ความคิดเห็นที่ 1 ไม่มีคำว่า พระเจ้าเกิดขึ้นครับ เพราะคำว่า พระเจ้า เป็นคำที่มนุษย์ใช้เรียกแทน ผู้สร้าง แต่จะมีมนุษย์หรือไม่ ผู้สร้างก็ยังทรงมีอยู่ครับ เรามักเข้าใจว่า มนุษย์สร้างพระเจ้าจากความคิด แต่ไม่มีใครสร้าง อะไรจากความคิดได้ เราทำได้ เพียงเอาความคิดมาขับเคลื่อน สิ่งที่ถูกสร้าง หรือถูกเตรียมไว้ให้อยู่ตั้งแต่แรกเท่านั้น ถ้าไม่เชือ ก็ลองสร้างไข่ไก่สักใบ ด้วยความคิดดู ถ้าสร้างได้ ผู้สร้างก็สร้างจากความคิดได้ ไข่ไก่ที่ออกจากไก่ และ เราไม่สามารถสร้างไข่ไก่ได้จากความว่าง คือ สัญญาณหนึ่ง ที่เราได้รับจากผุ้สร้างครับ แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 20:54:33 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:53:41

ความคิดเห็นที่ 2 มนุษย์ใช้จินตนาการสร้างพระเจ้าขึ้นมาจากประสบการณ์ของมนุษย์  แต่นั้นไม่ใช้เงือนไขว่าจะเป็นสิ่งยืนยันว่าผู้สร้างไม่มีอยู่จริง     แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 22:14:42 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 21:29:35

ความคิดเห็นที่ 3 หากมีมนุษย์มากมายในโลก แต่ไม่มีตัวคุณ ย่อมไม่มีพระเจ้าสำหรับคุณ... พระเจ้าเหมือนเป็นพระเจ้า ของทุกคน แต่ความจริง พระเจ้าเป็นพระเจ้า ของคุณคนเดียว เพราะมีคุณ จึงมีพระเจ้า.. ไม่มีใครพาคุณไปหาพระเจ้าได้ นอกจากตัวคุณเอง... อยากรู้ว่ามีพระเจ้าหรือไม่ ลองฝึกนั่งสมาธิ จับลมหายใจ ปฏิบัติกรรมฐานดู จิตนิ่งดำดิ่ง สรรพสิ่งในธรรมะจักแสดง เห็นในวิปัสนาปัญญาญาณ สัมผัสจิตดั่งเดิมแห่งตน(วิญญูฮีติ) คำตอบจักพรั่งพรู เห็นจริงตามธรรมะ จะพบทางสามแพร่ง โลกกียะหรือโลกุตาละ...ทางไหนดีเลือกเอา หุหุ.. จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 21:55:28

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 01:04:14 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 01:03:14 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 01:00:47 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 00:59:41 แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 22:49:33 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 22:42:37

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 1 จากคุณ : Yaoharee [Bloggang] เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:53:41 [แก้ไข] ถูกใจ : Faraday, mce ------------------------------------------------------------------------- ผู้สร้าง ที่กล่าวถึง อย่างที่คุณว่า มนุษย์ได้บัญญัติคำเรียกว่า พระเจ้า แต่มนุษย์บางส่วน เรียกว่า ธรรมชาติ คือสิ่งที่เกินสติปัญญาของมนุษย์ จะหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้จึงจบลงที่คำว่าธรรมชาติสร้างและกำหนดทุกสรรพสิ่ง และมนุษย์ในส่วนนี้ได้พบว่ามีสาเหตุอย่างนี้ จึงเกิดผลเป็นอย่างนี้ มีสาเหตุอย่างนั้น จึงเกิดผลเป็นอย่างนั้น เป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องกันไป ไม่สิ้นสุด และธรรมชาตินี้มีทั้งคุณ และโทษ เช่นการให้อาหาร แสงแดด อากาศ และอื่น ๆ ที่เป็นคุณแก่มนุษย์ ในส่วนที่เป็นโทษของธรรมชาติ เช่น ความอดอยาก ภัยภิบัติต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้นธรรมชาติจึงเป็นอะไรไม่รู้ ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีจิตใจ แต่เป็นอะไรบางอย่าง ที่มนุษย์จนปัญญาจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้ แต่คำว่าว่าพระเจ้าที่ได้ยินมาคล้ายกับว่ามีตัวตน มีจิตใจ เพราะว่ามีความเมตตา กรุณา แต่ในส่วนที่โหดร้ายทารุณกับมนุษย์หรือสัตว์ ที่ท่านทรงสร้างขึ้นเอง ทางคุณจะอธิบายว่าอย่างไร เป็นประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่อย่างไร ข้อแตกต่างที่คิดว่ามีคงมีเพียงเท่านี้ครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 22:46:39

ความคิดเห็นที่ 6 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 01:03:34 แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 55 01:01:48 แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 23:10:34 แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 22:59:09 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 22:56:36

ความคิดเห็นที่ 7 ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณ คุณแมทท์ ที่ช่วยขยายความจาก คห.ของคุณ Yaoharee เรื่อง ลางสังหร เข้าใจครับเพราะเคยสัมผัสมาก่อน แต่ยังหาคำอธิบายให้ตัวเองไม่ได้ สำหรับความเห็นของคุณใจนิ่งก็อย่างที่คุณแมทท์แนะนำ เพราะอาจจะไปกระทบความรู้สึกของบางท่านได้ สำหรับผมเข้าใจที่คุณใจนิ่งต้องการกระทบ แต่มันไม่กระทบกับผมเลย แต่ผมคงไปรับรองแทนท่านอื่นที่มาอ่านพบไม่ได้ครับ   จะขอขยายความคำว่านิพพาน สักเล็กน้อย นิพพาน มีความหมาย ว่า สงบ เย็น ที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนเราครับ ที่ว่าสงบเย็น จากความร้อนรุ่มจากเพลิงกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยการรู้เท่าทันกิเลสที่เกิดในใจตน และรับทราบถึงความร้อนรุ่มที่เกิดจากมัน เมื่อตระหนักเห็นในโทษของกิเลส จิตจะละเองครับ คำนี้มีมาก่อนพุทธศาสนาจะเกิดครับ เข้าใจว่าเป็นคำในศาสนา พราห์ม แต่ความหมาย จะแตกต่างกันไปบ้างเมื่อทางพุทธนำมาใช้และให้ความหมายใหม่ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 23:17:49

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเองจะไม่อธิบายเรื่องนี้ในมุมมองของหลักวิชาการ แต่ผมขออธิบายตามความเข้าใจของผมอย่างนี้ว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนถึงอายุเลขสามมือใหม่ของผม สิ่งที่ผมได้เรียนรุ้ คือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วสูญเปล่า แต่ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งผมจะขอเรียกว่าใช้่คำว่าธรรมชาติเพือให้มองที่ภาพเดียวกัน ผมเองได้เรีนรุ้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวถูกสร้างและถูกทำลาย ล้วนเกื้อหนุนกันและกัน บางอย่างโดนทำลาย เพื่อให้บางอย่างเกิดใหม่ บางอย่างเป็นไปทางหนึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับบางสิ่งเพื่อเป็นไปทางหนึ่ง ฝนตก ต้นไม้ ธรรมชาติ แมลง มด จุลินทรีย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ อากาศ ทะเล ท้องฟ้า  หรือแม้แต่เหตุระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หรือความโชคร้ายของมนุษย์  ทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้น สิ้นสุด แล้วเชื่อมโยงกัน หมุนวนไปไม่สิ้นสุดเป็นเนื้อเีดียว สมดุลบนความไม่เป็นระเบียบ หรือ เป็นระเบียบในรุปแบบที่ปัญญาเราไม่เข้าใจ ดังเช่นเรื่องฝนวงกลมเล็กๆ ที่เราต้องใช้เวลาร่วมหลายพันปีเพื่อที่จะมีคนเข้าใจ แล้ววงที่ใหญ่กว่านั้น? สิ่งที่ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่าล้วนมีเหตุ และมันจะไม่สูญเปล่า และแน่นอน บางสิ่งที่เกิดนั้นโหดร้าย และบางสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เปี่ยมไปด้วยเมตตา อยู่ที่เราจะมองหาและเรียนรู้มัน พระองค์ให้วจนะผ่านอัลกุรอาน เพื่อให้เรารุ้คุณค่าของความเมตตาเหลานั้น แม้แต่เพียงเล็กน้อย ข้าวทุกเม็ดที่เรากิน อากาศทุกก้อนที่เราหายใจ มิตรไมตรี ทุกอ ย่างที่เราได้รับ เมื่อเราเข้าถึงสิ่งเรานี้ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน กับโลก กับธรรมชาติ และ เราจะใช้ชีวิต บนความไม่อหังการ สิ่งที่เราได้รับล้วนเป็นสิ่งที่  เรียกว่า ธรรมาชาิต เมตตาต่อมนุษย์ ในทางกลับกัน พระองค์ทรงให้เราอดทน ต่อสิ่งทีเ่ราเรียกว่าความโหดร้ายต่อธรรมาชาิติเช่นกัน เพราะ ทุกอย่างย่อมมีเหตุปัจจัย ที่มาและที่ไป  ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าแม้แต่ความตาย ทุกอย่างล้วนมีเหตุมีปัจจัยและมีที่มาเพื่อมีที่ไป นั่นความจริงของธรรมชาติที่เราต้องเรียนรู้และยอมรับ และเมื่อสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น กับเรา สิ่งที่เราต้องทำคือ ขอกับพระองค์ ให้เราอดทน และเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไป ด้วยจิตใจที่สงบ และเป็นจิตที่ยังเต็มไปด้วยความเมตตา ทั้งต่อตัวเองและ ผู้อื่น และ ต่อทุกสิ่งรอบตัว แม้แต่ความโหดร้าย ก็มีเหตุมีปัจจัย ที่มาของความเมตตา เรายังไม่เข้าใจ แล้วเราจะเข้าใจที่มาของความโหดร้ายได้อย่างไร ถ้าเรามองหาความเมตตาแบบโลกๆ เราก็จะมองหาความโหดร้ายแบบโลกๆ ทำให้เราขอแบบโลกๆ เช่นกัน ทางเดียวที่เราจะต้องเริ่มเข้าใจใหม่คือ กลับมาที่ธรรมาชาติ ชื่นชมและเฝ้าดู ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ดูความเชื่อมโยง ของสิ่งที่เราเรียกว่าความเมตา และความโหดร้าย เมื่อเราเชื่อมมันได้เป็นวงกลมแล้ว เมื่อนั้น น้ำก็จะไม่เต็มแก้วอีกเลย เพราะเราจะรุ้ตัวว่า เราไม่รุ้อะไรเลย เมื่อนั้นศรัทธาจะเกิดหรือไม่ คงเป็นเรื่องของเรากับธรรมชาตินั่นเอง ขอนำเสนอแบบนี้นะครับ ตรงหรือเปล่าไม่แน่ใจโปรดพิจรณา แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 23:22:39 จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 23:21:24

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดเห็นที่ 6 ความแตกต่าง ระหว่าง "เอกพลานุภาพ" กับ  "ธรรมชาติ" เป็นความแตกต่าง ที่เห็นได้อย่างชัดเจน, ธรรมชาติ" เราสัมผัสได้ แต่ "สภาวะของเอกพลานุภาพ นั้นเราสัมผัสไม่ได้ หรือไม่อาจจะจินตนาการได้,"  และ"เอกพลานุภาพนั้น" ควบ คุมกลไกและระบบต่างๆ ในการดำเนินอยู่ของธรรมชาติ จากคุณ : แมทท์ [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 22:56:36 [แก้ไข] : Faraday ------------------------------------------------------------------------------- แล้วที่ว่า สังหรณ์ใจ หรือ ลางสังหรณ์ จะเรียกว่าการสัมผัสได้กับ "เอกพลานุภาพ" หรือไม่ครับ คุณแมทท์หมายความถึงว่า พระเจ้า หรือ "เอกพลานุภาพ" นั้นควบคุมธรรมชาติ อีกชั้นหนึ่งหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมจินตนาการไปไม่ถึงจริง ๆ ครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 23:32:24

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนนี้น่าจะเห็นตรงกัน "กลับมาที่ธรรมาชาติ ชื่นชมและเฝ้าดู ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ดูความเชื่อมโยง ของสิ่งที่เราเรียกว่าความเมตา (สิ่งที่เป็นคุณ) และความโหดร้าย (สิ่งที่เป็นโทษ) เมื่อเราเชื่อมมันได้เป็นวงกลมแล้ว เมื่อนั้น น้ำก็จะไม่เต็มแก้วอีกเลย เพราะเราจะรุ้ตัวว่า เราไม่รู้อะไรเลย" (รู้แต่น้อยมาก) จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 23:51:41

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีมนุษย์ = ไม่มีพระเจ้า  น่าคิดนะ แล้วสิ่งอื่นละ   สัตว์ พืช อุบัติขึ้นมาเองหรือ??? จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 00:44:34

ความคิดเห็นที่ 12 จาก "เพราะคำว่า พระเจ้า เป็นคำที่มนุษย์ใช้เรียกแทน ผู้สร้าง"โดยคุณYaoharee จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 04:06:26

ความคิดเห็นที่ 13 พระเจ้าไม่ได้เกิดจากมนุษย์.. แต่มนุษย์ต่างหากที่เกิดจากพระเจ้า.. พระเจ้าอยู่ได้ ถ้าปราศจากมนุษย์  แต่มนุษย์จะไม่มีวันได้เกิดแน่ ถ้าไม่มีพระเจ้า.. ยิ่งนับวัน..คนเราก็ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเข้าทุกวันนะ.. จากคุณ : KalimantanMan เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 04:17:44

ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อก่อนจะเป็นพระเจ้า   ก็มีความดีมาก่อน  ต่อมาความดีเสียศูนย์  เลยกลายเป็นพระเจ้า   หรือพอจะพูดง่ายๆว่า พระเจ้าเสียศูนย์ นั่นเอง อธิบายอย่างนี้  --->  ... เมื่อก่อนหน้าจะมีพระเจ้า ก็มีความดี คือ  GOOD  ซึ่งจะเห็นว่ามีศูนย์ ๒ ตัว คือ  OO  ต่อมาเสียศูนย์ไปหนึ่งตัว จึงเหลือแต่  GOD  คราวนี้เลยยุ่งละซี เพราะ O หมายถึงความว่าง หมายถึงปราศจากกิเลส  เมื่อ O หลุดหายไป  กิเลสก็เลยกลับมา  ทีนี้ก็เลยต้องมาสร้างโลกอะไรวุ่นวาย  เต็มไปด้วยความโลภ  โกรธ หลง  ... ความโกรธ เช่น บันดาลให้น้ำท่วมโลก  ฆ่าคนตายแทบหมด ไม่แยกแยกว่าใครดีใครชั่ว เหลือแค่ครอบครัวของโนอาห์ แค่ ๘ คน เท่านั้น , ความโลภ เช่น อยากให้คนมานับถือตน  อยากมีชื่อเสียง  ก็สร้างคนขึ้นมาให้มานับถือตน เพราะไม่งั้นไม่รู้จะไปหาใครที่ไหนมาแสดงความนับถือให้สะใจได้ , ความหลงคือ   ไม่รู้ว่าโลกที่ตนเองสร้างมันหมุนไปยังไง   บอกว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาลและทุกๆสิ่ง ซึ่งผิดความจริง ... ทั้งๆที่ตนเองสร้างโลกขึ้นมาเอง แต่ไม่รู้ว่าโลกที่ตนเองสร้างเป็นยังไง เมื่อใดที่พระเจ้าเอา  O  กลับมาใส่ใจตนเองอีกให้ใจว่างปราศจากกิเลสอีก  นั่นคือความดีหรือ GOOD ก็จะกลับคืนมา  โลกนี้ก็จะสงบซะที  ... หมู่ชนในโลกที่ทำให้โลกวุ่นวายอยู่ตอนนี้ ก็คือหมู่ชนที่เชื่อในพระเจ้า นั่นเอง  ก่อการร้ายไปทั่วโลก ...  ตอนนี้  GOOD  กลายเป็น --->   GOD    โลกก็เลยย่ำแย่ไปหมด  เมื่อไหร่  GOD กลับมา---> GOOD อีกที  โลกคงจะสงบลง จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:00:39

ความคิดเห็นที่ 15 คุณFaraday คุณกำลังเข้าใจผิดคำว่าธรรมชาติ กับพระเจ้า พระเจ้าธรรมชาติตามความหมายของคุณ คือคนที่ที่นับถือดวงอาทิตย์ พระจันทร์ นับถพือ เทพเจ้าลม แสงแดด ประมาณนั้น แต่พระเจ้าในนามของคนที่เป็นชาวคัมภีร์คือ สิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติและเป็นพระผู้สร้างธรรมชาติ ขึ้นมา ดังนั้นพระเจ้าของชาวคัมภีร์มิใช่การขับเรือวนในอ่าง ติดกับดักกับคำว่าธรรมชาติ คุณลักษณะนึงของพระผู้เป้นเจ้าคือ มิสามารถจะเทียบงเคียงกับสิ่งใดๆได้ และพระผุ้เป้นเจ้ามิใช่ ผู้ที่ถูกสร้างแต่่เป็นผู้สร้างทุกอย่างในจักรวาลนี้ ก่อนที่ทำความเข้าใจในเรื่องอะไร ต้องทำความรู้จักนัยยะ ของคำนั้นก่อน ติดกระดุมเสื้อเม็ดแรกผิด ก็ผิดทั้งตัวนั้นแหละ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:15:11

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 13 พระเจ้าไม่ได้เกิดจากมนุษย์.. แต่มนุษย์ต่างหากที่เกิดจากพระเจ้า.. พระเจ้าอยู่ได้ ถ้าปราศจากมนุษย์  แต่มนุษย์จะไม่มีวันได้เกิดแน่ ถ้าไม่มีพระเจ้า.. ยิ่งนับวัน..คนเราก็ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเข้าทุกวันนะ.. จากคุณ : KalimantanMan เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 04:17:44 ------------------------------------------------------------- ขอเรียนถาม คุณ : KalimantanMan ในความเข้าใจของคุณแล้ว พระเจ้าคืออะไร และเกิดจากอะไรครับ การใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางเป็นสัญชาติญานปกติ ที่มีติดตัวของมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย เช่นหิวก็ต้องหาอาหารกินเอง มีภัยมาก็ต้องหลบภัยเอง มองเห็นและสัมผ้สสิ่งแวดล้อมได้ จากสิ่งที่ใกล้ตัวก่อน และที่ค่อยห่างออกไป และนี่คือที่มาของคำว่า เห็นแก่ตัวที่จะมาก่อนสิ่งอื่นใช่ไหมครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:21:07

ความคิดเห็นที่ 17 ท่านโซตาน  พระเจ้าไม่มีสักศูณย์ครับ ท่านโซตานเคยได้ยินคำปฏิญานตนของศาสนาอิสลามไหมครับ "ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮ์" ลาอิลา นั้น คือสถานะความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใดๆ ถ้าวันใดนิมิตรขึ้นมา ว่า พระเจ้าหน้าตาแบบนี้ หรือเป้นดวงแสงในนิมิตรขึ้นมา นั่นไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็น บระเจ้าโจ้ก เท่านั้น จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:22:22

ความคิดเห็นที่ 18 ความคิดเห็นที่ 15 ขอเรียนถามนะครับว่า พระเจ้าเป็นองค์เดียวกันทั้งหมดไหม ทั้งคริสต์ ยูดาย อิสลาม พราห์ม และอื่น ๆ ที่ศรัทธาในพระเจ้า ในความเข้าใจของคุณแล้ว พระเจ้าคืออะไร และเกิดจากอะไรครับ อีกข้อที่ขอเรียนถามคือ พระองค์ท่านมีพระประสงค์ใดในการสร้าง ทุกสรรพสิ่ง คือโลก จักรวาล ธรรมชาติ พืช สัตว์ และมนุษย์ ไม่ทราบว่าเป็นคำถามที่ถามได้หรือไม่ มีข้อห้ามอย่างไร ถ้ามีข้อห้ามไว้ ก็ขออภัย และ ขอยกเลิกคำถามนี้ครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:29:01

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 17 ท่านโซตาน  พระเจ้าไม่มีสักศูณย์ครับ ท่านโซตานเคยได้ยินคำปฏิญานตนของศาสนาอิสลามไหมครับ "ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮ์" ลาอิลา นั้น คือสถานะความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใดๆ ถ้าวันใดนิมิตรขึ้นมา ว่า พระเจ้าหน้าตาแบบนี้ หรือเป้นดวงแสงในนิมิตรขึ้นมา นั่นไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็น บระเจ้าโจ้ก เท่านั้น จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:22:22 ------------------------------------------------------------------------------------- คุณหมายความว่า "ลาอิลา นั้น คือสถานะความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใดๆ" พระเจ้า คือ ความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใด ๆ หรือครับ ผมฟังแล้วแปลความหมายได้ว่า ไม่มีพระเจ้านะครับ หรือผมหรือคุณ ใครเข้าใจผิด แก้ไขเมื่อ 29 เม.ย. 55 08:24:44 จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 07:37:05

ความคิดเห็นที่ 20 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 15:04:57 จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 08:36:59

ความคิดเห็นที่ 21 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 15:05:26 จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 08:41:15

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 20 จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย ------------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับคุณมะลิฯ ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทาย ยังจำความกรุณาที่มอบให้ จากการที่ผมถูกกระหน่ำในกระทู้เก่าได้ดี ฟังคำ และสำเนียงเจรจาด้วยอักษร ที่สื่ออย่างมีเมตตาแล้วชื่นใจ ทุกครั้งที่ได้สัมผัสในความเห็นที่แสดงครับ แม้บางครั้งจะรู้สึกดุไปบ้าง จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 10:37:14

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีครับคุณวิว สบายดีแล้วนะครับ เดินเหินระวังด้วยนะครับ อายุมากแล้ว ต้องระวังมากหน่อย จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 13:07:20

ความคิดเห็นที่ 26 5555555555555555++++ สมเป็นปาซี่วิวจริง ๆ เลย จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 14:35:33

ความคิดเห็นที่ 28 จะรับไว้พิจารณา ขอไอเดียบ้างซิ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 18:42:25

ความคิดเห็นที่ 29 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 15:06:34 จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 19:28:17

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีคำว่า ท้องฟ้า ภูเขา กาแล็กซี่ จักรวาล นั่นเพราะ สัตว์ไม่รับรู้ หรือรับรู้ไม่ได้ว่า สิ่งนั้นมี หรือไม่รู้จะกำหนดคำว่าอะไร หรือไม่ใส่ใจจะกำหนดคำนั้นให้ แต่สิ่งนั้นมีอยู่ เช่นกัน เมื่อใครไม่รู้ว่ามีพระเจ้า รับรู้ไม่ได้ ไม่ได้นึกถึง ก็ไม่ได้แปลว่าพระองค์ไม่มีนะครับ การไม่รู้ว่ามี กับไม่มี มันไม่เหมือนกัน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 19:52:31

ความคิดเห็นที่ 32 ผมด้วยคน ไม้เรียวมาแล้ว หลบก่อนดีกว่า อย่างรวดเร็ว เฟี้ยววววววว................... จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 09:22:24

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีคำว่า ท้องฟ้า ภูเขา กาแล็กซี่ จักรวาล นั่นเพราะ สัตว์ไม่รับรู้ หรือรับรู้ไม่ได้ว่า สิ่งนั้นมี หรือไม่รู้จะกำหนดคำว่าอะไร หรือไม่ใส่ใจจะกำหนดคำนั้นให้ แต่สิ่งนั้นมีอยู่ เช่นกัน เมื่อใครไม่รู้ว่ามีพระเจ้า รับรู้ไม่ได้ ไม่ได้นึกถึง ก็ไม่ได้แปลว่าพระองค์ไม่มีนะครับ การไม่รู้ว่ามี กับไม่มี มันไม่เหมือนกัน จากคุณ : Carroth [FriendFlock] เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 19:52:31 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------ การที่มีอยู่ กับไม่รับรู้ว่ามี ก็ไม่มีผลอะไรกับความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนเช่น ถ้ามีชีวิตในโลกอื่น จักรวาลอื่น การที่มนุษย์ในโลกไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ก็ไม่มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์นะครับ แต่ถ้าไปเชื่อว่ามีโดยยังไม่เคยเห็นหรือรับทราบทางใดทางหนึ่งด้วยตนเอง ปัญหาจะเกิดกับมนุษย์ เพราะจะเริ่มคิดว่า มนุษย์ต่างดาวจะมาโจมตีโลกใหม จะมีโอกาสเกิดขึ้นเมื่อใด จะคิดวิธีป้องกันอย่างไร โอ้ย ปัญหาจะตามมาอีกนับไม่ได้เลยทีเดียว จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 09:35:32

ความคิดเห็นที่ 34 ขอถามชาวมุสลิมหน่อยนะครับว่า ศาสนาอิสลาม มองว่ามนุษย์ที่เกิดมาตายไปแล้ว จะไปกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือไม่  อีกเรื่องคือ การกระทำในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ใครเป็นคนกำหนด พระเจ้า หรือมนุษย์เลือกเอง ทั้งในเเง่เหตุในการกระำำทำ และผลที่ได้รับ จากคุณ : แล้วทำไม12 เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 11:14:37

ความคิดเห็นที่ 35 ไปๆมาๆ ไม่ว่าพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในศาสนาใดๆ ก็ช่วยไม่ได้ทุกอย่าง แค่ช่วยได้บางกรณีเท่านั้น.........ก็ดูเอาโลกทั้งโลกวุ่นวายขนาดไหน ไม่เห็นมีสุขที่แท้จริงเลย ถ้าใครบอกว่าพระเจ้าของเขาดีที่สุด แล้วมีคนบอก ถ้าดีที่สุดก็จงช่วยใครคนรวยทั้งโลกซิ ก็เป็นไปไม่ได้อีก......เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 11:39:11

ความคิดเห็นที่ 36 ต่างกันแน่นอนครับ การมีหรืไม่มี เพราะ พระเจ้าก็คือผู้สร้าง และวางกฎเกณฑ์ต่างๆ ดังนั้น เราย่อมต้องรู้ว่า พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทำอะไร ไม่ใช่ ใช้ชีวิตไปวันๆ หนีทุกข์ไปวันๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเราทราบที่มา เราก็สามารถหาว่าเรามีเป้าหมายคืออะไร และย้ำว่าพระเจ้าไม่ใช่โดเรม่อน ไม่จำเป็นต้องตามใจมนุษย์ทุกเรื่องนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 11:57:14

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบคุณแล้วทำไม มนุษย์ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดครับ และมนุษย์ได้รับอิสระในการเลือก ในการกระทำต่างๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 11:58:03

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 19 ลาอิลา นั้น คือสถานะความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใดๆ" พระเจ้า คือ ความไม่มี ความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ใด ๆ หรือครับ ผมฟังแล้วแปลความหมายได้ว่า ไม่มีพระเจ้านะครับ หรือผมหรือคุณ ใครเข้าใจผิด ........ ตอบ ไม่ใช่ครับ لا إله إلا الله อ่านว่า " ลาอิลา หะอิลลัลลอห์ "   แปลว่า " ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ " ประโยคนี้มีทั้งการปฏิเสธและการยอมรับ "ไม่มีพระเจ้าอื่นใด"  คือการปฏิเสธการเคารพสักการะสิ่งอื่น "นอกจากอัลลอฮ์"   คือยอมรับและยืนยันว่าจะเคารพสักการะอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว จากคุณ : SalaDin (A.TheRipper94) เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 12:44:09

ความคิดเห็นที่ 39 แล้วคุณจิมไปเอาคำแปลมาจากใหน แปลเอง หรือฟังมาจากที่ใด แต่ความหมายดีนะคล้ายคำว่าสุญยตา และบางทฤษฎี ที่ว่าจักวาลเกิดจากความว่างเปล่า จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 15:15:13

ความคิดเห็นที่ 40 ตอบคุณ Faraday ตาม ความคิดเห็นที่ 13 นะครับ... พระเจ้า คือ ผู้สร้าง..   สร้างทุกสรรพสิ่ง..   ส่วนจะสร้างยังไงนั้น ก็คงต้องพูดกันยาว   และอีกคำถามที่ว่า พระเจ้าเกิดจากอะไร..   คุณลักษณะของพระเจ้า คือ ไม่ถูกให้เกิด และไม่ตาย   ถ้า พระเจ้ามีเกิด แสดงว่า เค้าคือผู้ถูกสร้าง นั้นไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง การเกิดและการตาย กลายเป็นเรื่องพื้นฐาน และเป็น หลักที่เรายึดสำหรับทุกสรรพสิ่ง  แต่ไม่ใช่สำหรับพระเจ้า..   จิตสำนึกของคน แค่ นึกให้ได้ว่า "ไม่ได้ทำให้เกิด แล้วจะมีอยู่จริงได้หรอ"  จะให้หลุดจากประโยคนี้ได้ ก็สาหัสแล้ว  ถ้ายังหลุดไม่ได้ ก็ไม่ต้องตามหาหรอก พระเจ้านะ  เพราะยังไงๆ ก็เจอแต่ขอเก๋... แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 55 02:21:26 จากคุณ : KalimantanMan เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 55 02:20:11

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ KalimantanMan และอีกคำถามที่ว่า พระเจ้าเกิดจากอะไร..   คุณลักษณะของพระเจ้า คือ ไม่ถูกให้เกิด และไม่ตาย ฟังคล้ายกับคำว่าธรรมชาตินะ ธรรมชาติคงไม่มีวันตาย เมื่อไม่มีวันตาย ก็ไม่ต้องมีวันเกิด นี่คงเป็นขีดจำกัดของสติปัญญามนุษย์เราที่จะคิดต่อไปได้ สรุปว่า คนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็คงไม่ผิด คนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็คงไม่ผิด เช่นกัน ขึ้นกับพื้นฐานความคิด และประสบการณ์ของตน จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 55 08:54:41

ความคิดเห็นที่ 42 การตีความมันอยู่กับว่า ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว หรือไม่ ถ้าตั้งธงคือไม่มี ต่อให้อธิบายเท่าไหร่ มันก็ตะแบงเอาข้างถูว่าไม่มี เพราะคิดได้เท่านี้มันก็มีอยู่เท่านี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 55 22:04:45

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ Faraday ครับ... ก็อาจจะถูกนะครับ..   เพราะทุกอย่างที่เราคุยนั้น ส่วนใหญ่เค้าจะถือว่าเป็นความเชื่อ... ความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเฉพาะกลุ่ม หรือความเชื่อตามสามัญสำนึก.... ความเชื่อที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะสายไหน ศาสนาไหน ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป.. แต่สุดท้าย ความเชื่อ ก็หนีจากความจริงไม่ได้...   ในวันนี้ เราพยายามจะอธิบายความเชื่อ  หรือจะอธิบายความจริง เราจะหาความเชื่อ หรือจะหาความจริง.. ใครที่มีความเชื่อบรรจบกับความจริง   ผู้นั้นคือผู้ที่ไม่ขาดทุน.. จากคุณ : KalimantanMan เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 01:52:55

ความคิดเห็นที่ 44 ใครที่มีความเชื่อบรรจบกับความจริง   ผู้นั้นคือผู้ที่ไม่ขาดทุน.. จากคุณ : KalimantanMan ----------------------------------------------------------------- คำคมประจำวัน ค่อนข้างจะเห็นด้วยครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 10:51:06