต้องระวังตัวมากกว่า ว่าจะพูดอะไร เดี๋ยวไปกระทบจิตใจแล้วระเบิดตู๊ม ขึ้นมา คริสต์ไม่ค่อยจะมีปัญหาในด้านนี้ คบง่ายสะดวกใจกว่า ของพุทธเองก็มีพวกไปเน้นด้านความเชื่อเหมือนกัน เช่นธรรมกาย เค้าใช้หลักการเดียวกับคริสต์ หรืออิสลามเป๊ะๆ แต่พวกนี้แหละ ที่ผมไม่เออ ออด้วย เพราะหลักการของพุทธเป็นการกำจัดอารมณ์ ไม่ใช่สร้างอารมณ์ จึงต้องเอารองเท้าแตะตบหัวสั่งสอนกันอยู่บ่อยๆ :D พวกนี้ผมยกไปเป็น คริสต์ หรือ อิสลามให้หมดเลยนะครับ อยู่แล้วจะทำให้วัตถุประสงค์ของพุทธเปลี่ยน แล้วจะไปแย่งลูกค้าของ คริสต์ กับ อิสลามซะอีกด้วย ปล. ผมโหวตไม่เห็นด้วยนะครับ และเรื่องที่ท่านได้พูดถึงกฏแห่งกรรมนี่ผมก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน :) จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 23:57:25

ความคิดเห็นที่ 26 เอ้อลืมไป คุณแครอทเป็นคริสต์ หรืออิสลามเนี่ย ถ้าเป็นอิสลาม ต้องบอกไว้ก่อนว่าที่ผมบอกว่าระเบิดตู๊ม นี่ผมหมายถึงอารมณ์นะ ไม่ได้หมายถึงระเบิดจริงๆแต่อย่างใด จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 00:01:16

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าเข้าใจ หัวข้อกระทู้ก็น่าจะดีนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 11:41:08

ความคิดเห็นที่ 28 คุณใบไม้ฯ เป็นความเห็นที่ดีครับ ถึงผมจะเห็นว่า การพึ่งตัวเองศาสนาไหนก็สอนนะครับ อิสลามก็พึ่งตัวเอง เท่าที่ทำได้ การวิงวอนต่อพระเจ้าก็เป็นการทำความดี เป็นการระลึกอย่างนึง ว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้ เราได้แต่ทำตามหน้าที่ แต่อันนั้นเป็นความเห็นต่าง ที่สนใจคือ เราไม่ควรก้าวล่วงกันนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 11:48:34

ความคิดเห็นที่ 29 หวังว่าจะเข้าใจกันได้นะ หุหุ เดี๋ยวจะเป็นเหตุให้เรียกร้องให้แยกห้องอีก คิคิ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 11:51:31

ความคิดเห็นที่ 30 ลบความเห็นแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 21:52:21 แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 21:50:09 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 21:49:26

ความคิดเห็นที่ 31 :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 03:23:16

ความคิดเห็นที่ 32 "หน้าที่กระทำคือหน้าที่ของเรา ผลนั้นขึ้นกับพระผู้เป็นเจ้า" นั่นคือวิถีคิดของอิสลาม ส่วนศาสนาแห่งกรรม กรรม คือการกระทำ ย่อมได้รับผลกรรม ถ้าผลกรรมชาตินี้มองไม่เห็นก้จะติดค้างไปชาติหน้า ก็เหมือนขับเรือวนไปวนมา เป็นเส้นที่วนรอบตนเอง เช่น เวียนว่ายตายเกิด คำว่าหลุดพ้น คือให้หลุดจากกฎแห่งกรรม เหนือกฎแห่งกรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ความเข้าใจอยู่ที่ระดับของสติปัญญาของแต่ละบุคคล สติปัญยา 3 หมื่น ฟิต จะอธิบายให้คนสติปัญญาแค่คืบเดียว จากพื้น จะให้มาเข้าใจเหมือนกันได้นั้นคงยาก ดังนั้นคนฟังต้องรู้จักตนเองว่า เป้นแค่คืบเดียว หรือ สามหมื่นฟิต ถ้าไม่รู้จักตนเอง ก็เกิดอาการตะแบงข้าง นั่นเอง อธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:34:24