ความคิดเห็นที่ 1 อ้างตนเป็นสุดยอดในจักรวาล ก็คือผู้ที่อ้างว่าตนเป็นผู้สร้างและแสดงความเป็นเจ้าของโลกและจักรวาล ปากบอกสละแล้วแต่ยกตนเองเหนือผู้อื่น ก็คือผู้ที่อ้างว่าตนเป็นผู้สร้างและเป็นเจ้าของร่างกายผู้อื่น ทุกคนล้วนต้องมากราบไหว้ ก็คือผู้ที่บังคับผู้อื่นต้องมากราบไหว้ตนวันละ 4 เวลา จากคุณ : ringside เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 13:53:14

ความคิดเห็นที่ 2 ผู้สร้างมีอยู่จริงไม่เชื่อก็พิสูจน์สิ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 14:59:43

ความคิดเห็นที่ 3 ท่านอัตติรมีซีย์   ได้รายงานว่า عَنْ عَمْرَةَ ، قَالَتْ : قِيلَ لِعَائِشَةَ : مَاذَا كَانَ يَعْمَلُ رَسُولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم فِي بَيْتِهِ ؟ قَالَتْ : كَانَ بَشَرًا مِنَ الْبَشَرِ ، يَفْلِي ثَوْبَهُ ، وَيَحْلُبُ شَاتَهُ ، وَيَخْدُمُ نَفْسَهُ รายงานจาก อัมเราะฮ์  นางกล่าวว่า  "ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ได้ถูกถามว่า  อะไรบ้างที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ทำในบ้านของท่าน?  ท่านหญิงกล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง (ที่เหมือน)จากมนุษย์ทั่วไป  ที่ทำการสำรวจความสะอาดจากเสื้อของท่าน  ทำการรีดนมแกะ  และบริการตัวเอง" อัชชะมาอิล อัลมุฮัมมะดียะฮ์ (327) ท่าน หญิงอาอิชะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา  ได้ถูกถามเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กระทำในบ้านของท่าน  ท่านหญิงตอบว่า  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็เป็นคนหนึ่งจากมนุษย์ทั้งหลาย  ที่ทำงานเหมือน ๆ กัน  ท่านได้สำรวจหาสิ่งที่มาประสบแก่ท่านจากสิ่งที่ชาวชนบทได้นำมา  คือท่านจะทำการคลุมคลีกับชาวชนบทที่มาท่านแม้ว่าพวกท่านจะแต่งกายมอมแมมก็ ตาม  แล้วท่านก็จะทำความสะอาดด้วยตนเอง  ท่านทำการรีดนมแพะและแกะ  บริการตนเอง  ด้วยการรดน้ำส่วนอวัยวะต่าง ๆ ในขณะอาบน้ำละหมาดหรืออาบน้ำด้วยตนเอง ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา  ได้ตอบสิ่งดังกล่าวนั้น  เพราะท่านหญิงเห็นถึงความเชื่อของผู้คนบางส่วน  ที่ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไม่สมควรกับตำแหน่งและเกียตริของท่าน  ในการกระทำสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปได้กระทำกัน  พวกเขาบางส่วนนั้นได้ทำท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเหมือนกับบรรดากษัตริย์ที่ไม่ลดตัวลงมาทำสิ่งที่ ต่าง ๆ ทั่วไปเพราะความทนงตน  ดังนั้น ท่านหญิงอาอิชะฮ์จึงชี้แจงว่า  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็เป็นคนหนึ่งจากลูกหลานอาดัม  ที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงมอบเกียรติแห่งการเป็นนบี  ท่านได้ปฏิบัติเหมือนกับผู้คนทั่วไป  เพราะความนอบน้อมถ่อมตน  และชี้แนะให้พวกเขารู้ถึงความนอบน้อมถ่อมตน  ไม่ตะกั๊บโบรอวดใหญ่ อ้างอิงจากหนังสือ : อัชชะมาอิล อัลมุฮัมมะดียะฮ์ วัลคิซ๊อล อัลมุสฏ่อฟะวียะฮ์ 2/146 - 157 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:02:35

ความคิดเห็นที่ 4 ท่านอัตติรมีซีย์  ได้รายงานว่า عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ، قَالَ : كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ، يُدْعَى إِلَى خُبْزِ الشَّعِيرِ ، وَالإِهَالَةِ السَّنِخَةِ ، فَيُجِيبُ وَلَقَدْ كَانَ لَهُ دِرْعٌ عِنْدَ يَهُودِيٍّ ، فَمَا وَجَدَ مَا يَفُكُّهَا حَتَّى مَاتَ รายงานจาก อะ นัส บุตร มาลิก  เขากล่าวว่า  "ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ถูกเชิญให้รับประทานขนมปังจากข้าวบาเล่  และอาหารที่ปรุงจากไขมัน (อิฮาละฮ์) ที่ส่งกลิ่นแล้ว(เพราะค้างไว้เป็นระยะเวลานาน)  ดังนั้น  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ทำการตอบรับ  และท่านมีเสื้อเกราะหนึ่งที่อยู่กับชาวยะฮูดี  ซึ่งท่านไม่มีทรัพย์ที่จะมาไถ่คืนจนกระทั่งจากโลกนี้ไป" อัชชะมาอิล (318) จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:05:04

ความคิดเห็นที่ 5 ท่านอัตติรมีซีย์  ได้รายงานว่า عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ، قَالَ : لَمْ يَكُنْ شَخْصٌ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ مِنْ رَسُولِ اللهِ صلى الله عليه وسلم ، قَالَ : وَكَانُوا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُومُوا ، لِمَا يَعْلَمُونَ مِنْ كَرَاهَتِهِ لِذَلِكَ รายงานจาก อะนัส  เขากล่าวว่า  "ไม่เคยมีบุคคลหนึ่งที่จะเป็นที่รักไปยังพวกเขามากไปว่าท่านร่อซูลลุลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - อะนัส กล่าวว่า -  เมื่อพวกเขา(บรรดาสาวกผู้ใกลชิด)เห็นท่าน  พวกเขาก็จะไม่ยืน  เนื่องจากรู้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมรักเกียจสิ่งดังกล่าว" อัชชะมาอิล (320) จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:07:45

ความคิดเห็นที่ 6 ดังกล่าวนั้นอัลลอฮพระผูเปนเจ้าที่แท้จริงได้ทรงประกาศฐานันดรของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ไว้ความว่า وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلاَّ رَحْمَةً لِلْعَالَمِيْنَ "และเราไม่ได้ส่งเจ้ามานอกจากเป็นความเมตตาแก่สากลโลกทั้งหลาย" อัลอัมบิยาอฺ 107   ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า “ได้ถูกกล่าวแก่ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ว่า โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ท่านจงขอดุอาอ์ ให้ความวิบัติประสบแก่พวกตั้งภาคีเถิด ท่านกล่าวว่า ฉันมิได้ถูกส่งมาเพื่อสาปแช่ง แต่ทว่าฉันถูกส่งมาเพื่อความเมตตา” รายงานโดยมุสลิม (4704) ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุได้กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวในขณะกล่าวสุนทรพจน์ว่า "แท้จริงฉันคือความเมตตาที่เป็นสิ่งกำนัล(แด่พวกท่านที่รักทั้งหลาย)" สุนันดาริมีย์ 1/21 ดังที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสยืนยันความว่า لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ "ขอยืนยันว่าแท้จริง! ได้มีศาสนทูตหนึ่งจากเผ่าพันธ์ของพวกเจ้า(ประกาศสัจธรรม)สู่พวกเจ้า  เขามีความกังวัล(เป็นห่วง)ในสิ่งที่พวกเขาทุกข์ร้อน  เขามีความหวังดีต่อพวกเจ้า  อีกทั้งเป็นผู้เมตตาและปราณี  แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งมวล" อัตเตาบะฮ์ 128 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:12:47

ความคิดเห็นที่ 7 กระทู้นี้ คุณCarroth ตังขึ้นเพื่อประชดกระทู้ที่คุณซามูไรหมูตอนตั้งขึ้นใช้มั้ยครับ ผู้นำทางสันติที่แท้จริง ควรมีประวัติอย่างไร? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12051520/Y12051520.html จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:16:51

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าอ่านไม่ออก ไม่รู้จักอ่าน ก็อ่านซะใหม่ ผมว่าใครบางคน อ่านภาษาไทยไม่แตกแล้วรีบร้อนพิมพ์นะครับ ทีหลังปรับปรุงนะครับจะได้ไม่อายเขา ผู้นำที่สละซึ่งลาภยศนั้นเป็นเช่นไร เน้นอีกที ผู้นำที่สละซึ่งลาภยศ   นั่นคือผู้นำ ย่อมเป็นมนุษย์ และมนุษย์นั่นเองที่คิดถึงเรื่องลาภยศ และมนุษย์ไม่ใช่ผู้สร้าง จักรวาล และเป็นเจ้าของจักรวาล   มนุษย์คือผู้ที่กำเนิดมาจากครรภ์มารดา พูดจาไม่รู้เรื่อง หากินเองไม่ได้ต้องให้ บิดามารดาเลี้ยง นั่นแหละครับ ผู้นำ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:20:07

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นแรงบันดาลใจน่ะครับ ไม่ได้ประชด หุหุ มาค้นหาความจริงกันดีกว่า จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 15:20:48

ความคิดเห็นที่ 10 "มนุษย์คือผู้ที่กำเนิดมาจากครรภ์มารดา พูดจาไม่รู้เรื่อง หากินเองไม่ได้ต้องให้ บิดามารดาเลี้ยง นั่นแหละครับ ผู้นำ "  กล้ามาก ผมว่าคุณCarroth กลับไปอยู่เมืองแขก เถอะครับ ที่นี่เมืองพุทธ รัฐพุทธ  ถ้าชอบอยู่อย่างแขกๆ ก็ไปอยู่รัฐอิสลามเถอะครับ พวก อิหร่าม อิรัก จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 16:13:31

ความคิดเห็นที่ 11 เริ่มต้นใหม่เมื่ออายุ 40 ปี 'แมว' เลิกแล้วชีวิตเละเทะ‎ เข้าวัดเข้าวาจะหลงผิดทำตัวแย่แค่ไหน ก็เริ่มใหม่ได้เสมอ อดีตร็อกเกอร์ชื่อดัง ‘แมว-จิระศักดิ์ ปานพุ่ม’ อำลาชีวิตเน่าๆ หันมาคิดใหม่ทำใหม่โดยมีศรีภรรยา ‘แหนว-อาจารีย์ ม่วงพลับ’ คอยนำทางสว่าง เผยไม่อยากมีลูกใหม่ อยากดูแลลูกชาย ‘ทิกเกอร์-อชิระ ปานพุ่ม’ ให้ดีที่สุดก่อน ยินดีถ้าภรรยาเก่า ‘นิกกี้-นิโคล เทริโอ’ พบรักใหม่หวังแต่งจริง ค่ำนี้แมวมาโชว์ในงาน เทศกาลดนตรีหัวหิน แจ๊ส เฟสติวัล HUA HIN JAZZ FESTIVAL 2011 ก่อนจะขึ้นเวที ต้องมายืนคุยชิลล์ๆ ริมหาดกันหน่อย ชีิวิตตอนนี้ดูนิ่งๆ เย็นๆ ขึ้นนะ? “ชีวิตคนเรามีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกช่วงของการเรียนรู้ชีวิตให้มากๆ ช่วงที่ 2 เราเรียนรู้มาแล้ว เราเข้าใจแล้ว แล้วเราก็เอามาปฏิบัติใช้หรือแก้ไข ทำให้ดีขึ้น สำหรับผมผ่านช่วงชีวิตมาเยอะแยะมากมายแล้วนะครับ ผมใช้ความเป็นวัยรุ่นคุ้มมาก กินเหล้าเมายา เฮฮากับเพื่อน ไปอะไรก็ว่าไป โชคดีที่เราอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ที่ไม่เจ็บป่วยไข้ไม่เป็นอะไรซะก่อน ตับไตใส้พุงไม่ขาดสะบั้นไปซะก่อน เพราะกินเหล้าเยอะ”เริ่มคิดได้ทำสิ่งใหม่? “พอมาถึงตรงนี้ปุ๊บเราคิดได้ ที่ผ่านมามันสอนอะไรเราเยอะ เราก็พยายามปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ผิดพลาด ตอนนี้อยู่ในช่วงเรียนรู้ที่จะอยู่กับชีวิตใหม่ล่ะ ที่บอกว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 เป็นเรื่องจริง ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับผม พอ 40 ปั๊บ! ผมเริ่มคิดได้ว่าเสียเวลากับชีวิตอะไรมาม้ัง เละเทอะ พอคิดได้ก็เริ่มจะเปลีี่ยนแปลงชีวิตทุกอย่าง เลิกกินเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกทุกอย่าง นอนแต่หัวค่ำ เข้าวัดเข้าวา ว่างๆ ก็ไปปฏิบัติธรรมก็ว่าไป ตอนนี้ชีวิตก็ปกติเหมือนชาวบ้าน ก็ถือว่าขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้โอกาสเรา เพราะฉะนั้นใครที่มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิต ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐแล้ว เรียนรู้กับมันแล้วปรับปรุงแก้ไขมัน ทำชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด” ชอบเข้าวัด แบบนี้พาลูกน้อยทิกเกอร์เข้าวัดด้วยมั้ย? “ว่างเมื่อไหร่ก็ไป ส่วนใหญ่่เสาร์ อาทิตย์ ปลูกฝังพาทิกเกอร์ไปเข้าวัดบ้าง แต่บางทีเสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษ ก็ไม่ได้ไป” แหนวภรรยาใหม่ เข้ากันกับลูกทิคเกอร์ได้หรือไม่ได้? “ไม่มีปัญหาครับ ถ้าเรามีปัญหาก็ได้ ” ลงตัวดีทุกอย่าง คิดวางแผนจะมีลูกใหม่หรือยัง? “จริงๆ ผมไม่อยากจะมีน้องอีก ดูแลทิกเกอร์ให้ดีก่อน อยากดูแลคนๆ หนึ่งให้ดีที่สุด ทิกเกอร์เป็นเด็กที่ฉลาดน่ารัก เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง” เค้ามองพ่อว่าเป็นไอดอลมั้ย “จัสติน บีเบอร์ เป็นไอดอลของเค้า(ยิ้ม)” อยากให้ลูกเข้าวงการหรือไม่อย่างไร? “เริ่มถ่ายแบบแล้วนะ ส่วนละครต้องดูกันอีกทีหนึ่ง” ภรรยาเก่า นิโคล เทริโอ กำลังหวานกับหนุ่มใหม่อยู่? “เจอกันเท่าที่จำเป็น ถ้าเค้าจะมีชีิวิตคู่ใหม่ ก็สิ่งที่ดีครับ” รักครัั้งใหม่ครั้งสุดท้ายนี้? “ก็ดีครับ ที่สำคัญเค้าทำให้ผมมองเห็นชีวิตตัวเอง เป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักพุทธศาสนา ได้รู้จักการไปวัด ทำให้เปลี่ยนชีวิต ต้องขอบคุณว่าเค้า เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม” มีภรรยาดีเป็นศรีแก่ตัว? “ก็ดีครับถือว่าชีวิตได้เจออะไรที่ดีๆ จากที่แบบเจออะไรเละๆ เทะๆ มา” เละขนาดไหน? “ส่วนใหญ่จะกินเบียร์กินแทนน้ำ จนถึงเช้าถึงเย็นเลยครับ เพื่อนๆ ในวงการรู้ดีครับว่าผมเละแค่ไหน แต่ทุกวันนี้ เออเราเปลี่ยนได้ก็ถือว่าดีแล้ว” งานเพลงยังมีไฟอยู่? “งานเพลงทำไปเรื่อยๆ ครับ จนกว่าจะทำไม่ไหว ผมเป็นคนสร้างงานเพลง เพราะเราอยู่กับเสียงเพลงอยู่แล้ว การทำงานผมเอาความชอบเป็นหลัก ไม่ได้คิดว่าอันไหนยากง่ายในการทำงาน” คาดว่าเมื่อไหร่เรียบร้อย “เสร็จไปแล้ว 40% เป็นแนวแจ๊ส ปลายนี้น่าจะได้ฟังกัน”. เพิ่มเติม แมว จิระศักดิ์ ปานพุ่ม นักร้องชื่อดัง เกิดในครอบครัวมุสลิม (อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ใน นิตยสาร aday ฉบับที่ 18) 24 สิงหาคม 2547 เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์เพราะแต่งงานกับนิโคล เทริโอ ที่โบสถ์อัสสัมชัญ บางรัก และได้หย่าร้างกันแล้ว ปัจจุบันสมรสกับคุณอาจารีย์ ม่วงพลับ เป็นชาวพุทธ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 16:19:05

ความคิดเห็นที่ 12 MCE แมว เด็กท่าอิฐ ก็ไม่ได้อื่นไกลจากพี่น้องมุสลิมในนี้หลายท่าน ถ้าแมว มีจิตใจที่ไม่หมกมุ่น อบายมุกป่านนี้ ก็คงเป็๋นเด้กมุสลิม คนนึง เท่านั้นเอง คนที่ไม่ยึดหลักธรรมคำสอนในศาสนาของตนเอง โอกาส กลับ ไป กลับมา นั้นง่ายมาก ศาสนาอิสลาม ไม่ได้เสียดาย กับคนที่ไม่ศรัทธาอะไรในศาสนาอิสลาม อยากไป สามารถไปได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยากมาก็ยินดีต้อนรับและดูแลให้เป้นอย่างดี มิใช่เรื่องที่ต้องเอามาบลัฟกัน อ้อ   มี  นาเดีย อีกคนนึง ที่วิ่งตามแมว ไปแล้ว และมีอีกหลายคนที่วิ่งตามอิสลามมา เช่น ฮิวโก้ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:02:48

ความคิดเห็นที่ 13 พอดีผมอยากอยู่ที่นี่ แล้วก็จะเป็นแบบนี้ครับ คุณมีอะไรข้องใจหรือครับคุณ mce? ผมว่าผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะ มนุษย์ที่ไหนเกิดมาไม่เป็นแบบนี้มั่ง "มนุษย์คือผู้ที่กำเนิดมาจากครรภ์มารดา พูดจาไม่รู้เรื่อง หากินเองไม่ได้ต้องให้ บิดามารดาเลี้ยง" มีหรือเกิดมาแล้วโตเลย? ผมถึงบอกไงว่า ผู้นำกล่าวถึงมนุษย์ อย่างว่าแหละถ้าฉลาด คงไม่ปล่อยวลีเด็ดเรื่องอุยกูร์คือฮั่นหรอกเนอะ เอิ๊กๆ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:08:36

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนแมวนี่ ก็ปกติครับ คนที่ออกจากอิสลาม คือพวกที่ไม่รู้ศาสนาแบบนั้นแหละ เหมือนด็อกเตอร์อะไรที่บอกว่า ห้ามถามเพราะผิดหลักศาสนา พูดมาแบบนี้ก็แปลว่าไม่รู้เรื่องล่ะครับ หุหุ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:09:37

ความคิดเห็นที่ 15 อยากอยู่เมืองพุทธ ก็ต้องปรับตัวสิ ครับ ไม่ใช่เอาความคิดของตัวเป็นใหญ่ ถ้าให้ผมเดา คุณCarroth คงไม่ได้ไว้เคราเเพะตามหลัก อิสลามใช่ป่าวครับ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:16:52

ความคิดเห็นที่ 16 ผมอยู่เมืองไทยครับ แล้วกฎหมายไทย สังคมไทย ผมมีสิทธิคิด และทำแบบที่ผมทำอยู่ ดังนั้น ผมจะทำแบบนี้แหละครับ ดูซิใครมันจะว่าอะไร เรื่องเครานั้น ไม่ใช่ประเด็นครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:18:29

ความคิดเห็นที่ 17 ข้อที่ 1 เป็นผู้ให้เสมอ  ไม่ต้องการชื่อเสียงและเรียกร้องให้ใครมายกย่อง ไม่ยินดีแม้มีผู้ลุกยืนให้เกียรติ ขอให้คุณ Carroth  ช่วยยกตัวอย่างบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ให้ทราบซักรายสองราย จากคุณ : ringside เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:36:28

ความคิดเห็นที่ 18 ท่านอัตติรมีซีย์ ได้รายงานว่า عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ ، قَالَ : لَمْ يَكُنْ شَخْصٌ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ مِنْ رَسُولِ اللهِ صلى الله عليه وسلم ، قَالَ : وَكَانُوا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُومُوا ، لِمَا يَعْلَمُونَ مِنْ كَرَاهَتِهِ لِذَلِكَ รายงาน จาก อะนัส เขากล่าวว่า "ไม่เคยมีบุคคลหนึ่งที่จะเป็นที่รักไปยังพวกเขามากไปว่าท่านร่อซูลลุลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม - อะนัส กล่าวว่า - เมื่อพวกเขาเห็นท่าน พวกเขาก็จะไม่ยืน เนื่องจากรู้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รังเกียจสิ่งดังกล่าว" อัชชะมาอิล (320) เมื่อพวกเขาเห็นท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มุ่งหน้ามายังพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยืนขึ้น ไม่ใช่หมายความว่าพวกเขาไม่รักและไม่ให้เกียรติ แต่ทว่าพวกเขารู้ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ชอบดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเลือกความต้องการของร่อซูลลอฮ์ ให้เหนือความต้องการของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาทราบดีถึงความนอบน้อมถ่อมตน และมีจรรยามารยาทที่สูงส่ง ท่านสะอัด บุตร มุอาซฺ ซึ่งเป็นหัวหน้าของชาวอันซ๊อร เผ่าเอาส์ ขณะที่เขาอยู่บนหลังลาเพราะบาดเจ็บถูกยิงด้วยธนูในสงครามค๊อนดัก ซึ่งการที่นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ยืนให้เกียรติเขานั้น เพื่อเป็นสิทธิให้กับคนอื่น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงให้ชาวอันซอรทำการยืนให้เกียรติแก่สะอัด ซึ่งแตกต่างกับการที่ซอฮาบะฮ์ยืนให้เกียรติท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นสิทธิของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่จะไม่ต้องการให้บุคคลอื่นยืนให้เกียรติอันเนื่องจากความนอบน้อมถ่อมตนของท่าน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งท่านมุสลิมได้รายงานว่า قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏ لِلْأَنْصَارِ ‏ ‏ قُومُوا إِلَى سَيِّدِكُمْ "ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ชาวอันซอรว่า พวกท่านจึงยืนให้แก่หัวหน้าพวกท่าน" (3314)   บุคคลผู้นั้นคือ ท่านรอซูล มุฮัมมัด (ซล.) มนุษย์ผู้ประเสริฐที่สุด แต่ท่านก็ไม่ต้องการลาภยศใด แม้แต่การยืนให้เกียรติ ที่ทำให้กับผู้นำ ท่านก็ไม่ต้องการ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:44:51

ความคิดเห็นที่ 19  "มุฮัมมัด" ศาสนฑูตของอัลลอฮ์ ท่านนะบีมุฮัมมัด นั้น ท่านไม่ได้พึ่งความยิ่งใหญ่แห่งมนุษย์ชาติ บนทรัพย์สิน ความมีหน้ามีตา ความเป็นมหาเศรษฐี หรือความเป็นญาติใกล้ชิด ทั้งนี้เพราะท่านเติบโตขึ้นมา ในฐานะลูกกำพร้าและความยากจน ท่านมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็น ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งวาระสุดท้าย ชีวิตของท่านปราศจากความฟุ่มเฟือย เพริดแพร้ว ความจอมปลอมของวัตถุ และอารณ์ใฝ่ต่ำ ดังนั้น ท่านจึงสู้รบกับนักรบ หาฟืน ขุดสนามเพลาะ และสร้างมัสยิดด้วยมือที่มีเกียรติของท่าน ท่านต้องเผชิญการโจมตีของศัตรูหลายๆ สมรภูมิ ท่านเคยหาหินมาผูกไว้กับท้องเพราะความหิวโหย ท่านได้ถูกให้เลือกระหว่างการเป็นนะบีที่เป็นกษัตริย์ และการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว ท่านได้เลือกเอาการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว เพราะจะได้หิวโหยวันหนึ่งแล้วอดทน และอิ่มวันหนึ่ง แล้วขอบคุณต่ออัลลอฮ์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:50:07

ความคิดเห็นที่ 20 *** คนเราส่วนมากชอบอวดอ้างยศ  อ้างฐานะ  อ้างหน้าที่การงาน ชอบดูหมิ่นคนอื่น บางคนอวดอ้างตนว่ามีความรู้กว่าคนอื่น  ไม่เข้าใจคุณค่าของความเป็นมนุษย์  เหมือนกับอีแร้งที่บินอยู่บนท้องฟ้า นึกว่าตัวเองบินสูง  สายตาแหลมคม  สุดท้าย..ก็ร่อนลงมากินของเน่าที่พื้นดิน *** ********************************************************                                          __/l\__ จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 19:11:13

ความคิดเห็นที่ 21 สรุปว่า  ท่านผู้มีคุณสมบัติตามข้อที่ 1  คือท่านนบีมูอัมหมัด  นั่นเอง ตั้งแต่แรก  ก่อนแต่งงานได้ท่านได้เสียสละอะไรบ้าง หลังจากมั่งคั่งและเป็นนบีแล้ว   ท่านได้เสียสละอะไรบ้าง ไม่ต้องการชื่อเสียงและเรียกร้องให้ใครมายกย่อง ท่านตั้งตนเองเป็นนบี  ตำแหน่งนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าเจ้าผู้ครองนครเมกกะซะอีก แถมท่านยังบอกว่า  ต้องสรรเสริญยกย่องท่านเป็นร่อซู๊ล   และเป็นนบีองค์สุดท้าย ตอนนั้นยิ่งใหญ่เกินจะบรรยาย   ใครไม่ให้ความเคารพ   หัวหลุดจากบ่าอย่างง่ายๆนะครับ ผมเองพยายามหลีกเลี่ยงที่จะวิจารณ์ท่านนบี  แต่คุณ Carroth  เปิดทางให้เอง จากคุณ : ringside เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 19:16:33

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้า สงสัย และสอบถามอย่างมีมารยาท ก็ตอบได้ครับ การรับตำแหน่งของท่านนั้น อย่าว่าแต่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเจ้าผู้ครองนครเลย การเป็นนบีนั้น มีความประเสริฐ และสูงส่งมาก   แต่ นั่นเป็นตำแหน่ง และเป็นความสูงส่ง ที่ผู้ศรัทธา และเป็นชีวิตอันถาวรแห่งโลกหน้า ผู้คนในโลกนี้นั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ศรัทธา ย่อมเกรงกลัว ที่จะเป็น นั่นเพราะท่านนั้น ไม่ได้แสดงความยิ่งใหญ่ และไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาเคารพท่านเลย อย่างที่ผมบอก แม้แต่ยืนให้เกียรติท่าน ท่านยังไม่ต้องการ ดังนั้นการที่บอกว่า ใครไม่ให้ความเคารพ หัวหลุดจากบ่าได้ง่ายๆ จึงเป็นเรื่องที่ห่างไกลความจริงอย่างสุดกู่ครับ เพราะท่านนั้นอย่าว่าแต่ บุคคลทั่วไป แม้แต่ทาส ท่านก็ปฏิบัติโดยดี ตัวอย่างเช่น ครั้นเมื่อนางถึงมะดีนะฮฺ เท้าของนางบวมและระบมเจ็บปวดอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางก็ปกคลุมไปด้วยฝุ่นทราย เมื่อท่านรสูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลลั้ลลอฮุ อฺะลัยฮิ วะสัลลัม เห็นนางเข้า ท่านถึงกับเปล่งวาจาออกมาว่า “ยา อุมมุ อัยมัน !  ยา อุมมียฺ !(โอ้ อุมมุ อัยมัน โอ้ แม่ของฉัน)แท้จริง สำหรับท่าน คือสถานที่แห่งหนึ่งในสวนสวรรค์”  ท่านได้ลูบหน้าลูบตานาง นวดเท้านางและลูบไหล่นางอย่างสุภาพอ่อนโยน ถามว่า สตรีท่านนี้เป็นใคร? สตรีท่านนี้ คือทาสหญิงครับ อ่านได้จาก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11956373/Y11956373.html ดังนั้น หลังจากท่านเป็นนบีแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือบรรยายไหม? อ่านนี่ครับ นี่คือสภาพท่าน ท่านได้ถูกให้เลือกระหว่างการเป็นนะบีที่เป็นกษัตริย์ และการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว ท่านได้เลือกเอาการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว เพราะจะได้หิวโหยวันหนึ่งแล้วอดทน และอิ่มวันหนึ่ง แล้วขอบคุณต่ออัลลอฮ์ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 19:40:53

ความคิดเห็นที่ 23 คำถามว่า ตั้งแต่แรก  ก่อนแต่งงานได้ท่านได้เสียสละอะไรบ้าง หลังจากมั่งคั่งและเป็นนบีแล้ว   ท่านได้เสียสละอะไรบ้าง คำตอบ ก่อนเป็นนบี ท่านมีชีวิตสุขสบายในระดับนึงครับ เพราะท่านเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ แล้วเมื่อท่านเป็นนบี ที่ท่านเสียสละคือ "แทบทุกอย่างครับ" นี่คือเหตุการณ์เมื่อท่านจากไป บุรุษผู้เป็นผู้นำแห่งมนุษยชาติ ยามจากไปนอกจากคำสอนที่เป็นสัจธรรมแล้ว ท่านทิ้งอะไรไว้ วังหรือ ปราสาทหรือ ที่ดินมากมาย ทรัพย์สมบัติมหาศาล หรืออะไร? มรดกของท่านนบี    ท่านนบีไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ  เมื่อท่านนบีได้ลาจากไป ท่านมิได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติ เช่น เหรียญเงิน หรือ เหรียญทองสักเหรียญ  หรือ ทาสชายหญิง หรือ สิ่งอื่นในทำนองนี้ไว้เลย  สิ่งที่ท่านเหลืออยู่ก็มีเพียงลาสีขาวตัวหนึ่ง อาวุธ และที่ดิน ซึ่งท่านก็ได้อุทิศให้เป็นการกุศลแก่มุสลิม โดยทั่วไปแล้วท่านนบีมีความเป็นอยู่อัตคัด ขัดสนมาก เสื้อเกราะของท่านก็เอาไปจำนำไว้  เพื่อแลกกับข้าวสารเพียงไม่กี่กำมือ  เสื้อผ้าของท่านมีรอยปะเต็มไปหมด เป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า ขณะนั้นเป็นเวลาที่ดินแดนอารเบียทั้งหมด ตกอยู่ในอำนาจของท่านนบี ที่นครมะดีนะฮฺอันเป็นเมืองหลวงนั้นก็มีทรัพย์สมบัติเงินทองจนล้นคลัง แต่ฐานะของท่านนบีผู้เป็นประมุขก็ยังยากจนเหมือนเดิม แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 19:52:33 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 19:51:30

ความคิดเห็นที่ 24 แปลกใจไหมครับ ถ้าเป็นการหวังลาภยศ ยิ่งสาวกมาก ยิ่งรวย ยิ่งเป็นอยู่ดี ที่พักอาศัยใหญ่โตมโหฬาร แต่ท่านศาสดา จนมาก จนขนาดเอาของไปจำนำ แล้วจนท่านจากไปก็ไม่ได้ไถ่คืนด้วยซ้ำ นี่คือแบบอย่างของการเสียสละ เพื่อสัจธรรมอย่างแท้จริง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 20:01:52

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนอันนี้ อ่านแล้ว ก็จะเข้าใจเลยว่า ท่านมีลักษณะแบบไหนแล้วทำไมคำว่า ใครไม่เคารพ อาจะหัวหลุดจากบ่า จึงเป็นเรื่องห่างไกลความจริง ชนิดสุดขอบจักรวาลก็ว่าได้ ท่านช่วยหญิงหม้าย และคนอนาถาทำงานโดยไม่เคยถือตัว หรือเสียดายแรงเลย  พวกทาสหญิงในเมืองมาดีนะฮฺ มักจะมาหาท่านและพูดทำนองนี้ “ โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ พวกเราอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยทำ (งาน) นี้ให้หน่อย ” ท่านนบีก็จะกระตือรือร้นทำงานนั้นให้ ด้วยความเต็มใจเสมอ  ถ้าเป็นคนอื่น ที่มีสาวกมากมายคอยพินอบพิเทา ก็คงไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะจะมีผู้คุ้มกันคอยเฝ้า กว่าจะเข้าได้ต้องฝ่าหลายด่าน แล้วกว่าจะถึงตัว ก็อาจจะต้อง 3 คุกเข่า 9 คำนับ เลยละมั๊ง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับท่านศาสนฑูตมุฮัมมัดหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 20:11:22 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 20:10:49

ความคิดเห็นที่ 26 ชื่อเหล่านี้ได็ถูกบันทึกไว้ในบัญชีเรียบร้อย จะไม่ความเกรงใจใดๆ กับกลุ่มเหล่านี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 21:19:41

ความคิดเห็นที่ 27 ว่าแล้ว จะต้องมีกระทู้ นายหมู อยู่ด้านล่าง แน่ๆ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 21:50:41

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนเรียน คริสต์จริยะ ได้กล่าวถึงผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเปรียบเสมือน มหาสมุทร มหาสมุทธอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยผืนนั้นจะต้องอยู่ต่ำว่าแม่น้ำ ลำธารสายเล็กๆ ผู้ยิ่งใหญ่คือผู้ที่อ่อนน้อมและรับใช้ผู้อื่น พระเยซู ไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ ไม่ใช้เพราะมีคนมากมายล้อมหน้าล้อมหลัง หากแต่เพราะองค์อ่อนน้อมและรับใช้คนทั้งหลาย แม้แต่เท้าของสาวก พระองค์ยังล้างให้อย่างไม่ถือตัว พระองค์ยิ่งใหญ่เพราะ พระองค์ยอมตายเพื่อคนทั้งหลาย ทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจน ขอทาน หรือคนรวย นั้นรอดพ้นจากบาปผิดทั้งหลายแล้วกลับใจสู่มรรคาแห่งพระเจ้า สิ่งนั้นแหละ คือผู้ยิ่งใหญ่ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 02:17:12

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนแรกที่จะตอบคุณ ringside ก็จะเอาประวัติท่านนบีอีซา (พระเยซู) มาลงด้วย แต่หายาก ไม่ค่อยละเอียดเท่าไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 06:10:16

ความคิดเห็นที่ 30 80. ซูเราะฮฺอะบะสะ (บท หน้าบึ้ง)   http://sites.google.com/site/abuisrafil/thaiquran/080 คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อะบะสะ(บึ้งตึง) http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=5894.0 จากคุณ : ยูซุฟ เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 19:53:37

ความคิดเห็นที่ 31 นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า คัมภีร์นี้ท่านไม่ได้เขียนเอง สิ่งใดควรทำอัลลอฮฺก็ทรงบอกแก่ท่าน และยังแสดงให้เห็นถึงการเข้าหาท่านศาสดานั้นทำได้ง่ายมากไม่มีพิธีรีตองใดเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 20:15:41

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านไปก็ขำไป ... คิดไปได้ เนอะ คนเรา จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 55 18:34:57

ความคิดเห็นที่ 33 องค์พระศาสดาทุกพระองค์ จะมีคุณสมบัติคล้ายกันคือ เป็นนักบวช ไม่มีทรัพย์สมบัติ อุทิศตนทั้งชีวิตเพื่อคนอื่น ไม่เคยมีศาสดาที่เป็นเศรษฐี จึงจะมีคนศรัทธา งานศาสนานับว่าเป็นสิ่งที่ยากสำหรับพระศาสดาแล้ว แต่ยังมีงานที่ยากกว่างานศาสนา ซึ่งจำเป็นสำหรับยุคนี้เพราะโลกแคบลงมีโอกาสเกิดสงครามโลกได้ทุกขณะ นั่นคือ งานสันติภาพโลก ซึ่งจะเกิดได้จากการเชื่อมโยงรวมพลังศาสนาเพื่อใช้ต่อรองกับทางการเมืองเท่านั้น ถ้าทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำ ความหายนะของโลกรอเิกิดอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ผู้เสียสละตัวจริงสำหรับยุคนี้ ขอเสนอให้ชาวโลกไปค้นคว้าอย่างไม่เลิกลาที่สำนักปู่สวรรค์ ยังไม่มีมนุษยชาติคนใดทำได้อย่างเขา ในทุกกแง่ทุกมุม จนบัดนี้เราหาจุดอ่อนที่จะด่าบ้าง ยังหาไม่เจอ นอกจากพวกเชื่อคนง่าย นั่งเทียนจำจากข่าวเน่าๆมาบอก ถ้ามีใครเหนือกว่า ช่วยบอกเอาบุญ เราจะไปกราบไหว้นับถือแทนเพราะเรากำลังค้นหาคนที่เก่งที่สุดในโลกในยุคนี้ เชิญดูรูปผลงานย่อๆ แค่หนึ่งในร้อยของมนุษย์ประหลาดผู้นี้ ที่ pantip.com  y 12051520  คหที่ 11 จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 55 10:34:52