ความคิดเห็นที่ 1 กระทู้ผมมีการถามและการตอบโดยใช้ศรัทธาผมเป็นหลัก เช่นเดียวกับการตั้งคำถามต่อพระเจ้าในกระทู้อื่นๆ และไม่มีคำหยาบคาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับกระทู้นี้ ก็ให้ชัดเจนว่า มีมาเฟียในห้องศาสนาจริง  เอาเป็นว่าอย่างนั้นนะครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:04:12

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่มีอะไรมากหรอก..ความเชื่อในศาสนา เพียงแค่ไม่ก้าวก่ายความเชื่อ(ความศรัทธา)ต่อกันก็ไม่มีการทะเลาะกันแล้ว ให้คนในเขาตัดสินกันเองก้จบกันแล้ว ขอบคุณครับ จากคุณ : คับแค้นเหลือคณา เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:29:08

ความคิดเห็นที่ 3 ท่าน Yaoharee นับถือศาสนาอะไรครับ??? ตอนแรกนึกว่าเป็นกระทู้ธรรมกายซะอีก จากคุณ : sinnerman เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:57:08

ความคิดเห็นที่ 4 นิพพาน..พิสูจน์ได้ครับ... นิพพานคือ..จิตเราไม่มีกิเลส.....โดยไม่เกิดขึ้นมาอีก...เราก็ลดละกิเลส..ลงมาเรื่อยๆจนจิตมันไม่มีกิเลส.....โดยไม่เกิดขึ้นมาอีก...ก็พิสูจน์ได้ครับ(ในขณะปฎิบัติเราก็จะเห็นกิเลสมันลดลงๆๆๆๆๆมาเรื่อยๆอยู่แล้ว...ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ว่ามันสามารถหมดไปได้ในที่สุดนะครับ) จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:02:59

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อยังตกอยู่ใต้ความคิด ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมาย คนเราไม่ว่าจะนับถืออะไรล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจความคิดของตนเอง และธรรมชาติที่น่าตลกของความคิดคือ การขัดแย้งในตัวมันเอง พระเจ้า นิพพาน อาจพูดในแง่ที่ว่า มันเป็นภูมิปัญญาระดับสูงของมนุษย์ในรุ่นก่อนเราได้ไหม พระเจ้าไม่มี นิพพานไม่มี นั่นแสดงว่า ปัญญาของคนรุ่นก่อนหน้าเราที่ผ่านมาหลายรุ่นนั้น ไม่เอาอ่าว นิทานหลอกเด็ก อย่างนั้นใช่ไหม คำพูดของผมคงไม่มีน้ำหนักอะไร แต่ขอให้คุณทราบไว้ว่า ไม่ว่า พระเจ้า นิพพาน จะมีหรือไม่มี จะมีคนบางพวกที่ใช้เรี่ยวแรงและสติปัญญาเวลาของชีวิตทั้งหมด เพื่อเจาะทะลวงดำเนินวิถีตามเรื่องราวเฟ้อฝันพวกนั้น คนพวกนี้ไม่มีเวลามากพอจะโต้แย้ง ถกเถียง กับการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ เพราะวันเวลามันหมดไปวันๆกับการพิสูจน์ว่าเรื่องเล่าบรรพชน นี่ของลวงโลก หรือสงวนไว้เฉพาะผู้ที่สมควร ขอให้วันนี้สวยงามต่อไปนะครับ จากคุณ : koknam เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:06:29

ความคิดเห็นที่ 6 ท่าน โกวิทย์ "จิตเรา" ไม่มีในพุทธสาสนาครับ  มีก็แต่  จิต  ซึ่งเป็นไตรลักษณ์ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 12:08:14 จากคุณ : sinnerman เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:07:50

ความคิดเห็นที่ 7 นิพพาน  อธิบายง่ายๆว่า เป็นสภาวะ คือสภาวะสิ้นกิเลส หรือสิ้นทุกข์  ทำนองสภาพการหายหิว เมื่อกินอิ่มก็ย่อมหมดสภาวะหิว  เพราะฉะนั้นการพิสูจน์นิพพานก็คือทำให้ใจตนเองสิ้นกิเลส  ก็จะสิ้นทุกข์ นั่นคือเห็นนิพพาน (แต่จริงๆนิพพานไม่ใช่สภาวะ   เพราะนอกเหนือจากสภาวะทุกๆอย่าง) แต่พระเจ้า  มีลักษณะทำนองสิ่งที่มีจิตวิญญาณ ทำนองนั้น  ใช่ไหมละ  คล้ายๆพวกเทวดา คือ อาจจะทำนั่นทำนี่  ลงมาพูดกับคนนั้นคนนี้ บันดาลนั่นๆนี่ๆ  มีเจตจำนงต่างๆ ...  เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ของการมีอยู่ของ ๒ สิ่งนั้น ย่อมแตกต่างกัน ถ้าใครอยากจะพิสูจน์การมีอยู่จริงนิพพาน  ก็ชำระล้างใจของตนให้หมดจาก  โลภ  โกรธ หลง .. แต่ถ้าใครอยากจะพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้า  ทำไงละ   ให้ลงมาติดต่อ มาพูดคุย  หรือมาแสดงฤทธิ์อะไรต่างๆได้ไหม ?  ถ้าทำไม่ได้ แล้วไปเชื่อทำไมว่าพระเจ้ามีจริง? อย่างผมนี่  อยากจะให้พระเจ้าบันดาลทองคำบริสุทธิ์ให้ผมแค่ ๑ ตัน จะได้ไหม ?  ในเมื่ออ้างว่าพระเจ้าสามารถสร้างโลกที่ใหญ่โตมโหฬารได้ทั้งใบ  สร้างอะไรๆต่ออะไรอีกมาก   อิ่แค่สร้างทองคำให้ผมเพียง ๑ ตัน จะไม่ได้หรือ  แล้วผมจะเปลี่ยนใจมานับถือพระเจ้าทันที ตลอดไปเลย และจะชักชวนคนอื่นๆมาเชื่อด้วย  และจะแบ่งทองคำครึ่งหนึ่งคือ ๕๐๐ กก. ไปสร้างโบสถ์ให้คริสต์ สร้างสุเหร่าให้อิสลามด้วย  ถ้าพระเจ้ามีจริง  ลองแสดงฤทธิ์ออกมาสักนิดหน่อยซี  ขอแค่นั้นเอง  หรือพระเจ้าใจแคบ ?  ทำไมใจแคบ ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร  เพราะแค่บันดาลขึ้นมาเท่านั้น  ง่ายนิดเดียว .... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:16:00

ความคิดเห็นที่ 8 คนที่จะสัมผัสสภาวะนิพพานได้  มีเพียง พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา คือ พระโสดาบัน ขึ้นไปครับ ปุถุชนยังไม่มีใคร ก้าวไปถึงสภาวะนั้น เพราะเมื่อจิตไปรับรู้สภาวะนั้น จะละกิเลสเบื้องต้นได้สามประการ บรรลุเป็นพระโสดาบัน จิตใจจะไม่ตกต่ำลงอีก อย่างไรก็ดี ถึงจะยังไม่ก้าวไปถึงสภาวะนั้น แต่พระพุทธองค์ และ ครูบาอาจารย์ ท่านชี้ทางไว้ให้สามารถปฏิบัติตามได้ครับ ให้เราปฏิบัติและพิสูจน์ด้วยตนเอง อนุโมทนา จากคุณ : อาตาปี สัมปชาโน สติมา เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:20:31

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท..มีความเห็นอย่างไร กับ คห.. 7 โดยเฉพาะตอนที่ว่า...... "  ถ้าใครอยากจะพิสูจน์การมีอยู่จริงนิพพาน  ก็ชำระล้างใจของตนให้หมดจาก  โลภ  โกรธ หลง .. แต่ ถ้าใครอยากจะพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้า  ทำไงละ   ให้ลงมาติดต่อ มาพูดคุย  หรือมาแสดงฤทธิ์อะไรต่างๆได้ไหม ?  ถ้าทำไม่ได้ แล้วไปเชื่อทำไมว่าพระเจ้ามีจริง? อย่างผมนี่  อยากจะให้พระเจ้าบันดาลทองคำบริสุทธิ์ให้ผมแค่ ๑ ตัน จะได้ไหม ?  ในเมื่ออ้างว่าพระเจ้าสามารถสร้างโลกที่ใหญ่โตมโหฬารได้ทั้งใบ  สร้างอะไรๆต่ออะไรอีกมาก   อิ่แค่สร้างทองคำให้ผมเพียง ๑ ตัน จะไม่ได้หรือ  แล้วผมจะเปลี่ยนใจมานับถือพระเจ้าทันที ตลอดไปเลย และจะชักชวนคนอื่นๆมาเชื่อด้วย  และจะแบ่งทองคำครึ่งหนึ่งคือ ๕๐๐ กก. ไปสร้างโบสถ์ให้คริสต์ สร้างสุเหร่าให้อิสลามด้วย  ถ้าพระเจ้ามีจริง  ลองแสดงฤทธิ์ออกมาสักนิดหน่อยซี  ขอแค่นั้นเอง  หรือพระเจ้าใจแคบ ?  ทำไมใจแคบ ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร  เพราะแค่บันดาลขึ้นมาเท่านั้น  ง่ายนิดเดียว .... " ถ้าไม่รู้จะตอบยังไง จะชวน Carroth มาช่วยตอบ ด้วยก็ได้น่ะ.... จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:36:56

ความคิดเห็นที่ 10 คห. ๖.. ในการสื่อสาร...อะไรก็ตามหากเอาเบื้องปลาย..ปนกับ...เบื้องต้น(หมายถึงเรายังอวิชาอยู่ยังไม่ใช่พระอรหันต์...ก็ยังต้องมีเราครับ...คำว่าเราเอามาขยายคำว่า..จิตให้รู้ว่าจิตของเรานะครับ)..ก็จะ..เป็นอย่างที่ คห ๖ คิดปรุงแต่งไปตามสัญญาที่ได้ยินได้ฟังมานะครับ...จึงมีคำว่า...""จิตเรา" ไม่มีในพุทธสาสนาครับ  มีก็แต่  จิต  ซึ่งเป็นไตรลักษณ์".... หากเราไม่มี..อย่างที่ คห. ๖ ว่า.. เวทนา..ก็ไม่มี... สัญญา..ก็ไม่มี.. นิพพาน...ก็ไม่มี.. ธรรมทั้งปวง...ก็ไม่มี... ซึ่งเป็น..มิจฉาทิฐิครับ...เพราะองค์ธรรมใดๆก็ตามเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยครับ...ไม่ใช่..ไม่มี แต่หากบอกว่า... จิต...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. เวทนา...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. สัญญา...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. นิพพาน...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. ธรรมทั้งปวง...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. ตรงนี้ครับ...ถึงจะกล่าวถูกต้อง.. เพราะ...จิต..เวทนา...สัญญา..นิพพาน...ธรรมทั้งปวง...มีครับซึ่งเกิดจากเหตุและปัจจัย..ไม่ใช่ไม่มีครับ...มีแต่เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา..ครับ...(อ่านทำความเข้าใจดีๆนะครับ...เดียวจะหลงทางนะครับ) จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:59:12

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าทุกวันนี้คนเราจะนับถือศาสนาไหน "มันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เล่าอ้างมามันมีจริง หรือมันสามารถพิสูจน์ได้" แต่มันอยู่ที่วิธีการเผยแพร่ศาสนาของใคร "ฉลาด" กว่ากัน หรืออยู่ในที่ "ที่ได้เปรียบ" กว่ากัน ต่างคนก็ต่างยกความดีของศาสนาของตนมา แล้วต่างคนก็ต่างยกข้อเสียของศาสนาอื่นมา อย่างศาสนาคริสต์ ถามว่าทำไมคนนับถือเยอะ  ผมคิดว่า ถิ่นกำเนิดของศาสนาคริสต์อยู่ในจุดที่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ศาสนา คนกำลังต้องการที่พึ่งทางใจ อีกทั้งผู้นำศาสนาก็ฉลาดพอที่จะนำเสนอศาสนาที่ง่ายต่อการเข้าถึง ขอให้คุณเชื่อในพระเจ้า คุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการเมื่อเวลามาถึง เมื่อง่ายต่อการเข้าถึงแล้ว คนที่กำลังสับสนก็เลือกได้ง่ายว่าจะพึ่งอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  อีกทั้งวิธีการเผยแผ่ศาสนาของเค้าก็ทำได้อย่างฉลาด และเป็นการเผยแพร่เชิงรุกที่มุ่งหวังจำนวน มากกว่าคุณภาพ เนื่องมาจากศาสนาของเค้าเข้าถึงง่าย เข้าใจไม่ยาก ทำให้คนเลือกที่จะนับถือได้ง่าย ผิดกับศาสนาพุทธของเรา ที่มีความลึกซึ้งค่อนข้างมาก สำหรับคนทั่วไป อีกทั้งวิธีการนำเสนอให้คนนับถือ ก็มุ่งเน้นที่คุณภาพ(ความเข้าใจในศาสนา) มากกว่าปริมาณ การเผยแพร่ศาสนาก็มีวิธีการที่ "ไม่ฉลาดพอ" ที่จะทำให้คนหันมาสนใจศาสนาของเราเท่าที่ควร  นักบวชในศาสนาของเรา(พระสงฆ์) แทนที่จะเป็นคนดี แต่กลับมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับวงค์การสงฆ์เกิดขึ้นมากมาย พระบวชแล้วหวังจะมากอบโกย หรือคนไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว ก็อาจจะมาพึ่งใบบุญพระศาสนา ในการใช้ชีวิต โดยที่ไม่เน้นในการศึกษาพระธรรมมากพอ คนดีๆ จบการศึกษาสูงๆ มักจะบวชแค่ทดแทนบุญคุณบิดา-มารดา หรือบวชเพื่อสืบทอดพุทธศาสนา ไม่ค่อยมีใครบวชนาน หรือศรัทธาจริงจังถึงขั้นบวชนานๆ เต็มที่ก็พรรษาเดียว ผิดกับพระสงฆ์ของคริสต์ ที่มักจะเป็นคนที่มีการศึกษา ฝักไฝ่ในศาสนาของเค้า จนยอมสละชีวิตสุขสบายเพื่อมาเป็นพระสงฆ์ ทำงานให้ศาสนา อีกทั้งชีวิตพระสงฆ์ของคริสต์ ยังสุขสบายกว่าของพุทธเรา เพราะสามารถที่จะไปไหนมาไหนได้ ที่ไม่ผิดต่อหลักศาสนา ทำให้จุดนี้ในด้านความอยากนับถือ เค้าก็เหนือกว่าเรา ศาสนาพุทธของเรานั้นเป็นศาสนาที่ดีมาก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ละเอียดลึกซึ้ง ใช้ได้จริงในการดำเนิดชีวิต ไม่งมงาย มุ่งเน้นให้ศึกษาจนเข้าใจก่อนแล้วค่อยศรัทธา มีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางในการดำเินินชีวิต ฯลฯ ปล. ผมเป็นชาวพุทธที่มีภรรยาเป็นคาทอลิค ทำให้ผมรู้มาบ้างว่าศาสนาคริสต์เค้าเป็นยังไง แต่ความรู้ผมน้อยนิดนะครับ แต่ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนศาสนานะครับ ผมภูมิใจมากที่เกิดเป็นชาวพุทธเถรวาท ที่ยึดมั่นตามคำสอนของพระพุทธเจ้่า จะทำอย่างไรให้ศาสนาของเราเผยแพร่ออกไปได้ไกลกว่านี้ นักบวชของเรามีแต่คนเก่งที่ศรัทธาในศาสนาจริงๆ(เหมือนบรรดาพระฝรั่งหรือพระต่างชาติที่ปฏิบัติตนดีจริง ศรัทธาจริงๆ) ทุกวันนี้พระไทยหวังกอบโกยผลประโยชน์จากการเป็นพระมากเกินไป แล้วอย่างนี้ใครจะอยากมานับถือศาสนาพุทธละครับ ในเมื่อผู้เผยแพร่ศาสนายังเป็นอย่างนี้อยู่(พระดีๆก็มีเยอะนะครับ) เมื่อไหร่ชาวต่างชาิติเค้าถึงจะเข้าใจศาสนาพุทธเถรวาท ในแบบของเราชาวไทยซักที ผมว่างานนี้คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้างแล้วล่ะครับ ผมถึงไม่ค่อยตำหนิวัดธรรมกายมาก ถึงผมจะไม่นิยมในคำสอนที่ผิดเพี้ยนของวัดนี้ แต่ลูกบ้าในการเผยแพร่ศาสนาเค้าเยอะดี ก็เลยปล่อยๆเค้าไป    จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:07:27

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 7   การจะนิพานในชาตินี้เป็นเพราะกรรมในชาติที่แล้วใช่ไม่ครับ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:13:40

ความคิดเห็นที่ 13 เท่าที่ฟังๆดู....รู้สึกว่าพวกท่านๆจะ "เป็นอะไรกันมากเกินไป" หรือเปล่าคับ คืออยากจะถามกลับไปหน่อยนะคับ ให้พวกท่านๆเอากลับไปลองถามตัวเองดูอีกที ว่า....... ถ้าพระเจ้ามีจริง หรือ ไม่มีจริง......ชาวพุทธจะเดือนร้อนตรงไหนครับ ถ้านิพพานมีจริง หรือ ไม่มีจริง.....ชาวคริส-ชาวมุสริมจะเดือดร้อนตรงไหนครับ การที่ใครคนอื่นจะเป็นอย่างไร....ตัวท่านเองจะเดือดร้อนตรงไหนครับ ผมขอตอบให้ก็แล้วกันว่า.....มันเดือดร้อนตรงที่ความมีอัตราของตัวตนมากจนเกินไปนั่นเอง  เพราะพอคนอื่นมาบอกว่าเราโง่ ไปเชื่อเรื่องที่ไม่เป็นจริง เราก็ย่อมต้องโกรธแน่นอนใช่ไหมครับ ผมว่าทุกศาสนาน่าจะสอนว่า  "ทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ" ใช่ไหมครับ ผมขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน เป็นเรื่องของตัวผมเองเลย คือตัวผมบอกได้เลยว่า เป็นพุทธแท้ ศึกษา ฝึกฝน ปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ถาวร ภายในชาติอันใกล้นี้ ส่วนภรรยาของผมที่แต่งงานถูกต้องตามประเพณีจดทะเบียนอยู่กินมาด้วยกัน เธอเป็นคริสเตียนที่แข้มแข็งทั้งความเชื่อและการปฏิบัติตน (เป็นเหมือนท่าน คห.11 เลย....อิอิ) แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหาครับ ไม่ก้าวก่ายกัน(บ่นกันบ้างเรื่องกิจกรรมของแต่ละคน) มีการถกด้านปรัชญากันบ้างแต่สุดท้ายก็กินกันไม่ลงครับ เพราะต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ก็เลยอยากจะบอกว่า....เรื่องของคนอื่นก็ขอให้เป็นธุระของตัวเขาเองเถอะคับ ส่วนใครจะว่าไม่ดีอะไรให้เรา ก็อภัยให้เขาเถอะครับ พระเจ้าจะเป็นผู้ลงโทษ หรือ กรรมก็จะตามทันเขาไปเอง แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 13:28:03 จากคุณ : สามจาน เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:24:05

ความคิดเห็นที่ 14 มีใครเคยพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ --------------------------------------------------------------------------------------------        คำถามข้างบนนี้  ควร เป็นคำถาม รอง  หรือ คำถามทีหลัง คำถาม นี้                                   คำถามนั้น มีว่า "ผม (ผู้ถามคำถาม ตาม บรรทัดบน)  จะอาสัย อะไร ? อันจะทำให้ ผม  (ผู้ถามคำถาม) สามารถรู้ ตามที่เป็นจริงๆ "โดยไม่ต้องอ้างอะไร?" ว่า ---พระพุทธเจ้าพระองค์นี้  ตรัสรู้ว่า นิพพาน ตามที่ ตรัส  มี จริง ?  -- คือ อย่างนี้ๆๆๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------                                        ข้างบน ที่เสนอ                                                                                   เพราะ เวลา "ผู้นั้น" อ่าน คำตอบ ของ ใครก็ตาม  ที่ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้า  ที่ตอบคำถามที่ถาม "มีใครเคยพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ" + อ้างอิง  ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ --- จะได้ "สอบทานกับ ความรู้ของตนเอง เพราะ อาศัย อะไรนั้นแล้ว  แล้วรู้ ตรงตามที่ตรัสไว้  สอดคล้อง กับหลักฐานปฐมภูมิ คือตาม ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ที่ตรัสไว้ ---------------------------------------------------------------------------------------------                                   ผมเสนอ พอมีเหตุ มีผล รับฟังได้ ไหม? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:44:30

ความคิดเห็นที่ 15  ความคิดเห็นที่ 10    คห. ๖.. ในการสื่อสาร...อะไรก็ตามหากเอาเบื้องปลาย..ปนกับ...เบื้องต้น(หมายถึงเรายังอวิชาอยู่ยังไม่ใช่พระอรหันต์...ก็ยังต้องมีเราครับ...คำว่าเราเอามาขยายคำว่า..จิตให้รู้ว่าจิตของเรานะครับ)..ก็จะ..เป็นอย่างที่ คห ๖ คิดปรุงแต่งไปตามสัญญาที่ได้ยินได้ฟังมานะครับ...จึงมีคำว่า...""จิตเรา" ไม่มีในพุทธสาสนาครับ  มีก็แต่  จิต  ซึ่งเป็นไตรลักษณ์".... หากเราไม่มี..อย่างที่ คห. ๖ ว่า.. เวทนา..ก็ไม่มี... สัญญา..ก็ไม่มี.. นิพพาน...ก็ไม่มี.. ธรรมทั้งปวง...ก็ไม่มี... ซึ่งเป็น..มิจฉาทิฐิครับ...เพราะองค์ธรรมใดๆก็ตามเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยครับ...ไม่ใช่..ไม่มี แต่หากบอกว่า... จิต...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. เวทนา...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. สัญญา...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. นิพพาน...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. ธรรมทั้งปวง...ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา.. ตรงนี้ครับ...ถึงจะกล่าวถูกต้อง.. เพราะ...จิต..เวทนา...สัญญา..นิพพาน...ธรรมทั้งปวง...มีครับซึ่งเกิดจากเหตุและปัจจัย..ไม่ใช่ไม่มีครับ...มีแต่เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา..เป็นของๆเรา..ครับ...(อ่านทำความเข้าใจดีๆนะครับ...เดียวจะหลงทางนะครับ) จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์)   เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:59:12  : sinnerman ท่าน โกวิทย์ ใจเย็นก่อนครับ ข้อความข้างต้นเป็นท่านสรุปเอาเองแทนผม ก็ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มีครับ ถูกต้องแล้วเป็นธาตุ เป็นธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ตัว ตน บุคคล  เรา เขา ก็ "จิตเรา" ไม่มีในพุทธศาสนาไม่ถูกต้องเหรอครับ   เพียงแต่อย่าสรุปเกินไปจากนั้น ว่าอะไรๆก็ไม่มี จากคุณ : sinnerman เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:20:35

ความคิดเห็นที่ 16 เอาแบบชัดเจนนะ คนที่สามารถพิสูจน์ได้ จนเห็นว่านิพพานมีจริง ประจักษ์ชัดต่อสภาวะนิพพาน จะต้องเป็นผู้ที่บรรลุธรรมอย่างน้อย "ต้องเป็น พระโสดาบัน ขึ้นไป" จึงจะเห็นหรือสัมผัสกับนิพพานได้ *คนธรรมดาไม่เห็นครับ* จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:28:32

ความคิดเห็นที่ 17 สภาวะธรรมเป็นสิ่งที่ผู้นั้นจะรู้ได้เฉพาะตน เห็นได้ด้วยตนเอง *ที่จริงก็ทุกอย่างในโลกละ ต่างคนต้องรู้ด้วยตัวเอง ง่ายๆ 1. ถ้าคุณอยากพิสูจนน์ว่า แมว มีจริง คุณต้องเห็นด้วยตาคุณเอง คนอื่นเห็นแทนคุณไม่ได้ แต่ดูแล้วนำมาบอกเล่าได้ 2.ถ้าคุณอยากรู้ว่าเสียงเพลงมีจริง คุณต้องฟังด้วยตนเอง คนอื่นฟังแทน พิสูจน์แทนไม่ได้ แต่ฟังแล้วนำมาบอกเล่าได้ 3.มันไม่มีวันเป็น แมส แบบ "คนเดียวเห็น คนอื่นรู้ทั้งโลก" ถ้าคุณจะพิสูจน์แบบ แมส *คุณตั้งสมมุติฐานผิดครับ* เหมือนกับ คุณไม่สามารถ เอาสิ่งที่อยู่ในกรอบ มาพิสูจน์สิ่งที่อยู่นอกกรอบได้ จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:37:40

ความคิดเห็นที่ 18 จะพิสูจน์ "ได้" หรือ "ไม่ได้" มีพระเจ้า หรือ ไม่มีพระเจ้า สุดท้ายก็เถียงกันไม่จบสิ้นครับ เปล่าประโยชน์ ที่จะเอาชนะคะคานกันด้วยเรื่องนี้ จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:18:34

ความคิดเห็นที่ 19 "การที่ใครคนอื่นจะเป็นอย่างไร....ตัวท่านเองจะเดือดร้อนตรงไหนครับ" เค้าไม่เดือดร้อนหรอกและไม่ได้ต้องการเอาชนะด้วย เหตุที่เค้ามาวุ่นวายกับคุณ เพราะเค้ารักในเพื่อนมนุษย์ เค้าไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต้องตกนรก มันรู้สึกเศร้ามากเวลาได้ทราบข่าวคราวของเพื่อนต่างศาสนิกที่เสียชีวิตเพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่ได้รับความเมตตาจากพระองค์อีกแล้วและต้องอยู่ในนรกไปตลอดกาล จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:08:20

ความคิดเห็นที่ 20 ใจเย็นครับคุณมีดกรีดใจ ไม่้ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกครับ ที่จริงกระทู้นี้ไม่ใ่ช่กระทู้ให้ใครพิสูจน์อะไร แต่เพื่อนเตือนเรื่องมารยาทอันยอดแย่ ด้วยเหตุด้วยผลแต่ดูเหมือนลุงโขอยากจะเล่นเกมส์พิสูจน์ต่อ คุณ โขตาน ผมเข้าใจวิธีพิสูจน์ "พระนิพพาน การเวียนว่ายตายเกิด  กฏแห่งกรรมที่บังเอิิญถูกสร้างจากความว่าง"ของคุณลุงแล้วเป็นอะไรที่สุดยอดหน้าเชื่อถือมากเลยครับ ผมนึกว่าผมอ่าน หนังสือ ในร้านหนังสือ พวกหนังสือ ศาสนา หรือ อะไรทำนองนั้น ถ้าเรียกการตอบแบบนี้ว่าการ proveจริง ผมนึกสภาพไม่ออก ตอนไปแปะห้องหว้ากอ อยากให้ลองไปดู แต่คิดว่าคงไม่กล้า?จริงไหม?นี่ท้านะ? แต่ถ้าไม่กล้า ลุงอยากถอย ผมก็ให้อภัย ผมจะลืมเรื่องนี้  และเอยากให้ลุงทำตัวเรียบร้อย ผมไม่อยากบีบบังคับลุง เพราะคนห้องศาสนาเหมือนกัน ไม่อยากให้ไปทำอะไรขายหน้า คนยิ่งหนีห่างศาสนาอยู่แล้ว เจอวิธีพรูฟแบบนี้เข้าไป คงวิ่งหนีกันหมด ถ้าพอตอบ พอแก้เขิน กันเอง ก็พอได้  ส่วนเรื่องพิสูจน์พระเจ้านั้น มันไม่อยู่ในเกมส์นี้อยู่แล้ว ลุงจะเหวี่ยงอะไรก็แล้วแต่ลุง ผมไม่เล่นด้วย แต่ก็ผมก็ได้ข้อสังเกตุ สิ่งที่ลุงคิดถึงเมื่อคิดถึงพระเจ้าคือ"ทอง. ดูเหมือนลุงยังติด โลภะจริตอยู่มากนะครับ ลดๆหน่อยลุงอายุไม่น้อยแล้ว มันเอาไปด้วยไม่ได้ .. ปัญหาของพุทธศาสนิกคือ  การคิดว่าตัวเองเป็นศาสนาของปัญญา  ผมสังเกตุมานาน ทำไมถึงคิดเช่นนั้น เพราะคิดว่า พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ วาทกรรมนี้วัยรุ่นจะได้ยินกันบ่อย ดังนั้นจริงๆแล้ว วัยรุ่นส่วนใหญ่อย่างน้อยก็รุ่นผม  ถ้าไปจับถามว่า ทำไมถึงคิดว่าพุทธเป็นศาสนาของปัญญา คำตอบจะเหมือนกันคือ เพราะพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ พอ เกิดเหตุ  อย่างมงายในวิทยาศาสตร์เข้าไป สุดท้าย คนกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มแรกที่หัหมัีดมาทางพุทธเสียเอง ตกลงว่าจริงๆแล้วพุทธกี่คนที่ นับถือพุทธ? หรือ นับถือวิทยาศาสตร์? ผมว่าหลายคนห้องนี้ก็ควรจะถามตัวเอง และถ้าบอกว่าศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาไม่งมงาย ผมก็ถามว่าแล้ว ที่เชื่อว่า มีพระนิพพานมี การเวียนว่ายตายเกิดนั้น ใช้ปัญญา หรือใช้ศรัทธา หรือ ฟังเค้าเล่ามา ก็จะเงียบ เพราะตอบไม่ได้  เพราะถ้าบอกว่าไม่รุ้แต่เชื่อ ก็จะเข้าตัว เหมือนตอนทีตัวเองไปตีเรื่องพระเจ้า  เพราะไม่กล้าที่จะศรัทธา กลัวการศรัทธา และเอา คำว่าปัญญาบังไว้ แต่ปัญญาแกนๆที่ว่านั้น คือวิทย์โลกๆ จริงๆแล้ว ทุกศาสนามีปัญญาครับ และ ทุกคนที่ศรัทธาในศาสนา ไม่มีใครงมงาย ความงมงาย เกิดจากความเห็นที่ต่างกันแล้วซัดกัน  ทางความคิดเพื่อยกระดับตัวเอง  ดังนั้นทุกศาสนา ล้วนใช้ปัญญาในการเลือก อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นปัญญาที่เป็นปัจเจก ซึ่งสิ่งนี้เราเรียกว่าศรัทธา ผมคิดว่าคำนี้อาจจะยากไปด้วยซ้ำ กับ คนที่ตีหลักธรรมไม่ออกว่า อะไรคือ ความโลภ  อะไรที่การทำบุญด้วยความโลภ และมันต่างกันอย่างไร จนต้องทะเลาะกันเองค่อนประเทศ ทำศาสนาตัวให้ดี ทำตัวให้มีปัญญาที่เป็นปัจเจก เอาตัวเองพิสูจน์ศาสนา เข้าถึงธรรมแล้วเชิญชวน  นั่นคือสิ่งที่ผมจะสอนไว้ ไม่ใช่ทำตัว แย่ๆชวนทะเลาะไปวันๆ มาขอทองพระเจ้ายังกับขอทาน นั่นไม่ใกล้เคียงหลักธรรม อันดี หรือ มารยาทอันดีของศาสนาใดทั้งสิ้น ผมย้ำว่าการพิมพ์และการพูดของผม ไม่มีเรื่องของโทสะ  เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พยายามเรียบเรียงเพื่อให้เข้าใจปัญหาตรงกันให้มากที่สุด ไม่มีเรื่องส่วนตัว ไม่มีความเกลียด ผมไม่มีปัญหาอะไรกับลีอกอินที่นี่สักคน แม้แต่ คนที่บอกว่ามุสลิมไม่ใช่คนไทย  โกรธเกลียดไม่มีประโยชน์ แต่ ผมไม่ใช่อบการหนีปัญหา  ผมเลือกใช้ความขัดแย้งแก้ปัญหา อย่างสุภาพที่สุด อยู่ที่อีกฝั่งจะเลิกวางดาบหรือไม่แค่นั้น ขอให้พิจรณานะครับ ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง :D จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:27:04

ความคิดเห็นที่ 21 ปล.สุดท้ายที่จะฝาก ผมอยากเห็นฝั่งพุทธพูดว่า ผมศรัทธาในพระนิพพาน ในเวียนว่ายตายเกิด แม้ผมจะนำมาพิสูจน์ไม่ได้ แต่ผมใช้ปัญญาของผมพิจรณาเหตุปัจจัยแล้วทำให้ผมเชื่อเช่วนนั้น และผมอยากเชิญชวนคุณมาร่าวมทางกับผม ร่วมทั้งฝั่งพระเจ้า ผมศรัทธาในพระเจ้า  แม้ผมจะนำพระองค์มาให้คุณเห็ฯด้วยตาไม่ได้ แต่ผมใช้ปัญญาของผมพิจรณาเหตุปัจจัยแล้วทำให้ผมเชื่อเช่วนนั้น และผมอยากเชิญชวนคุณมาร่าวมทางกับผม ........... โดยยังเคารพในปัญญาและเส้นทางที่เลือกของกันและกัน คิดว่าห้องศาสนาจะน่าอยู่และเกรียนกันน้อยกว่านี้ อย่ากลัวที่จะบอกว่าศรัทธาครับ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องกลัว การศรัทธา จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:39:27

ความคิดเห็นที่ 22 บุคคลที่เจอ หรือได้รู้เห็น นิพพาน  นรก สวรรค์  ผี เปรต  เทวดา อดีตชาติ ...หรือสิ่งลึกลับต่างๆ อื่นๆ ฯลฯ... ในศาสนาพุทธมีมาเรื่อยๆ ทุกๆยุค ทุกๆสมัย ไม่เคยขาด  แม้ในยุคสมัยนี้ก็มี  แต่เขาไม่ค่อยโฆษณากัน  มักจะปิดเงียบ  รู้กันเฉพาะวงใน  แต่ถ้าใครเข้าไปในวงการนักปฏิบัติธรรม  ก็ไม่ยากที่จะเจอ  หรือได้มีโอกาสได้พบเห็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษต่างๆเหล่านั้น  และถ้าผู้นั้นได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง  โอกาสที่จะเจอด้วยตนเองก็มีมากขึ้น และจะเป็นการพิสูจน์ที่ดีที่สุดด้วย  ซึ่งก็คือการพิสูจน์จนเจอ จนประจักษ์ด้วยตนเองนี่แหละ  แต่ปัญหาคือ มีความยากมากๆที่จะทำได้  แทบทั้งหมดจะไม่มีความอดทนพอ ไม่มีความพยายามพอที่จะทำจิตให้ไปถึงระดับนั้นได้   การพิสูจน์ไม่ยากนัก  ถ้าผู้ต้องการจะพิสูจน์นั้น  ทุ่มเทความพยายามและสติปัญญามากๆหน่อย การพิสูจน์ด้วยการคิดๆๆ  หรือจินตนาการเอา  ก็ไม่มีทางเจอแน่ๆ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:04:09

ความคิดเห็นที่ 23 ครับลุงโข แต่วิชาบรรยาย ความหมายจบแล้วครับ ผมขออภัยถ้ามีท่าทีไม่สุภาพกับลุงแต่ขอให้ลุงพิจรณาเรื่องที่ผมเสนอไปด้วย ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:07:30

ความคิดเห็นที่ 24 สร้างภาพว่า เราๆ ท่านๆ นั่ง time machine ย้อนอดีตไป 2555 + 45 ปี แล้ว (๑) พบ พระอัสสชิ ก่อน ที่พระอัสสชิจะ พบอุปติสสะ สนทนากับท่าน ฯ   แล้ว ถามพระอัสสชิ ว่า --- ท่านพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคำตรัส ของพระพุทธเจ้า ได้ไหม ถ้าได้ คือ? อย่างไร? คำตอบ "บันทึกไว้ในเครื่องบันทึกเสียง" จากนั้น เราๆ ท่านๆ นั่ง time machine ย้อนอดีตไป (2555 + 45) - 543 ปี (๒) พบ พระเยซู คริสต์ สนทนากับท่าน ฯ แล้วถามท่านว่า  "พระเยซู คริสต์ เคย เห็น พระเจ้า" ไหมครับ?  เห็นเหมือนกับ  ทีผมเห็นพระเยซู คริสต์ ? (ใช้ ตาเนื้อ ที่ไม่บอด เห็น) คำตอบ "บันทึกไว้ในเครื่องบันทึกเสียง" จากนั้น กลับมา ที่โลก พ.ศ. นี้ 2555 หรือ 2555 -543 ฯ              ถ้ามี ชาวคริสต์ใด ถาม ชาวพุทธใดว่า (ไม่ได้นั่งไปด้วย) มีใครเคยพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ แล้วชาวพุทธ ย้อนถามก่อนตอบว่า มีใครเคยพิสูจน์ว่า พระเจ้ามีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ                          คำตอบ  ก็ มีแบบหนึ่ง  ใช่หรือไม่ แล้ว คำถามนั้น (ทั้ง ๒ คำถาม)  มีประโยชน์อะไร --- นอกจากจะเพลินถกเถียงกัน เพื่อ ????                                                     ทีนี้                      ถ้า ใคร เอาเทป นั้น มา เปิด ให้ ฟังทั้ง ๒ ฝ่าย คำตอบของพระอัสสชิก็ดี คำตอบของพระเยชู คริสต์ ก็ดี --- ผู้นั้นฟังแล้ว  ไม่ว่าจะอย่างไร?  เขาก็ ไม่ใช่  ผู้ที่ อยู่ในเหตุการณ์ตามสมมุติ แล้ว ยังไงต่อ ทำไม ไม่ พิจารณาว่า "ข้อความเหล่านั้น" (ผู้กล่าวยกไว้)  มีคุณมีประโยชน์ โดยประการทั้งปวง หรือไม่  (คือ สรุปลงมาที่ ความไม่เห็นแก่ตัว ในทุกๆ รูปแบบนั่นเอง) จะ ฉลาดน้อยไปเพื่ออะไร  ในการ ไม่สนใจว่า "คำกล่าวนั้น เมื่อพิจารณาโดยทั่วถึง คือเหตุ จะเกิด ผล คือ ---- นำพาชีวิตนั้น ไปสู่ผลที่ประเสริฐได้อย่างนี้ๆ" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:11:50

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านที่ลงเซนเขียนเข้าใจ *-* ผมเห็นด้วยกับลุงเซนทุกประการครับ (ถ้าผมแปลไม่ผิด) จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:15:48

ความคิดเห็นที่ 27 เบื่อหนังสือ เบื่อนิยาม เบื่อความหมาย เบื่อคนไม่อ่านหัวข้อกระทู้ อ่านหัวข้อกระทู้ กับรายละเอียดหน่อยครับ #26 แล้วช่วยเก็บไอ้คำบรรยาย กลับไปด้วย ปล.กำสงสัย 26 ไปเผลอพิมพ์เว็บไรป่าว หรือ ใส่คำหยาบหว่า หายเร็วเกิ๊น แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 21:38:01 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:34:04

ความคิดเห็นที่ 28 ด้วยความเคารพทุกฝ่ายนะครับ แต่ผมมองว่านี่เรากำลังโต้เถียงกันในเรื่องที่ไม่สามารถมีใครบอกได้อย่างเต็มปากว่า เห็นมาแล้ว สัมผัสมาแล้ว ด้วยเนื้อหนังมังสา หูตาจมูกปาก อยู่หรือนี่ ทำไมต่างฝ่ายต่างไม่หยุด แล้วกลับไปทำกิจศรัทธาในศาสนาตัวเอง โดยไม่ไปก้าวก่ายศาสนาอื่นกันล่ะครับ เช่นชาวพุทธก็ไปสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิให้จิตใจผ่องใส แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลกันไป คริสตชนก็ไปสวดภาวนา/อธิษฐานขอความสันติสุขจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  มุสลิมก็ดูอาหรือทำกิจศรัทธาที่พึงกระทำของพี่น้องล่ะครับ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าเราโต้เถียงกันในการมีอยู่ของพระเจ้า นิพพาน กรรม การเวียนว่ายตายเกิด เพื่ออะไรกัน "เอาชนะ" เหรอ? ถามว่า พุทธ ชนะแล้วได้อะไรครับ? ทำให้คนที่จิตใจศรัทธาในพระเจ้าหันมาเชื่อในพระพุทธศาสนาเหรอ? ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าชนะแล้วได้อะไรครับ? ทำให้คนที่ไม่เชื่อหันมาเชื่อพระเจ้าเหรอครับ?   ผมมองว่ามันไม่ใช่เลยนะครับ การที่จะมายกตนข่มท่านกันเพื่อผลแพ้ชนะเนี๊ยะ ผมว่าถ้าท่านศาสดาทั้งหลายมาเห็นว่าคนในศาสนาของท่านทั้งหลายต่างมาตีกันเพื่อชัยชนะจอมปลอม ทั้งที่การกระทำ คำพูดของแต่ละคนก็ไม่ได้ใกล้เลยกับแนวทางอันดีงามที่ท่านสอนไว้  พุทธสอนให้อย่าทำชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส นั่นคือไม่ข่นมัวทั้งใจ กาย รักษาศีลเพื่อให้บริสุทธิ์  ทางคริสต์ก็สอนให้รัก รักเพื่อมนุษย์เหมือนรักตัวเอง รักแม้กระทั่งศัตรู  ฟากอิสลาม ก็สอนให้มีสันติ เพื่อให้ทุกคนมีความเป็นภราดรภาพ มีสันติภาพระหว่างกัน ไม่มีใครดีกว่า สำคัญกว่า ใหญ่กว่า มีเพียงพระเจ้าสูงสุดเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 21:58:32 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 21:57:17 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 21:56:10 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 21:48:03 จากคุณ : Mana--Amen เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:43:47

ความคิดเห็นที่ 29 (ต่อจากด้านบนนะครับ) ผมเลยอยากรู้ว่า เราได้ทบทวนกันมั้ยว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่  การกระทำของเราดีงามแล้วเหรอครับ ไม่ต้องใช้กฏเกณฑ์อะไรมาวัดให้มากความหรอกครับ เอาแค่คำสอนในศาสนาของเราที่เรารัก เคารพนับถือ ที่เราศึกษาอยู่นี้แหละมาเป็นบรรทัดฐานของตัวเอง และไม่ต้องนำบรรทัดฐานนี้ไปวัดคนอื่น วัดเฉพาะตัวเองก่อนเถอะครับ  เผลอๆตัวเราเองยังไม่อาจผ่านมาตรฐานของคำสอนในศาสนาตัวเองเลย  พุทธก็คิดเสียอย่างนี้ซิครับว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นของตน กรรมของเขาทำให้เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงในพระศาสนาของเรา ไม่เข้าถึงในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทางผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็ขอให้คิดซะว่า เขาเหล่านั้นโดนมารร้ายปิดบังจิตใจไว้ ทำให้ไม่สามารถสัมผัสองค์พระผู้เป็นเจ้าได้  ไม่สามารถสัมผัสความรัก ความเมตตาของพระองคืได้ ซึ่งเราทำได้เพียงสวดอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้กับเขา ขอให้พระองค์เมตตาเขาให้มากๆ ให้พระองค์เปิดใจของเขา แต่หากเขายังขัดขืน ไม่ยอมรับพระองค์ อันนั้นคงต้องเป็นไปตามพระประสงค์ และพระเมตตาของพระองค์แล้วล่ะครับ  เราทำได้เพียงสงสารและสวดอ้อนวอนพระองค์ให้แก่เขา แค่แต่ละคนคิดแบบนี้ คิดตามแนวทางของตนเอง ผมว่าเรื่องทะเลาะกันคงไม่เกิด ส่วนคนที่ชอบยุยง ชอบสร้งประเด็นให้เกิดความแตกแยก พวกนี้น่าสงสารมาก เพราะจุดสุดท้ายของคนพวกนี้คือ "นรก" เพราะทางพุทธ การกระทำของเขาที่ทำให้เกิดความแตกแยก  ก็เป็นกรรมชั่ว เป็นการก่ออกุศลกรรม สุดท้ายก็ต้องชดใช้กรรม ส่วนทางผู้เชื่อในพระเจ้า ก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่พอพระทัยคนที่ทำให้เกิดความแตกแยก พวกชอบยุยง ไม่มีความรัก ไม่มีความสันติ ให้รอดพ้นหรอกครับ แต่พระองค์จะเมตตาเขามากน้อยแค่ไหน ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด เราก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เขาต้องทรมาณชั่วนิรันดรเลย สุดท้ายผมขอให้ทุกคนละวาง อัตตาของตนเองบ้าง เพราะก่อนที่เราจะไปเอาเศษฟางออกจากตาของคนอื่นนั้น เราได้เอาท่อนซุงออกจากตาเราแล้วหรือยัง? ขอความดีงาม/พระเจ้า/กรรมดี อะไรก็ตาม ตามแต่ท่านจะเชื่อจะศรัทธา อวยพร เกื้อหนุนคนที่มีจิตใจดีงามนะครับ ป.ล. ข้อความไม่ครบ เลยต้องแก้ไข แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 22:13:37 แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 22:05:11 จากคุณ : Mana--Amen เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:59:59

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าหากว่านิพพานคือละวางซึ่งความยึดมันถือมั่นได้ทั้งหมด ผมก็เชื่อว่ามี เพราะพอเริ่มชนะกิเลสบางอย่างที่เคยมีอยู่ได้  จิตใจก็สบายจากความที่ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อที่จะปรนเปรอกิเลสอันนั้น เมื่อก่อนน่ะเหรอ พอยังไม่ได้ ก็ร้อนรุ่มที่จะขวนขวาย พอได้มาแล้วเสียไปหรือไม่ได้อีกก็เป็นทุกข์  มีแต่ทุกข์ ยังไม่ถึงหรอกครับนิพพาน แต่พอปฏิบัติก็เริ่มๆจะเห็นฝั่งอยู่ไกลๆ  ประมาณนั้น เวลานั่งเรือไป พอเห็นฝั่งไกลๆ ก็รู้ล่ะครับ ฝั่งมัน"มี"อยู่ข้างหน้า   แต่อย่างว่า พอยังไปไม่ถึงก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆฝั่งมันเป็นไง 5555 ------------------------------------------------------------------------- แต่อย่าไปถามหาการพิสูจน์แบบแมสเลย เพราะธรรมะมันเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้ได้เฉพาะตน เป็นคุณลักษณะของมันแบบนั้นเอง การถามหาการพิสูจน์ธรรมแบบแมสไม่ต่างอะไรกับการถามหาวิธีบังคับไฟให้เย็น  มันทำได้ที่ไหน ธรรมชาติของไฟมันต้องร้อนอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 23:19:28 จากคุณ : omeg เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 23:12:44

ความคิดเห็นที่ 31 ขอตั้งข้อสังเกตนะคะ ในทางพุทธไม่ได้ให้เชื่อทันที แต่ควรมีศรัทธาก่อน ปฏิบัติได้ผลจริง จึงเชื่อ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของใครของมัน ทางคริสต์ จากที่เคยเป็นคริสเตียนอยู่ประมาณ 2 ปี ก็เริ่มจากมีศรัทธาก่อน อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน คุยกับพระเจ้าทุกวัน เมื่อมีประสบการณ์กับพระเจ้า ของใครของมันเช่นกัน แล้วจึงเชื่อ (ถูกผิดยังไงเพื่อนๆคริสต์ท้วงติงได้นะคะ )   ทั้งสองแบบเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้นจึงจะมีได้ เป็นเรื่องของปัจเจก แต่ละคนไป ใครไม่ปฏิบัติจะมาโต้เถียงอะไรก็คงไม่ได้ ทีนี้ ทางอิสลาม เราเข้าใจว่า อธิบายว่า พิจารณาแล้วจึงเชื่อ ใช่หรือเปล่า? ซึ่งการพิจารณานี้ ไม่ว่าจะยกหัวข้ออะไรมา กำเนิดโลก จักรวาล เวลา กำเนิดมนุษย์ มันก็จะมีคนสามารถเข้ามาร่วมพิจารณากับคุณได้  ก็ต้องไปเถียงกับหว้ากออีก ประจำแหละ มันเลยไม่เป็นปัจเจกสักเท่าไรนักน่ะค่ะ ขอถามด้วยเลยว่า มุสลิมพูดถึงเรื่องประสบการณ์กับพระเจ้าเหมือนทางคริสต์บ้างไหมคะ ? จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 23:18:10

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณ คุณแมวเก้าแต้มสำหรับ คำถามน่าสนใจมาก ผมไม่รุ้จะตอบอย่างไรดี คราวนี้รุ้สึกอยากขอตัวช่วยจากลุงแมทท์ในบางประเด็นแล้วซิโดยเฉพาะในเรื่องประสบการ์ณกับพระเจ้าที่จะตอบให้ง่าย แต่ผมจะอธิบายอย่างนี้ อิสลามเป็นศาสนาที่ใช้ศรัทธานำครับ เพราะ ถ้าเราใช้ปัญญานำ เรื่องบาางเรื่องที่เราไม่เข้าใจ เราก็จะไม่ทำตาม และ เรื่องบางเรื่องเราจะไม่สามารถใช้ปัญญาพิจรณาได้ถ้าเราไม่ศรัทธา มุสลิมทุกคนศรัทธาในพระเจ้า และ วจนะของพระองค์ อันถ่ายทอดมายังอัลกุรอานที่บอกว่าใช้ศรัทธานำ นั้น เพราะในอัลกุรอาน เองได้ให้แนวทางหลายเรื่อ่ง เกี่ยวกัรบข้อห้ามข้อปฏิบัิตในชีิวิต ที่บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจ แต่เราก็ทำ เพราะเราศรัทธาโดยไม่ต้องมาพิสูจน์อะไร เช่น  มุสลิมห้ามกินหมู     ....    ถ้าเอาเรื่องหมู มีประโยชน์หรือมีโทษมาเถียงกันทางวิทย์คงมีอะไร เกิดขึ้นในศาสนาอิสลามมากมาย แต่ทุกคนใช้ศรัทธา "โดยไม่ต้องพิจรณา"ในการปฏิบัิติตามร่วมกัน นั้นคือ ศรัทธาอย่างไรข้อสงสัย หลักการของอิสลาม คือ อ่านแล้วพิจรณาครับ นั่นคือ เมื่อท่านอ่านแล้ว ถ้าท่านศรัทธาท่านก็ศรัทธาถ้าท่านไม่ศรัทธา ต่อให้อ่าน เท่าไหร่ ท่านก็จะหยิบที่ประเด็นในหนังสือ มาหาถูกผิด มาพรุฟว่า ไม่จริง หรือ จริง ไม่ลวง  ไม่สิ้นสุด นั่นคือท่านไม่ศรัทธา จุดนี้เอง ทำให้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม เป็นเรื่องของ ปัจเจก  เมื่ออ่าน พิจรณาแล้ว ถ้าพระองค์เปิดใจ ท่านก็จะศรัทธา โดยไม่ต้องหาถูกผิดใดๆอีก จะเหลือเพียงการนำองค์ความรุ้แห่งสันตินั้นมาใช้ได้อย่างไร? ดังนั้น อัลกุรอาน จึงให้เราอ่าน และ พิจรณาครับ ถ้าพระเจ้าเปิดใจ เราก็จะศรัทธานั่นเอง ไม่ใช่ พิจรณาแบบ หยิบมาหั่นมาเทสกับวิทยาศาสตร์ ถึงแม้นักดีเบตทางศาสนายคุนี้จะชอบทำ แต่ผมไม่เคยเห็นด้วย  เพราะ เป็นการบอกว่า เราไม่เชื่อถือศาสนา แต่เราเชื่อถือวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลายๆท่านก็ทราบดีว่า วิทย เป็นทบ ที่ เปลี่ยนแปลงตลอด ตามความจริงชุดใหม่ๆ และ จะ ทบ เดิมจะถูกทำลายทันทีเมื่อเกิดความขัดแย้งกับ ทบขึ้น ท่านศาสดาเมื่อท่านเผยแผ่ศาสนา ท่านก็ไม่ได้ถือ หนังสือวิทย์กลศาสตร์ควอนตัมไปด้วยแต่ท่านอ่านอัลกุรอานให้ฟัง นั่นจึงควรเป็นสิ่งที่นักดีเบตสมัยนี้ควรทำมากกว่า ผมอาจจะพูดเรื่องศรัทธาและปัญญายังไม่ชัดนัก แต่ผมจะอธิบาย โดยผ่านเรื่องราวของผมดูอีกสักรอบ ถึงแม้ผมจะเกิดมาเป็นมุสลิม ได้เรียนศาสนามาพอสมควร แต่ผมไม่เคยศรัทธาจริงๆจังๆแต่เป็นเพียงศรัทธาแกนๆ ผมไม่แน่ใจด้วยซ้่ำาว่าพระเจ้ามีจริงหรือเปล่า เพราะผมได้รับคำสอนพิเรนๆหลายอย่างตอนเด็ก เมื่อผมโตขึ้น ถึงตอนนี้ ผมศรัทธาแล้ว จากอะไร? ตัวผมเองไม่ได้ศรัทธาอิสลามจากการพิจรณาอัลกุรอาน แล้วเห็นว่ามหัศจรรย์ ตรงกับวิทย์บลา บลา แต่เป็นเรื่องก่อนหน้านั่น ผมเป็นซอฟแวร์อินจิเนียนร์ ผมุร้ว่าการเขียนระบบหนึ่งมันยากขนาดไหน  ผมไปเที่ยวกลางทะเล ผมรุ้ศึกว่าทะเลมีชีวิต ดูทีวี ดูหนัง ผมเชื่อด้วยซ้ำว่าโลกมีชีวิต จักรวาลมีชีวิต มันสมดุลเกินไป ทุกอย่างเป็นสิ่งเดียว นั่นทำให้ผม กลับมาตั้งคำถามต่อศรัทธาในเรื่องผู้สร้าง ไม่รุ้อะไรพัดมาในห้องนี้ ผมเถียงกับมุสลิมที่นี้ทำให้ ผมได้รุ้จักอัลกุรอาน หลักธรรมจริงๆของอิสลาม และนั่นทำให้ศรัทธาผมสมบุรณ์ ไม่ใช่ศรัทธาแกนๆ อย่างผมเกิดมาเป็นอิสลาม หรือ อัลกุรอานเป็ฯวิทยาศาสตร์ และ ผมเองก็เชื่อว่า จริงแล้ว เราจะสามารถใช้อัลกุรอานได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าเราศรัทธาอย่างหมดใจ และ เราจะได้ความรุ้จากอัลกุรอาน มากมาย แต่จะเกิดไม่ได้ถ้าเราไม่ศรัทธา ครับ   บ่นยาว ตกลงยังไง ศรัทธาในอิสลามเป็นเรื่องของปัจเจกครับ อ่านแล้วศรัทธาก็คือศรัทธา ไม่ใช่การตัดตัวบทมาวัดถูกผิดด้วยความรุ้โลกๆ และถ้าใครทำแบบนั้น ก็เป็นวิธีที่ผิด และ จะย้อนกลับมาสุ่ศรัทธาของตัวเอง เมื่อชุดความรุ้ทางโลกเปลี่ยนไป   เรื่องประสบการ์ณกับพระเจ้า แบบคริสต์ ผมไม่รุ้นะ หรือ จะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ศรัทธาโดยไม่มีข้อสงสัย แล้วจะพบ ประสบการณํกับพระเจ้าเมื่ออ่านอัลกุรอาน ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนกับคำถามน่าสนใจครับ ปล.บางครั้งมันอาจสวยงาม ถ้าเราจะบอกตัวเองที่ขนาดเท่ากับฝงฝุ่นในเอกภพนี้ มีปัญญาพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้ คนบางคนเข้าใจจริง แต่คนบางคนก็หลอกตัวเอง แต่ถ้าเทียบกับความรุ้ทั้งหมดของเอกภพ เราไม่ได้ไปถึงไหนเลย. ผมพูดเสมอ ทำไมปลาว่ายน้ำได้แบบนั้น ยังหาคำตอบไม่ได้ การเปิดใจยอมรับว่ามีอะไรอยู่เหนือหัวเรา บางทีอาจทำให้ความอหังการเราลดลง และทำให้เราอ่อนโยนต่อมนุษย์ด้วยกันนะครับ การบ้าปัญญา บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดี  ให้ศรัทธานำบาง  บางครั้งอาจได้อะไรดีกลับไป แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 00:35:42 แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 00:32:22 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 00:16:22

ความคิดเห็นที่ 33 อย่าว่าแต่ พระนิพพาน เลยครับ แค่ให้หลุดจาก ผีสางนางไม้ คุณไสยฯ ขอหวย ยังหายากเลย เรื่อง "ความเชื่อ" พูดเถียงกันก็ไม่จบ ในโลกแห่งความเป็นจริง เอาให้เป็นคนดีของสังคม ก็เพียงพอครับ จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 08:08:39

ความคิดเห็นที่ 34 ประเด็น คำว่า ---  มุสลิมห้ามกินหมู                                              ถ้าจำไม่ผิด (๑) เคยมี ผู้รู้ตอบไว้ว่า  ข้อความในพระคัมภีรน์เรือง บริโภคเนื้อสุกร นั้น "ไม่ใช่ = ห้าม" แต่ ให้ ละเว้นโดยประการทั้งปวง  เพราะเหตุ  ตามที่ มีในพระคัมภีร์ --ทำนองนี้   (ผิด ตก ยก เว้น) (๒) แล้วคำไทย คำว่า ห้าม กับ คำว่าละเว้นโดยประการทั้งปวง   ต่างกัน ตรงไหน ---- มีหลายต่าง กระมังครับ   แต่ จะต่างแบบไหนๆ  ถ้า เนื่องกับ หลักธรรมในพุทธศาสนา ตามนิยามคำว่า ทิฏฐิปาทานแล้ว ----- หลายต่างนั้น  เหมือนกัน  ตรง อุปาทานในทิฏฐินั้น  ที่บุคคลนั้น กำลัง มีกิเลสชื่อนั้น                                                           สรุป ผมเสนอว่า การที่มุสลิม ไม่ทานเนื้อสุกร เพราะ "สมาทาน" (ถือไว้ด้วยความฉลาด + สัทธาในสิ่งนั้นว่า จะนำไปสู่ ผลที่ประเสริฐ) ตามที่บัญญัติไว้  ตามพระคัมภีร์ หรือตามที่ ศาสดาท่านบัญยัติไว้ แล้ว สมาทาน  ไม่เป็น อุปาทานหรือ? (ถ้า ชาวพุทธ ตั้งคำถามนี้)                                 คำตอบ  ควร ถูกฝาถูกตัว  กล่าวคือ หลักคำสอนแห่งศาสนาอิสลาม  (ภาษาที่พระเจ้าตรัสไว้ตามพระคัมภีร์)  มี คำได ที่ สอดคล้องกับ "สมาทาน - อุปาทาน"  ตาม พระพุทธวจนะของพระสาสดาแห่งพระพุทธศาสนา จากนั้น  จึง ค่อยมาถึง  "การให้เหตุผลว่า" ห้าม  กับ ละเว้นโดยประการทั้งปวง  (ภาษาไทย) หยั่งลงได้กับ คำว่า สมาทาน - อุปาทาน  แล้ว  เนื่องกับ คำในพระคัมภีร์ นั้น หรือไม่อย่างไร?                 (ประเด็นอื่นๆ  ควร มี ทิศทาง เช่นเดียวกับ "ห้ามกินหมู" ด้วย) เมื่อ สนทนา ด้วย  หลักการ แบบ ที่ผม ลองเสนอ ---- ก็น่าจะ ทำให้ ศาสนิกแห่งศาสนานั้นๆ  สื่อสารสนทนา ได้สาระ ที่กระชับ  นำไปสู่ ความเห็นที่ ตนเองไม่เดือดร้อน  ผู้อื่นไม่เดือดร้อน แล้ว ยังต้องตามด้วย  ทั้งตนเองและผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 08:41:23

ความคิดเห็นที่ 35 ความคิดเห็นที่ 31 ขอถามด้วยเลยว่า มุสลิมพูดถึงเรื่องประสบการณ์กับพระเจ้าเหมือนทางคริสต์บ้างไหมคะ ?   มีทั้งเหมือนและไม่เหมือน อิสลามจะมีพิเศษมาหน่อยตรงที่การพิสูจน์คัมภีย์โดยใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมู่ผู้มีการศึกษาสูงและมุสลิมใหม่   ลักษณะการเผยแพร่ศาสนาก็จะแตกต่างกัน มุสลิมจะเน้นไปที่การพิสูจน์คัมภีย์อัลกรุอานโดยใช้ความรุ้สมัยใหม่ วิธีได้รับความนิยมในยุโรป  ในประเทศไทยก็เริ่มมีบ้าง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 08:58:48

ความคิดเห็นที่ 36 อยากให้กิ๊ฟหลายท่าน(แต่กิ๊ฟหมด) ท่านที่กล่าวในกรณีไม่อยากให้มีการระรานกันระหว่างศาสนา ผมไม่นิยมคนประเภทนี้เลย โจมตีว่าร้ายศาสนาอื่น ยกตนข่มท่าน ทุกศาสนาดีและมีเหตุผลเป็นของตัวเองหมด ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราเป็นคนดี(ตอนเด็กๆเรียนหนังสือก็ท่องได้จนขึ้นใจ) คิดแค่นี้ก็จบแล้วครับ ไม่ต้องไปคิดร้ายระรานคนอื่น บาปก็จะไม่เกิดด้วย จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 10:00:35

ความคิดเห็นที่ 37 แหม ช่างกล้าเทียบ :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:07:55

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่มีทางพิสูจน์พระเจ้าได้นอกจากทางความเชื่อ ภาพผิดๆ ที่หลายคนมองเรื่องพระเจ้าแล้วไม่เข้าใจคือ เอาศาลภูมิไปเปรียบบ้าง เอาเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือเง็กเซียนในหนังจีนไปเปรียบบ้าง หมายถึงเอาทัศนคติของศาสนาอื่นๆ ไปเปรียบกับพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ แค่นี้หลายๆคนก็เกียงแล้วว่า   ไม่จริงเพราะขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาของท่าน พระเจ้าไม่มีจุดกำเนิด ก็ถามหาแต่ใครสร้างพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์ ก็เรียกร้องให้ทำโน่นทำเนี่ยที่ขัดแย้งกับพระลักษณะ พระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงพิพากษา พระคัมภีร์บันทึกการพิพากษาก็ว่าพระเจ้าฆ่าคน ...... การเรียกร้องให้พระเจ้าทำโน่นทำนี่ เหมือนกับที่มารท้าพระเยซูว่า ถ้าเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง ก็เสกก้อนหินให้เป็นอาหาร ถ้าเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง ก็กระโดดลงมาจากที่สูง คนทั้งหลายจะได้เห็นและเชื่อ ...... ศาลพระภูมิหรือเจ้าที่เจ้าพ่อหลายองค์ เวลาไปบน ก็จะบอกว่า ถ้าลูกช้างถูกหวยจะถวายหัวหมูหัว..(ติดสินบน) ผมไม่ตำหนิที่ใครจะเชื่ออย่างนั้น แต่นั่นไม่ใช่วิธีการของพระเจ้าที่สอนผม ในขณะที่บางศาสนาสอนว่า ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งเป็นคำสอนที่ดี แต่พระเจ้าของผมสอนว่า จงพึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง ในหลายๆกลุ่มความเชื่อ สอนว่าพึ่งพระเจ้าของเขาแล้วจะได้ดีมีสุข แต่พระเยซูสอนว่า ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก... พระเจ้าแค่รับรองจะอยู่ด้วยในทุกๆสถานการณ์ และพระองค์จะคอยช่วยเสมอ พระเจ้าของคริสเตียนจึงเป็นเจ้านายของเราด้วย เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นปุโรหิต ผมมีประสบการณ์ได้รับอุบัติเหตุ ตั้งแต่เพิ่งเป็นคริสเตียน ปากแตก เงือกฉีก หน้าเสียโฉม..เลือดไหลเปอะไปหมด ขณะที่มีคนพาผมส่ง รบ. ผมไม่มีความเจ็บปวดใดๆเลย มีแต่สันติสุขคุ้มครอง ตอนนั้นความรู้เรื่องพระเจ้าก็นิดหน่อย ทำไมพระเจ้าให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แต่ผลที่ได้คือ ผมรู้ว่า พระเจ้ามีจริง และทรงฤทธิ์ รักและพร้อมจะช่วยผมเสมอ อาจจะเป็นเรื่องโง่ที่ผมเชื่อพระเจ้า แต่ที่ผมรู้แน่ๆ พระเจ้าทรงรักผมเพียงพอ และใส่ใจในทุกๆเรื่องของผม *** ผมไม่มีปัญญาจับพระเจ้ามาใส่หลอดแก้วแ้ล้วพิสูจน์ แต่ผมสามารถเล่าเรื่องที่พระเจ่้าทรงกระทำกับผมได้ *** ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน ในความรักของพระเยซูคริสต์ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:35:57

ความคิดเห็นที่ 39 คคห 38 ไม่มีทางพิสูจน์พระเจ้าได้นอกจากทางความเชื่อ ููู^^^^ ไม่จริง ก็ได้ครับ จริงอย่างไร? ขึ้นกับว่า พระเจ้า (ที่ยังไม่เกี่ยวกับความเฃื่อนั้น)  ตาม ที่ผู้นั้น กำหนดหมายอย่างไร?  ด้วย อะไร ที่เป็นเครื่องกำหนด ในทางพุทธศาสนามีคำว่า ตาเนื้อ (มังสุจักขุ) กัย ปัญญาจักษุ (ตาปัญญา) ตาเนื้อ -- เช่น อุปติสสะ (คือพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้อขวา) เห็นธรรมของอาจารญสัญชัยว่า ใช่ ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม ---- แต่ ยังมีอะไรคาใจ มั๊ง ตาปัญญา -- คือ เมื่อ ตาเนื้อเห็นพระอัสสชิ พระอรหันต์ รุ่นแรกสุด ๆ เกิด ??? เข้าไปหา นั่งใกล้ ฟัง คาถาพระอัสสชิ เกิด พอใจ ความหมายแห่งคำเหล่านั้น  ฯลฯ สรุป พระเจ้า คือ ?  ขึ้นกับ  "ผู้สังเกตุการณ์ผู้นั้นว่า  มี ตาอะไร สังเกตุการณ์" -------------------------------------------------------------------------------------------- ประเด็น ตั้งแต่เพิ่งเป็นคริสเตียน ฯ ปากแตก เงือกฉีก หน้าเสียโฉม..เลือดไหลเปอะไปหมด ขณะที่มีคนพาผมส่ง รบ. ผมไม่มีความเจ็บปวดใดๆเลย ผมใช้มือขวาวิดน้ำในเรือไม้ต้นตาลขุด (มีเสี้ยน) อย่ามีสติแต่ พลาด คือ วินาทีก่อนที่เสี้ยนตางจะทิ่มในเล็บมือขวา -- ตา ใจ มันรู้ว่าจะเกิด อะไรขึ้นแต่ หยุดไม่ทัน ตามด้วย  เห็นเสี้ยนตำในเล็บเรียบร้อยแล้ว ทุกขเวทนา อาจ ต่ำกว่า ความเจ็บปวด -ปากแตก เงือกฉีก หน้าเสียโฉม..เลือดไหลเปอะไปหมด -- ซึ่ง แบบนั้น "ร่างกาย จะ ชา คือ ไม่รู้สึก ทุกขเวทนาทางกายนั้น  ด้วยกลไกทางอณูเคมีชีวะ อย่างอัตตโนมัติ ตามสามัญสัญชาติญาณ " ฯ (ผมมีเพื่อเป็นหมอที่อเมริกา ฯ เคย เม้ากันในเรื่องร่างกายฯ) ไม่ปฏิเสธว่า ยิ่ง มีจิต ไป จดที่ สิ่งที่ฉันทะพอใจอย่างสูงคือ "สิ่งใดนั้น" ธรรมชาต้รู้สึก ก็จะไป focus ที่ สิ่งหนึ่งเดียวนั้น  ก่อนละไปเรื่องอื่นๆ  (กำหนดเป้น ขณะๆๆๆๆ ) ดังนั้น การอ้างอิง สิ่งใด เ้พื่อรองรับอะไร ตาม "นี้เป็นความจริงของข้าพเจ้า"  จึงควร ไม่ประมาท โดยประการทั้งปวง ฯลฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 21:20:13

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับ ท่านเซน ที่ให้โอกาสผมอธิบายเพิ่ม ประการแรก ถ้าพระเจ้าเป็นเรื่องการ ปรุงแต่งของจิต ดังนั้นประสบการณ์ในฤทธิ์เดชควร เกิดกับคนที่มีศรัทธามาก หรือเป็นเวลานาน เหมือนคนฝีกสมาธิยิ่งฝีกยิ่งเก่ง แต่เหตุการณ์นั้น เป็นการเทฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อคุ้มครองความเชื่อและจิตวิญญาณ และมีหลายครั้งที่ผมมีประสบการณ์ ซึ่งพระเจ้าเทความสุขแบบที่เราอธิบายไม่ได้ หลายครั้งเราแทบกระโดดโลดเต้น ในสันติสุขนั้น ซึ่งในสิ่งที่เกิดขี้นนั้น ของผมมักเกิดตอนอยู่คนเดียว ประการสองเหตุการณ์นั้น ผมต้องนอนหยดน้ำข้าวต้มเลยทีเดียว ใช้เวลามากกว่า 1 เดือนจึงกลับมาปกติ ผมต้องกลับไปพักที่บ้านต่างจังหวัด (มันไม่ใช่อุบัติเหตุเล็กๆ มีคนตายมากกว่า 20 คน และบาดเจ็บสาหัสมากกว่า 50 คน) หลังจากนั้น หมอก็นัดไปตรวจ พอว่ามีเศษกระดูกอเไรไม่รู้ตำค้างในเหงือกอยู่ (ผมต้องตัดเหงือกบางสวนทิ้งไป) หมอจึงนัดผ่าตัดในวันพฤหัสต่อไป ผมกลัวมาก(ถ้าใครต้องหยดน้ำข้าวต้มเป็นเดือน จะกลัวการผ่าตัดที่ปากมาก) พอดีวันพุธ ที่โบสถ์มีประชุมอธิษฐาน ผมก็ไปโบสถ์ เป็นการไปประชุมอธิษฐานครั้งแรก ของผม พอกลับจากโบสถ์ หลังจากอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน จำได้ว่าผมจะเข้าไปล้างหน้านอน พออ้าปากดูกระดูกที่มันทิ่มฝังอยู่ มันก็ค่อยๆเลื่อนหลุดมาเอง ทั้งๆที่สัปดาห์ที่แล้วหมอพยายามใช้ครีมดึงไม่ออก นอกจากนี้ผมยังเป็นโรคหอบหืด หรือภูมิแพ้ ต้องกินยาประจำ ช่วงฤดูหนาวต้องทานติดต่อกันทุก 4 ชั่วโมงก็ว่าได้ (ยาจะประคองร่างกายไว้ได้แ่ค่ 4 ชั่วโมง) เรื่องนี้ ผมต้องอธิษฐานมาก แต่ตอนนี้ผมไม่ได้กินยานี้มากว่า 10 ปีแล้ว ผมเชื่อว่า ทุกศาสนามีเรื่องการอัศจรรย์ โดยเฉพาะศาสนาที่มีพระเจ้า พวกเขามักเหล่าอ้างการอัศจรรย์เสมอ เป็นไปได้ไหม ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากพลังจิตใต้สำนึก ผมว่าเป็นไปได้ และมันจะอธิบายได้ทั้งเชิงวิทยาศาสตร์และปรัชญา แต่ประสบการณ์ของผม ผมไม่สามารถปฎิเสธว่ามีพระเจ้าได้ พระเจ้าของผม ไม่ได้ตอบคำอธิษฐานเฉพาะเมื่อผมซื่อสัตย์เท่านั้น บางครั้งผมหลงเข้าไปในความผิดบาป บางครั้งทำบาปจนละอายไม่กล้าอธิษฐาน แต่พระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานที่ไม่กล้าขอ เพราะพระเจ้าทรงต้องการเพียง ให้ผมมีจิตสำนึกผิด และให้พยายามปรับปรุงตัวเอง ผมเชื่อเช่นนั้น ที่ผมเล่านี้เป็นประสบการณ์ธรรมดาๆ ที่คริสเตียนหลายๆคนยืนยันได้เช่นเดียวกับผม ท่านเซน คงเคยฝีกฝนทางธรรมของท่าน อยากให้ท่านลองเล่าผลของการปฎิบัติว่า ได้ผลอะไรบ้าง มิใช่ท้าทายนะครับ อยากให้เราลองเล่าผลการฝีกทางธรรมของแต่ละคนดู จะได้เป็นพระพรต่อซึ่งกันและกัน และเราจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องไปโจมตีหลักข้อเชื่อของคนอื่นๆ ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆท่าน ในความรักของพระเยซูคริสต์ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 22:48:25

ความคิดเห็นที่ 41 นิพพานจะไม่มีจริง ก็ช่างหัวมันเถิดครับ กลับกัน ถ้าพระเจ้าจะไม่มีจริง หรือพระพุทธเจ้าจะไม่มีจริง ก็ช่างหัวท่านเถิดครับ :) จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 03:18:16

ความคิดเห็นที่ 42 คคห 40 อย่า เอาอะไรๆ ของตนเอง เป็นศูนย์กลางจักรวาลใดใด หรือ เอกภพใดๆ  = ไม่ประมาทว่า เรา นั้น หาใช่พระเจ้า พระองค์จริงแท้ ใดนั้น (ไม่ว่าจะ มีจริง หรือไม่มีจริง)   ไม่ งงนะครับ คือ ประสบการณ์ของคุณเกลือจืด  ย่อมจริงตามนั้น รวมทั้ง เชื่อมโยงไปถึงพระเจ้าด้วย ข้อนี้ ผมไม่มีหน้าที่ ที่จะ ปฏิเสธ  ว่า ไม่จริง (แม้นจะยังไม่ใช่ ความจริงของผมเอง เช่นเดียวกันกับความจริงของบุคคลนั้น --------------------------------------------------------------------------------------------- ท่านพุทธทาส กล่าวถึง พระเยซู คริสต์ไว้ ในวาทะธรรมหนึ่งว่า ในเรื่องนี้ (เกี่ยวกับภิกษุในพุทธศาสนา ว่าด้วยการปฏิบัติธรรมฯ) พระเยซูสอนไว้ดีมากว่า การถือศีลปฏิบัติอะไร  (ตามที่ท่านสอน + อ้างพระคัมภีรื --- ในวงเล็บ ผมเพิ่มเองเพื่อ สัญญาตรงกัน) อย่าให้ใครรู้ ถ้าเขาจะเกิดรู้เข้า ก้ทำไม่ให้เขารู้ ------------------------------------------------------------------------------------------- ไม่ทราบว่า พระเยซู คริสต์ ท่านตรัสสอนไว้ในที่ไหน สมัยใด แก่ใคร ถ้าใครทราบ ช่วยเสนอด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------- ท่านเซน คงเคยฝีกฝนทางธรรมของท่าน อยากให้ท่านลองเล่าผลของการปฎิบัติว่า ได้ผลอะไรบ้าง                                          จะถูกฝาถูกตัวหรือครับ อุปมา ห้องนี้คือ แอ่งน้ำใหญ่ ----   เราๆ ท่านๆ คือฝูงปลา นานา มีหลาย ศักยภาพ ฯ บก เนื่องกับ  นิพพาน  เนื่องกับ พระเจ้า ปลาที่ไม่เคยขึ้นบก  ย่อม ไม่มี ประสบการณ์ เกี่ยวกับ บก  ที่เนื่องกับ พระเจ้า - นิพพาน ฉันใด  ก็ น่าจะ ฉันนั้น  กระมัง วันหนึ่ง  มีเต่า (พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ"  ลงมา ที่แอ่งน้ำแห่งนี้  (แห่งอื่นๆ ก้ น่าจะฉันนั้นด้วย) เต่า เล่าเรื่องบก  เรื่องพระเจ้า เรื่อง นิพพาน คุณเกลือจืด ผม  คือ ปลาที่ไม่เคยรู้เรื่องบก เรืองพระเจ้า เรื่องนิพพาน --- ที่  ฟังเต่า คนละตัวกัน  (ตามเหตุปัจจัย) ผม ลอง ทำตามที่เต่า ว่าไว้ คือ อานาปานสติสมาธิ ฯลฯ (พระพุทะเจ้าตรัสสรรเสริญอานาปานสติ) ส่วนคุณเกลือจืด จะปฏิบัติอย่างไร ยกไว้  (แต่ คงไม่ใช่ แบบที่ผมปฏิบัติ) คุณเกลือจืด ให้ผมเล่า อานาปานสติ ไม่ว่า ภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติที่ผมคลำเอาเอง โดยอาสัยคำบางคำในปริยัตินั้น  คือเหตุ  ผลย่อมตามมา คือ มีประสบการณืตามสมควรแก่ เหตุปัจจัน ในการปฏิบัติ ผมจึง เสนอว่า ---  จะถูกฝาถูกตัวหรือครับ ไม่ งง นะครับ แล้ว ผมก็  อ่านเจอทีหลัง  ที่ท่านพุทธทาส กล่าวถึง พระเยซูสอนไว้ดีมากว่า การถือศีลปฏิบัติอะไร  (ตามที่ท่านสอน + อ้างพระคัมภีรื --- ในวงเล็บ ผมเพิ่มเองเพื่อ สัญญาตรงกัน) อย่าให้ใครรู้ ถ้าเขาจะเกิดรู้เข้า ก้ทำไม่ให้เขารู้ ผมรู้สึกว่า "พระเยซู คริสต์ ท่านกล่าวได้ ถูกต้องดีแล้ว จริงๆ ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:52:01

ความคิดเห็นที่ 43 This room full of foolish. จากคุณ : DurianToffee เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 18:13:19

ความคิดเห็นที่ 44 เจ้าของกระทู้ตั้งคำถาม น่าสนใจดีครับ มีใคร(ในโต๊ะศาสนาพันทิป) เคยพิสูจน์ว่า พระนิพพานมีจริง ด้วยตัวเอง โดยไม่อ้างคนอื่นบ้างครับ ? จากคุณ : deedang เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 23:58:03

ความคิดเห็นที่ 45 ทำไมไม่ไปถามพระที่ท่านปฏิบัตแต่กลับมาถามคนเล่นเว็บบอร์ด? คนเห็นพระนิพพานจะมาเล่นเว็บบอร์ดมั๊ย หวังว่าคราวนี้คงตรงหัวข้อนะครับ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 07:26:02 จากคุณ : ....... (Rattanapreug) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 07:02:14

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณท่านเซนมากครับ ผมยินดีสนธนากับปราชญ์ผู้ศรัทธาในทางเลือกที่ต่างกัน ถ้าผมเป็นเสมือนหนึ่งแมว ที่ไม่เคยลงน้ำ ส่วนท่านเซนเป็นเหมือนปลาที่อาศัยในน้ำ ผมคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดในน้ำจึงหายใจได้ เรื่องศาสนาเป็นในแนวทางนั้น ต่างคนต่างก็อ้างว่าตนถูก แต่แทนที่ผมเสมือนแมว จะโจมตีปลาว่าโกหกที่ว่าหายใจในน้ำได้ หรือปลาจะว่าแมวโกหก ที่หายใจเมื่ออยู่บนบกได้ ผมจึงเสนอว่า ใหัทุกๆคน พยายามเล่าส่วนที่ดีของศาสนาของตน แบ่งปันพระพร หรือสิ่งที่ดีที่ได้จากการปฎิบัติธรรมตามศรัทธาของตน เผยแพร่คำสอนที่ดีของศาสนาของตน ดีกว่าที่จะมานั่งโจมตีซึ่งกันและกัน ขอพระพรเป็นของผู้แสวงหาธรรมทุกๆท่าน ในความรักของพระเยซูคริสต์ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 04:19:53