ความคิดเห็นที่ 2 ใช่ ต่างกัน ตามแต่ระดับของพระอริยะฯ   ...เคยเห็นคุณชาวมหาวิหารเอาเรื่องนี้มาลงแล้ว  (เอ้ ?? ไม่ทราบอยู่ในกระทู้ไหน ?) จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 11:56:41

ความคิดเห็นที่ 3 คห.1 คุณยิ้ม 3ข้อที่เหลือ พูดไม่เคลียร์ ขออภัยครับ หมายถึง สัมมาวาจาองค์ที่เหลืออีกสามข้อในอกุศลกรรมบท10 คือ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อนั่นแหละครับ ขอยกเรื่องในพระสูตร(ไหนจำไม่ได้แล้ว)ที่พระอรหันต์เรียกคนอื่นว่าไอ้ถ่อย ๆ จนมีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้า ท่านว่าเป็นวาสนาเก่าติดมา ท่านละไม่ได้ เพียงแค่ สักแต่ว่า เป็นกริยา แต่โลกติเตียน อย่างนี้ถือว่าสัมมาวาจาด่างพร้อยไหมครับ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 12:19:43

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดีครับ คุณ Up_To_You เห็นถามมาถึงสองกระทู้แล้ว ผมก็จะตอบตามความเข้าใจและที่นึกคิดไปได้ครับ. ตอบ พระอริยะ เว้นขาดจาก มิจฉาวาจา คือ 1.ไม่พูดโกหก 2.ไม่พูดคำหยายโหลน ด้วยอารมณ์โกรธ 3.ไม่พูดส่อเสียด (ให้ร้ายผู้อื่น โดยไม่มีมูลเหตุ) และเรื่องที่พระอรหันต์ เรียกคนอื่นว่า "ไอ้ถ่อย" เป็นคำพูดที่เคยชิน ไม่พูดด้วยความโกรธ ไม่พูดเพราะถือตนดีกว่า เป็นการพูดที่ปกติไม่มีกริยาอารมณ์โกรธหรือถือตนประสมอยู่ ที่เป็นความเคยชินเท่านั้น. ระวังเรื่อง การอ่าน คำว่า "ไอ้ถ่อย" แล้วเอารมณ์ตนเองหรือพระอื่นๆ แสดงออกมาทางอารมณ์ให้เห็นแล้ว ไปวัดกับพระอรหันต์จริงๆ นั้นไม่ได้นะครับ. เพราะพระอรหันต์นั้นหมดสิ้นโทสะ ที่ปรุงขึ้นมาทาง กาย วาจา และใจ หมดอย่างสิ้นเชิงแล้ว. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 16:16:43

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีครับพี่วิชา ประเด็นมันต่อเนื่องน่ะครับ เลยต้องลากมาสองกระทู้ ตกลงว่าพระอรหันต์นั้นจะแสดงออก หรือพูดอะไรที่ชาวบ้านเข้าใจว่าไม่เหมาะ แต่ท่านไม่ได้ทำด้วยตัณหา เป็นโดยกริยาเท่านั้น ไม่ผิดบทบัญญัติในปาติโมกข์ เข้าใจอย่างนี้ถูกแล้วนะครับ ส่วนคำถามหัวกระทู้ ยังไม่มีคำตอบ คงต้องรอท่านชาวมหาวิหารซะแล้ว จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 17:18:49

ความคิดเห็นที่ 6 เท่าที่ทราบมานะครับ สำหรับพระโสดาบัน หลังจากละมุสาวาทได้ขาดแล้ว อีก ๓ ข้อที่เหลือนั้น ยังไม่ขาด เพราะยังมีโทสะสังโยชน์เหลืออยู่ เป็นแต่เพียงสุดจะอดกลั้น จึงกล่าวประชดประชันคำหยาบบ้าง ส่อเสียดให้ร้ายบ้าง หรือหลงคล้อยเพ้อเจ้อตามคำพูดคนอื่นบ้าง เมื่ออารมณ์โทสะเกิดขึ้น ก็คิดจะพูดหรือพูดออกไปบ้าง แต่ถ้าอดไว้ได้ ความคิดนั้นอยู่ไม่นานก็ดับไป ส่วนพระสกิทาคาิ เมื่ออารมณ์โทสะเกิดขึ้น จะคิดพูด ไม่ทันไรก็ดับไปก่อน ส่วนพระอนาคามี ละโทสะสังโยชน์ได้เด็ดขาดแล้ว ไม่มีแม้อารมณ์หงุดหงิดเลย เพราะฉะนั้นมิจฉาวาจาทั้ง ๔ ขาดที่ระดับพระอนาคามีครับ การละกิเลส ถือทางใจเป็นที่หนึ่ง ทางกายวาจาเป็นวาสนาละไม่ขาด พระอรหันต์จึงไม่มีเจตนาหยาบคายให้ร้ายใคร เลย เป็นแต่เศษกิริยาที่ติดเป็นนิสัยทางกายวาจาเท่านั้น ส่วนทางใจว่างหมด จากคุณ : วัวน้อย เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 13:16:31

ความคิดเห็นที่ 7 มุสาวาจา ละได้โดย โสดาปัตติมรรค _____________________________________________________ มิจฉาวาจา ๒ ที่เหลือ ได้แก่ ผรุสวาจา ปิสุณาวาจา นั้น ส่วนที่   เป็น อปายคมนียะ               ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ส่วนที่ ไม่เป็น อปายคมนียะ ที่เป็น โอฬาริกะ    ละได้ด้วยสกทาคามิมรรค ส่วนที่ ไม่เป็น อปายคมนียะ ที่เป็น สุขุมะ      ละได้ด้วยอนาคามิมรรค (อกุศล ที่เป็น อปายคมนียะ หมายถึง บาปหนักมากจนนำไปสู่อบายได้      ที่ไม่เป็น อปายคมนียะ หมายถึง บาปยังไม่หนักมาก ไม่นำไปสู่อบายภูมิ              แบ่งเป็น โอฬาริกะ คือ อย่างหยาบ หรืออย่างไม่ละเอียด                       สุขุมะ คือ อย่างละเอียดที่สุด)  และมิจฉาวาจา ๒ นี้ ถือว่า ละได้โดยสิ้นเชิงด้วย อนาคามิมรรค _____________________________________________________ ส่วน สัมผัปปลาปะ จะละได้โดยสิ้นเชิงด้วย อรหัตตมรรค _____________________________________________________ ดูเพิ่มเติมได้ที่ วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๒๒ ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ หน้าที่ ๔๑๖ - ๔๒๐   แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 55 21:14:15 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 55 21:00:16

ความคิดเห็นที่ 8 คห. 6 ขอแก้ไขคำผิด จากโทสะ ใช้เป็นปฏิฆะ(คือความยินร้าย) สำหรับพระอริยบุคคล ส่วนมิจฉาวาจาอะไรขาดระดับไหน ขอตามคห.7 ครับ จากคุณ : วัวน้อย เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 02:41:59

ความคิดเห็นที่ 9 กระจ่างแจ้งเลย ขอบคุณทุกคห.ครับ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 12:47:21