การเลิกทาสอย่างสันติ
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
ทาส คือสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ ที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ในอดีตไม่มีอารยธรรมใดเกิดขึ้น โดยไม่ใช้แรงงานทาส
พีระมิด กำแพงเมืองจีน สังเวียนโคลีเซียมในกรุงโรม และอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่ในส่วนต่างๆของโลก แม้จะเป็นผลงานชั้นเลิศทางด้านความคิด สถาปัตยกรรม วิศวกรรมและศิลปกรรมอย่างไรก็ตาม ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากขาดแรงงานทาส
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่บรรดาทาสกลับไม่ได้รับส่วนแบ่งจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นเลย ทั้งนี้ เพราะทาสมิได้ถูกถือว่าเป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่มีชีวิตของนายทาสเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ทาส จึงถูกซื้อขายเหมือนสินค้ามาตลอดเวลาอันยาวนาน ในอดีต พ่อค้าทาส จะออกไปยังแดนไกลเพื่อลักพาผู้คนมาเป็นทาส ในตลาดค้าทาส ผู้ซื้อทาสจะเลือกซื้อทาสโดยดูจากรูปร่าง สุขภาพและความแข็งแรงของทาส หากเป็นทาสหญิงก็จะเปิดดูหรือลูบคลำแม้กระทั่งอวัยวะเพศของทาสไม่ต่างจากการซื้อสัตว์เพื่อนำไปเป็นพาหนะหรือนำไปทำพันธุ์
ประมาณ 1,400 ปีที่แล้วในมักก๊ะฮฺ เมื่อมุฮัมมัดแต่งงาน เขาได้สร้างความเป็นมงคลให้แก่วันเริ่มต้นชีวิตสมรสของเขาด้วยการปล่อยทาสหญิงคนหนึ่งชื่อ บะรอก๊ะฮฺ ให้เป็นอิสระ ทาสหญิงคนนี้เขาได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากอับดุลลอฮฺ พ่อของเขา
วันเดียวกันนั้นเอง มุฮัมมัดได้ปล่อยทาสชายอีกคนหนึ่งชื่อ เซด บินฮาริซ ให้เป็นอิสระด้วยเช่นกัน ทาสคนนี้นางเคาะดีญะฮ์ ผู้เป็นเศรษฐีนี ให้เขาเป็นของขวัญวันแต่งงานก่อนที่เขาจะเป็นศาสนทูต หรือนบีผู้เผยแผ่อิสลาม
เซด เป็นชาวอาหรับ ในเผ่าหนึ่งทางตอนเหนือของมักก๊ะฮฺ เขาถูกจับเป็นทาสมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจากการทำสงครามกันระหว่างเผ่า หลังจากนั้นเขาได้ถูกนำมาขายในตลาดอุกาซซึ่งเป็นตลาดนัดของชาวอาหรับในเวลานั้นและตกทอดมาถึงนางเคาะดีญะฮฺ
วันหนึ่ง เมื่อฮาริซ พ่อของเซด รู้ว่าลูกชายของเขาอยู่กับมุฮัมมัด พ่อของเซดกับลุงของเขาจึงมาหามุฮัมมัด หลังจากพบกัน พ่อของเซดได้ขอตัวลูกชายของเขากลับไปโดยยินดีที่จะจ่ายเงินให้ตามที่มุฮัมมัดต้องการ
ดังนั้น มุฮัมมัดจึงขอให้เซดยืนยันว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อของเขาจริง เมื่อเซดยืนยัน มุฮัมมัดได้บอกพ่อของเซดให้ถามความสมัครใจของลูกตัวเองว่าจะอยู่หรือจะไปกับพ่อของเขา ถ้าเซดต้องการจะไป เขาจะไม่รับเงิน แต่ถ้าหากเซดจะอยู่ ก็ขอให้เป็นสิทธิของเซด
เมื่อได้รับสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตของตนอย่างคนอิสระ เซดบอกพ่อแท้ๆของเขาว่า เขาขออยู่กับมุฮัมมัด เพราะเขารักมุฮัมมัดเหมือนพ่อแท้ๆเช่นกัน
เมื่อเซดตัดสินใจเช่นนั้น มุฮัมมัดจึงจูงเซดไปที่ลานรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺและประกาศให้คนทั่วไปรู้ว่าเขารับเซดเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ในเวลานั้นประเพณีของชาวอาหรับถือว่าบุตรบุญธรรมมีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรโดยสายเลือด นั่นหมายความว่าหากมุฮัมมัดตาย เซดมีสิทธิได้รับมรดกของมุฮัมมัด แต่หลังจากมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตนำอิสลามมาเผยแผ่แก่มวลมนุษยชาติแล้ว ประเพณีการถือว่าลูกบุญธรรมเป็นเหมือนลูก โดยสายเลือดได้ถูกอิสลามยกเลิกไป
หลังจากมุฮัมมัดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตของพระเจ้าเมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อเลิกทาสอย่างสันติและไม่เสียเลือดเนื้อ
เมื่อบิลาล ทาสผิวดำประกาศว่า ตัวเองศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เขาถูกนาย กระทำทารุณกรรมต่างๆนานาอย่างแสนสาหัส เพื่อบังคับเขาให้เลิกนับถือศาสนาของท่านนบีมุฮัมมัด
แต่กระนั้นก็ตาม บิลาลก็เลือกที่จะยอมตายเพราะมีนายเป็นพระเจ้าองค์เดียว เมื่อสหายสนิทของท่านนบีมุฮัมมัดรู้เรื่องนี้ เขาจึงจ่ายเงินซื้อบิลาลและปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ หลังจากนั้นบิลาลก็ได้มาหาท่านนบีมุฮัมมัดและประกาศความศรัทธาของเขาต่อหน้าท่าน
หลังจากท่านนบีมุฮัมมัดและมุสลิม อพยพหนีการกดขี่ข่มเหงจากชาวมักก๊ะฮฺไปอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ ท่านยังคงถูกชาวมักก๊ะฮฺตามมาราวี สงครามครั้งแรกระหว่างบ่าวผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกับบ่าวผู้บูชาสักการะรูปปั้นจึงเกิดขึ้น และผลการรบจบลงด้วยชัยชนะของบ่าวผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ผู้รุกรานจากมักก๊ะฮฺถูกจับเป็นเชลย หลายสิบคนและอนาคตของเชลยในสังคมเวลานั้นคือการตกเป็นทาส
สาวกของท่านนบีมุฮัมมัดหลายคนในเวลานั้นต้องการให้ประหารเชลยที่จับได้ทั้งหมดเพื่อเป็นบทเรียนให้แก่ผู้รุกรานได้หลาบจำ แต่ท่านนบีมุฮัมมัดเลือกที่จะรักษาชีวิตไว้โดยให้ญาติของเชลยนำเงินมาไถ่ตัวไป
ส่วนเชลยที่ไม่มีเงินมาไถ่ตัว ท่านนบีมุฮัมมัดได้ออกคำสั่งว่าหากใครสามารถสอนมุสลิมให้อ่านออกเขียนได้สิบคนจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระ และไม่ต้องตกเป็นทาส
หลังจากนั้นท่านนบีมุฮัมมัด ได้ใช้มาตรการต่างๆในทางสันติเพื่อเลิกทาสอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งทำให้เจ้าของทาสปล่อยทาสของตัวเองด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งระบบทาส และความรู้สึกถือผิวชังพันธุ์ได้หมดไปจากโลกอิสลาม
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 22:16:22