Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ฉลองอีสเตอร์แบบชาวพุทธ (ตอนจบ) ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11993134/Y11993134.html
=================================
ตอนที่ 2
=================================
 
เช้าแล้ว ผมเดินออกมาจากอุโบสถ  แสงแดดยามเช้าถักทอแสง ขับไล่ความหนาวเย็นให้ค่อยๆจางหายไป  ผมเดินไปที่ศาลาโรงฉันไปดูว่าเผื่อจะมีงานอะไรที่ผมพอจะช่วยทำได้บ้าง      ที่ศาลา ตอนนี้มีคนมากันเยอะแล้ว  พวกอุบาสิกากำลังจัดเตรียมอาหารจังหันกันอย่างขะมักเขม้น  (สำหรับมื้อเช้านี่  พระที่นี่จะฉันอาหารเบาๆ จำพวกซีเรี่ยล กับขนมปังนิดหน่อย)   ผมก็ไม่รู้จะไปช่วยอะไร ก็เลยยืนเก้ๆกังๆจนพี่คนที่ไปปฏิบัติเมื่อคืนทักว่า  เมื่อคืนได้อยู่ปฏิบัติธรรมทั้งคืนรึเปล่า  ผมก็ตอบไปว่า ครับ   เท่านั้นแหละ พวกพี่ๆในครัวก็ 'อู้หู' เป็นเสียงเดียวกัน  ...ผมก็เขินดิครับ  เลยเลี่ยงๆออกมาเดินเล่นข้างนอก

หลังจากกินหนมปังอะไรรองท้องเรียบร้อยแล้ว  ผมก็ไปเปลี่ยนชุดทำงานแล้วก็ไปที่ไซท์งานต่อ เห็นมีคนมาช่วยสองสามคน(คนศรีลังกาเจ้าเก่า)  ผมก็เลยไปช่วยเค้าเกลี่ยดินต่อ   ทำไปซักพักก็มีคนมาช่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   ลุงฝรั่งแก่ๆคนหนึ่งก็มาช่วยตอกหลักทำแบบหล่อพื้นกับเค้าด้วย    แม้เรี่ยวแรงแกจะไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่  แต่แรงใจแกนี่เต็มร้อยครับ  

เราช่วยกันทำไป จนถึงสิบโมงกว่าๆ ก็ได้เวลาแยกย้ายไปทำกิจช่วงเช้า พระท่านก็ต้องไปเตรียมตัวบิณทบาต  ส่วนญาติโยมก็ไปช่วยกันตระเตรียมอาหารใส่บาตรกัน     ผมก็ไปเปลี่ยนชุด  แล้วก็ไปช่วยกวาดลานวัด  
หลังจากใส่บาตร  รับประทานอาหารกลางวัน  และช่วยกันเก็บกวาดล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว  ผมก็ไปเปลี่ยนชุดทำงาน และไปที่ไซท์ต่อ  คราวนี้มีคนมาร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้น   สงสัยคงเพราะเป็นวันเสาร์ด้วยล่ะมั้ง    

พวกเราแรงงานอาสา ต่างคน ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัย (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนศรีลังกา)  แต่ต่างก็ล้วนมีหัวใจเดียวกัน   นั่นก็คือช่วยธำรงค์พุทธศาสนาอันเป็นที่รักให้ยั่งยืนสืบต่อไป     ... ระหว่างทำงาน  เราก็พูดคุยสนทนากันไป      มีคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า  เมื่อคืนเค้าพักที่กุฎิริมหนองน้ำใหญ่  พอตอนรุ่งเช้า  รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดเบาๆที่ขา  ก็นึกว่าคิดไปเอง   ซักพักก็รู้สึกเหมือนโดนสะกิดอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าเดิม  เค้าก็เลยรีบลุกขึ้นมา  คิดว่าสิ่งนั้น คงจะเรียกให้เค้าลุกไปปฏิบัติธรรม    พอไปถามครูบาท่านหนึ่ง  ท่านก็บอกว่า กุฎินั้นเป็นกุฎิรับรองครูบาอาจารย์หลังเก่า  คนนอนกุฏินั้นเจออย่างนี้ประจำแหละ  ท่านว่าอาจจะเป็นพญานาคที่อยู่ในหนองน้ำแห่งนั้น  เค้าไม่ทำอะไร แต่จะมาเตือนให้ขยันไปปฏิบัติธรรม          

มีอยู่คนหนึ่ง  ไม่รู้ว่าไปได้ยินใครพูดมา  เค้าถามผมว่า  เมื่อคืนนี้อยู่ปฏิบัติธรรมทั้งคืนเลยเหรอ  ผมก็ตอบว่าใช่   ทีนี้เค้าก็ไปป่าวประกาศให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่ทำอยู่ตรงนั้น  พวกนั้นก็ตื่นเต้นกันใหญ่ อย่างกับไปเจอเรื่องประหลาดอะไร    บางคนก็ถามว่า นั่งทั้งคืนไม่เมื่อยบ้างเหรอ เมื่อวานก็ทำงาน  แถมวันนี้ก็ยังมาทำงานอีก  ผมก็บอกเค้าไปว่ามันก็เมื่อยบ้างแหละ  แต่ถ้าเมื่อยมากๆ  ก็ลุกไปเดินจงกรมซักพักแล้วมานั่งต่อ    เค้าก็เลยบอกว่า  คุณนี่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราเลยนะเนี่ย  เราจะต้องทำให้ได้แบบนี้มั่ง  แล้วก็ถามผมว่า   คนไทยส่วนใหญ่ชอบปฏิบัติ(เนสัชชิก)กันแบบนี้เหรอ  ผมก็ตอบไปว่าก็มีอยู่บ้าง  ส่วนใหญ่จะอยู่ปฏิบัติกันในวันพระ ( ก็จริงนะ ผมดูจากโยมที่วัดป่าอัมพวัน ที่ผมไปบวชมา  )
 
แล้วเราก็ได้คุยแลกเปลี่ยนความรู้ทางวัฒนธรรมกันไปเรื่อย  ขณะที่มือต่างคนต่างก็ทำงานไม่หยุด  ....  ผมได้รู้ว่าชาวพุทธที่ศรีลังกานั้นถือศีล 5 ค่อนข้างเคร่งครัด   ดังนั้นเราจะไม่ค่อยเห็นพวกเขาดื่มเบียร์ดื่มเหล้ากันเท่าไหร่  กระทั่งบุหรี่ พวกเค้าก็ไม่สูบกัน  เค้าบอกว่าสำหรีบชาติเค้า  สูบบุหรี่ก็ถือเป็นการผิดศีลข้อห้าเหมือนกัน        ผมยังได้รู้อีกว่า ที่ศรีลังกานั้น  การบวชไม่ได้ทำกันง่ายๆ อย่างเมืองไทย   พระที่นั่นหากเป็นแล้ว จะต้องเป็นไปตลอดชีวิต  หากสึกออกมาแล้ว จะถูกสังคมตีตราด้วย ' ฐานะทางสังคม 'ที่ต่ำกว่าคนปกติ  (พวกเค้าเองก็แปลกใจเหมือนกันที่ได้ยินว่า คนไทยสามารถบวชแค่ชั่วคราวได้)        

พอทำงานกันจนเหนื่อยล้า  ก็ได้เวลาพัก tea time     ซึ่งตามปกติแล้ว ธรรมเนียมชาวออสซี่นั้น จะมานั่งซดเบียร์ ดูดบุหรี่กัน     ของพวกเราก็มีเหมือนกันครับ  แต่เป็น Ginger beer (ชื่อว่าเบียร์ แต่ไม่ใช่เบียร์นะครับ)  ใครไม่รู้เอามาถวาย   พอดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมือทำงานกันต่อ
พวกเราช่วยกันทำแบบแนวทางเดินคอนกรีตไปได้เยอะแล้ว      ช่วงบ่ายมีรถเอาเหล็กตะแกรง (mesh) มาส่ง  ครูบาญาณาบอกว่าเราจะลองวางเหล็กตะแกรง*กันวันนี้เลย   แล้ววันหลังค่อยจ้างคนมาเทคอนกรีต  ผมถามว่าท่านทำทำเป็นด้วยเรอ ทำไม่ไม่จ้างช่างมาทำ  ท่านก็บอกว่า  ท่านเคยจ้างช่างมาหล่อคอนกรีตทำทางเดินเมื่อคราวก่อน  ซึ่งท่านก็ถามเค้าว่าทำยังไง  แล้วขอเค้าลองทำดู   แล้วท่านก็เลยครูพักลักจำมา   มีคนนึงแซวว่า  ช่างคนนั้นคงไม่รู้ซะแล้วว่า เค้าคงจะถูกจ้างครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย      (...เพราะพวกเรามาแย่งงานเค้าไปหมด)  
(*เหล็กตะแกรง หรือ mesh เป็นเหล็กเส้นขนาดเล็กๆที่สานไขว้กันคล้ายตะแกรง  ใช้เป็นโครงสำหรับหล่อพื้น)

ผมกับเพื่อนชาวศรีลังกา(ที่เป็นช่างไฟ)อาสาไปช่วยเค้าตัดเหล็กตะแกรง  ออกมาเป็นแถวขนาดพอดีกับร่องทางเดินที่ทำเอาไว้ โดยใช้กรรไกรตัดเหล็กอันยักษ์ที่ครูบาญาณาเตรียมไว้ให้   ตอนแรกผมก็ทำไม่เป็นหรอก  แต่ช่างไฟคนนั้นเค้าสอนให้  

พอตัดเสร็จแล้วก็เอาเหล็กที่ตัดไว้ไปวางตามทาง   ตัดเล็มออกบ้างตามแนวที่มันโค้ง  จากนั้นก็ทำการผูกเหล็ก  ครูบาญาณาสาธิตวิธีการผูกเหล็ก  ด้วยการใช้ลวดเส้นเล็กๆผูกโยงเหล็กตะแกรงสองชิ้นให้ยึดติดกัน     แล้วก็ใช้เครื่องมืออีกชิ้น เป็นแท่งหน้าตาประหลาดโดยมีตะขออยู่ตรงปลาย  วิธีใช้ก็คือ เอาตะขอไปเกี่ยวกับลวดที่พันไว้  หมุนบิดซักสองสามทบ แล้วก็ดึงลวดนั้นแรงๆ  มันจะขันลวดนั้นให้มัดยึดเหล็กกับเหล็กเส้นอย่างแน่นหนา    ...ก็ดีเหมือนกันแฮะได้ประสบการณ์ใหม่   ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่าเค้าทำกันแบบนี้

ระหว่างที่เราทำงานกันอยู่นั้น  บางครั้งบางคราว หลวงพ่อท่านก็จะแวะเวียนมาดู  มาให้กำลังใจลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นระยะๆ   ซึ่งก็ทำให้พวกเรามีกำลังใจทำงานได้ขึ้นมามากเลยทีเดียว        

ผมช่วยตัดเหล็ก ยกเหล็กไปวางในแบบ และ ผูกเหล็ก ไปจนถึงเย็น    เสร็จแล้วครูบาญาณาท่านก็แนะว่า ให้ลองเอารถเข็นมาลองวิ่งดูว่าสะดุดตรงไหน รึเปล่า   ตรงช่วงทางเลี้ยวที่ตีวงแคบๆ จะแล่นผ่านไปได้สะดวกมั้ย  หากติดขัดตรงไหนก็ต้องหาทางแก้ใหม่จนกว่าจะดี    ท่านบอกว่า ที่ต้องทำแบบนี้เพราะเวลาเข็นรถเทคอนกรีตจะได้สะดวกๆหน่อย

เราเลิกงานกันตอนประมาณ  ห้าโมงกว่าๆ   เพราะห้าโมงครึ่งจะเป็นเวลาฉันน้ำปานะ    ก็เลยแยกย้ายกันไปทำกิจส่วนตัวก่อนจะไปรวมกันที่ห้องฟังเทศน์  ที่จัดไว้สำหรับฉันน้ำปานะ

สำหรับธรรมเนียมการฉันน้ำปานะที่นี่ก็  คล้ายกับวัดสาขาอี่นๆ  นั่นก็คือ จะนั่งเรียงตามลำดับพรรษาไป  แต่ที่นี่จะจัดเป็นวง   วงหนึ่งเป็นของพระสงฆ์    ส่วนอีกวงเป็นของสามเณร ผ้าขาว และญาติโยมที่มาอยู่ปฏิบัติธรรม     ส่วนปานะนั้นก็มี พวกน้ำผลไม้  ชา กาแฟ  พวกของแห้ง อย่างเช่น ลูกพรุน  ดาร์คชอคโกแลต  ชีส  และผลไม้แช่อิ่มที่ผมไม่รู้จัก   พวกปานะพวกนี้แม้บางอย่างจะเป็นของที่เคี้ยวได้  แต่ก็ไม่ผิดพระวินัยของพระป่า  เพราะถือว่าเป็นยารักษาโรค

หลังจากกินกันไปได้ซักพัก  หลวงพ่อท่านก็มา  พูดคุยกับพระลูกวัดตามสมควร  หากใครมีปัญหาในเรื่องการปฏิบัติ ก็สามารถยกขึ้นมาถามท่านได้   แต่วันนั้นไม่มีใครถามอะไร   พอกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็ช่วยกันเก็บภาชนะข้าวของให้เข้าที่  แล้วก็แยกย้ายกันไป    ก่อนจะมารวมกันอีกครั้งในตอนทำวัตรเย็นที่อุโบสถ     ระหว่างนี้ผมถามหากุญแจกุฏิจากครูบารูปหนึ่ง  ท่านก็บอกว่าให้ไปถามท่านจิตปุญโญ   แต่ตอนนี้ท่านคงไปที่อุโบสถแล้ว  ให้ไปถามตอนทำวัตรเย็นเสร็จแล้วก็ได้    

ผมก็ไปที่ตู้เก็บของเพื่อเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยน  แล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัว    จากนั้นค่อยขึ้นไปที่อุโบสถ  เพื่อไปนั่งสมาธิ  และสวดมนต์ทำวัตรเย็น    พอสวดเสร็จ  ก็มีครูบารูปหนึ่งเรียกผมไปคุยด้วย  คงจะเป็นท่านจิตปุญโญ  ท่านก็พาผมไปดูที่พัก  ซึ่งคราวนี้เป็นห้องที่อยู่ในอุโบสถด้านหลัง   จริงๆผมอยากจะอยู่กุฏิกลางป่า  แต่ในเมื่อท่านให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็ไม่ขัดข้อง (เป็นศิษย์พระป่า ต้องไม่เรื่องมาก)  แล้วท่านก็เอาผ้าปูนอน หมอน ผ้าห่มมาให้  มีฮีทเตอร์ในห้องเสร็จสรรพ ท่านบอกว่าผ้าที่นี่เปลี่ยนใหม่ตลอด   (สะอาดจริงๆ) หากใช้เสร็จแล้วให้ถอดออกให้หมด  แล้วเอาไปซักเครื่องซักผ้าที่ Cabin   ท่านยังบอกอีกว่า  ถ้าหากกลัวพื้นไม่สะอาด ให้ไปเอาเครื่องดูดฝุ่นมาดูดได้  ....ผมก็ถามท่านว่า  ผมถือศีล 8 อยู่  ผมควรจะนอนพื้นหรือไม่   ท่านตอบว่า  นอนเตียงก็ได้   ที่เมืองนอก อากาศหนาว ไม่เหมือนเมืองไทย  ท่านบอกว่าท่านก็เคยลองนอนพื้นเหทือนกัน  แต่ลมหนาวจากข้างนอกมันจะลอดใต้ประตูเข้ามา  ทำให้ไม่สบายได้   แล้วท่านก็ว่า เตียงแบบนี้ไม่ผิดวินัยสงฆ์หรอก  เนื่องจากเป็นเตียงที่ไม่สูงมาก แล้วก็มีเพียงฟูกบางๆปูข้างบน  ไม่ใช่เป็น mattress หรือพื้นเตียงนิ่มๆ ที่ทำให้นอนสบาย (จริงๆท่านพูดถึงรายละเอียดเยอะกว่านี้  แต่ผมจำไม่ได้ )   แล้วท่านก็บอกว่าถ้าจะเอาผ้าคลุมเตียงมาปูนอนกับพื้น  ท่านก็ไม่อนุญาตเช่นกัน  เพราะว่าตอนกลางคืน เกิดของเสียอะไรไหลออกมาจากร่างกาย  มันจะทำให้พรมเปื้อน แล้วจะทำความสะอาดลำบาก     ซึ่งตรงนี้ ...หากฟังเผินๆ คำพูดท่านอาจจะฟังดูแปลกๆ  แต่ถ้าพิจารณาดีๆ แล้ว  ผมคิดว่าท่านกำลังสอนอนิจจังให้กับผมไปด้วย  ว่าแม้กระทั่งร่างกายที่เราคิดว่ามันยังแข็งแรง  เอาเข้าจริงๆแล้ว เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย  ...เอาเข้าจริงๆผมอาจจะนอนๆอยู่แล้วตายไป  ของเสียไหลออกทางทวารออกมาเลอะเทอะอย่างที่ท่านว่าก็ได้  อะไรมันก็ไม่แน่  

คืนนั้นผมก็เลยเอาของไปเก็บที่ห้อง  เดินลงไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ   แล้วกลับมานั่งสมาธิซักหน่อย  จากนั้นจึงเข้านอน .....  แม้จะไม่ค่อยสบายนัก  แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน (แถมเมื่อคืนก็ไม่ได้นอน) ก็เลยผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

วันรุ่งขึ้น  

...วันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องกลับแล้ว  ช่วงเช้าของผมก็เลยง่วนอยู่กับการซักผ้าพวกผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม  และ working clothes ที่สำหรับใส่ตอนทำงาน   โดยพวกเครื่องนอนนั้นผมสามารถซักเครื่องซักผ้าได้  (ที่เครื่องมีป้ายเขียนบอกว่า Sangha only และผมก็ขออนุญาตแล้วด้วย )  แต่ส่วนพวกชุดทำงานนี่ผมใช้ซักมือเอา    

ซักเสร็จแล้วก็เอาผ้าไปตาก  พอดีเห็นถังใส่พวกสบงจีวร เครื่องนุ่งห่มของ
พระที่ซักแล้ว วางอยู่ใกล้ๆ  ผมก็เลยถือโอกาสเอาไปตากให้ด้วยซะเลย  เสร็จแล้วก็เดินเข้ามา  พอดีเห็นครูบาฝรั่ง(จริงๆก็ฝรั่งหมดแหละ)รูปหนึ่ง  กำลังนั่งตัดรูปครูบาอาจารย์อยู่  ผมก็เลยไปนั่งใกล้ๆแล้วถามว่านี่รูปหลวงพ่ออะไร  ท่านก็ตอบเป็นภาษาไทยว่า  นี่คือรูปครูบาศรีวิชัย  แล้วผมก็ชวนท่านสนทนาธรรมซักพัก  ได้ความว่าท่านชื่อธัมธโร (ถ้าจำไม่ผิดนะ) บวชมาได้หกพรรษาแล้ว  เคยไปอยู่เมืองไทยหลายปี ที่วัดสาขาหนองป่าพง และวัดป่าแห่งหนึ่งที่ภาคอีสาน   ท่านบอกว่าท่านชอบเรียนภาษาไทย  ท่านอ่านและเขียนหนังสือไทยได้เยอะเลย  (ดูจากที่ท่านเขียนคัดลอกบทความธรรมะ ในสมุดบัยทึกของท่านเองแล้วก็คงไม่น่าแปลกใจนัก)  แล้วผมก็ถามท่านว่า  ได้ยินมาว่าท่านไปเดินธุดงค์มาเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นไงบ้าง  ท่านก็เล่าประสบการณ์ธุดงค์ที่นี่ให้ฟังว่า ท่านเดินธุดงค์ไป  ฝรั่งที่อยู่แถวนี้บางคนไม่รู้ก็ถามว่าท่านมาทำอะไร ท่านก็อธิบายให้ฟัง  บางคนเกิดศรัทธาก็เอาอาหารมาใส่บาตร   ผมถามท่านต่อว่า  แล้วอย่างนี้บิณทบาตได้อาหารทุกวันรึเปล่า  ท่านก็บอกว่าทุกวันนะ บางทีญาติโยมชาวพุทธที่เค้ารู้  เค้าตามไปใส่บ้างก็มี    หรือบางทีมีโยมฝรั่งต่างศาสนามาใส่  พอใส่บาตรเราเสร็จ  เค้าก็ดูสบายใจ  เค้าก็ได้บุญไปแล้ว โดยไม่รู้ตัวเลย    ท่านบอกว่าเป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาไปในตัวด้วย    ...อาจารย์ชาเคยบอกไว้ว่า  ต่อไปพุทธศาสนาอาจจะเจริญก้าวหน้าที่ออสเตรเลีย เพราะเป็นประเทศใหม่  ศาสนาคริสต์เลยอาจไม่หยั่งรากลึกลงไปเท่าไรนัก ไม่เหมือนกับทางยุโรป   ท่านว่าอย่างนั้น      

ท่านเล่าให้ฟังว่าบางคืนนั้นหนาวมาก  หนาวจนแทบทนไม่ไหว  ...ตอนเช้า ต้องรีบเข้าไปในห้องน้ำสาธารณะ  แล้วใช้เครื่องเป่ามือ  เป่าให้ร่างกายอบอุ่น ไม่งั้นเดี๋ยวร่างกายจะช็อคเอา   ....ผมฟังแล้วก็ได้กำลังใจจากความอดทนและความเพียรของท่านจริงๆ    นี่แหละครับ'ธุดงค์'ของจริงมันต้องแบบนี้  

ผมคุยกับท่านไม่นานก็ให้ท่านทำธุระของท่านต่อไป   แล้วผมก็ไปช่วยกวาดวัด  ทำความสะอาดทั่วไปรอเวลาใส่บาตร ฉันเพล    ระหว่างนั้นก็ลองถามเพื่อนสหธรรมิกที่มาทำบุญว่ามีใครพอจะให้ผมติดรถกลับไปได้บ้าง  ถามไปถามมา ไม่นานนักก็ได้พี่คนนึงที่รถยังมีที่เหลืออยู่  ผมก็ขอกลับกับเค้าด้วย  ซึ่งเค้าก็ยินดี  ......พอกินข้าว และฟังเทศน์เสร็จ  ผมก็แวะไปทำความสะอาดห้องน้ำแป๊บนึง  แล้วค่อยติดรถพี่เค้ากลับบ้าน        

สุดท้ายนี้  ผมอยากจะฝากอะไรบางอย่างถึงผู้อ่านทุกท่าน    สำหรับท่านผู้อ่านที่เคยคิดอยากจะไปปฏิบัติธรรม  แต่หาเพื่อนไปด้วยไม่ได้  ก็เลยไม่ได้ไปซักที   ผมอยากจะบอกท่านว่า ...ไปเถอะครับ ฉายเดี่ยวไปเลย ไปตายเอาดาบหน้า  กล้าๆหน่อย มีธรรมะอยู่กับตัว..กลัวอะไร    ไม่มีรถก็ไม่ต้องกลัว ไปเองมันเนี่ยแหละ  ส่วนขากลับก็ขอติดรถคนอื่นเค้าไป  ผมว่าคนส่วนใหญ่ที่มาวัด เค้าก็ใจดีกันทั้งนั้นแหละ ขอกลับด้วยก็คงไม่ยากหรอก
อีกเรื่องก็คือ  เวลาไปปฏิบัติธรรมที่วัด  หลายคนอาจคิดว่า  จะต้องเอาแต่เดินจงกรม  นั่งสมาธิ สวดมนต์  ทำสามอย่าง ให้มากๆเข้าไว้ก็จะดีเอง   ...มันก็ใช่ครับ  แต่ไม่ทั้งหมด      ...หลวงปู่ชาท่านมักจะสอนให้ลูกศิษย์วัดขยันทำกิจ  เช่น กวาดพื่น  ทำความสะอาดวัด  สับแก่นขนุน  พระบางรูปที่หวังเร่งปฏิบัติทำสมาธิเพื่อที่จะบรรลุธรรม  ท่านก็แก้นิสัยให้โดยการ ใช้ให้ทำนู่นทำนี่ตลอดวัน จนไม่มีเวลา    ท่านสอนว่าหลักสำคัญของการปฏิบัติธรรมก็คือการเจริญสติให้ต่อเนื่องกันไปตลอดทั้งวัน แค่นั้นเอง   เพราะฉะนั้น  หากคุณไปปฏิบัติธรรมที่วัด  ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ  เดินจงกรม  อย่างเอาเป็นเอาตาย   ลองสละเวลาไปช่วยงานอะไรที่วัดบ้าง  .....รับรองได้ว่านอกจากคุณจะได้บุญกุศล ได้ความสงบ  กลับไปแล้ว  คุณยังจะได้ความปีติ  ความอิ่มเอมใจ   ไว้สำหรับเติมพลังชีวิตได้ในทุกๆครั้ง ที่คุณได้ระลึกถึง.......เชื่อผมเถอะครับ    

ธรรมรักษา
ซงย้ง

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 18:22:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com