ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็น ถ้าปัจจุบัน "ตามมหาตัณหาสังขยสูตร" (คุณนายอิ่ม) กำหนดที่ จิตประภัสสร ก็ตามที่ตรัสคือ ตอนกินง้วนดินครับ จิต กินง้วนดิน  ตอนไหน  กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:25:24

ความคิดเห็นที่ 2 พุทธศาสนา นิกายวิญญาณวาท (วิญญาณวาทะ) นิกายวิญญาณวาท เป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่ง  โดยท่านอสังคะ (ถ้าจำไม่ผิด) นิกายนี้ เกิดทีหลัง  นิกายศูนยตา โดยท่านนาคารชุน   นิกายศูนยตา ก็ทีหลัง นิกาย สรวาสติวาทิน  โดยท่านอัศวโฆษ  หลังสมัยพระเจ้าอโศกมาราช --------------------------------------------------------------------------------------------- http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3 นิกายโยคาจารตั้งขึ้นโดยท่านเมตตรัยนาคซึ่งเกิดหลังท่านนาคารชุนราว 100 ปี ชื่ออื่นๆของนิกายนี้คือ นิกายวิญญาณวาท หรือนิกายวิชญาณวาท สานุศิษย์ที่สืบต่อนิกายนี้คือ พระอสังคะ และพระวสุพันธุ พระทินนาคะ และพระธรรมปาละ เป็นต้น นิกายนี้ถือว่าเฉพาะจิตเท่านั้นที่เป็นจริง สิ่งอื่นนอกจากจิตไม่เป็นจริง เป็นแต่มายาของจิต มีอยู่ เป็นอยู่เพราะการคิดของจิต จิตเรียกอีกอย่างว่าอาลยวิญญาณ หรือธาตุรู้ มีหน้าที่ 3 ประการคือ    รู้เก็บ หมายถึงรวบรวมพลังต่างๆของกรรมไว้ในอาลยวิญญาณ สิ่งที่ถูกเก็บไว้เรียกว่าพีชะ ซึ่งมี 3 อย่างคือ กุศลพีชะ อกุศลพีชะ และ อัพยากตพีชะ    รู้ก่อ หมายถึงการสร้างอารมณ์ต่างๆของจิต หรือการกำหนดอารมณ์อื่นๆที่จิตรับรู้    รู้ปรุง หมายถึง การปรุงอารมณ์ที่ก่อขึ้นให้วิจิตรพิสดารไป อาจแบ่งบุคคลตามพีชะที่ฝังอยู่ในอาลยวิญญาณได้ 5 ระดับ เรียกว่าปัญจโคตร คือ    พุทธพีชบุคคล คือผู้สร้างบารมีสู่พุทธภูมิ    ปัจเจกโพธิพีชบุคคล คือผู้สร้างบารมีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า    สาวกพีชบุคคล คือผู้สร้างบารมีเป็นพระอรหันต์    อนิยตพีชบุคคล ผู้มีคติไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการอบรม    กิจฉันติกพีชบุคคล คือผู้ที่โปรดไม่ได้ในชาตินี้ แต่อาจบรรลุได้ หากปรับปรุงตัวในชาติต่อๆไป -------------------------------------------------------------------------------------------                           จิตเป็นธรรมชาติรู้  ที่ว่าว่ากัน  นั้น จะตรงกับ ---คำสอนของพุทธศาสนานิกาย  นิกายโยคาจาร หรือ นิกายวิญญาณวาท ที่ มี ทิฏฐิแห่งนิกายนี้ว่า --- " จิตเรียกอีกอย่างว่าอาลยวิญญาณ หรือธาตุรู้ หรือไม่  พิจารณาเอง ------------------------------------------------------------------------------------------                   เมื่อกำหนด ตาม มหาตัณหาสังขยสูตร (๑) กายนี้ ประกอบด้วยมหาภูติ(ธาตุ)สี่ อันตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง  มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น (๒) กายนี้ กำหนด ตามมหาตัณหาสังขยสูตร (สัตว์ที่เกิดในครรภมารดา)            จิต กินง้วนดิน  ตอนไหน  กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:38:26

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าปัจจุบันกำหนดทีกุมารนั้น (ออกจากครรภ์แล้ว ตามมหาตัณหาสังขยสูตร) ก็ตอนที่เขาถึงพร้อมด้วยความยินดียินร้าย เพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปทาน จิตจึงไม่ประภัสสรครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:06:29

ความคิดเห็นที่ 4 คคห 3 ถ้าปัจจุบันกำหนดทีกุมารนั้น (ออกจากครรภ์แล้ว ตามมหาตัณหาสังขยสูตร) ก็ตอนที่เขาถึงพร้อมด้วยความยินดียินร้าย เพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปทาน จิตจึงไม่ประภัสสรครับ แล้ว สมัยไหนละครับ  ที่ จิต ของกุมาร (ออกจากครรภ์แล้ว ตามมหาตัณหาสังขยสูตร) คือ จิตประภัสสร ก็ตามที่ตรัสคือ ตอนกินง้วนดินครับ --- ---------------------------------------------------------------------------------------------- จิต วิญญาณ ดู http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12017679/Y12017679.html จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:56:17

ความคิดเห็นที่ 5 จิต วิญญาณ เนื่องกับ ตัวกู ของกู = นั่นของเรา นั่นเป็นเรา  นั่นเป็นตัวตนของเรา (ที่คือ ปรมัตถ์ ก็ได้) ความคิดเห็นที่ 6 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน จากหนังสือนักเขียน ฯ หน้า ๑๑๘ วาทะธรรมท่านพุทธทาส "ร่างกาย" มีหน้าที่ให้จิตใจอาศัย   (จิตใจ คือ?  เดี๋ยวอ่านที่ท่านเสนอ ต่อ) "จิตใจ" ก็มีหน้าที่คิด  แล้วมันก็คิดไปตามเหตุปัจจัย ที่ทำให้มันคิด   เมื่อไม่มึความรู้ (อวิชชา มั๊ง- ผมเสนอเองตรงนี้) ก็คิดไปตามความไม่รู้  (อ้างที่ตรัสว่า ถ้าบุคคลย่อมคิด (เจเตติ)  ฯ -ผมเสนอเองตรงนี้) แล้วก็เกิดเป็นความสำคัญมั่นหมาย (สัญญาขันธ์  แบบหนึ่ง - ผมเสนอเองตรงนี้) เป็น "ตัวกู ของกู"  ขึ้นมา ข้างบน  คือ "ท่านพุทธทาส ( ตัวกู-ของกู)"  ตามที่ ท่าน จขกท ถาม ------------------------------------------------------------------------------------------ จิตใจ ? หนังสือนักเขียน หน้า ๘๐ ฯลฯ ส่วนที่เขาพูดกันว่า "จิต" นั้น  ที่ทำหน้าที่เป็นวิญญาณอยู่เป็นระยะๆ นั้น เมื่อร่างกายนั้นแตกตายแล้ว จิต นั้น ก็ไปหาร่างใหม่  (รวมทั้ง จุติ ทันที หรือ เกิดทันที - ผมเพิ่มเอง ตรงนี้) เป็นเรื่องที่เขากล่าวกันอยู่ทั่วไปก่อนพุทธศาสนา (ส่วน จิต จุติทันที หรือ เกิดทันที  ก็เพราะ วิสุทธิมัคค์ + อภิธัมมัตถสังคหะ  ที่เกิดทีหลัง ปฐมสังคายนา -- ผมเพิ่มเอง ตรงนี้) นี่เรา (ท่านพุทธทาส -มั๊ง) ไม่ยอมรับว่า เป็นหลักพุทธศาสนา และไม่ควรเสียเวลาที่จะ  ถกเถียงเรื่องนั้น เรา (ท่านพุทธทาส ทาสของพระพุทธเจ้า) ต้องการเพียงจะให้ รู้จักควบคุม วิญญาณ  ที่มารู้เรื่อง ทางตา ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้นทางกาย ทางใจ  (ทางมโนทวาร -ผมเพิ่มเองตรงนี้) เมื่อเกิดผัสสะ  (ผัสสะมี ๒ ประเภท ผัสสะไหน ท่านพุทธทาสครับ --ผมเพิ่มเองตรงนี้) แล้วอย่าให้เกิดเป็นเวทนา  (ไม่เกี่ยวกับ  เรื่องภวังคจิต คือ จิตที่ยังไม่รู้อารมณ์ -- ผมเพิ่มเอง ตรงนี้) หรืออย่าให้เป็นตัณหา (ในเวทนาเหล่านั้น -ผมเพิ่มเองตรงนี้) ในที่สุด ให้จัดการควบคุมการเกิดของวิญญาณในทำนอง (ไม่ใช่ ควบคุมจิต หรือ ภวังคจิต -ผมเพิ่มเองตรงนี้) ไม่ให้เกิดเป็นเวทนา  (วิญญาณอันตัณหาในเวทนา  นั่นเอง - ผมเพิ่มเองตรงนี้) ตัณหา โดยทั่วไป ย่อมตอบได้ดังนี้   ขอให้จำไว้ก่อน  (ถ้า เห็นว่า ท่านพุทธทาส  เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นทาสของพระพุทธโฆษาจารย์ วิสุทธิมัคค์  พระอนุรุทธาจารย์ อภิธัมมัตถสังคหะ ------------------------------------------------------------------------------------------                                                 สรุป ตัวกู ของกู  มัน เนื่องกับ  --ไม่มีสติสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ สูงพอ  ที่จะ --- จัดการควบคุมการเกิดของวิญญาณในทำนอง (ไม่ใช่ ควบคุมจิต หรือ ภวังคจิต -ผมเพิ่มเองตรงนี้) ไม่ให้เกิดเป็นเวทนา  (วิญญาณอันตัณหาในเวทนา  นั่นเอง - ผมเพิ่มเองตรงนี้) ตัณหา --- --------------------------------------------------------------------------------------------- ท่าน จขกท  อ่าน  ที่ท่านเสนอ  เข้าใจเรื่อง ตัวกู  ของกู  แล้ว ใช่ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) [Bloggang] เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:52:26 [แก้ไข] จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 19:58:04

ความคิดเห็นที่ 6 แล้ว สมัยไหนละครับ  ที่ จิต ของกุมาร (ออกจากครรภ์แล้ว ตามมหาตัณหาสังขยสูตร) คือ จิตประภัสสร ก็ตามที่ตรัสคือ ตอนกินง้วนดินครับ --- -ไม่ว่าสมัยไหนจิตที่เกิดดับตลอดเวลาทั้งในกลางคืนและกลางวันของกุมารที่เพลิดเพลินในเวทนาอันเป็นตัณหานั้นเปรียบได้กับ จิตประภัสสรตอนกินง้วนดินครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 05:19:06

ความคิดเห็นที่ 7 เปรียบได้กับ จิตประภัสสรตอนกินง้วนดินครับ --------------------------------------------------------------------------------------------- ใคร บัญญัติ  "เปรียบได้กับ (จิตประภัสสร) กินง้วนดินครับ ถ้า พระพุทธเจ้า บัญญัติ อ้าง ตามพระไตรปิฎก 45 เล่ม ภาษาคน ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ตรัส "สื่อสาร" สมัยนั้น สมัยนี้  ปุถุชนอย่างเราๆ ท่านๆ  ที่ เป็นสัสสตทิฏฐิ   เกิด นานแล้ว ตามมหาตัรหาสังขยสูตร   ยัง เนื่องกับ ความเคยชิน  "จิตประภัสสร เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะ อุปกิเลส ที่ จรมา" (ตอนไหน ตาม มหาตัรหาสังขยสูตร  กำหนดเอง ตาม นิยามคำว่า  ยถาภูตสัมมัปปัญญา  นะครับ) ยัง เนื่องกับ ความเคยชิน  "ปฏิจจสมุปาท หรือ ปัจจยาการ แบบ วิสุทธิมัคคื  ที่ไม่ใช่อธิบายพระไตรปิฎก ตอนใดตอนหนึ่งดดยเฉพาะฎ ยัง เนื่องกับ ความเคยชิน "อภิธัมมัตถสังคหะ"  ปรมัตถ์ ๔ มี จริง  อนัตตานะ --แต่ ให้ สั่งสม กุสล คือ เรียนอภิธัม ๙ ปริเฉท --- อันเป้น มหากุสล ฯ  เพื่อเป็น อุปนิสยปัจจัย ---- เพื่อ อะไรๆ ในอนาคต ยุคพระพุทะเจ้าองค์ต่อไป นั้น                                      ข้างบน คุณนายอิ่ม  เห็นว่า การเปรียบ (คือการอธิบายธรรมเรื่อง จิตประภัสสร) ตาม กรอบที่คุณนายอิ่ม เสนอผม (ปัญญาแบบหนึ่งแหละ) ข้อความ -ไม่ว่าสมัยไหนจิตที่เกิดดับตลอดเวลาทั้งในกลางคืนและกลางวันของกุมารที่เพลิดเพลินในเวทนาอันเป็นตัณหานั้นเปรียบได้กับ จิตประภัสสรตอนกินง้วนดินครับ นั้น เป็นเหตุใกล้  ให้ ปุถุชน ที่เป็นสัสสตทิฏฐิ   ถอนมิจฉาทิฏฐินั้นได้ "ด้วย ข้อความที่เปรียบเทียบเช่นนั้น"  แล้ว  เลื่อนสู่ "สาสวาสัมมาทิฏฐิ"   หรือ              กำหนด คำว่า ------      เป็นเหตุใกล้   -----  นะครับ --------------------------------------------------------------------------------------------- http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11998361/Y11998361.html -ที่เป็นปฐมเหตุ ให้สูญเสียความเป็นประภัสสร (=เกิดความตั้งขึ้นแห่งวิญญาณ) ครั้งแรก ๆ สุด  ก็ตอนที่จิตประภัสสรกินง้วนดิน กินเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละที่สูญเสียความ เป็นประภัสสรครับ ความคิดเห็นที่ 70 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ถ้าปัจจุบันกำหนดที่ ครรภ์มารดา ก็ตามที่ตรัสคือ ตอนที่วิญญาณนั้นก้าวลงสู่ครรภ์ครับ ถ้าปัจจุบันกำหนดที่ จิตประภัสสร ก็ตามที่ตรัสคือ ตอนกินง้วนดินครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 13:05:33 [แก้ไข]                ---------------------------------------------------------- เพ่งตรงคำว่า  ก็ตอนที่จิตประภัสสรกินง้วนดิน กินยังไงครับคุณนายอิ่ม   แล้ว  ไม่ขัดกับ  -- จิตประภัสสร เข้าถึงความเศร้าหมอง เพราะ อุปกิเลส (อัน) เป็น (ดุจ) อาคันตุกะจรมา ฯ  หรือครับ         --------------------------------------------------------------------------                              พระบาลีพุทธภาษิต ปภัสสระมิทัง ภิกขเวจิตตัง  ---- คำไหน = จิตประภัสสรกินง้วนดิน ? อาคันตุเกหิ อุปกิเลเสหิ    ---- คำไหน = จิตประภัสสรกินง้วนดิน ?                               ครับ คุณนายอิ่ม จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 08:19:34

ความคิดเห็นที่ 8 มาแล้วๆ   จากคุณ : มองดูเพลิน เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:27:05

ความคิดเห็นที่ 9 เพ่งตรงคำว่า  ก็ตอนที่จิตประภัสสรกินง้วนดิน กินยังไงครับคุณนายอิ่ม   แล้ว  ไม่ขัดกับ  -- จิตประภัสสร เข้าถึงความเศร้าหมอง เพราะ อุปกิเลส (อัน) เป็น (ดุจ) อาคันตุกะจรมา ฯ  หรือครับ ------------------------------------------------------------- -อาคันตุกะจรมา โดยเมื่อผัสสะกับรสอร่อยของง้วนดิน ก็มีตัณหา อุปทานอยากกินต่อ ๆไป ก็เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ .... ทุกข์เหตุจากอวิชชาก็เกิดขึ้นครับ จิตก็จึงเกิดดับทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยอวิชชา เพราะติดใจในรสชาดง้วนดินนั้น ยิ่งกินก็ยิ่งหมอง ยิ่งกินก็ยิ่งโง่ด้วยอวิชชา เหตุเพราะไม่กำหนดรู้ ภิกษุรูปหนึ่งในธรรมวินัยพระศาสดา  สอนว่า "อย่าโง่เมื่อมีผัสสะ" พิจารณาตามที่ท่านสอนแล้วเข้าใจว่า  โง่เมื่อมีผัสสะก็ย่อมต้องอยู่ในปฏิจจสมุปบาท  จิตประภัสสรก็ย่อมมัวหมอง  เหตุแห่งทุกข์เกิดขึ้นไม่จบสิ้น  เข้าใจตามที่เสนอมานี้ครับ --------------------------------------------------------------- และ... ข้อความ -ไม่ว่าสมัยไหนจิตที่เกิดดับตลอดเวลาทั้งในกลางคืนและกลางวันของกุมารที่เพลิดเพลินในเวทนาอันเป็นตัณหานั้นเปรียบได้กับ จิตประภัสสรตอนกินง้วนดินครับ นั้น เป็นเหตุใกล้  ให้ ปุถุชน ที่เป็นสัสสตทิฏฐิ   ถอนมิจฉาทิฏฐินั้นได้ "ด้วย ข้อความที่เปรียบเทียบเช่นนั้น"  แล้ว  เลื่อนสู่ "สาสวาสัมมาทิฏฐิ"   หรือ             กำหนด คำว่า ------      เป็นเหตุใกล้   -----  นะครับ - ตอบลำบากครับเพราะยังใช้สุตตมยปัญญา+จินตมยปัญญา ในการพิจารณาอยู่  ซึ่งเมื่อเป็นสาสวาสัมมาทิฏฐิเมื่อใดผมคงทราบด้วยตนเองในขณะนั้นอย่างแน่ชัดว่า มี สาสวาสัมมาทิฏฐิแล้ว  (ไม่ต้องให้ผู้ใดพยากรณ์ตามมติพระมหาเทวะ ๕ ประการรูปนั้น) จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:29:42

ความคิดเห็นที่ 10 จิต กินง้วนดิน ตอนไหน กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร ข้างล่าง  คือ คำตอบ (ตอนที่กุมารนั้น โต แล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้) http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12019809/Y12019809.html อ้างที่... เพราะพระศาสดาตรัสสอนไว้จิตประภัสสรซึ่งมีปิติเป็นอาหาร (แน่นอนว่ายังไม่พ้นวิเศษ) ศึกษา พระสูตรที่ตรัส จิตประภัสสรเพียงพอ  ซิครับ จะ เข้าใจ ตามข้อความนั้น (กาลามสูตรนั่นแหละ) โดย ว่างจาก ความเคยชินแห่งจินตนาการเอาเอง                                 จากความจำ  ยังค้นพระสูตรนั้นไม่เจอ จิตประภัสสรพ้นวิเศษ  พระสูตรนั้น  เนื่องกับ อริยสัมมาสมาธิครับ  (โดยย่อ) ------------------------------------------------------------------------------------------ คำว่า อาหาร  มาจาก คำว่าอาหาโร  แปลว่า เหตุ  ไม่ใช่ แปลว่า สิ่งที่ กลืนกิน ทำนอง อาการคือ คำข้าว ------------------------------------------------------------------------------------------- จิตประภัสสรซึ่งมีปิติเป็นอาหาร  แปลว่า  จิตที่ผุดผ่อง (ของอริยสาวกผู้มีการสดับ รู้ชัดแล้วว่า พ้นวิเศษ ไม่ใช่ข่มไว้ได้ กำลัง มี จิตตภาวนาฯ) ----> ใน ขณะแห่งอริยสัมมาสมาธิ ขั้น รูปฌานที่ ๒  นั่นแหละ  จิตประภัสสร มี ปิติ เป็น เหตุ (อาหาโร / อาหาร)  ครับ (--- เสนอโดย นักอานาปานสติสมาธิ + สอบทานกับพระพุทธวจนะฯ) ส่วน มิจฉาสมาธิ  ลัทธิอื่น  เขาก้มี ปีติเป็นอาหาร (เหตุ)  -- จิตประภัสสรเช่นนั้น = ข่มไว้ได้ ครับ  ไม่ใช่แบบ อริยสาวก ที่พ้นวิเศษ ครับ (--- เสนอโดย นักอานาปานสติสมาธิ + สอบทานกับพระพุทธวจนะฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:50:10

ความคิดเห็นที่ 11 ข้างบน สรุป คุณนายอิ่ม เสนอ --- เพราะพระศาสดาตรัสสอนไว้จิตประภัสสรซึ่งมีปิติเป็นอาหาร (แน่นอนว่ายังไม่พ้นวิเศษ) ผมเสนอว่า "แน่นอนว่า พ้นวิเศษแล้ว" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:51:11

ความคิดเห็นที่ 12 พิจารณาว่าหากจิดประภัสสรนี้(ที่ต้องการชิมง้วนดิน)พ้นวิเศษแล้ว  อุปกิเลสเช่นความอยากชิมง้วนดิน จะเกิดขึ้นได้หรือครับ ? จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 06:55:21

ความคิดเห็นที่ 13 อุปกิเลสเช่นความอยากชิมง้วนดิน จะเกิดขึ้นได้หรือครับ ? ----------------------------------------------------------------------------------------------- อุปกิเลส  ใช่ กิเลส  คือราคะ โทสะ โมหะ หรือ?  คุณนายอิ่ม  ควร หาคำตอบเองได้ ด้วยการ ศึกษา พระสูตรหลายๆ พระสูตร ฯ อุปกิเลส - กิเลส -อนุสัยกิเลส -อาสวะกิเลส - สังโยชน์กิเลส -- ล้วน เนื่องกับ พระสูตร ที่ตรัส "จิตนี้ประภัสสร" ไว้ ๒ พระสูตร   มั๊งครับ คุณนายอิ่ม  ควร  ศึกษา พระสูตรหลายๆ พระสูตร ฯ ---------------------------------------------------------------------------------------- ง้วนดิน คือ ? ที่ตรัสแก่ [๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12019809/Y12019809.html คคห 9  ผมเสนอแล้ว ลองอ่านเล่นๆ ดูครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:06:43

ความคิดเห็นที่ 14 ผม ยกมาในกระทู้นี้ นะครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12019809/Y12019809.html ความคิดเห็นที่ 9 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน -ไม่ใช่ครับ จิตประภัสสรนั้นมีปิติเป็นอาหารอยู่แล้ว  แต่เมื่อมีง้วนดินเกิดขึ้น จิตประภัสสรนี้ก็พยายามกินง้วนดินที่เกิดขึ้น --------------------------------------------------------------------------------------------- คุณนายอิ่ม  จินตนาการเอาเอง  ทั้งสิ้น แล้ว อ้างอิง พระสูตร เพื่อ รองรับ มติ ทิฏฐิของตนเอง ส่วนผม  แค่ ซักค้าน + เสนอพระสูตรให้พิจารณา ก่อนตอบ -------------------------------------------------------------------------------------------- ตัวอย่าง (๑) จิตประภัสสรนั้นมีปิติเป็นอาหารอยู่แล้ว "ก่อนเข้าถึงความเศร้าหมองครั้งแรก" ใช่  มี ปีติ เป็นเหตุอยู่แล้ว -- อยู่แล้ว แบบ ปฏิจจสมุปบาท แบบ คร่อม ๓ ภพ ๓ชาติ  ตามที่อ้าง วิสุทธิมัคค์  ใช่หรือไม่ หรือ อ้าง ปรมัตถ์ ๔  มีจริง  แบบ อภิธัมมัตถสังคหะ ครับ "เข้าถึงความเศร้าหมองครั้งแรกปั๊ป" ใช่ มี ปิติ ที่มีมาก่อน คือมีอยู่แล้ว  "อยู่อีก"  ไหมครับ --------------------------------------------------------------------------------------------- แต่เมื่อมีง้วนดินเกิดขึ้น ง้วนดินคืออะไร --- ยกพระสูตรเสนอ -จากความเข้าใจ ที่ทรงตรัสสอนดังนี้ครับ     [๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ คุณนายอิ่ม  ว่า วาเสฏฐะและภารทวาชะ --- เป็น พระอริยสาวกของพระพุทะเจ้า ผู้รู้ชัดว่า จิตประภัสสร (หลังจากเป็นกุมาร ตามมหาตัณหาสังขยสูตรแล้ว) พ้นวิเศษแล้ว (ไม่ใช่ข่มไว้ได้)  หรือครับ? ดูที่อ้างหลวงปู่ดูลย์ เสนอไว้ ผมเคยอ้างแล้วฯว่า พระองค์ไม่วิวาทะกับโลก  แต่ โลก วิวาทะกับธรรมที่พระองค์ตรัส ------------------------------------------------------------------------------------------- พระสูตร ตรัสแก่ภิกษุ  คือ ดูก่อนภิกาุทั้งหลาย ที่คุณนายอิ่มอ้าง คือ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ตกลง ง้วนดิน  พระสูตรอื่น  คุณนายอิ่ม อ้างได้ไหม  ที่ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ง้วนดิน เป็นอย่างไรเล่า? -------------------------------------------------------------------------------------------- พระบาลีพุทธภาษิต ปภัสสระมิทัง ภิกขเวจิตตัง  ---- คำไหน = จิตประภัสสรกินง้วนดิน ? อาคันตุเกหิ อุปกิเลเสหิ    ---- คำไหน = จิตประภัสสรกินง้วนดิน ? ข้างบน  ผม อ้าง  ตรัสแก่ภิกษุสาวกของพระองค์ นะครับ คุณนายอิ่ม อ้าง ที่ตรัสกับ คนนอกศาสนานี้ คือ วาเสฏฐะและภารทวาชะ ------------------------------------------------------------------------------------------ ถ้า เมื่อไหร่ที่ วาเสฏฐะและภารทวาชะ  คือ ภิกษุผู้ อริยสาวก ผู้รู้ชัดว่า จิตประภัสสรพ้นวิเศษจากอุปกิเลส + จิตตภาวนาย่อมมี ตาม สัมมัตตะ๑๐ ผมมั่นใจว่า ทิฏฐิของ ภิกษุทั้งสอง คือ วาเสฏฐะและภารทวาชะ  จะ รู้ชัดว่า ง้วนดิน  ตามที่คุณนายอิ่ม อ้างนั้น "เป็น มิจฉาทิฏฐิ ของท่านทั้งสอง ในสมัยนั้น" ------------------------------------------------------------------------------------------- คำว่า ---- ง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ตรัสเช่นนั้น  ถ้า กำหนด ที่ อาหาร ๔  "เหตุ ๔" ปุตตมังสสูตร http://www.nkgen.com/778.htm ง้วนดิน คือ เหตุ (อาหาร / อาหารโร) คือ คำข้าว (ไม่ใช่ต้องเป็นข้าวอย่างเดียว) ที่เป็น "เหตุ" ปัจจัย เนื่องกับ "รูปขันธ์ ๑" ส่วน อีก ๓ เหตุ (อาหาร / อาหาโร) คือ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาหาร (เกี่ยวกับ จิตประภัสสร แบบไหน ตามที่ตรัส ประภัสสรไว้ ๒ พระสูตรฯ) ที่เป็น "เหตุ" ปัจจัย เนื่องกับ "นามขันธ์ ๓" (เวทนา สัญญา สังขาร คือ นามรูป) ที่สำคัญ  เรื่อง ที่ตรัส  มันเป็นเรื่องที่เป็น ทิฏฐิของ วาเสฏฐะและภารทวาชะ มาก่อน   ซึ่ง  พระองค์ ไม่วิวาทะกับ สิ่งที่บัณฑิด (ลัทธิอื่น) กล่าวว่ามี  (ชนิดที่ ไม่ใช่อกุศล)  และ ไม่วิวาทะกับสิ่งที่ สิ่งที่บัณฑิด (ลัทธิอื่น) กล่าวว่า ไม่มี  (ชนิดที่ ไม่ใช่อกุศล)                                            แปลว่า ไม่ทำชั่วทั้งปวง ที่บัณฑิด (ลัทธิอื่น) กล่าวว่ามี    ทรงรับว่า มี  (แต่ มีแบบไหนละ พ้นทุกข์ คือ อุปาทานขันธ์ได้ไหม?) ทำดีทั้งปวงให้ถึงพร้อม ที่บัณฑิด (ลัทธิอื่น) กล่าวว่ามี    ทรงรับว่า มี  (แต่ มีแบบไหนละ พ้นทุกข์ คือ อุปาทานขันธ์ได้ไหม?) ทำจิตให้ขาวรอบ (ตามโอวาทปาฎิโมกข์ ๓ ข้อ) ที่บัณฑิด (ลัทธิอื่น) กล่าวว่ามี    ทรงรับว่า มี  (แต่ มีแบบไหนละ พ้นทุกข์ คือ อุปาทานขันธ์ได้ไหม?)                                                    สรุป เวลา อ้างพระสูตรใด --- มีสติ อย่าอ้าง เพื่อ รองรับ ทิฏฐืของตนเอง ในเรื่องนั้น ผม นั้น แค่ เสนอ ป่า  + ต้นไม้  ให่ ท่าน ตัดป่า  อย่าตัดต้นไม้ ส่วนคุณนายอิ่ม ในเรื่อง จิตประภัสสร ง้วนดิน  ดูเมือนจาก "รักษาป่า" (สิ่งที่คุณนายอิ่มเสนอ) + อ้างต้นไม้ คือพระสูตรใดนั้น (เพียงพระสูตรเดียว)  เพื่อ รักษาป่าที่ตน สร้างขึ้น       --------------- หรือไม่  คุณนายอิ่ม ควรกำหนดรู้ได้เอง ----------- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) [Bloggang] เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:02:24 [แก้ไข] จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:07:44

ความคิดเห็นที่ 15 จิตประภัสสร  ตามที่ตรัส --อย่า มั่ว (แบบไหนก็ตาม) ว่า --- คือ จิต ๑๙  ตาม วิสุทธิมัคค์  ที่เสนอ วิญญาณกิจ ๑๔  ที่ได้แก่ คำว่า "ปฏิสนธิ" เพราะ ตามภาพ --------------------------------------------------------------------------------------------- จิตประภัสสร + กิน ง้วนดิน ถ้าอ้าง พระสูตร  ตามที่ตรัสแก่ ผู้ยังมีมิจฉาทิฏฐิ คือ วาเสฏฐะและภารทวาชะ จิตประภัสสร  ตรัสไว้สองพระสูตร (หาเองฯ) กำหนด ตาม อัสสุตวตาสูตร  ที่ เนื่องกับ  มหาตัณหาสังขยสูตร  แล้ว ไปสิ้นสุด พรหมจรรย์ ที่ จูฬสุญญตสูตร ด้วย รู้ว่า สัสสตทิฏฐิ  กับ สาสวาสัมมาทิฏฐิ  ต่างกันอย่างนี้ๆ (ด้วยจิตประภัสสร ที่พ้นวิเศษขั้นอริยสาวกผู้มีการสดับ --- ไม่ใช่แค่ ข่มไว้ได้ ฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 09:13:45