บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
เมื่อนบีมุฮัมมัดและมุสลิมที่ถูกกดขี่อพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ เพราะสาเหตุเรื่องความศรัทธาในศาสนา ในเวลานั้นเมืองมะดีนะฮฺมีชาวอาหรับ 2 เผ่าใหญ่คือ เผ่าเอาส์ และคอซรอจญ์ อพยพจากเยเมนมาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ชาวอาหรับ 2 เผ่านี้มีความขัดแย้งกันและทำสงครามเข่นฆ่ากันมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำของเมือง แต่ปรากฏว่าไม่มีเผ่าใดชนะ และต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมให้ผู้นำของอีกเผ่าหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำ
นอกจากเผ่าอาหรับแล้ว แถบชานเมืองมะดีนะฮฺยังมีชนเผ่ายิวอีก 3 เผ่าที่อพยพหลบหนีความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับอาณาจักรไบแซนตินมาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ เผ่ายิวเหล่านี้ต่างแยกกันเป็นพันธมิตรกับชาวอาหรับสองเผ่าใหญ่ที่ขัดแย้งกัน ดังนั้น ต่างเผ่าจึงต่างให้ความช่วยเหลือเผ่าอาหรับที่เป็นพันธมิตรของตน
ขณะเดียวกันในมะดีนะฮฺมีชาวเมืองบางคนที่เดินทางไปทำฮัจญ์ และได้เข้ารับอิสลามหลังจากพบกับท่านนบีมุฮัมมัด มุสลิมใหม่เหล่านี้สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือท่านในการเผยแผ่อิสลามที่เมืองมะดีนะฮฺหากท่านไปอยู่ที่นั่น จากนั้นอีก 1 ปี มุสลิมใหม่เหล่านี้ก็แสดงความจริงใจในคำพูดของตนด้วยการพาคนที่เป็นมุสลิมใหม่ในเมืองมะดีนะฮฺมาพบท่านที่มักก๊ะฮฺ
เมื่อเห็นความจริงใจของมุสลิมใหม่จากเมืองมะดีนะฮฺ ท่านนบีมุฮัมมัดก็สั่งสาวกของท่านให้ทยอยกันอพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังมะดีนะฮฺ เพื่อแสวงหาเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจตามความศรัทธาของตนที่นั่น
ดังนั้น เมืองมะดีนะฮฺจึงเป็นเมืองที่มีกลุ่มคนหลากความเชื่อทางศาสนา นั่นคือ ชาวอาหรับที่บูชารูปเคารพ ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย และชาวมุสลิมที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ท่านนบีมุฮัมมัดเป็นคนสุดท้ายที่อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ
แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ชาวเมืองมะดีนะฮฺที่เบื่อความขัดแย้งของ 2 เผ่าใหญ่ในเมืองได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำซึ่งสร้างความผิดหวังให้แก่หัวหน้าเผ่าใหญ่ที่หวังว่าตัวเองจะได้เป็นผู้นำ และผู้ที่ผิดหวังเหล่านี้เองที่ซ่อนความรู้สึกบ่อนทำลายสังคมใหม่ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
เมื่อได้รับตำแหน่งผู้นำ ท่านนบีมุฮัมมัดคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมก่อน สิ่งแรกที่ท่านทำ คือ การสร้างความสมานฉันท์ ขึ้นระหว่างชาวเมืองมะดีนะฮฺ เพื่อความสุข และความเข้มแข็งของเมือง ท่านเรียกผู้นำของทุกเผ่ามาร่วมกันทำข้อตกลงในสัญญาอยู่ร่วมกัน อย่างสงบ
ข้อตกลงของสัญญานี้มีหลายสิบข้อ ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่ง เช่น
-ถ้าคนในเผ่าใดไปฆ่าคนอื่น เผ่านั้นต้องรับผิดชอบเรื่องการจ่ายค่าสินไหมให้แก่ครอบครัวของผู้ถูกฆ่า หรือถ้าเผ่าใดต้องการจะปล่อยคนของตนที่ถูกจับเป็นเชลย เผ่านั้นก็ต้องจ่ายเงินเอง มุสลิมก็เช่นกัน
-มุสลิมมีหน้าที่ต่อต้านคนที่ก่อความเสียหาย สร้างความวุ่นวายและสร้างปัญหาให้แก่ผู้คนหรือใช้วิธีการบังคับกดขี่ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด มุสลิมทั้งหมดจะต้องผนึกกำลังกันในการลงโทษคนเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นลูกหลานของตัวเองก็ตาม
-ถ้ามุสลิมให้ความคุ้มครองใคร มุสลิมทั้งหมดก็มีหน้าที่ต้องให้เกียรติผู้ได้รับความคุ้มครอง ถึงแม้คนผู้นั้นจะเป็นสามัญชน หรือ คนชั้นต่ำก็ตาม
-มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือและแสดงความเห็นใจต่อชาวยิวที่มีข้อตกลงร่วมกับมุสลิม มุสลิมต้องไม่กดขี่ชาวยิวและต้องไม่ช่วยเหลือศัตรูของชาวยิว
-ผู้ที่มิใช่มุสลิมในข้อตกลงนี้ต้องไม่จัดหาที่หลบภัย และซุกซ่อนทรัพย์สินของชาวกุเรชแห่งมักก๊ะฮฺ และต้องไม่ช่วยเหลือผู้ที่มิใช่มุสลิม ในการต่อต้านมุสลิม
-ชาวยิวในข้อตกและเป็นผู้สนับสนุนมุสลิมจะปฏิบัติตามศาสนาของตนและมุสลิมจะปฏิบัติตามศาสนาของตน นอกเหนือจากเรื่องศาสนาแล้ว มุสลิมและชาวยิวจะถูกถือว่าเป็นฝ่ายหนึ่ง ถ้าผู้ใดในสองฝ่ายนี้ทำผิดหรือผิดสัญญาหรือก่ออาชญากรรมต้องได้รับการลงโทษสำหรับอาชญากรรมที่ได้ทำไว้
-ทุกฝ่ายที่เป็นผู้ทำสัญญาจะไม่ปฏิบัติการทางทหาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากมุฮัมมัด
-ถ้ากลุ่มที่สามทำสงครามต่อต้านมุสลิมและชาวยิว ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันต่อสู้ศัตรูโดยต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฝ่ายตน
-ถ้ามะดีนะฮฺถูกรุกราน ผู้ร่วมสัญญาทั้งหมดจะร่วมกันป้องกันเมือง
-ถ้ามุสลิมทำสัญญาสันติภาพกับใคร ชาวยิวจะปฏิบัติตามสัญญานั้น และถ้าชาวยิวทำสัญญากับใคร มุสลิมก็มีหน้าที่ให้ความร่วมมือแก่ชาวยิวเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของสงครามศาสนาของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องรับผิดชอบ
-ถ้ามีความเห็นขัดแย้งกันในสัญญาจนอาจนำไปสู่ความไม่สงบ เรื่องทั้งหมดจะต้องให้มุฮัมมัดเป็นผู้ตัดสิน
เมื่อทุกฝ่ายตกลง มะดีนะฮฺก็มีความมั่นคงปลอดภัยจากศัตรูภายนอก และด้วยสัญญานี้เองที่เป็นการวางพื้นฐานให้เมืองมะดีนะฮฺ กลายเป็นรัฐอิสลามแห่งแรก
เรื่องราวดังกล่าวบอกให้เรารู้ว่าการอยู่ร่วมกัน โดยที่ทุกฝ่ายต่างได้รับความปลอดภัยนั้น ต่างฝ่ายต่างต้องร่วมมือกัน แม้จะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องความเชื่อและผลประโยชน์ก็ตาม