PANTIP.COM : Y12015817 เหตุผลว่า ทำไมธัมมชโยปาราชิก :) []

เหตุผลว่า ทำไมธัมมชโยปาราชิก :)

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑

อาการแห่งอวหาร
อาการ ๕ อย่าง

[๑๒๒] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง
คือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา
๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑
ถุลลัจจยาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือทรัพย์
อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อยได้ราคาเกินกว่า ๑
มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว
ต้องอาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑
ทุกกฏาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ ทรัพย์
อันผู้อื่นหวงแหน ๑ มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ ทรัพย์มีค่าน้อย ได้ราคา ๑ มาสก
หรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ๑ ไถยจิตปรากฏขึ้น ๑ ภิกษุลูบคลำ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหว ต้อง
อาบัติทุกกฏ ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑

...

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ บรรทัดที่ ๖๖๑๑ - ๖๖๕๐. หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๕๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6611&Z=6650&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=122

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:04:43

ความคิดเห็นที่ 1

โอณิรักขวิภาค

[๑๑๗] ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้
ภิกษุมีไถยจิตจับต้องทรัพย์นั้น มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ
ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ บรรทัดที่ ๖๓๓๖ - ๖๕๘๑. หน้าที่ ๒๔๖ - ๒๕๖.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6336&Z=6581&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=90

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:13:25

ความคิดเห็นที่ 2

เจ้าอาวาส เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

...

(1) กรณีมีนักวิชาการด้านกฎหมาย ได้พิมพ์หนังสือกฎหมาย โดยให้ความเห็นว่าเจ้าอาวาส มิใช่เจ้าพนักงานตามความในกฎหมายอาญา ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องหาว่าเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต หนังสือดังกล่าวได้พิมพ์แจกวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

ดังนั้น รองอธิบดีกรมการศาสนา (นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์) เห็นว่าควรจะได้มีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และอธิบายกฎหมายให้เจ้าอาวาสได้เข้าใจโดยถูกต้องว่า เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การที่มีนักวิชาการด้านกฎหมาย พิมพ์หนังสือแจกไปยังวัดต่างๆ ว่า เจ้าอาวาสไม่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา คงจะเบื้องหลังอันเกี่ยวกับรูปคดี เพื่อหวังให้ได้รับโทษน้อยลง หรือจะได้พ้นจากความผิด ดังนั้น รองอธิบดีกรมการศาสนา จึงได้ร่วมปรึกษาหารือกับผู้เขียน เพื่อจัดพิมพ์หนังสือ "เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา" ขึ้น

...

3. การแต่งตั้งเจ้าพนักงาน
เจ้าพนักงาน ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย คือ ต้องมีกฎหมายระบุถึงวิธีการแต่งตั้งไว้ และได้มีการแต่งตั้งถูกต้องตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งอาจเป็นกฎหมายเฉพาะหรือกฎหมายทั่วไปก็ได้ จึงอาจแบ่งเจ้าพนักงานออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

3.1 ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งโดยกฎหมายระบุเฉพาะ
กฎหมายที่ระบุการแต่งตั้งเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ อาจระบุถึงตัวผู้ได้รับการแต่งตั้ง หรือระบุองค์การ และให้ผู้ที่สังกัดอยู่เป็นเจ้าพนักงาน เช่น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 ระบุให้ผู้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยวัจกร เป็นเจ้าพนักงาน และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชน และครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 27 บัญญัติให้ "ผู้พิพากษาสมทบเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ"

"ข้อ 4 ในกฎมหาเถรสมาคมนี้ พระสังฆาธิการ หมายถึง พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ ดังต่อไปน
1. เจ้าคณะใหญ่
2. เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค
3. เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด
4. เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ
5. เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล
6. เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส "

ตามกฎมหาเถรสมาคม ได้ระบุให้ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสจนถึงเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ เป็นตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ การที่ตำแหน่งดังกล่าวจะมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายจะต้องมีการดำเนินการแต่งตั้งตามระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ เช่น ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อ 6 ข้อ 26 และข้อ 27 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการบัญญัติไว้ว่า

"ข้อ 6 พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งตามข้อ 4 ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังต่อไปนี้
1. มีพรรษาสมควรแก่ตำแหน่ง
2. มีความรู้สมควรแก่ตำแหน่ง
3. มีความประพฤติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย
4. เป็นผู้ฉลาดสามารถในการปกครองคณะสงฆ์
5. ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพไร้ความสามารถหรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคเรื้อน หรือเป็นวัณโรค ในระยะอันตรายจนเป็นที่น่ารังเกียจ
6. ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยลงโทษในอธิกรณ์ที่พึงรังเกียจมาก่อน
7. ไม่เคยถูกถอดถอนหรือถูกปลดจากตำแหน่งใด เพราะความผิดมาก่อน "

"ข้อ 26 พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้
1. มีพรรษาพ้น 5 และ
2. เป็นผู้ทรงเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของบรรพชิต และคฤหัสถ์ในถิ่นนั้น "
"ข้อ 27 ในการแต่งตั้งเจ้าอาวาส นอกจากพระอารามหลวงในตำบลใด ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล เจ้าสังกัด ถ้าไม่มีรองเจ้าคณะอำเภอ ไม่มีรองเจ้าคณะตำบล ให้เจ้าคณะอำเภอเลือกเจ้าอาวาสในตำบลนั้นรวมกัน ทั้งหมดไม่น้อยกว่า 3 รูป ร่วมกันพิจารณาคัดเลือกพระภิกษุผู้มีคุณสมบัติตามข้อ 6 และข้อ 26 แล้ว ให้เจ้าคณะอำเภอรายงานเสนอเจ้าคณะจังหวัดเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง" กรณีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 37(2) "เจ้าอาวาสมีหน้าที่ปกครองบรรพชิตที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัด" ดังนั้น จึงถือได้ว่าเจ้าอาวาสดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์

เมื่อได้รับแต่งตั้งตามขั้นตอนกฎมหาเถรสมาคมดังกล่าวแล้ว เจ้าอาวาสก็มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา กรณีพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์อยู่ก่อนนี้ ให้ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ และมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาเช่นเดียวกัน

...

http://www.pantown.com/group.php?display=content&id=13657&name=content22&area=

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:28:53

ความคิดเห็นที่ 3

อนุโมทนาสาธุครับ เขาเชื่องมงาย ว่าเจ้าสำนักเขามาจาก ดุสิตบุรีครับ

จากคุณ : กุ๊กเทวดา

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:55:20

ความคิดเห็นที่ 4

การจัดการศาสนสมบัติวัด
โดย อุดมพร พลดี หัวหน้ากลุ่มศาสนาสถานและศาสนสมบัติ
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ธานี

...

การจัดการศาสนสมบัติของวัด

ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ วัดในพระพุทธศาสนาเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ดังนั้น กิจการและทรัพย์สินของนิติบุคคล ซึ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกครองดูแลก็คือ เจ้าอาวาสจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมายคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๑๑) ข้อ ๖ “ให้เจ้าอาวาสจัดให้ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่ายและคงเหลือ ทั้งนี้ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแลให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและถูกต้อง” และข้อ ๘ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กำหนดแบบทะเบียน บัญชี แบบสัญญา และแบบพิมพ์อื่นๆ และให้คำแนะนำการปฏิบัติแก่วัด เกี่ยวกับการ ดูแลรักษาและการจัดการศาสนสมบัติของวัด ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้” โดยกฎกระทรวงข้อนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้กำหนดแบบพิมพ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อให้วัดใช้ดังต่อไปนี้
๑. ทะเบียนทรัพย์สินของวัด
๒. ทะเบียนทรัพย์สินจัดประโยชน์
๓. ทะเบียนผู้เช่าหรือผู้อาศัย
๔. แบบสัญญาต่าง ๆ
๕. บัญชีรับจ่ายเงิน
๖. บัญชีงบปี
๗. ใบเสร็จรับเงิน
๘. กระดาษเขียนแผนผังวัด

ดังนั้น ตามข้อ ๘. ดังกล่าว ตามที่กำหนดไว้ยังขาดบัญชีที่จำเป็นต้องใช้คือ สมุดเงินสดและบัญชีแยกประเภท เพราะกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ ข้อ ๕. “การเก็บรักษาเงินของวัดในส่วนที่เกินสามพันบาทขึ้นไป ให้เก็บรักษาโดยฝากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือฝากธนาคาร ทั้งนี้ให้ฝากในนามของวัด” ต่อมาสำนักงาพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแบบบัญชีขึ้นอีก ๒ เล่ม คือ
๑. สมุดเงินสด
๒. บัญชีแยกประเภท

ดังนั้น แบบบัญชีที่วัดจำเป็นต้องมี
๑) สมุดเงินสด
๒) บัญชีแยกประเภท
๓) บัญชีรับจ่ายของวัด
๔) งบปีแสดงรายรับรายจ่ายและเงินคงเหลือสำหรับปี

ทะเบียนที่วัดจำเป็นจะต้องมี
๑) ทะเบียนทรัพย์สินของวัด
๒) ทะเบียนทรัพย์สินจัดประโยชน์
๓) ทะเบียนผู้เช่าหรือผู้อาศัย

การจัดทำบัญชีวัดนั้น
๑. วัดจะต้องแยกเงินของวัดออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.๑ เงินผลประโยชน์ ได้แก่เงินที่ได้มาจากการจัดประโยชน์ของวัดเช่น เงินค่าเช่า ค่า
ผาติกรรม ดอกเบี้ย ส่วนลด เงินค่าบำรุง เงินค่าขายสิ่งของ เงินค่าชดเชยเงินค่าปรับและเงินใดๆ ที่เป็นส่วนที่งอกเงยขึ้นจากศาสนสมบัติของวัด
๑.๒ เงินการกุศล ได้แก่เงินที่มีผู้บริจาคเจาะจงการกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น บริจาคเป็นค่าภัตตาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าก่อสร้างถาวรของเจ้าภาพเงินบำรุงพระอาพาธ และเงินอื่นๆ ในลักษณะเช่นนี้
ส่วนเงินงบใดที่มีผู้บริจาคให้แก่วัดเพื่อให้ตนได้มาซึ่งสิทธิในการแสวงหาประโยชน์จากวัด จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ต้องนับว่าเป็นเงินผลประโยชน์ของวัดทั้งสิ้นและผู้ใดจะอ้างเอาจำนวนเงินที่ตนบริจาคทำบุญกับวัดมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนหรือเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแลกเปลี่ยน เพื่อให้ตนได้มาซึ่งสิทธิในการแสวงหาผลประโยชน์จากวัดหาได้ไม่ เช่น การขอลดค่าเช่า ค่าบำรุงจากการเช่าที่วัด เพราะอ้างว่าผู้นั้นเคยทำบุญกับวัดมามาก)
การรับเงินผลประโยชน์และเงินการกุศลวัดจะต้องออกใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง ทุกรายการ เมื่อออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ชำระเงินแล้ว วัดจะออกใบอนุโมทนาอีกต่างหากหรือไม่ก็แล้วแต่ทางวัดจะเห็นสมควร ใบเสร็จรับเงินให้ใช้ตามแบบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
๒. เงินผลประโยชน์ของวัด ให้วัดเก็บไว้ได้ ๓,๐๐๐ บาท เป็นอย่างมาก ส่วนที่เกิน ๓,๐๐๐
บาท ไปเท่าไร ให้ฝากไว้กับธนาคาร
ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ในการทำใบนำส่งฝากแต่ละคราวก็ดี ให้ระบุชื่อบัญชีว่า “เงินของวัด.........................” ห้ามฝากในนามบุคคล หรือระบุชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในกรณีที่ฝากเงินไว้กับธนาคารให้ระบุชื่อผู้มีอำนาจถอนเงินไว้อย่างน้อย ๓ คน คือ
๑) เจ้าอาวาส
๒) ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ที่เจ้าอาวาสแต่งตั้ง
๓) ผู้ที่เจ้าอาวาสเห็นสมควร
แต่การสั่งจ่ายให้ลงนามในเช็คสั่งจ่ายพร้อมกัน โดยมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง จึงจะถอนเงินได้

...

http://sni.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=110:2009-10-15-14-50-42&catid=41:2008-10-29-14-40-50&Itemid=75

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:57:28

ความคิดเห็นที่ 5

...

หมวด 4
นิคหกรรมและการสละสมณเพศ

มาตรา 24 พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรมก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุก็ต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย

มาตรา 25 ภายใต้บังคับมาตรา 24 มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคมกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมจะกำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
ให้มหาเถรสมาคมหรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตำแหน่งใดเป็นผู้มีอำนาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินับกับทั้งการกำหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้นใดๆ นั้นด้วย

มาตรา 26 พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด ให้ได้รับนิคหกรรมให้สึก ต้องสึกภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น

มาตรา 27 เมื่อพระภิกษุรูปใดต้องด้วยกรณีข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) ต้องคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 ให้รับนิคหกรรม ไม่ถึงให้สึกแต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น
(2) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
(3) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง
(4) ไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามวรรคสอง ต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยนั้น

มาตรา 28 พระภิกษุรูปใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต้องสึกภายในสามวันแนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

มาตรา 29 พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมหรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้

มาตรา 30 เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น

...

http://www.songbr.org/main/god/prb_all.htm

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:55:42

ความคิดเห็นที่ 6

.

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:58:46

ความคิดเห็นที่ 7

กรรมวิถีทางกระบวนการยุติธรรมกับคดีวัดพระธรรมกาย
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12006550/Y12006550.html

:)

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:04:05

ความคิดเห็นที่ 8

.

จากคุณ : venture

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:10:52

ความคิดเห็นที่ 9

ภาพดังกล่าว ไม่ได้ใช้เป็นหลักฐานว่าไม่ต้องปาราชิก

คุณVentureเคยเห็นภาพพระนิกรหรือไม่?

อย่านะครับ ผมขอเตือน พูดเอาไว้ในฐานเข้าใจได้

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:27:20

ความคิดเห็นที่ 10

ภาพที่คุณโพสต์นั้น หักล้างพระลิขิตขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ได้หรือ

ผมยกเหตุผลมาให้ดู ให้ศึกษา เชื่อหรือไม่เชื่อนั้น
ก็รอดูเรื่องนิคหกรรมที่ธัมมชโยไม่ยอมรับ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะจัดการเมื่อใด

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 16:47:04

ความคิดเห็นที่ 11

ความคิดเห็น ที่ 5 อ้างถึง

หมวด 4
นิคหกรรมและการสละสมณเพศ

ลองพิจารณา คนที่พยายายามดำเนินการ ทำนิคคหกรรม กับหลวงพ่อธัมมชโย
ในกรณีที่เกิดขึ้นจริง

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:14:13

ความคิดเห็นที่ 12

...

๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๒
นายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคม ยื่นฟ้องนิคหกรรมให้สึกธัมมชโย ต่อพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุม วัดมูลจินดา โดยระบุโทษว่าบิดเบือนพุทธธรรม อวดอุตริมนุสธรรม และยักยอกทรัพย์

...

๑๙ ตุลาคม ๔๒
ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้พิจารณาความเห็นของพระพรหมโมลีอีกครั้ง และมีมติออกมาว่า ฆราวาสฟ้องพระได้ และให้เจ้าคณะจังหวัดปทุม ทำหนังสือเรียกตัวธัมมชโยมารับฟังข้อกล่าวหาในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๔๒ และอายัดบัญชีเงินฝากเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

...

๓ พฤศจิกายน ๔๒
สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ กล่าวเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ร่วมทั้งผู้พิจารณาตามขั้นตอนการปกครองคณะสงฆ์ ให้ถือประโยชน์บ้านเมืองเป็นหลัก ใครถูกว่าไปตามถูกใครผิดว่าไปตามผิด โดยไม่ต้องเกรงใจพระผู้ใหญ่

๙ พฤศจิกายน ๔๒
ธัมมชโยมอบหมายให้นายวีระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้ามูลนิธิธรรมกาย พร้อมด้วยพระปลัดสุธรรม สุธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และพระอีก ๗ รูป นำหนังสือคัดค้านมามอบให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยบอกว่า ธัมมชโยจะไม่มารับฟังข้อกล่าวหาตามกฎนิคหกรรมในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๔๒ เนื่องจากผิดขั้นตอนและถือว่าได้จบสิ้นไปแล้ว

๑๐ พฤศจิกายน ๔๒
ตัวแทนวัดพระธรรมกาย ได้รับมอบหมายให้นำหนังสือปฏิเสธการเดินทางมาพบเจ้าคณะหวัดปทุมธานี โดยอ้างว่าผู้กล่าวหาทั้งสองถูกกลั่นแกล้งจากเรื่องนิคหกรรมที่เสร็จสิ้นเด็ดขาดไปแล้ว

๑๒ พฤศจิกายน ๔๒
นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ เข้านมัสการพระพรหมโมลี และนำเอกสารสรุปสำนวนสั่งฟ้องกฎนิคหกรรมเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีไปถวาย แต่พระพรหมโมลีส่งกลับคืน โดยบอกว่าเอกสารที่ส่งมาไม่ครบ โดยไม่บอกว่าที่ขาดคืออะไร

...

๑๖ พฤศจิกายน ๔๒
สาวกวัดพระธรรมกาย จำนวน ๓๐๐ คน ชุมนุมเรียกร้องให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พิจารณาทบทวนคำสั่งปลดพระครูปทุมกิจโกศล โดยก่อนหน้านี้ ๑ วัน ศิษย์วัดพระธรรมกายอีก ๑๕๐ คน ได้ยื่นหนังสือประท้วงคำสั่งปลดเจ้าคณะตำบลต่อพระสุเมธาภรณ์ แต่ไม่พบจึงไปพบที่วัดเขียนเขต

๑๗ พฤศจิกายน ๔๒
พระครูปทุมกิจโกศล ส่งหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการถูกสั่งพักตำแหน่งไปยังอธิบดีกรมการศาสนา โดยอ้างว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และขอให้ทำเรื่องเข้าบรรจุในวาระประชุม มส. ๑๗ พฤศจิกายน ๔๒ และได้ส่งหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังนายชวน หลีกภัย อีกด้วย

๑๘ พฤศจิกายน ๔๒
ที่ประชุม มส. ไม่ได้นำเรื่องวัดพระธรรมกายบรรจุเป็นวาระการประชุม ต่อมาในบ่ายวันเดียวกัน สาวกวัดพระธรรมกายยกขบวนมาชุมนุมขวางคำสั่งปลดพระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งออกจากตำแหน่ง ที่วัดชนะสงคราม และต่อมาได้เกิดเหตุระเบิดที่ลานจอดรถหน้าคณะ ๒ วัดชนะสงคราม เวลา ๒๐.๔๐ น. ทำให้รถยนต์เสียหาย ตำรวจสันนิษฐานเบื้องต้นว่าเป็นการข่มขู่พระผู้ใหญ่ในวัด

๑๙ พฤศจิกายน ๔๒
สมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาให้กำลังใจสมเด็จพระมหาธีราจารย์ที่วัดชนะสงคราม อันเนื่องมาจากกรณีที่วัดถูกวางระเบิด ส่วนทางด้านศาล ได้มีการสืบพยานโจทก์นัดแรกในคดีที่นายไชยบูลย์ สิทธิผล และนายถาวร พรหมถาวร เป็นจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จำเลยทั้ง ๒ ปฏิเสธ นายสนธยา โพธิ์แดง จึงได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนพิจารณาไปวันพุทธที่ ๑๒ มกราคม ๔๒

๘ ธันวาคม ๔๒
พระพรหมโมลีนัดหมายให้พระสุเมธาภรณ์ พระเทพสุธี รองเจ้าคณะภาค ๑ มาประชุมร่วมกัน พระสุเมธาภรณ์กล่าวว่า พระพรหมโมลีให้จัดทำนิคหกรรมให้ดีงาม ถ้าทำไม่ดีไม่ถูกจะตกนรก ที่ผ่านมา ทำดีแล้วไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ส่วนทางด้านตำรวจได้ขออนุมัติ จับกุมนายบัณฑูรย์(เบญจ์) บาระกุล และกำลังพิมพ์หมายจับ โดยจะส่งหมายจับและประกาศจับไปยังศูนย์ย่อยของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ

๙ ธันวาคม ๔๒
นายไพบูลย์ เสียงก้อง กล่าวหลังจากที่ประชุม มส. ว่า วันนี้ไม่มีการพิจารณาปัญหาวัดพระธรรมกาย แต่ได้หารือนอกรอบกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรณีที่พระพรหมโมลีนัดประชุมวันที่ ๗ ธ.ค. ว่า พระพรหมโมลีได้ให้พระสุเมธาภรณ์ไปรวบรวมรายงาน และตรวจความถูกต้องของคำพิจารณา จากนั้นให้ส่งรายงานมาทางกรมการศาสนา เพื่อเข้าที่ประชุม มส. และได้ขอให้เปลี่ยนคำว่า 'บกพร่อง' ในคำพิจารณาของคณะผู้พิจารณาขั้นต้นมาเป็นคำว่า 'ไม่สอดคล้อง' แทน

๑๐ ธันวาคม ๔๒
พระปริยัติวโรปการ รักษาการเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง มีคำสั่งที่ ๑/๒๕๔๒ ให้ธัมมชโยพักจากตำแหน่งเจ้าอาวาส กรณีถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีอาญา ตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๔๒ เป็นต้นไป

...

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:40:57

ความคิดเห็นที่ 13

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๖ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖
จุลวรรค ภาค ๑

...
...

ทำตามปฏิญาณเป็นธรรม

[๖๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การทำตามปฏิญาณเป็นธรรมอย่างไร
ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์ หรือภิกษุ ๒-๓ รูป หรือภิกษุรูปเดียว
โจทเธอว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิก เธอกล่าวอย่างนี้ว่า ถูกละ คุณ ผมต้องอาบัติ
ปาราชิก สงฆ์ปรับเธอด้วยอาบัติปาราชิก การปรับอย่างนี้ ชื่อว่าทำตามปฏิญาณ
เป็นธรรม
ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ...
ภิกษุต้องอาบัติถุลลัจจัย ...
ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ ...
ภิกษุต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ...
ภิกษุต้องอาบัติทุกกฏ ...
ภิกษุต้องอาบัติทุพภาษิต สงฆ์ หรือภิกษุ ๒-๓ รูป หรือภิกษุรูปเดียว
โจทเธอว่า ท่านต้องอาบัติทุพภาสิต เธอกล่าวอย่างนี้ว่า ถูกละคุณ ผมต้องอาบัติ
ทุพภาสิต สงฆ์ปรับเธอด้วยอาบัติทุพภาสิต การปรับ อย่างนี้ ชื่อว่าทำตาม
ปฏิญาณเป็นธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ทำตามปฏิญาณเป็นธรรม ฯ

...

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๖ บรรทัดที่ ๘๓๕๘ - ๘๓๘๑. หน้าที่ ๓๕๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=6&A=8358&Z=8381&pagebreak=0

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:55:41

ความคิดเห็นที่ 14

แม้ภิกษุรูปเดียวโจทธัมมชโยตามปฏิญาณเป็นธรรม ว่าธัมมชโยปาราชิก คุณจะเชื่อไหมครับ?
ทำไมธัมมชโยไม่มา

กรุณาอ่านพระลิขิตฉบับที่๑ ๒ และ๓ ก่อน

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:03:41

ความคิดเห็นที่ 15

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๖ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖
จุลวรรค ภาค ๑

วิธีทำปัพพาชนียกรรม

[๘๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลปัพพาชนียกรรม
พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้วพึงให้
พวกเธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึง
ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาทำปัพพาชนียกรรม
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและ
พระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลว
ทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย
เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายถูกภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว
เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่
แล้ว สงฆ์พึงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพ-
*พสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ
ไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี นี้เป็นญัตติ

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและ
พระปุนัพพสุกะเหล่านี้เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลว
ทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย
เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายถูกภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว
เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุ
พวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระ
อัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี การทำปัพพา-
*ชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรี
ว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด

ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้เป็นผู้ประทุษ
ร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุ
เหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายถูกภิกษุ
เหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย สงฆ์ทำ
ปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จากชนบท
กิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ ไม่พึงอยู่ในชนบท
กิฏาคีรี การทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพ-
*พสุกะจากชนบทคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึง
อยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด

ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้
ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความเลวทรามของภิกษุ
เหล่านี้ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายถูก
ภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย
สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จาก
ชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ใน
ชนบทกิฏาคีรี การทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระ
ปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ
ไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง
ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด

ปัพพาชนียกรรม สงฆ์ทำแล้วแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระ
ปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพ-
*สุกะไม่พึงอยู่ในชนบทกิฏาคีรี ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้า
ทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๖ บรรทัดที่ ๑๐๔๓ - ๑๐๙๓. หน้าที่ ๔๕ - ๔๗.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=6&A=1043&Z=1093&pagebreak=0

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:14:33

ความคิดเห็นที่ 16

แม้ภิกษุรูปเดียวโจทธัมมชโยตามปฏิญาณเป็นธรรม ว่าธัมมชโยปาราชิก คุณจะเชื่อไหมครับ?
ทำไมธัมมชโยไม่มา
************************************

เจ้าของกระทู้ เป็นภิกษุหรือ ถ้าเป็นฆราวาส การโจทย์นั้นต้องโจทย์ต่อหน้า

อาจารย์ หรือ อุปัชฌาย์ ถ้าไม่มีอาจารย์ หรือ อุปัชฌาย์ ต้องโจทย์ต่อหน้าสงฆ์

เพื่อให้จำเลย ได้แก้ต่าง

หากจำเลย ไม่รับปฏิญญา ว่าผิดตามที่กล่าวหา จะปรับอาบัติเลยไม่ได้

ให้ใช้ สัมมุขาวินัย พิสูจน์ความจริง

แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 19:45:13

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:43:50

ความคิดเห็นที่ 17

การโจทย์ ข้อหา ปาราชิก

ต้องโจทย์ต่อหน้าสงฆ์

เพื่อให้จำเลย ได้แก้ต่าง

หากจำเลย ไม่รับปฏิญญา ว่าผิดตามที่กล่าวหา จะปรับอาบัติเลยไม่ได้

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:46:12

ความคิดเห็นที่ 18

ความเป็นธรรม ในการโจทย์ ต้องเป็นไปตาม สัมมุขาวินัย

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:47:43

ความคิดเห็นที่ 19

ดังนั้น ใครจะมาเขียนหนังสือ หรือ ทำจดหมาย ส่งไปยังจำเลย แล้วบอกว่า พระคุณเจ้า ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ด้วยเหตุอย่างนี้ หรือด้วยข้อกล่าวหาอย่างโน้น แม้จะมีหลักฐานเป็นคดีความก็ตาม
ข้อนี้ ไม่เป็นไปตาม สัมมุขาวินัย หนังสือโจทย์ หรือ จดหมายโจทย์นั้น ให้ถือเป็น โมฆะ
การโจทย์ปาราชิก ด้วยข้อหา ยักยอกทรัพย์นั้น ไม่ได้เป็นความผิดซึ่งหน้าเหมือนกรณีเสพเมถุน การพิจารณาโทษ ต้องจบกระบวนการ สัมมุขาวินัย ผ่านมติสงฆ์ทั้งสิ้น

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:53:24

ความคิดเห็นที่ 20

ท่านสรุปพระลิขิตขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เช่นนั้น

ใจจริงท่านไม่ได้คิดมาแต่ต้นหรอกว่าเป็นโมฆะ แต่เป็นอย่างอื่น

กล้าพูดมาตรงๆไหม ท่านAkALiKo23 ?

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:57:03

ความคิดเห็นที่ 21

การโจทย์ ข้อหาปาราชิก
ที่เป็นการใส่ร้ายภิกษุอื่น โดยอาศัยความเห็นส่วนตัว
และไม่กระทำตาม สัมมุขาวินัยบัญญัติ

ทำใมจึงถือว่าเป็นการใส่ร้าย นั่นก็เพราะ...
ไม่ทำต่อหน้าจำเลย
ไม่ผ่านมติสงฆ์
ไม่ทำต่อหน้าบุคคลที่เกี่ยวข้อง ( เช่น โจทย์ร่วม หรือ จำเลยร่วม ที่1 ที่2 เป็นต้น)
ไม่ทำต่อหน้าวัตถุพยาน
ไม่วินิจฉัยตามธรรม วินัย (เช่น องค์แห่งอทินนาทาน หรือ อาการแห่ง ปาราชิกาบัติ)

ข้อกล่าวหานั้น เรียกว่า สัมมุขาวินัยปฏิรูป

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:00:48

ความคิดเห็นที่ 22

ท่านสรุปพระลิขิตขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ เช่นนั้น

ใจจริงท่านไม่ได้คิดมาแต่ต้นหรอกว่าเป็นโมฆะ แต่เป็นอย่างอื่น

กล้าพูดมาตรงๆไหม ท่านAkALiKo23 ?

พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช กล่าวถูกต้องตามธรรมวินัย เป็นโอวาทที่ชอบ
ด้วยเหตุ และผล

แต่พระลิขิตไม่ได้ระบุว่า.... พระธัมมชโย คือผู้ต้องปาราชิก

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:03:54

ความคิดเห็นที่ 23

ผมว่าคุณกำลังงงหรือเปล่าครับ นิคหกรรมนะครับ
อยู่ดีๆก็โผล่เรื่องระงับอธิกรณ์ ลามไปเรื่องสัมมุขาวินัย

หรือผมเข้าใจคุณผิด ?

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:08:59

ความคิดเห็นที่ 24

ใน คห.22 นั้น ออกทะเลแล้วครับ
ที่พูดชัดนั้น ท่านพูดเรื่องไหน รู้ไหมเอ่ย?

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:12:13

ความคิดเห็นที่ 25

การตัดสินโทษ ปาราชิก ห้ามเรียกว่า ถูกลงโทษด้วย นิคคหกรรม

ทำใมถึงห้ามลงนิคคหกรรม หลวงพ่อธัมมชโย ในข้อหาปาราชิก

หลักพื้นฐานในการลงนิคคหกรรม

สงฆ์สามารถลงนิคคหกรรมได้เฉพาะแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี
คือ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏและทุพภาสิตเท่านั้น

ไม่สามารถลงแก่ อาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส เพราะภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว

ส่วนภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสต้องไปอยู่กรรม
ตามกฏระเบียบที่ปรากฏแล้วในปาริวาสิกขันธกะและสมุจจยขันธกะ

กรณีต้องโทษปาราชิก ต้องเรียกว่า อธิกรณ์
และถ้าหากเป็นอธิกรณ์ ต้องผ่านกระบวนการ สัมมุขาวินัย
ถ้าไม่เป็นไปตามสัมมุขายวินัย ก็จะเรียกว่า สัมมุขาวินัยปฏิรูป ดังที่กล่าวแล้ว

การโจทย์ ข้อหาปาราชิก
ที่เป็นการใส่ร้ายภิกษุอื่น โดยอาศัยความเห็นส่วนตัว
และไม่กระทำตาม สัมมุขาวินัยบัญญัติ

ทำใมจึงถือว่าเป็นการใส่ร้าย นั่นก็เพราะ...
ไม่ทำต่อหน้าจำเลย
ไม่ผ่านมติสงฆ์
ไม่ทำต่อหน้าบุคคลที่เกี่ยวข้อง ( เช่น โจทย์ร่วม หรือ จำเลยร่วม ที่1 ที่2 เป็นต้น)
ไม่ทำต่อหน้าวัตถุพยาน
ไม่วินิจฉัยตามธรรม วินัย (เช่น องค์แห่งอทินนาทาน หรือ อาการแห่ง ปาราชิกาบัติ)

ข้อกล่าวหานั้น เรียกว่า สัมมุขาวินัยปฏิรูป

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:13:32

ความคิดเห็นที่ 26

ปาราชิกไม่ต้องด้วยเรื่องนิคหกรรมครับ
ตกลงคุณจะพูดเรื่องอะไรกันแน่

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:18:15

ความคิดเห็นที่ 27

ผมว่าคุณกำลังงงหรือเปล่าครับ นิคหกรรมนะครับ
อยู่ดีๆก็โผล่เรื่องระงับอธิกรณ์ ลามไปเรื่องสัมมุขาวินัย

หรือผมเข้าใจคุณผิด ?

หวังว่า คุณ JitZungkabuai
ได้ทำศึกษา หรือรู้จักแยกแยะ การพิจารณาโทษ ตามหลัก มาแล้วอย่างดี
ระหว่าง นิคคหกรรม และ อธิกรณ์

อธิกรณ์มี ๔ คือ
๑. วิวาทาธิกรณ์ การวิวาทกันในเรื่องเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
๒. อนุวาทาธิกรณ์ การโจทฟ้องกันด้วยศีลวิบัติ เป็นต้น
๓. อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัติ
๔. กิจจาธิกรณ์ เรื่องที่สงฆ์จะต้องจัดต้องทำที่เป็นสังฆกรรม

๑. วิวาทาธิกรณ์
การวิวาทกันในเรื่องเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
ย่อมระงับด้วยวิธีระงับ ๒ ประการ
คือ
๑. ระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)
๒. ระงับโดยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ (เยภุยยสิกา)

๒. อนุวาทาธิกรณ์
การโจทฟ้องกันด้วยศีลวิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับศีล)
อาจารวิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับความประพฤติ)
ทิฏฐิวิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับความเห็น)
และอาชีววิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับการเลี้ยงชีพ)
ระงับด้วยวิธีระงับ ๔ ประการ คือ
๑. ระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)
๒. ระงับด้วยยกให้ว่ามีสติ (สติวินัย)
๓. ระงับด้วยยกให้ว่าเป็นบ้า (อมูฬหวินัย)
๔. ระงับด้วยการลงโทษ (ตัสสปาปิยสิกา)

๓. อาปัตตาธิกรณ์
(หลวงพ่อธัมมชโย กรณีนี้เท่านั้น การโจทย์ ต้องเป็นสัมมุขาวินัย)
การต้องอาบัติต่าง ๆ ระงับด้วยวิธีระงับ ๓ ประการ คือ
๑. ระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)
๒. ระงับด้วยถือคำสารภาพ (ปฏิญญาตกรณะ)
๓. ระงับด้วยให้เลิกแล้วกัน (ติณวัตถารกะ)

๔. กิจาธิกรณ์
เรื่องที่สงฆ์จะต้องจัดต้องทำที่เป็นสังฆกรรม
ระงับด้วยวิธีระงับประการเดียว คือระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)

ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ชำระเสร็จไปแล้ว
และปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้ให้ฉันทะแล้วบ่นว่าในภายหลัง
(เว้นแต่อธิกรณ์นั้นชำระไม่เป็นธรรม)

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:23:16

ความคิดเห็นที่ 28

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 1 / 29

ครุกาบัติ อาบัติหนัก ได้แก่
อาบัติปาราชิก เป็นอาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ภิกษุต้องแล้วจำต้องสึกเสีย และ
อาบัติสังฆาทิเสส อยู่กรรมจึงจะพ้นได้

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%BB%D2%C3%D2%AA%D4%A1&detail=on

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:23:22

ความคิดเห็นที่ 29

ความคิดเห็นที่ 26
ปาราชิกไม่ต้องด้วยเรื่องนิคหกรรมครับ
ตกลงคุณจะพูดเรื่องอะไรกันแน่

คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ จะต้องให้ อ้างอิงพระวินัย อีกกี่รอบกัน ถึงจะเข้าใจ
โดยปรกติ คนที่รู้วินัย น่าจะฉุกคิดได้ว่้า

นิคคหกรรม ใช้พิจารณาโทษ ระดับ เบา หรือ หนัก
อธิกรณ์ ควรจำแนกเป็น 4 ชนิด ก่อนพิจารณา แล้วใช้ตัดสินโทษ เบา หรือ หนัก

คุณ JitZungkabuai
คุณต้องพยายามตั้งสติ ศึกษาให้ดีก่อน ว่า กรอบในการกำหนดโทษทาง นิคคหกรรม ไม่ครอบคลุมอาบัติปาราชิก

หลักพื้นฐานในการลงนิคคหกรรม

สงฆ์สามารถลงนิคคหกรรมได้เฉพาะแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี
คือ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏและทุพภาสิตเท่านั้น

ไม่สามารถลงแก่ อาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส เพราะภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:27:53

ความคิดเห็นที่ 30

แสดงผลการค้น ลำดับที่ 24 / 29
อธิกรณ์ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ, เรื่องที่สงฆ์ต้องดำเนินการ มี ๔ อย่าง คือ
๑. วิวาทาธิกรณ์ การเถียงกันเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
๒. อนุวาทาธิกรณ์ การโจทหรือกล่าวหากันด้วยอาบัติ
๓. อาปัตตาธิกรณ์ การต้องอาบัติ การปรับอาบัติ และการแก้ไขตัวให้พ้นจากอาบัติ
๔. กิจจาธิกรณ์ กิจธุระต่างๆ ที่สงฆ์จะต้องทำ เช่น ให้อุปสมบท ให้ผ้ากฐิน,
ในภาษาไทยอธิกรณ์มีความหมายเลือนลางลงและแคบเข้า กลายเป็น คดีความ โทษ เป็นต้น

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%B8%D4%A1%C3%B3%EC&detail=on#find24

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:32:03

ความคิดเห็นที่ 31

ผมคิดว่า คุณAkALiKo23 ควรพักผ่อนได้แล้วนะขอรับ

บางทีคุณก็กล่าวถูกแต่ไม่เข้าเรื่องที่พิจารณาอยู่
บางทีเข้าเรื่องแต่ยกข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมา

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:34:16

ความคิดเห็นที่ 32

คุณ JitZungkabuai
คุณต้องพยายามตั้งสติ ศึกษาให้ดีก่อน ว่า กรอบในการกำหนดโทษทาง นิคคหกรรม ไม่ครอบคลุมอาบัติปาราชิก

^

ผมบอกตรงไหนละว่ามันครอบคลุม !!!!

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:36:10

ความคิดเห็นที่ 33

การโจทย์อาบัติปาราชิก ต่อพระสงฆ์ หากยังไม่มีการสอบสวนทาง อาปัตตาธิกรณ์ ด้วยสัมมุขาวินัย

ถือว่าเป็นการกระทำความผิด ฐาน ใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก

มีความผิดตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

มาตรา ๔๕ ตรี ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอัน อาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=188:2009-04-20-13-32-52&catid=34:rule&Itemid=188

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:40:09

ความคิดเห็นที่ 34

คุณ JitZungkabuai
คุณต้องพยายามตั้งสติ ศึกษาให้ดีก่อน ว่า กรอบในการกำหนดโทษทาง นิคคหกรรม ไม่ครอบคลุมอาบัติปาราชิก

^

ผมบอกตรงไหนละว่ามันครอบคลุม !!!!

คุณไม่ได้พูดเรื่อง ครอบคลุก หรอก

แต่กระทู้นี้ ของคุณ เป็นมูลเหตุ

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:43:11

ความคิดเห็นที่ 35

.

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:43:44

ความคิดเห็นที่ 36

สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกฯ

ชัดไหมครับ อ่านพระลิขิตประกอบครับ

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:45:52

ความคิดเห็นที่ 37

ผมคิดว่า คุณAkALiKo23 ควรพักผ่อนได้แล้วนะขอรับ

บางทีคุณก็กล่าวถูกแต่ไม่เข้าเรื่องที่พิจารณาอยู่
บางทีเข้าเรื่องแต่ยกข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมา

ข้อนี้ นักการศาสนา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็อาจวินิจฉัยเองได้

เช่น กรมศาสนา สำนักงานพระพุทธศานา หรือแม้กระทั่ง

หน่วยงานความมั่นคงของ ชาติ ศาสนา ก็อาจกำลังพิจารณาอยู่

ขอบคุณในความหวังดี ที่ให้ไปพักผ่อน ในเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:47:53

ความคิดเห็นที่ 38

ผมบอกว่า ปาราชิกไม่ต้องด้วยเรื่องนิคหกรรม
คุณกลับไปอ่านต้นกระทู้ถึงคห.1 ใหม่นะครับ
:)

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:49:30

ความคิดเห็นที่ 39

วิธีอ้างอิงพระลิขิต ทั้ง 5 ฉบับ ต้องใช้สำเนาพระลิขิต ทั้ง 5 ฉบับมาแสดง จะดีกว่า
เอาฉบับที่มีลายพระหัตถ์ หรือบายเซ็น ทั้ง 5 ฉบับเลย

ไม่ใช่ไปก้อปข่าวมา มันเป็นข้อมูลที่คุณเชื่อกันเอง

แบบในภาพนี้ มีมูล ก็จริง
แต่ถามว่า มติสงฆ์ นำไปพิจารณา อธิกรณ์หรือยัง ???
ตัดสินหรือยัง ???

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:51:43

ความคิดเห็นที่ 40

ยินดียิ่งที่แลกเปลี่ยนสนทนากันครับ คุณAkALiKo23
หลายอย่างละเอาไว้ในฐานที่คุณเข้าใจมาก่อนแล้ว

คืนนี้เพียงพอแล้ว
ราตรีสวัสดิ์ครับ

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:52:46

ความคิดเห็นที่ 41

ไม่ทราบคุณเจ้าของกระทู้ เคยพบเห็น มีการนำพระลิขิต ทั้ง 5 ฉบับ
ไปใช้พิจารณา อาปัตตาธิกรณ์ ข้อหา ปาราชิก ในท่ามกลางสงฆ์หรือยัง

ขอหลักฐาน ที่ชัดเจน เช่น สำเนาเอกสาร ,ภาพถ่าย ,มติมหาเถรสมาคม

๓. อาปัตตาธิกรณ์
(หลวงพ่อธัมมชโย กรณีนี้เท่านั้น การโจทย์ ต้องเป็นสัมมุขาวินัย)
การต้องอาบัติต่าง ๆ ระงับด้วยวิธีระงับ ๓ ประการ คือ
๑. ระงับในที่พร้อมหน้า (สัมมุขาวินัย)
๒. ระงับด้วยถือคำสารภาพ (ปฏิญญาตกรณะ)
๓. ระงับด้วยให้เลิกแล้วกัน (ติณวัตถารกะ)

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:55:57

ความคิดเห็นที่ 42

ความคิดเห็นที่ 40
ยินดียิ่งที่แลกเปลี่ยนสนทนากันครับ คุณAkALiKo23
หลายอย่างละเอาไว้ในฐานที่คุณเข้าใจมาก่อนแล้ว

คืนนี้เพียงพอแล้ว
ราตรีสวัสดิ์ครับ

เอาละ ขอจบตามความประสงค์ของคุณ
พอดี กระทู้ที่ 41 พิมพ์พร้อมกัน

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 20:57:24

ความคิดเห็นที่ 43

+ [๑๒๒] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง

- ก็เค้าให้อ่ะ

- ต่อให้เค้าไม่ได้ให้ก็เถอะ ถ้ายึดตามพระวินัยปิฎก ก็ต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ว่ามีเจตนาจะถือครองไว้เป็นส่วนตัวรึป่าว ไม่ใช่ยึดตามเอกสารทางกฏมายหรือชื่อบัญชีธนาคาร (เหมือนหุ้นเป็นชื่อคนใช้ แต่คนใช้ไม่ได้มีเจตนาจะถือครองไว้จิงๆ เพราะมันก็แค่ชื่อเท่านั้นเอง ชื่อก็เป็นสิ่งสมมติ จะเอามาเป็นสิ่งยืนยันเจตนาไม่ได้หรอก)

เช่น.. เด็กได้ทุนการศึกษา แต่พ่อแม่เก็บเงินไว้ให้แทน โดยเก็บไว้ในบัญชีพ่อแม่ เพื่อสะดวกแก่การใช้ แบบนี้.. ถือว่ายักยอกรึป่าว??

+ เจ้าอาวาส เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
+ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕

- กฏหมายของอาณาจักร ถึงจะสามารถใช้บังคับ " ให้เป็นไปตามนั้นได้ " แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า " ควรจะเป็นไปตามนั้น "

เพราะ อาณาจักร กับ ศาสนจักร ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ตามหลักแล้ว จะมาบังคับกะเกณฑ์นั่นนี่กันตามใจชอบไม่ได้ แต่ที่ทำได้ก็เพราะอาณาจักรมี ทหาร,ตำรวจ แต่ศาสนจักรไม่มีทหาร,ตำรวจ เรยจำใจ (แต่บางศาสนจักรเค้าก็มี ทหาร,ตำรวจ นะเอ่อ) จนนานวันเข้า ผู้คนก็เรยเข้าใจกันว่า ศาสนจักรต้องอยู่ภายใต้อาณาจักร ทั้งๆ ที่จิงๆ แล้ว ควรจะตรงกันข้าม (แบบคริสต์ในสมัยก่อนไง)

เรื่องประมาณนี้ เหมือนจะเคยมีมาแล้วในสมัยสมเด็จโต ตอนที่ท่านถูกเนรเทศอ่ะ ท่านก็เรยอยู่แต่ในวัด ท่านว่าไงมั่งก็จำไม่ได้แระ ลองไปหาดูเอา
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 02:23:47
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 02:16:10
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 02:02:18

จากคุณ : จักรขวด

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 01:56:03

ความคิดเห็นที่ 44

สงสัยว่า จะต้องเรียก ทิด ใช่หรือเปล่า

จากคุณ : KittySP

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 08:48:47

ความคิดเห็นที่ 45

#43 เพราะ อาณาจักร กับ ศาสนจักร ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ตามหลักแล้ว จะมาบังคับกะเกณฑ์นั่นนี่กันตามใจชอบไม่ได้

เกี่ยวกันอย่างเห็นได้ชัดครับ โดยเฉพาะข้อลักทรัพย์
เพราะต้นบัญญัติพระพุทธเจ้าไปถามอาณาจักรว่าลักทรัพย์ได้เงินมาเท่าไหร่จึงจะติดคุก อาณาจักรตอบว่า 5 มาสาก พระพุทธเจ้าจึงตั้งวินัยว่า ถ้าลักทรัพย์มูลค่า 5 มาสกต้องอาบัติปาราชิก
ดังนั้นอาณาจักรกับศาสนจักรเกี่ยวข้องกันอย่างมากครับ เพราะศาสนาพุทธบังคับกฎเกณฑ์วินัยสงฆ์ตามกฎหมายของอาณาจักร

+ [๑๒๒] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง
- ก็เค้าให้อ่ะ ** เขาให้วัด ไม่ได้ให้ตัวเอง เขาจึงฟ้องร้อง
เช่น.. เด็กได้ทุนการศึกษา แต่พ่อแม่เก็บเงินไว้ให้แทน โดยเก็บไว้ในบัญชีพ่อแม่ เพื่อสะดวกแก่การใช้ แบบนี้.. ถือว่ายักยอกรึป่าว?? ***** ก็ไม่ยักยอกนะ แต่พอต่อมาเด็กจะเอาตังไปใช้ แล้วพ่อแม่ไม่ให้ อันนี้เรียกยักยอกแล้วครับ ปาราชิกแน่นอน ไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด

จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo)

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 09:36:50

ความคิดเห็นที่ 46

+ [๑๒๒] ปาราชิกอาบัติ พึงมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่าง
- ก็เค้าให้อ่ะ ** เขาให้วัด ไม่ได้ให้ตัวเอง เขาจึงฟ้องร้อง
เช่น.. เด็กได้ทุนการศึกษา แต่พ่อแม่เก็บเงินไว้ให้แทน โดยเก็บไว้ในบัญชีพ่อแม่ เพื่อสะดวกแก่การใช้ แบบนี้.. ถือว่ายักยอกรึป่าว?? ***** ก็ไม่ยักยอกนะ แต่พอต่อมาเด็กจะเอาตังไปใช้ แล้วพ่อแม่ไม่ให้ อันนี้เรียกยักยอกแล้วครับ ปาราชิกแน่นอน ไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด

สังคมมีปัญหา ก็เพราะ พวกไม่เกี่ยว แต่อยากเอี่ยวด้วย
คุณคงไม่ทราบว่า การใช้จ่ายทรัพย์ในคดีนี้ เป็นการใช้จ่ายไปในโครงการที่วัดตั้งเป้าในการเผยแผ่
ไว้แต่แรก แล้วจึงมีผู้สนับสนุน นำเงิน และที่ดินมาบริจาค เพื่อดำเนินโครงการเหล่านั้น
ให้บรรลุเป้าหมาย

และทรัพย์หรือที่ดินเหล่านั้น เป็นทรัพย์ที่นำไปสำหรับใช้บริหารงานนอกวัด
ไม่ได้เป็นสมบัติของวัด แต่เป็นสมบัติของกรรมการผู้ดูแลโครงการ

พวกที่ไม่รู้ แล้วทำเป็นรู้นี่แหละ ตัวปัญหาระดับชาติ

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 10:04:23

ความคิดเห็นที่ 47

เงินและที่ดินที่เกี่ยวกับคดีนี้ ไม่ได้เป็นเงินของวัดตั้งแต่แรก แต่ เป็นเงินของโครงการ ดูแลโดยเจ้าอาวาส และ ไวยาวัจจกร การยักยอกคือการนำไปเก็บงำ หรือนำไปใช้ที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์

ยักยอกทรัพย์ ประมวลกฎหมายอาญา (2) มาตรา 352 - 356
หมวด5 ความผิดฐานยักยอก

มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียง กึ่งหนึ่ง

มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือ ทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วย ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาดูกันตรงนี้
มาตรา 352 ทรัพย์ของผู้อื่น หรือ เป็นเจ้าของรวม.........
มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือ ทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย.......

คำว่าผู้อื่น ทรัพย์นั้นไม่ใช่ของผู้อื่น ทรัพย์นั้นเป็นของโครงการของเจ้าอาวาส
คดีนี้ คนที่นำทรัพย์ไปคือเจ้าอาวาส ซึ่งอนุมัติให้ไวยาวัจกรนำไปดำเนินงาน

สังเกตุวรรคนี้ให้ดี
ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือ ทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วย ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น

การใช้จ่ายโครงการนี้ เจ้าอาวาสก่อความเสียหายให้แก่ใครบ้าง ไม่มีเลย
ไม่แปลกถ้าอัยการจะถอนฟ้อง เพราะเอาผิดกับเจ้าอาวาสในกรณีอย่างนี้ไม่ได้

แต่มีคนมาปรักปรำปาราชิก เพราะมีคนพยายามจะปล้นสมบัติของโครงการไปเป็นสมบัติกองกลางของวัด จึงออกมาบังคับให้โอนแก่วัด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

พอเขาเห็นชอบว่าควรโอนก็โอนมาให้วัด แต่นั่น เป็นการถวาย ไม่ใช่การคืน
การคืน คือการเอาไป ยืมไป หรือ ลักไป แล้วจึงคืน นี้เรียกว่าการคืน
การถวาย เป็นบุญกุศล ไม่ใช่เป็นอาบัติ ปาราชิก

กรณีวัดนี้ มีการบริจาคให้เจ้าอาวาสใช้ดำเนินโครงการได้เต็มที่
ไม่ต้องเก็บเงินไว้กับวัด หรือยกให้ใคร

แต่ถ้าถวายเงินแล้วไม่นำออกไปใช้เลย เก็บงำไว้ หรือโอนให้คนอื่น ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ อย่างนี้เรียกว่ายักยอก

องค์แห่งอทินนาทาน นั้น ว่าด้วยเรื่องลักทรัพย์นั้นที่มีเจ้าของหวงแหน
กรณีนี้ ไม่มีเจ้าของหวงแหน เพราะถวายให้ใช้ตามความประสงค์แล้ว จะผิดได้อย่างไร
แค่เรื่อง การแสดงความเป็นเจ้าของ ข้อนี้ ข้อเดียว ก็ปรับปาราชิกในทางธรรมไม่ได้แล้ว

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 10:44:59

ความคิดเห็นที่ 48

โหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ

จากคุณ : กุ๊กเทวดา

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 12:10:44

ความคิดเห็นที่ 49

คุณคงยังไม่รู้จัก สติวินัย ของพระอรหันต์

จากคุณ : กุ๊กเทวดา

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 12:11:57

ความคิดเห็นที่ 50

ความคิดเห็นที่ 18

อัยการถอนฟ้อง‘พระธัมมชโย’ยักยอกเงินวัดพระธรรมกาย [ 129 ]

อัยการสูงสุดสั่งถอนฟ้องคดีพระธัมมชโย ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย เกือบพันล้านบาทต่อศาล ระบุทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชฯ เผยแผ่ พระพุทธศาสนา ตามพระไตรปิฎกช่วยเหลือศาสนา แถมคืนเงินให้วัด บ้านเมืองต้องการความสามัคคี
หากดำเนินคดีต่อไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ด้านโฆษกอัยการฯ แจงศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องมีผลอีก 3 คดี ยักยอกเงิน วัดพระธรรมการ ที่อัยการกำลังพิจารณาก็ต้องสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นที่ยุติ

เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดพิจารณาคดีที่อัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทย์ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิพล อายุ 62 ปี อดีต เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร อายุ 57 ปี ลูกศิษย์คนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกายจำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายมูล จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และเงินจำนวนกว่า 29 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ที่ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โอนกรรมสิทธิ์ ให้จำเลยที่ 2 เช่นกัน

ทั้งนี้ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สรุปว่า ตามที่โจทย์ยื่นฟ้องจำเลย โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้มาฟ้องร่วมกันกระทำผิด เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็นสองฝ่าย มีความเข้าใจเชื่อถือพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เม.ย.42) ไม่ได้คิดให้มีโทษเพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่าในชั้นต้น หากมิใช้มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัด เป็นของตนจริง ๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระคืนให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ

บัดนี้ ข้อเท็จจริงในการเผยแพร่คำสอบปรากฏจากอธิการบดีกรมศาสนา ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 1 ว่า จำเลยได้ เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของคณะสงฆ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา สำหรับด้านทรัพย์สินนั้น ปรากฏว่า จำเลยได้มอบทรัพย์ทั้งหมดซึ่งมีทั้งที่ดิน เงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย จึงถือเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ครบถ้วนทุกประการแล้ว ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติ
เห็นว่าหากดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป อาจ ก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้ ดังนั้น โจทย์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา

โดยในวันที่ 22 ส.ค. ศาลได้สอบถามจำเลยทั้งสองจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองแถลงว่าไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองก่อนศาลมีคำพิพากษา โดยอ้างว่าจำเลยได้แผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอม รับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ

เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่คัดค้านที่โจทก์ถอนฟ้อง จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทย์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.35 จึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง และจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความของศาลอาญา

ด้านนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อธิบดีอัยการคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า การถอนฟ้องคดีก่อนศาลจะมีคำพิพากษาสามารถทำได้ สำหรับ คดียักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย ที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญามีเพียง 2 คดีเท่านั้น คงเหลือสำนวนคดียักยอกทรัพย์ที่รอการสั่งคดีในชั้นอัยการอีก 3 สำนวน โดยเมื่ออัยการสูงสุดมี นโยบายให้ถอนฟ้อง การสั่งคดีของพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ก็จะต้องมีความเห็น ยุติการสั่งคดีไว้ เนื่องจากการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 78 และ 128 โดยเมื่อยุติการสั่งคดีก็ต้องถือว่าคดีนี้สิ้นสุดลงตามกระบวนการทางกฎหมายทันที ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คืนที่ดินและเงินที่ก่อความเสียหายรวมมูลค่า 959,300,000 บาท คืนให้แก่ วัดพระธรรมกายแล้ว

วันที่ : 23 ส.ค. 2549

http://www.siangtai.com/TH/newsthai_detail.php?News_ID=2721

จากคุณ : JitZungkabuai - [ วันวิสาขบูชา 19:12:59 ]
_____________________________________________________________

^
โครงการอะไรที่เขาพนมพาครับ ?

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:08:01

ความคิดเห็นที่ 51

เดลินิวส์ 30/6/2542

ฟ้องไชยบูลย์ส่อเค้าดึงเกม

อาคม"ลุย ระบ ุเจ้าคณะปทุมธานี จะไม่ยอมประทับรับฟ้องจนกว่าคดีทางโลกจะยุติ ถ้าทำจริงเสื่อมหนักแน่ เจ้าคณะ ตำบลปากพนัง ผู้ตัดสินคดียันตระย้ำถึงเวลาต้องชี้ขาด ไม่มีเหตุผล ที่ล่าช้า แค่ดูคำกล่าวหา มีมูล หรือไม่เป็นพอ ระวัง กระแสสังคม ไม่ยอมรับ เจออีกหลักฐานที่ดิน "ไชยบูลย์" ไปกว้านซื้อ ที่พิจิตร กว่าร้อยไร่ หวังทำเหมืองทอง แต่ซื้อที่ดิน บนภูเขาไม่ได้ เลยให้บริษัทสีกาสนิท ขอสัมปทานทำหินแกรนิตแทน กะจะระเบิด ภูเขาแยก ทองคำออกมา สุดท้ายฝันสลายติดที่ดินโรงเรียนไม่ยอมย้าย

การจัดการสางเสี้ยนศาสนา พระปลอม "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" น่าจะมีความหวัง เพียงการดำเนินคด ีของตำรวจในข้อหา แจ้งความเท็จ, เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่ทุจริตโดยคดีศาลสงฆ์ทำท่าจะยืดเยื้อ

เมื่อ วันที่ 29 มิ.ย. พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม ให้สัมภาษณ์รายการ "เพื่อบ้าน เพื่อเมือง" ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิรตซ์ ว่าถึง แม้มีการยกฟ้องคำร้องของนางสาลี่ เพ็ชร์ชูดี ชาวนา สุพรรรณบุรี กับนายประจิณ ฐานังกร ที่ฟ้องร้องตามกฎนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ไปแล้ว แต่ทั้ง 2 คน สามารถฟ้องใหม่ โดยนางสาล ี่ไปฟ้องใหม่ได้ ที่สุพรรณบุรี ส่วนนายประจิณอุทธรณ์คำฟ้องได้ภายใน 15 วัน ส่วนคำฟ้องที่เหลือคือของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนากับของนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ค่อนข้างสมบูรณ์ หากประทับรับฟ้องแล้วจะเรียบเรียงคำฟ้องอีกครั้งแล้วเรียกจำเลยพบถามว่าจะรับคำฟ้องหรือไม่ ส่วนจะเรียกมา เมื่อไหร่จะหารือกันก่อน

"หากจำเลย ไม่ยอมรับก็ต้องส่งสำนวนไปให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นที่มีพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นประธาน และคงได้มีการ สืบพยานอีกคงใช้เวลาไม่สามารถกำหนดลงไปได้ ตอนนี้ฝ่ายบ้านเมือง ก็ดำเนินการอย ู่พบสิ่งผิดปกติมากมายหลายเรื่อง สำหรับกรณี คำฟ้องเรื่องการ อวดอุตริมนุสธรรม หรือการอวดวิเศษ ไม่มีในตนศาลสงฆ์ ตัดสินได้ทันที แต่ต้องรอการตัดสิน ในเรื่องที่ดินที่เป็นคดีอาญาเพราะเกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย หากผิดจริง ฐานฉ้อโกงก็ต้องขาด จากความเป็นพระ"

ด้านนายมาณพ กล่าวว่าตนในฐานะโจทก์ที่ยื่นฟ้องต่อศาลสงฆ์ถือว่าพิจารณาล่าช้า ดูเหมือนว่า ต้องการรอผลสรุป คดีทางโลก ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังสรุปสำนวน เพื่อที่ประทับรับฟ้องคดีทางสงฆ์ไปพร้อม ๆ กัน และหากล่าช้าไปกว่านี้กรมการศาสนาควรจะใช้มาตรการปกครองสงฆ์ควบคู่กันไปกับมาตรการทางโลก ถือเป็นข้อแนะนำ ที่นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบหมายให้กรมรับมาดำเนินการ ขณะนี้นายไชยบูลย ์ถูกแจ้งความ ดำเนินคดีอาญาไปแล้ว เจ้าคณะปทุมธานี น่าจะใช้กฎทางสงฆ์ให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไปก่อน

นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่าเท่าที่ทราบพระสุเมธาภรณ์ จะรอจน กว่าการดำเนินคดีอาญาสิ้นสุดลง จึงจะพิจารณา ประทับรับฟ้อง หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เสียเวลานานเพราะกว่าตำรวจจะสอบปากคำ และส่งฟ้องต้องใช้เวลา เป็นปี คิดว่า เจ้าคณะจังหวัดคงเข้าใจผิดที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีทางธรรมเรื่องการอวดวิเศษ บิดเบือนคำสอน ศาลโลกพิจารณา ไม่ได้ คำฟ้องล่วงมานานแล้ว ต้องส่งให้คณะผู้พิจารณาตัดสินได้แล้วจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ไม่ใช่บอก จะรอการตัดสิน เรื่องที่ดินทางโลกก่อน ไม่เช่นนั้นการวิจารณ์ว่ากระบวนการทางสงฆ์อ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นเรื่องจริง

ส่วนพระครูบริหารสังฆกิจ เจ้าอาวาสวัดบางบ่อ เจ้าคณะตำบลปากพนัง ฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช อดีตพระสงฆ์ ผู้ปกครองรับเรื่องฟ้องร้องคดีอธิกรณ์อดีต พระยันตระ กล่าวว่าสมัยนั้น คณะสงฆ์ชั้นต้นใช้เวลา พิจารณาสำนวนฟ้อง อดีตพระยันตระเพียง 20 วัน สามารถตัดสินประทับรับฟ้องได้ แต่กรณีธรรมกาย ก็น่าเห็นใจ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเพราะเป็นคดีใหญ่ และเชื่อว่าน่าจะพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เพราะใช้เวลาไม่มากนัก เพียงแต่ดูว่า ที่กล่าวหามีมูลหรือไม่ หากยิ่งช้าเกรงว่าจะถูกกระแสสังคมโจมตีและทำให้เสียหายได้

"การเกรงกลัวว่า หากรับฟ้องแล้วจะถูกฟ้องภายหลัง ไม่ต้องกลัวถ้าทำไปตามหน้าที่และเหตุผล เหมือนอาตมาเมื่อ 5 ปีก่อน ถึงแม้การพิจารณา ไม่กำหนดเวลาไว้แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องมานานแล้ว การพิจารณาสำนวนก็น่าจะแล้วเสร็จได้ และวิเคราะห์ ไม่ออกจะออกมารูปไหน เพราะถ้าไม่รับฟ้องคงถูกอัดอย่างหนัก หากรับฟ้อง ต้องถูกแรงกดดัน จากพระผู้ใหญ่ บางรูปตามที่เป็นข่าว สมัยคดีพระยันตระไม่มีความกดดันขนาดนี้

นายวันชัย สอนสิริ เลขาธิการสภาทนาย ความกล่าวว่าการที่ไม่กล้าประทับรับฟ้องนาย ไชยบูลย์เพราะกลัว จะถูกฟ้องกลับนั้น ไม่ใช่ข้อ อ้างที่กลัวจนทำอะไรไม่ได้ การทำหน้าที่ด้วยความสุจริตการถูกฟ้องไม่เป็นปัญหา เว้นแต่กระทำ โดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย กฎระเบียบมหาเถรฯ ส่วนการนำนางสาลี่ไปฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกทรัพย์ สินที่ดินคืนมา คณะทำงาน เลื่อนการยื่นฟ้องจากเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 30 มิ.ย.

สำหรับการดำเนินคด ีของกองปราบปรามนั้นพ.ต.อ.ฉัตรกนก เขียวส่องแสง ผกก. 3 ป. กล่าวว่าจะมีการเรียกพยานจำนวน 7 คน ที่เป็นเจ้าของ ที่ดินในกรุงเทพฯ ที่ได้มอบที่ดินให้วัด นอกจากนายสอง วัชรศรีโรจน์ ที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน ต่างจังหวัดมาสอบด้วย จากการสอบถามไปยังกรมที่ดินยังไม่พบหลักฐานยักยอก เพียงแต่ให้ด้วยความเสน่หา ถ้าพยานคนใด บอกว่าให้กับวัด และนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์จะเป็นประโยชน์กับรูปคดีมาก ส่วนพยาน ที่ยังไม่ได้ออกมาให้ปากคำ ตั้งแต่แรก ถ้ามาพบกับ เจ้าหน้าที่แล้วก็อาจกล้าที่จะพูดความจริง ในวันศุกร์นี้ จะประชุมเพื่อแบ่งงาน ไปทำในบางส่วนที่ยังขาดเหลืออยู่

ผู้สื่อข่าวรายงาน เพิ่มเติมว่าจากหลักฐานเรื่องที่ดินที่กองปราบปรามได้รับมา ได้มีการขยายวงออกไปมากกว่าเดิม โดยเฉพาะ ที่ดินที่เพชรบูรณ์�และพิจิตร ที่พบหลักฐานชัดเป็นการซื้อ-ขายไม่ใช่การบริจาค และซื้อไปเพื่อทำเหมืองทองคำ นายไชยบูลย์ บินไปสำรวจพื้นท ี่เพื่อกว้านซื้อด้วยตัวเอง โดยตำรวจได้รับข้อมูลจากปากคำของนายชาญวิทย์ เปรมกมล ผู้ที่ขายที่ดิน ยกแปลงให้ที่ จ.พิจิตร ซึ่งนายชาญวิทย์อธิบายวิธีการทำเหมืองทองคำของนายไชยบูลย์ ได้ให้บริษัทของสีกา ผู้ใกล้ชิด ไปยื่นขอทำสัมปทานหินแกรนิตในบริเวณที่ดินของนายไชยบูลย์ โดยเฉพาะที่เขาพนมพา อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร แทนที่จะยื่นขอ ทำสัมปทาน เหมืองทองคำ

สาเหตุที่เป็นเช่นน ี้เนื่องจากนายไชยบูลย์ไปซื้อที่ดินรอบภูเขาไว้หมด แต่ไม่สามารถ ที่จะซื้อที่ดินบนเขาพนมพาได ้เพราะเป็นที่ของรัฐ ขณะที่มีการสำรวจพบว่าต้นตอของสายแร่ทองคำอยู่ที่บนเขา ทางเดียวก็คือ ต้องขอสัมปทาน ทำแร่ชนิดอื่นเพื่อที่จะระเบิดภูเขาและแยกทองคำออกมา นอกจากนั้ นค่าสัมปทานทำ หินแกรนิตกับเหมืองแร ่ทองคำ ก็แตกต่างกันลิบลับ

อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองหินแกรนิตดังกล่าวเกิดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณภูเขา มีโรงเรียนเขาพนมพา ตั้งอยู่ที่มี เด็กนักเรียนอยู่ 60 กว่าคน ที่ดิน 12 ไร่ และไม่ยอมย้ายออกไป เนื่องจากเกรงว่า ถ้าย้ายแล้วจะถูกเบี้ยว ไม่ยอมสร้างโรงเรียนให้ เหมือนกับกรณีที่มีการย้ายวัดเขาพนมพาเหนือออกไป ขณะที่มีการ ไล่กว้านซื้อที่ โดยอ้างว่า จะสร้างให้ภายหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมสร้าง จึงทำให้มีปัญหาในการทำสัมปทาน เนื่องจากเงื่อนไข ของการทำเหมืองหินแกรนิต จะต้องไม่มีชุมชนตั้งอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงาน จากจังหวัดพิจิตรว่า ได้มีบริษัทเอกชนยื่นขอประทานบัตรหินประดับชนิดหินแกรนิตจริง ในบริเวณที่ดิน ใกล้เคียงของนายไชยบูลย์ ได้แก่บริษัทโซออกที่มีสีกาสนิทของนายไชยบูลย์เป็นเจ้าของ

นอกจากนั้น ที่ผ่านมาได้มีความพยายามจะย้ายโรงเรียนวัดเขาพนมพาออกไปจากพื้นที่ แต่ติดระเบียบมากมาย อาทิต้องส่งเรื่อง ไปยัง สปจ. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อเรียกประชุมขอความยินยอม โดยได้มีการให้ข้อมูล ชาวบ้านว่าถ้าย้ายออกไป จะสร้างโรงเรียนให้ใหม่ แต่ปรากฏว่าชาวบ้านกลัวเบี้ยวเลยไม่ยอมให้ย้าย และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเนื่องจาก หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องปิดบังข้อมูลทั้งหมดตลอดมา สำหรับโฉนดที่ดิน ในมือของนายไชยบูลย์ ที่พิจิตรมี 6 แปลง พื้นที่ 155 ไร่ 3งาน 94 ตารางวา โดยซื้อมาจากนายชาญวิทย์ เปรมกมล เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2534 และออกโฉนด เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2540 และที่ดินดังกล่าว ยังมีที่เป็นนส.3ก.อีกจำนวนหนึ่ง อยู่บิรเวณรอบเขาพนมพา

ขณะเดียวกันที่คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 07.30 น. สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฯทรงประทานโอกาสให้ พุทธศาสนิกชนเข้าเฝ้าเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง โดยนายทินกร รัตนกุสุมภ์ เลขานุการฝ่ายคฤหัสถ์ กล่าวว่าการที่ นายไชยบูลย์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ และระบุถึงกรณีที่ถูกโจมตี เรื่องการสอนผิดเพี้ยน และไปอ้างว่ามีหลายวัด เน้นเรื่องดูดวง เชื่อไสยศาสตร์ และมีการกล่าวถึงความบกพร่อง ของคำสอนในศาสนาพุทธ การอ้างเช่นนี้เป็นการเอาจุดอ่อน ในศาสนาพุทธมาเป็นเหตุทำให้ดู เหมือนตัวเองพ้นผิด ตนจะนำเอาบทสัมภาษณ์นี้ ไปทูลถามสมเด็จพระสังฆราชว่า ทรงมีความเห็นประการใด

"สมเด็จพระสังฆราช ทรงเคยเล่าประสบ การณ์ครั้งหนึ่งให้ผมฟังว่า หลายปีก่อนเคยเสด็จไปที่นครปฐม แวะบ้านโยม คนหนึ่งที่เลี้ยงสุนัขดุมาก จะกัดคนที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อพระองค์ไปถึงสุนัขกลับเดินมาซบที่ขาพระองค์แทนที่จะกัดเหมือนคนอื่น แม้แต่ในวัดบวรฯ เองผมว่าสุนัขดุยังเคยกัดผม เรื่องนี้คงเป็นเพราะสุนัขอาจมองว่าคนดีในสังคมขาดความสามัคคี ที่จะแก้ปัญหา บ้านเมืองจนสุนัขทนไม่ได้ต้องออกมากัด".

http://rabob.tripod.com/daily232.htm
_______________________________________________________________

^
ข่าวจริงหรือปลอมครับ
ขอความกรุณาไม่ต้องเอาประกาศขอขมาของหนังสือพิมพ์มาลงอีกนะครับ
:)

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:17:01

ความคิดเห็นที่ 52

จุลศีล

[ ๑๐๓ ] มหาบพิตร อย่างไรภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการรับทองและเงิน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการรับไร่นา และที่ดิน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการซื้อ การขาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง ( สามัญญผลสูตร
พระไตรปิฎกมหามกุฏฯ 11/103/309-311 )

http://rabob.tripod.com/

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:24:27

ความคิดเห็นที่ 53

ภิกษุนอกพระธรรมวินัยนี้ทำอย่างไรบ้างแล้วครับ คุณAkALiKo23 ?

ท่านใดอยากอ่านอยากฟังเรื่องโครงการผ้าป่าช่วยชาติ
ว่าทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ควรศึกษาเพิ่มเติมที่ http://www.luangta.com ครับ

:)

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:34:40

ความคิดเห็นที่ 54

ความคิดเห็นที่ 14
ขอบคุณ ความรู้ใน ความเห็นที่ 9,12,13

ตามความในมาตรา ๓๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ บัญญัติหน้าที่เจ้าอาวาสไว้ว่า "บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นได้ด้วยดี" และวิธีจัดการศาสนสมบัติของวัดซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง ก็เป็นวิธีการอันละเอียดและเหมาะสมแก่คฤหัสถ์ ที่บัญญัติให้มีไวยาวัจกรก็เพื่อให้ช่วยงานเจ้าอาวาสในการนี้ ซึ่งเจ้าอาวาสจะมอบหมายเป็นหนังสือ ขอแนะแนวปฏิบัติ ดังนี้

จากคุณ : AkALiKo23
เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 21:20:37
______________________________________________________________

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12003399/Y12003399.html#14

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 13:46:11

ความคิดเห็นที่ 55

ความคิดเห็นที่ 18
อัยการถอนฟ้อง‘พระธัมมชโย’ยักยอกเงินวัดพระธรรมกาย
-------------------------------
เดลินิวส์ 30/6/2542
ฟ้องไชยบูลย์ส่อเค้าดึงเกม
-------------------------------
ความคิดเห็นที่ 52
จุลศีล
-------------------------------

อ้างข่าว อ้างประเด็นกล่าวหา มาเป็นข้อสรุปว่า พระธัมมชโย ปาราชิก ได้หรือ
ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์โหมกระแส เอามาเป็นน้ำหนักในการ ตื่นตูม คงพอได้
แต่เอาเป็น น้ำหนัก ในตุลาการศาลศงฆ์ ไม่ได้ซักเรื่อง
ข่าวก็คือข่าว บางข่าว เป็นข้อกล่าวหา ไม่ใช่คำพิพากษา

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:03:20

ความคิดเห็นที่ 56

ตามความในมาตรา ๓๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ บัญญัติหน้าที่เจ้าอาวาสไว้ว่า "บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นได้ด้วยดี" และวิธีจัดการศาสนสมบัติของวัดซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง ก็เป็นวิธีการอันละเอียดและเหมาะสมแก่คฤหัสถ์ ที่บัญญัติให้มีไวยาวัจกรก็เพื่อให้ช่วยงานเจ้าอาวาสในการนี้ ซึ่งเจ้าอาวาสจะมอบหมายเป็นหนังสือ ขอแนะแนวปฏิบัติ ดังนี้

คุณอ้างอย่างนี้ เพราะคุณอาจคิดว่า วัดนั้น ไม่มีไวยาวัจกร
ถ้าหากคุณคิดว่า ไม่มีไวยาวัจกร ถือว่า คุณคิดผิด

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:07:43

ความคิดเห็นที่ 57

จริงอยู่ว่าภิกษุรูปใดก็มีไวยาวัจกรของท่านได้ อันนี้คงเห็นตรงกัน

แต่ผมถามในกรณีที่ดินเขาพนมพาต่างหากครับ

เอาเป็นเรื่องๆไปดีกว่า

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:10:59

ความคิดเห็นที่ 58

ผมถามว่าเป็นโครงการอะไรของธัมมชโยที่เขาพนมพา เพื่อพระศาสนา วัด หรือเรื่องส่วนตัว ?

กรุณาตอบให้ชัดเจนครับ

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:15:06

ความคิดเห็นที่ 59

จุดมุ่งหมายในการฟ้อง ที่ดินเขาพนมพา

ไม่ใช่เพราะมีประเด็นทุจริต

แต่อัยการฟ้องเพราะ อยากให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ิดินนั้น
จากกรรมสิทธิ์ผู้ดูแลโครงการใดๆก็ตามที่ทำอยู่
ให้โอนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดพระธรรมกายแทน

เหตุผลในการถอนฟ้อง ระบุชัดว่า มีการถวายทรัพย์และที่ดินเป็นของวัดแล้ว

ประเด็นการคืนทรัพย์ให้แก่วัด เป็นการทำตามความเห็น ไม่ใช่ทำตามคำสั่ง
คือ ทำตามความเห็นในพระลิขิต ไม่ใช่ถวายตามมติศาลสงฆ์

จะมาปรับอาบัติปาราชิกกันไม่ได้ เพราะทรัพย์นั้น ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับ การไปขโมย หรือ ยักยอก จากความเป็นทรัพย์มีเจ้าของหวงแหน

หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:22:42

ความคิดเห็นที่ 60

ผมถามว่าเป็นโครงการอะไรของธัมมชโยที่เขาพนมพา เพื่อพระศาสนา วัด หรือเรื่องส่วนตัว ?

กรุณาตอบให้ชัดเจนครับ
แค่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ มันไม่ได้แปลว่า เป็นของส่วนตัว
แต่ที่ดินนี้ กำลังจะจัดสร้างเป็นสาธารณประโยชน์ เหมือนกับที่ทำอยู่แล้ว
ในโครงการอื่นๆ ทั้งในประเทสและต่างประเทศ

และสถานที่เหล่านั้น เจ้าอาวาสเอง ก็ได้มอบให้หายผู้อื่นรับผิดชอบ
ตัวเจ้าอาวาสเอง ก้ไม่เคยได้ไปเหยียบสถานที่ดังกล่าว เพราะไม่ได้หวังจะ
ใช้เป็นที่ส่วนตัว เพียงผู้เดียว

กรุณาอย่าตีความไปว่า วัดพระธรรมกาย มีสถานะเป็นวัดส่วนตัว อย่างที่หลายคนเข้าใจ

วัดพระธรรมกาย ก็เป็นศาสนสมบัติของชาติ เป็นสาธารณประโยชน์ที่ชาวพุทธทั่วโลกเข้าไปใช้สอยได้

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:28:35

ความคิดเห็นที่ 61

คุณเข้าใจเป็นอย่างนี้จริงหรือ

อัยการทำไปเพิ่ออะไรนะครับ !!??

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:29:11

ความคิดเห็นที่ 62

ความคิดเห็นที่ 61
อัยการทำไปเพิ่ออะไรนะครับ !!??

อัยการทำตามหน้าที่ เพราะพนักงานสอบสวนส่งเรื่องไปถึง

ทีนี้ถ้าถามว่า อำนาจมืดจากที่ใหน ส่งเรื่องไปที่พนักงานสอบสวน

คุณลองไปหาข้อมูลมา

จากคุณ : AkALiKo23

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:34:29

ความคิดเห็นที่ 63

พักกันนะครับ พรุ่งนี้มาถกต่อ

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 14:41:10

ความคิดเห็นที่ 64

ท่านก็อยู่ในวัดของท่านดี ๆ ไปหาเรื่องกันจริงเลยค่ะ ขอพุทธิปัญญาจงบังเกิดแก่คุณจขกท ค่ะ

จากคุณ : anumotanasatu

เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:01:43

ความคิดเห็นที่ 65

AkALiKo23 หากเขาอยากทำไรก็ปล่อยเขาไปวจีกรรมบังเกิดขึ้นแก่ตัว เขาทำแล้วสบายใจ สิ่งที่เขาทำไม่ได้กระทบกระเทือนต่อจิตใจของเราหรอก วางใจใสๆนิ่งๆ อ่านผ่านๆไป
แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 17:36:59

จากคุณ : พัดลมเย็นๆ

เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 10:41:12

ความคิดเห็นที่ 66

คงไม่ต้องถกเพิ่มเติมอีก
ที่ผมยกมาก็เพียงพอแล้ว

ปิดกระทู้ครับ :)

จากคุณ : JitZungkabuai

เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 11:48:54

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป