ความคิดเห็นที่ 2 ศีล ข้อสี่ ครอบคลุมเฉพาะการไม่พูดโกหกเท่านั้นนะครับ อย่าสับสน ส่วนการพูด หยาบ เพ้อเจ้อ ส่อเสียดนั้น อยู่ในสัมมาวาจา ของมรรคแปดครับ คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าศีลข้อสี่คือ รวมทั้งหมดของสัมมาวาจา เอาแค่ไม่พูดปดก็บริบูรณ์แล้วครับ ศีลข้อนี้ แต่ถ้าตั้งใจ งดเว้นทั้งหมดได้ก็ยิ่งดีสิครับ ขึ้นชื่อว่าอกุศลก็ไม่ควรแม้แต่จะคิดแล้วครับ จากคุณ : opae ula เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 00:00:19

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องศีล ผมว่าต้องตีความกันอย่างเคร่งครัด เพราะโบราณจารย์ได้พิจารณากันอย่างแยบคายแล้วจึงได้กำหนดไว้ดังนี้ การที่เราจะตีความกว้างขวางออกไปแม้จะด้วยเจตนาที่ดีก็ตาม แต่ก็อาจเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น ในศีลข้อมุสาวาท ก็เช่นกันผมเห็นว่าควรจำกัดขอบเขตอยู่ที่การมุสาเท่านั้น ซึ่งก็มีรายละเอียดมากมายอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นมุสาทางวาจา ด้วยการกล่าวออกมา หรือนิ่งเงียบเสียไม่กล่าวออกมา หรือกล่าวเรื่องอื่นก็ตาม แต่ทั้งนี้มีเจตนาให้ผู้รับสารสำคัญผิด การมุสาทางวาจาก็ในทำนองเดียวกัน ผมว่าเพียงเท่านี้ก็ไม่ง่ายแล้วที่จะรักษาศีลข้อ ๔ ให้บริสุทธิ์ ส่วนเรื่องอื่นๆอาทิ พูดคำหยาบ ส่อเสียด ฯลฯ เป็นเรื่องของอกุศลกรรมบท ไม่ควรเอามายัดเยียดลงในมุสาวาท แต่ถ้าใครสามารถงดเว้นได้ถือว่าเป็น option เสริม จาก function พื้นฐานที่จะต้องมี น่าจะทำให้หนทางสู่เป้าหมายของชาวพุทธราบเรียบและสะดวกขึ้นครับ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 02:38:20

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าการด่าหยาบคายด้วยคำจริง เอาความจริงฝ่ายโน้นมาบอกฝ่ายนี้ให้โกรธ และการพูดจริงแบบน้ำท่วมทุ่ง ทั้งหมดนี้ ยังไม่ผิดศีล5 ศีลข้อมุสายังบริบูรณ์อยู่ใช่หรือไม่ครับ หรือจริง ๆเป็นคนละข้อเดียวกัน จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 10:04:44

ความคิดเห็นที่ 6 พระอริยะบุคคลแต่ละขั้นเว้นขาดจากมิจฉาวาจาได้เท่ากันหรือไม่ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:02:25

ความคิดเห็นที่ 8 มันตีความได้ไม่รู้จักจบเลย...ที่ผมเคยถูกสอนมาก็เหมาหมดนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นพูดโกหก พูดส่อเสียด พูดคำหยาบโลน พูดเพ้อเจ้อ ก็ถือแบบนี้มาตลอด ก็ได้เคยยินและสงสัยในแบบที่เจ้าของกระทู้สงสัยครับ แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองสับสน ผมเลยใช้หลักวิธีถือศีลง่ายๆ อยู่ 2 ข้อคือ [1]เอาจุดที่จิตเรานิ่งที่สุดเป็นทางยึดถือมาเป็นตัวพิจารณา อย่างเวลาจะพูดโกหกจิตเรามันจะระส่ำระส่าย...ฉะนั้นผมก็จะไม่ทำ และด้วยนิสัยส่วนตัวปกติผมจะไม่พูดมากกับคนที่ไม่สนิท แต่เวลาอยู่กับเพื่อนๆ มันก็มีบ้างที่จะพูดหยอกล้อกัน-แซวกัน ซึ่งการพูดหยอกล้อ-แซว มันก็ถือเป็นการพูดเพ้อเจ้อ เพราะมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระ มันให้แต่ความสนุกสนานในกลุ่ม แถมมันก็ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่พูดหยอกล้อกันมันเป็นเรื่องจริง ไม่มีใครถือเอาเป็นจริงจัง [2]แต่ก็ถึงจะพูดเพ้อเจ้อยังไง นอกจากต้องอยู่ในฐานที่เราสบายใจ อีกเรื่อง คือ "ไม่สร้างกรรมไม่ดีกับใคร" การพูดเพ้อเจ้อของเราจะต้องไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับใคร การแซวคนอื่นจนเขาเป็นทุกข์ ผมว่ามันก็ไม่ถูกอยู่ดีอะ บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่ผิดศีลข้อ 4 แต่มันจะไปผิดข้อ 1 อะดิ คือ ไปทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ ก็ถือว่าไปเบียดเบียนเขา ... ฉะนั้น ถ้าการแปลข้อห้ามศีลมันยากนัก หรือ แปลออกมาแล้วมันสับสน ก็ให้คำนึงถึงกรรมที่จะตามมาเอาแล้วกัน . . ผมก็ใช้ 2 ข้อเนี่ยเป็นตัวพิจารณาว่าจะถือศีลข้อไหนให้มันพอดี ศีลข้ออื่นๆ ก็เหมือนกัน ใช้หลักอยู่ 2 ข้อนี้แหละ จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดกับคำแปลของใครต่อใครด้วย เพราะแต่ละคนมันก็ตีความไปไม่เหมือนกัน เอาตัวเราสบายๆ และได้ประโยชน์สูงสุดดีกว่า เพราะหน้าที่ของศีลจริงๆ มันก็คือกันไม่ให้เราทำชั่วไม่ใช่หรอ? จากคุณ : IT Boys เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:09:11

ความคิดเห็นที่ 9 ศีลข้อสี่ จำกัดแค่มุสา ครับ แต่ถ้าใครเก่งกล้าจนรักษาสัมมาวาจาได้ก็ยิ่งดี อนุโมทนาด้วย แต่การไปมองว่าคนที่รักษาสัมมาวาจาไม่ได้แต่ก็ไม่ได้มุสาเป็นคนไม่มีศีล ก็เป็นความเห็นที่ผิด จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 10:52:49

ความคิดเห็นที่ 10 ตามความเข้าใจแบบบ้านๆ ชัดเจนตามที่สมาทานนั่นหละครับ ศีลข้อสี่... ไม่โกหก แค่นั้นครับ การโกหกโดยเจตนาหวังผลจากสาระที่เป็นเท็จนั้นศีลขาดแน่นอน ส่วนสัมมาวาจา จัดเป็นข้อเสริมความเป็นมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น แม้พระอริยะท่านก็อาจใช้คำแรง(หยาบ)เพื่อเตือนสติคนหรือเป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาดนะครับ สัมมาวาจาจึงเป็นข้อปฏิบัติที่บางครั้งต้องดูทิศทางลม จะว่าใครพูดหยาบไม่ใช่พระอริยะคงไม่ได้ และคำว่าหยาบนั้น สังคมนิยามกันเอาเองหยาบของเรา อาจจะไม่หยาบในกลุ่มเขาก็เป็นได้ *ในกรณีพ่อแม่ผู้ปกครองกล่าวเท็จต่อเด็ก เช่นถ้าไม่ยอมนอนจะตีให้ตาย จะเรียกงูเขียวตุ๊กแกมากินตับ แม้จะพูดให้ผิดไปจากความตั้งใจจริง แต่จัดเข้าข้อเพ้อเจ้อมากกว่าโกหกครับ เพราะไม่ได้หวังเอาสาระจากคำโกหกนั้นๆ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 55 00:40:33 จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 00:38:23