ความคิดเห็นที่ 1 ที่มา http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=2509&st=180) จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:25:38

ความคิดเห็นที่ 2 “นั้นเป็นของแหลมชนิดหนึ่งยาวประมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว และที่ต่อกับด้านนั้นกว้างประมาณนิ้วครึ่ง รูปคดเหมือนระลอกกระแสน้ำ ปลายแหลมคล้ายลิ้นงู ทำด้วยเหล็กกล้า ทั้งสองข้างคมเหมือนมีดโกน เหน็บไว้ในฝักซึ่งทำด้วยไม้อาบยาพิษ” ๑            ชาวมักกะสันมีความเชื่อถือกันอยู่ว่า ถ้าได้ชักกริชออกจากฝักแล้วไม่ได้แทงใครถือว่าเป็นคนขลาด และยังเชื่ออีกว่า คนที่ถูกฆ่าให้ตายไปนั้นจะไปเป็นทาสรับใช้ในโลกหน้า หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนจะไม่ยอมแพ้ใครถึงแม้ตัวจะตายไปก็จะถือว่าเป็นเกียรติยศล้ำเลิศแก่ตนเอง            ชาวมักกะสันตั่งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ติดกับหมู่บ้านมาลายู และใกล้หมู่บ้านโปรตุเกส ฝั่งตะวันออกของคลองตะเคียน อยุธยา ส่วนหนึ่งรับราชการเป็นทหารรักษาพระองค์ ก่อการกบฏ             วันหนึ่งเจ้าชายมาการ์ซาร์ที่หนีจากการปกครองของพวกฮอลันดา จากเกาะเซเลเบสมาอยู่เมืองไทยกับพวกประมาณ สามร้อยคน ได้ทำการคบคิดกับพวกเขมรและแขกจามเตรียมกบฏ          พวกก่อการกบฏได้ทำการปล่อยข่าวลือว่า ได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดาวเจ็ดดวงเรียงกันบนท้องฟ้าเป็นรูปจันทร์ครึ่งซีกล้อมรอบดวงจันทร์ซึ่งถือกันว่าเป็นลางบอกเหตุร้ายแก่บ้านเมือง และเป็นลางร้ายว่าจะเกิดอันตรายแก่ศาสนาอิสลาม  หรือเป็นลางดีว่าต่อไปพวกชาวมุสลิมจะมีความสุข ข่าวนี้เกิดผลขึ้นมีผลสองด้านด้วยกัน ด้านหนึ่งทำให้บรรดาชาวมุสลิมจำนวนมากทำการสนับสนุน อีกด้านหนึ่งทำให้ประชาชนคนไทยขวัญเสีย           ชาวมุสลิมนำโดยแขกมักกะสัน ได้ตกลงกันวางแผนการเอาไว้ว่า จะจับพวกคริสตังฆ่าให้หมด ทำการปล่อยนักโทษออกจากคุก ทำการยึดวังหลวง เข้าปล้นพระคลังมหาสมบัติ ปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์ ยกเจ้าฟ้าอภัยทศพระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองปะเทศ แต่มีข้อแม้ว่า เจ้าฟ้าอภัยทศจะต้องเปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลามเสียก่อนถ้าไม่ยอมก็จะฆ่าเสีย พร้อมกับบังคับให้ประชาชนทั้งหลายให้นับถือศาสนาอิสลาม  พวกกบฏอ้างว่าเหตุที่ต้องทำการในครั้งนี้ก็เพราะ สมเด็จพระนารายณ์เกื้อกูลพวกเข้ารีต ทำให้ผู้อื่นที่ไม่ได้เข้ารีตด้วยได้รับความเสียหาย แต่แผนการครั้งนี้ได้ล่วงรู้ถึงพระกรรณ์เสียก่อน จึงทำให้แผนการไม่สำเร็จลุล่วง            ก่อนวันก่อการ ได้มีแขกจามคนหนึ่งได้แอบส่งจดหมายไปหาพี่ชายของตนที่เป็นทหารรักษาพระองค์ในเมืองละโว้ให้หนีกลับมาสมทบ แต่พี่ชายไม่เล่นด้วย ประจวบกับที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงประทับที่พระราชวังเมืองละโว้โดยมีฟอลคอนอยู่เสนาบดีคู่พระทัยอยู่ด้วย ทหารจามจึงนำความไปแจ้งแก่ฟอลคอน และฟอลคอนก็ได้นำเนื้อความกราบบังคมทูลแก่สมเด็จพระนารายณ์อีกทอดหนึ่ง           สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้นำตัวหัวหน้าพวกมักกะสันมาไต่ถามถึงตัวหัวหน้าผู้ก่อการกบฏในครั้งนี้ ซึ่งหัวหน้ามักกะสันคนนั้นก็ไม่รู้ว่าใคร  แต่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นขุนนางชั้นสูงของไทยที่ไม่ชอบฟอลคอนร่วมกับขุนนางมุสลิมและพ่อค้าอินเดียก็เป็นได้           แต่ถึงอย่างไรชาวมุสลิมที่นำโดยชาวมักกะสันก็ยังทำการก่อกบฏในกรุงศรีอยุธยา           การกบฏของพวกมักกะสันเกิดขั้นที่สองแห่งคือที่อยุธยาและบางกอกบริเวณป้อมวิไชยประสิทธิ์หรือป้อมวิชาเยนทร์ในสมัยนั้น จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:27:17

ความคิดเห็นที่ 3 เหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยา          วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๒๒๙ คณะทำการก่อกบฏตามแผนที่ได้วางไว้ แต่เพราะฟอลคอนได้ทราบความก่อนแล้วจึงได้ระดมพล โดยมีชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ช่วยได้อย่างทันท่วงที ฝ่ายไทยปราบกบฏโดยการใช้อาวุธที่ทันสมัยกว่าเข้าต่อสู้ แต่ทหารฝ่ายไทยก็ได้เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์นี้หลายคน แม้แต่ฟอลคอนเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด และไม่สามารถปราบพวกมักกะสันในครั้งเดียวได้           “[วิชเยนทร์]จึงระดมทหารไปทำลายที่ซ่องสุมนั้นเป็นจำนวนถึงสองหมื่นคนให้ชาวยุโรปคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดาแกล้งทำหนี วิชเยนทร์หลงเชื่อ คิดว่ามันแตกตื่นหนีจริง ๆ จึงสั่งให้ทหารไทยไล่ติดตามมันแต่พอกองทหารนั้นแยกออกไปเป็นหมู่เล็ก ๆ พอแขกมักกะสันก็หันหน้าเข้ามาต่อสู้ฆ่าฟันทหารชาวทวีปยุโรปตายสิบเจ็ดคนและคนไทยล้มตายลงบ้างไม่น้อย วิชเยนทร์เองเกือบเสียชีวิต กระโดดหนีมักกะสันลงไปในแม้น้ำ เกือบจมน้ำตาย หากคนใช้ของเขาคนหนึ่งลงไปช่วยขึ้นมาได้จึงรอดชีวิต ศพคนที่ตายลอยน้ำผ่านเมืองบางกอกลงมาเป็นพยานให้เราทราบว่าวิชเยนทร์แพ้พวกมักกะสัน”๒            หนึ่งเดือนต่อมาในวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๒๒๙ ฟอลคอนได้ยกกำลังไปล้อมโจมตีหมู่บ้านมักกะสันที่อยุธยา ผู้บังคับการเรือรบสยาม  ซึ่งเป็นคนอังกฤษชื่อกัปตันโคต (Coats) เอาลูกแตก ขว้างและยิงระเบิดเพลิงเข้าไปในหมู่บ้านมักกะสัน พวกมักกะสันจึงกรุกันออกมาตีหัวกัปตันโคตตายทันที ส่วนกัปตัน อีอูดาล ผู้บังคับการเรือรบอังกฤษ ก็ถูกแทง ๕ แผล ถึงแก่ความตายในสมรภูมิ พวกฝรั่งกับทหารไทยยกกำลังยิงปืนใหญ่และธนูเพลิงเข้าไปเผาหมู่บ้านฆ่าแขกตายมาก คอนได้ใช้ความชาญฉลาดของเขาโดยการอาศัยธรรมชาติและเครื่องมือแบบพิเศษทำการปราบมักกะสันด้วย            “ตัวอย่างคราวแรกนั้นเป็นบทเรียนว่า ไม่ใช่เป็นการง่ายนักที่จะระดมเข้าต่อสู้โดยเปิดเผย เข้าได้เปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ คิดกลอุบายเป็นผมสำเร็จจึงเอาชนะได้...โดยเหตุที่ว่าเวลานี้น้ำท่วม ต้องลุยน้ำขึ้นมาถึงน่อง วิชเยนทร์จึงให้หาไม้ไผ่มาสานเข้าเป็นแผงหลายแผง ที่รอยต่อกันนั้นเอาตะปู เป็นรูปสามง่ามเสียบไว้ ปลายตะปูยื่นออกไปเกือบแปดนิ้ว เมื่อกองทหารลุยน้ำไป ก็เอาแผงไม้ไปไผ่นั้นหลงลงในโคลน พวกแขกมักกะสันไม่แลเห็น วิ่งหัวซุนมาจะแทงทหารไทย ตีนก็ติดขวากเหล็ก จะก้าวหน้าหรือถอยหลังก็ไม่ได้ ทหารไทยจึงเอาปืนยิงล้มตายเป็นอันมาก” ๓           การล้อมปราบในวันนั้น สู้กันตั่งแต่ตีสี่ครึ่งถึงบ่ายสี่โมง ทหารไทยตายประมาณพันคน คนยุโรปตาย ๑๗           ฟอลคอนได้ลงโทษพวกมักกะสันที่ที่เหลือรอดโดยการมัดไว้กับกางเขนและปล่อยให้เสือเข้ามากัดกินตั่งแต่มือถึงไส้ ส่วนทหารฝ่ายไทยที่หนีทหารในวันวันก่อกบฎถูกลงโทษโดยการตอกเศษไม้เข้าเล็บ ทุบนิ้วมือจนแตกน่วม ใช้ไฟจี้ที่แขน บีบขมับด้วยกระดานสองแผ่นประกบกัน บางคนถูกนำไปให้:-)ัดกิน ถูกโอรสของเจ้าชายมักกะสันสองคนถูกจับตัวได้ ฟอลคอนได้ให้บาทหลวงตาชาร์ดนำตัวไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส เขาได้เขียนจดหมายส่งตัวเจ้าชายทั้งสองคนลงวันที่ ๒๖ พฤษจิกายน พ.ศ.๒๒๒๙ ความว่า           “ข้าพเจ้าได้ส่งเจ้า ๒ องค์ บุตรของเจ้าเมืองมากาซา...ต่อพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และเพื่อทรงพระกรุณาโปรดแก่เจ้า ๒ องค์ประการใดก็แล้วแต่จะทรงเมตตา”๔           กบฏมักกะสันในกรุงศรีอยุธยาจบลงในวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๒๒๙ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:28:07

ความคิดเห็นที่ 4 ป้อมวิชัยประสิทธิ์ (ที่มา : http://www.navy.mi.th/newwww/document/history/royalnavy/chap314.htm) จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:30:21

ความคิดเห็นที่ 5 เหตุการณ์ในบางกอก  จากนั้นพวกมาการ์ซาร์ ๕๓ คนต้องลงเรือหนีเข้ามาทางบางกอก แต่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้ส่งม้าเร็วให้นำหนังสือไปบอก ออกพระศักดิ์สงคราม หรือฟอร์บังผู้บังคับการชาวฝรั่งเศสรักษาป้อมเมืองบางกอก (ป้อมวิชัยประสิทธิ์) ให้ทำการนำโซ่กั้นขึงขวางแม่น้ำ ไม่ให้เรือสำเภาแขกหนีไปได้          เมื่อเรือสำเภามาถึงเจอกับโซ่กั้นจึงไม่สามารถล่องเรือผ่านไปได้ ฟอร์บังใช้กำลังทหารเข้าจับกุมและยึดกริซของพวกมาร์กาซาร์ เมื่อจวนตัวจึงพากันแก้ผ้านุ่งขึ้นมาพันที่แขนทำเป็นโล่ และใช้กริซเข้าต่อสู้กับทหารของฟอร์บังอย่างสามารถ ใช้กริซไล่ฆ่า แทง แหวะท้องทหารฝรั่งเศสและทหารไทยล้มตายไปหลายคน จากนั้นจึงหนีเข้าป่า พระไทยวัดหนึ่งโดนฆ่าตายทั้งวัด ฟอร์บังใช้เวลาเดือนกว่า จึงจะกำจัดพวกแขกมาการ์ซาร์ได้ ฝ่ายไทยสูญเสียทหารไปราว ๓๖๖ คน พวกมาการ์ซาร์ตายไปเพียง ๑๗ คน แต่ก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างซ่อนตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมืองบางกอก เมื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และเดอลามาร์มาถึงอยุธยาก็โกรธแค้นพวกมาร์กาซาร์ เป็นอย่างมาก จึงนำกำลังเข้าโจมตีหมู่บ้านมาการ์ซาร์ ในวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๒๒๙ โดยการใช้อาวุธที่ทันสมัยกว่า ทั้งระเบิดมือ ปืนไฟ ปืนใหญ่ ครั้งนั้นฝ่ายสยามตายไปประมาณพันกว่า คนยุโรป ๑๗ คน พวกมาการ์ซาร์หลายคน คนที่บาดเจ็บและเหลือรอดถูกจับมัดเข้ากับไม้กางเขนและปล่อยเสือเข้ากัดกิน ทั้งร่าง          เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้แขกในเมืองไทยทั้งแขกขาวแขกดำหมดอำนาจ ส่วนเจ้าชายดายถูกยิงเสียชีวิต บุตรของเจ้าชายถูกส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส ทหารที่หนีราชการในช่วงนั้นถูกเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ลงโทษโดยวิธีการอันทารุณ ถูกตอกเศษไม้เข้าเล็บ ทุบนิ้วมือจนแตกน่วม ใช้ไฟที่จี้ที่แขน ใช้ไม้บีบขมับ บางคนถูกนำไปให้:-)ัดกิน         เมื่อการกบฏสงบลง สมเด็จพระนารายณ์ไม่ได้ลงพระอาญาบรรดาพวกมุสลิมที่การสนับสนุนมักกะสันในครั้งนี้เท่าที่ควร รวมถึงไม่ทำการลงโทษชาวมุสลิมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้เพราะทรงเกรงว่าจะทำให้พวกมุสลิมที่เหลือพากันกระด้างกระเดื่อง และเสียผลประโยชน์ทางการค้า ถึงอย่างไรเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ความรุ่งเรืองของแขกมักกะสันในสยามจบลง แต่ฟอลคอนก็ไม่ได้มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด กลับทำให้เขาเสื่อมอำนาจลงไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ด้วยเพราะความที่เขาเป็นคนมีศตรูหลายด้านจึงไม่มีใครขึ้นกับเขาอยากจริงจังนัก ฟอลคอนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ว่าจะทำการลอบปลงพระชนม์สมเด็จกระนารายณ์ เป็นบุคคลชักจูงให้ชาวฝรั่งเศสทำการยึดประเทศไทยในช่วงปลายรัชการสมเด็จพระนารายณ์ จนท้ายที่สุด คอนแสตนติน ฟอลคอน ออกญาวิชาเยนทร์ก็ได้ถูกสำเร็จโทษอย่างทารุณด้วยฝีมือของพระเพทราชา หนึ่งในศตรูคนสำคัญของเขานั่นเอง จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:31:28

ความคิดเห็นที่ 6 ๑             จดหมายเหตุฟอร์บัง  ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๕๐ ประชุมพงศาวดารเล่มที่ ๘๐,องค์การค้าคุรุสภา : กรุงเทพฯ, ๒๕๑๓, หน้า ๑๖๑. ๒             เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๔. ๓             เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๔-๑๘๕. ๔             ประชุพงศาวดารเล่มที่ ๒๖ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔๔). :องค์การค้าคุรุสภา : กรุงเทพฯ, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ : หน้า ๔๕. วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง บรรณานุกรม จันทร์ฉาย ภัคอธิคม.ประวัติศาสตร์ไทยสมัยแรกเริ่มถึงสมัยธนบุรี. เล่ม๑. ๒. มหาวิทยาลัยรามคำแหง : กรุงเทพฯ. ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทย ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ. พิมพ์ครั้งที่ ๔.  มติชน : กรุงเทพฯ. พ.ศ.๒๕๔๕. พลับพลึง มูลศิลป์. ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สมัยอยุธยา. พิมพ์ครั้งแรก,  บรรณกิจ : กรุงเทพฯ. พ.ศ.๒๕๒๓. รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต(วัน วลิต). ในวาระ ๔๐๐ ปี สัมพันธไมตรีไทย –   เนเธอร์แลนด์, ฉบับปรับปรุง,  พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพ. พ.ศ.๒๕๔๘. วิไลเลขา ถาวรธนสาร, และคณะ.  พื้นฐานวัฒนธรรมไทย (HI 121). พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. มหาวิทยาลัยรามคำแหง : กรุงเทพฯ. พ.ศ.๒๕๔๒. ศิลปากร, กรม.  จดหมายเหตุคณะพ่อค้าฝรั่งเศสในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์. จดหมาย มองซิเออร์ เวเรต์ ประชุมพงศาวดารเล่มที่ ๒๕ (ประชุมพงศาวดารภาคที่๔๑ ต่อ – ๔๒ - ๔๓). พิมพ์ครั้งที่ ๑,  องค์การค้าของคุรุสภา : พระนคร. ๒๕๒๒.   __________, จดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศส. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๔ (ภาคที่ ๕). พิมพ์ครั้งที่ ๑.  องค์การค้าของคุรุสภา : พระนคร. ๒๕๒๗. ___________, จดหมายเหตุฟอร์บัง  ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๕๐ ประชุมพงศาวดารเล่มที่ ๘๐.    ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์, องค์การค้าของคุรุสภา : พระนคร. ๒๕๑๓. __________,  ประชุมพงศาวดารเล่มที่ ๒๖ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔๔). ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ : องค์การค้าคุรุสภา : พระนคร. __________,  พงศาวดารเรื่องฝรั่งเศสกับไทย ประชุมพงศาวดารเล่ม ๑๖ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่   ๒๗). พิมพ์ครั้งที่ ๑, : องค์การค้าของคุรุสภา : พระนคร. ๒๕๒๗. __________,  พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. สำนักพิมพ์คลังวิทยา : พระนคร. ไม่ปรากฏสำนักพิมพ์. __________,  เรื่องเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ พงศาวดารเล่มที่ ๑๒ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่๑๕-๑๘). ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ องค์การค้าของคุรุสภา : พระนคร. ๒๕๐๗. อาทร จันทวิมล ดร. ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินไทย. ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์. http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=2509&st=180, สืบค้นเมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓. http://www.navy.mi.th/newwww/document/history/royalnavy/chap314.htm. สืบค้นเมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓. จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:32:57

ความคิดเห็นที่ 7 ที่มา http://www.gotoknow.org/blogs/posts/138679 จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 16:33:30

ความคิดเห็นที่ 8 เบื่อเล่นสถิติ เต้าข่าว หลังจากย่อยยับไม่เป็นท่า หันกลับมาเล่นประวัติศาสตร์แล้วหรือครับ  :D จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 17:20:38

ความคิดเห็นที่ 9 รู้สึกว่าเรื่องนี้คงเป็นความภูมิใจของห้องนี้ ลงกันบ่อยทุกปีสูสีกับเรื่องนาลันทา จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 17:45:49

ความคิดเห็นที่ 10   ไหน ๆ ก็ค้นเรื่องแขกกบฎแล้ว  ทำไมไม่ลองค้นเรื่อง แขกที่ต่อสู้กับกบฎ และแขกที่ค้ำบัลลังก์ ราชวงศ์แห่งสยาม  อย่างเข้มแข็ง  มานำเสนอคู่กันไป อีกสักเรื่องล่ะครับ ?   หากจะตั้งต้นเป็นผู้รู้จริง  ก็คงไม่คิดเอามาแต่เรื่องที่ตนเองคิดว่า "มุสลิมโดนสังหารแล้วสะใจตรู"  กระมังครับ  ควรจะเอาเรื่องที่  "มุสลิมสร้างคุณูประการ ให้แก่บ้านเมืองนี้"  มานำเสนอควบคู่กันไปด้วย ก็น่าจะดี และยุติธรรม มิใช่หรือ?   ทั้งศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาในความอุปถัมภ์ ของ องค์พระประมุข แห่งประเทศ เช่นเดียวกันนะครับ       มุสลิม  ไม่ใช่ประชาชนชั้นสองของประเทศหรอกครับ  เป็นประชาชนไทยเต็มขั้น เหมือนกับคุณ เหมือน ๆ กับผมนี่เอง  และสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศนี้ ก็ได้ให้ความสำคัญกับทั้งสองศาสนา อย่่างที่ปรากฎให้เห็นกันอยู่แล้ว  รัฐธรรมนูญ ก็ให้ความเท่าเทียมกัน ในทุก ๆ ด้าน  หรืออย่างน้อยที่สุด กฎหมายต่าง ๆ ก็ได้ให้ความสำคัญตามสัดส่วนที่ควรมีควรเป็นตามความเป็นจริง ในบางเรื่อง อย่างยุติธรรมตามปกติอยู่แล้ว  แล้วเจ้าของกระทู้ มีอะไรฝังใจนักหนา กับอิสลาม-มุสลิม หรือครับ  ถึงได้จงเกลียดจงชัง ตามราวี ไม่เลิก ซะขนาดนั้น  หรือว่า เพราะความกลัวจนอุจจาระขึ้นสมอง อย่างที่เขาร่ำลือ ??? จึงได้ออกอาการจิตเภท ได้ขนาดนี้   อนึ่ง การเดินทางมาตรวจเยี่ยม และรับฟังปัญหาต่าง ๆ ของหน่วยงานสำคัญ ๆ ระดับโลก ที่เพิ่งได้ข้อสรุปไป  เขาก็สรุปตรงกันแล้วว่า  เหตุการณ์รุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ มิได้มาจากต้นเหตุแห่งศาสนา  แต่มาจากการดำรงอยู่ของ อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมที่แตกต่าง ตลอดถึงความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด กันในเรื่องของความยุติธรรม และ ฯลฯ  มิใช่หรือ ?  ทำไมคุณจึงต้อง พยายามดึงเอาศาสนา เข้าไปเป็นคู่ต่อสู้กันและกัน?  หากคนที่คิดว่าตนเองเป็นชาวพุทธแท้ (และฉลาดจริง)  คงไม่ลากเอาองค์กรศาสนา เข้ามาเป็นคู่ต่อสู้หรอกครับ  เพราะนั่นมันคือ สิ่งที่เรียกว่า "อุปัทวะ"  หรือ ความอุบาทว์ ที่เกิดจากใจของคนก่อน จนลุกลามเป็นไฟไปทั่ว แล้วอ้างเรื่องศาสนา นั่นเอง           แท้จริงแล้ว  อุปัทวะนั้น หาใช่เกิดจากตัวศาสนาไม่  แต่คุณเอง คือ "ตัวอุปัทวะ"       ปล. ประวัติศาสตร์ ช่วงนี้ ที่เจ้าของกระทู้นำมาเล่า  ผมได้อ่านมา น่าจะสองสามรอบแล้วมั้ง  ในหนังสือ และสื่อ ออนไลน์  แต่ก็ยังไม่เคยอ่าน หรือเคยฟังจากการเล่า โดยรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า ผู้เล่านั้น ใส่ความรู้สึก ประมาณว่า  "เล่าไปสะใจไป"   อะไร ๆ ทำนองนี้เลยนะ  ....อืม.....ก็ได้อรรถรส ไปอีกแบบ ที่แปลก ๆ ดี  แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 19:20:52 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 19:18:25 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 19:14:17 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 19:10:38

ความคิดเห็นที่ 11 ท่าน รถเรณู ป้าด  ไม่ได้อ่านหรือไร งานเขียนเก่าๆของผมมี เรื่องกบฎแขกมักกะสันนี่อีก เดวก็รู้ว่ากบฎแขก หรือ กบฎไม่แขกกันแน่ โปรดติดตามตอนต่อไป ถ้าจะเล่นประวัติศาสตร์ไทยกับกรุงสยาม ของชอบเลย เดวก็กลายพันธ์เป็น รามาปาแดอีกหรอก แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 55 19:33:42 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 19:32:45

ความคิดเห็นที่ 12 รบกวน รีบส่งเข้ามาประกวด ด่วนเลยครับ  คุณ พี่จิม.....อยากอ่านอีก  เพราะไม่แน่ใจว่า ได้อ่านรึยัง ...รึว่าอ่านแล้ว ลืมแล้ว  ??? จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 19:51:33

ความคิดเห็นที่ 13 ใจเย็นๆท่าน รถเรณู ผมชอบดูละครลิงจับหลัก ประวัติศาสตร์นั้นสอนคน เสมอว่าเกิดอะไรในโลกใบนี้ ถ้าท่านที่อ่านพยายามอ่าน บทความที่ จขกท เอามาลง อย่างมีสติช้าๆๆ  ก็จะทราบเองได้ว่า แขกมากซ่าร์ นั้นคือใคร แขกมาร์กาซ่า ถูกใครชักใยเบื้องหลัง แขกมาการ์ซ่าร์ไม่กี่คน และมุสลิมที่เหลือไปไหน หายไปไหนหมด แล้วทำไมมุสลิมเหล่านั้นจึงเป็นนายทัพนายกองในสมัยสมเด็จพระณารายณ์ ต่อมาจน ถึงทุกวันนี้ หุหุหุ  ใบ้ให้นะครับ  อิสลาม ในยุคนั้นก็เหมือนในยุคนี้ มีหลายชาติพันธ์ แต่คนเขียนบทความจงใจ เน้นๆๆ  เหมือนการเน้น โจรใต้นั้นแหละ ไอ้ตัวบงการไม่พูดถึง อยู่ในบทความนั้นเองแหละ ผมถึงบอก กบฎ แขก หรือไม่ใช่แขกกันแน่ บอกประดับความรู้ ว่า กริช ที่ใช้กันในภาคใต้นั้น คือกริช ที่ได้รับวัฒนธรรมจากฮินดู มิใช่อิสลาม  นาก้าบบบ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:02:32

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยครับว่า เรื่องกฤชนััน เป็นวัฒนธรรมฮินดู  เพราะ กฤชต้นฉบับเดิม ๆ ที่ด้ามกฤช ส่วนมากมักมีรูปสลักของ เทพเจ้าฮินดูซะส่วนใหญ่  และที่เป็นที่นิยมมาก ก็คือพระพิฆเณศวร์    แต่เมื่อ กฤช มาเป็นอาวุธประจำกายของชายมุสลิม ในภายหลัง  รูปเทพเจ้าเคารพก็หายไป  ...แต่หาก ตรวจตราดูดี ๆ ที่ด้ามกฤช ของมุสลิมอาเซี่ยน ก็จะยังคงมีร่องรอยของสัญลักษณ์ พระพิฆเณศวร์ หลงเหลืออยู่บ้าง  แต่หลงเหลืออยู่เพียงสัญลักษณ์ ที่นักโบราณคดี ที่เข้าใจการผสมผสานวัฒนธรรม อย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้     ดังจะเห็นว่า คนมุสลิม ในบางท้องถิ่น  ก็ไม่ได้จงใจทำลายทุกอย่าง ไม่ให้เหลือซาก หรือเหลือความทรงจำ หากสิ่งนั้น ๆ เป็นการผสมผสานในเชิงวัฒนธรรม เขาก็ยอมรับว่า มาจากแหล่งใด  (ดังที่พี่จิม กำลังจะเล่านั้นเอง ว่าแท้จริง กฤช เป็นอาวุธ จากแหล่งใด....) เพียงแต่มุสลิม (ตามที่ผมเข้าใจ) เขาก็จะมีหลักการของเขาว่า จะอนุโลมให้ผสมผสานได้ ตามความจำเป็น ที่ไม่ขัดต่อหลักศาสนา อันเป็นหลักใหญ่ของเขาเท่านั้น   เรื่องทำนองนี้ ผมว่าคนทั่ว ๆ ไป คงจะไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายนัก..... ก็คงพอ ๆ กับประวัติศาสตร์ บางช่วงบางตอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมุสลิม หรือเรื่องชาติอื่น ๆ ก็ตาม     คนอ่าน ก็มักอ่านเอา และจินตนาการเข้าข้างความคิดของตนเองนั่นแหล่ะ ซะส่วนใหญ่  ...จนกว่าคนที่  "รู้จริง"  ในเรื่องนั้น ๆ มาเล่าให้ฟังอีกที จึงจะพอเชื่อถือได้    เรื่องนี้ คงต้อรอบังจิม มาเล่าสู่กันฟังซะแล้วกระมังครับ จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:23:05

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องกฤช นั้น คนสมัยก่อนในภาคใต้ การเข้าถึงศาสนาอิสลามนั้นน้อยมาก ชื่อนั้นเป็นอิสลาม แต่วัฒนธรรม นั้นยังมีการผสมผสาน ฮินดู และการเชื่อถือ ต้นไม้ พระอาทิตย์ พระจันทร์ แม่ย่านาง ควบคู่กันไปด้วย เมื่อศาสนาอิสลามเริ่มเข้าถึงในไม่กี่สิบปีนี้ วัฒนธรรมเหล่านี้ก็หายไป ถ้าใคร ยังบูชา กฤช ถือว่ากฤช เป้นสิ่งศักดิ์สิทธ คนผู้นั้นก็มิใช่อิสลาม กฤช ในเวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นแค่เพียง Symbolic นึงของลังกาสุกะเท่านั้นเอง ครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:32:40

ความคิดเห็นที่ 16 ตกลงคุณ รถเรณู หาเจอหรือยังครับ ว่าแขกมารการ์ซ่า นั้นคือใคร และแขกมาร์กาซ่า นั้น มีใครอยู่เบื้องหลัง เพื่อนพุทธศาสนิกชน ถ้าเรียน ประวัติศาสตร์ ต้องขอบคุณ แขกมาร์กาซาร์เสียด้วยซ้ำ ที่เป้นส่วนนึงในการช่วยปกป้องพระพุทธศาสนา ในสยาม มิใช่ทำลายพุทธศาสนาอย่างที่เข้าใจ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:34:46

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนท้ายของ คคห.5 มีขยายให้อ่านครับ กบฎมักกะสันก่อการไม่สำเร็จปลงพระชนม์พระนารายณ์ไม่ได้ พระสงฆ์พุทธก็เลยร่วมมือก่อการกบฎกับอีกกลุ่มตอนสมัยปลายรัชกาลปลงพระชนม์พระนารายณ์ซะเลย แถมทำสำเร็จอีกต่างหาก http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=historybuild&month=10-10-2009&group=1&gblog=3 จากคุณ : Zadkiel เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:36:12

ความคิดเห็นที่ 18 ผมใบ้ให้อีกหน่อย  ตัวละครเรื่องนี้ ขาดตัวละครตัวสำคัญ ไปอีกสองตัว ตัวนึงเป็นคนต่างชาติ และอีกตัวนึงคือแม่ทัพมุสลิม หุหุหุหุ  โอะเอะ อย่าพึ่งงง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:37:37

ความคิดเห็นที่ 19 ท่าน  Zadkiel  ถูกต้องแล้วครับ  เริ่มเฉียดกับปริศนาของผมแล้วครับบ อีกนิดเดียวเกือบจะถึงคำตอบอยู่แล้ว แต่ถ้าผมตอบเองผมเล่ายาวประมาณ 30 หน้ากระดาษ A 4 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:39:51

ความคิดเห็นที่ 20 รบกวนเพื่อนๆ อ่านLink ของท่าน Zadkiel เดวของผมจะมีบทความอีกอันมาช่วยขยาย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 20:43:47

ความคิดเห็นที่ 21 ดูท่าจะเป็นอีกกระทุ้ เหรียญทองของคุณ ซามูไร ก็หวังว่า หมดเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว.. จะวางดาบ มาหาสันติต่อกันเสียทีนะครับ เล่นทั้งสถิติ กุข่าว ประวัติศาสตร์ จนไม่เหลืออะไรแล้ว อย่าให้ต้องเผาตัวเอง เลยนะครับ ผมยินดีพูดคุย เรื่องธรรม เรื่องทั่วไป และไม่ถือ เรื่องที่ผ่านมาๆ ขอแค่คุณซามูไร สำนึกผิดกลับตัว แค่นั้นก็สำคัยมากพอแล้วครับ คิดว่ามุสลิมที่นี่ก็คงไม่ถือเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาเราก็ถอยกันมาให้ดูมากพอแล้ว จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:08:36

ความคิดเห็นที่ 22 ท่าน Yaoharee ผมคนนึงละที่ไม่เคยถือโกรธ ที่พยายามขันติมาตลอด เพราะผมอยากเห็นสันติ ระหว่างศาสนาในผืนแผ่นดินนี้ คนไม่รู้คือคนไม่ผิด เค้าอาจได้รับข้อมูลผิดๆมา แล้วไปสะดุดตาปลาเข้าเลยเป็นฟืนเป็นไฟ เราก็มีหน้าที่ทั้งปลอบทั้งขู่เป้นธรรมดา ถ้าสันติแล้วสงบแล้ว ความมีปัญยา และเชี่ยวชาญในศาสตร์ของเค้า คงจะเป้นประโยชน์ต่อสังคมไม่มากก้น้อย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:16:39

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านเรื่องจบนึกถึงหนังสือเรื่อง รุกสยามในนามพระเจ้า เรื่องเดียวกันตั้งแต่หลวงพ่อตาชาร์ดลงเรือมาจากฝั่งเศษ จนปีกหักบินกลับไป จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:16:56

ความคิดเห็นที่ 24 เรื่องกบฎมาการ์ซา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ นั้นคือเรื่องการเมือง ศึกสายเลือดกัน ไม่เกี่ยวกับศาสนา โดยเป็นการสมประโยชน์กันหลายฝ่าย ทั้งไทย ทั้งแขก ทั้งอกหักรักคุด เพียงแต่มีทหารรับจ้างเป็นแขกถ่อย มาร์กาซ่า เท่านั้น ส่วนมุสลิมอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ยุ่งมุ่งค้าขายตามคลองตะเคียน ลุมพลี ใครจะฟัดกับใคร ข้าฯไม่สน ทำมาหากินดีกว่า ในเรื่องนี้มีแม่ทัพนายกองมุสลิมหลายคน ส่วนใหญ่ถือข้างพระนารายณ์ ช่วยกันปราบปรามแขกมาการ์ซา พอพระเพทราชา ขึ้นครองราชก็จับแม่ทัพมุสลิม ที่ถือข้างพระนารายณ์ มาประหารเสีย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 21:43:22

ความคิดเห็นที่ 25 ตอนนั้น พระเพทราชาไล่ฆ่าพวกฝรั่งด้วยครับพี่จิม ถ้าตามหนังสือแต่งเล่นๆ จากเรื่องจริงๆ ที่คนเขียนไปขุดคุ้ยมา สมัยนั้นช่างเป็นเรื่องน่าเสน่ห์ยิ่งนัก เอิ๊กๆ มันเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจระหว่างต่างชาติด้วยกัน พอสิ้นพระนารายพระเพทราชาเลยล้มกระดานซะเลย และในช่วงนั้นเป็นที่มาของประโยคอมตะขึ้นใจอันหนึ่งของผม ตอนที่เจ้าพระยาโกษาปานไปเยือนฝรั่งเศส และมาดามๆทั้งหลายพากันกรี๊ดกร๊าดในตัวท่าน และมีคนนึงถามว่า.... ทำไมไม่ยอมรับพระเจ้า ท่านชี้ไปที่สวนดอกไม้แล้วกล่าวว่า "พระเจ้าพึงใจสร้างความแตกต่าง หากเราทำถูก ท่านทำควร ที่จุดสุดท้ายเราย่้อมได้เจอกัน" .... ความแตกต่างอย่างลงตัวและสวยงาม นั่นหละโลก และ สวนดอกไม้ในพระประสงค์ เนาะ คมเนาะครับ :) จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 22:40:31

ความคิดเห็นที่ 26 พระเพทราชา เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม ไมพอใจพระนารายน์ ที่เอาต่างชาติมามีอำนาจ ก็สนบสนุนกลุ่มอนุรักษนิยม ในการก่อกบถ หลายครั้งไม่สำเร็จ จนสุดท้ายก็สำเร็จ พวกมาร์กาซ่าร์ คือคนต่างชาติ ชาวสุลาเวสี หรือชวา เป็นกลุ่มโหดเหี้ยมโจรสลัด มีผลต่างตอบแทนกัน อิสลาม ในอยุธยามีหลายก็ก มาลายู จาม อาหรับ เปอร์เซีย  มาร์กาซาร์ ต่างกลุ่มก็อยากเป็นผู้ทรงอิทธิพล ของกลุ่มชนตนเอง ย่อมแตกก้วนก้ก ไปเข้ากลุ่มที่สนองนโยบายตนเองได้   มาร์กาซาร์ เช่นเดียวกัน ก็อยาก ได้ดิบได้ดี ถ้า กบฎสำเร็จ จะได้มีการประทานรางวัลให้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 55 23:01:06

ความคิดเห็นที่ 27 ฟังดูก็สนุกดี แต่สงสัยอยู่อย่าง คุณรถเรณู เป็นไทย หรือ เป็นแขก เห็นออกมาทำหน้าที่ ดิสเครดิต จขกท เป็นรายต้น ๆ เลย ไม่น่าร้อนรนเลยนะ เดี่ยวเขาก็ออกกันมาเองนั่นแหละ มีอะไรกันหรือเปล่าเห็นออกมารับแทนหลายครั้งแล้ว เพลา ๆ บ้างก็ดีนะ ทำอะไรไม่ต้องโจ่งแจ้งนักก็ได้ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 08:49:32

ความคิดเห็นที่ 28   ผมเป็นไทย หรือเป็นแขก ไม่สำคัญหรอกครับ Faraday  ผมอยู่ในบอร์ดพันทิปมานาน พอที่ สมาชิกในนี้ เขารู้ตัวตนผมแล้วล่ะ  ส่วนคุณไม่รู้ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้    ส่วนที่บอกว่า ผมออกมา ดิสเครดิต  เจ้าของกระทู้  ???   ว่าแต่ว่า  เจ้าของกระทู้คนนี้  "ยังมีเครดิต อะไรเหลืออยู่อีกรึ?"    ผมเขียน วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความเห็น ของผมตามปกติ เรื่อยไป  ไม่สนใจมากนัก ว่าใครมีเครดิต หรือไม่มี  หากนกร้อง ผมก็ชมว่าไพเราะ เพราะมักจะจะไม่เป็นที่รำคาญใคร  หากหมาเห่า  ไม่ว่าจะเห่าโจร หรือเห่าแขกที่มาเยี่ยมเยือน ผมก็ ติบ้าง ชมบ้าง ไปตามสถานการณ์ นั้น ๆ   ผมไม่สนใจ จะไปให้เครดิตใครง่าย ๆ หรอกครับ Faraday   ที่สำคัญต้นทุนของเขาไม่ได้มีมากพอ  ที่ใคร ๆ จะให้เครดิต อะไร   อนึ่ง  คุณมักจะทะลึ่งให้คำปรึกษาผมว่า  "ทำอะไรอย่าให้โจ่งแจ้งมากนัก" ????      ผมไม่ใช่โจรนะครับ ที่จะต้องทำอะไรมืด ๆ ลับ ๆ ล่อ แบบคุณ  ผมทำอะไร ผมทำโจ่งแจ้งเสมอ       ดังนั้น....ไม่ต้องเลยนะครับ  ไม่ต้องมาเสนอแนะอะไร ให้ผมต้องไปทำอะไร ที่มันลับ ๆ ล่อ ๆ  (ไม่โจ่งแจ้ง)  เหมือนที่คุณทำอยู่เป็นอาจิณ  ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ เพราะแบบนั้น มันสันดานโจรชัด ๆ  ผมรังเกียจพฤติกรรม แบบนั้นน่ะ      ดังนั้น  อย่าได้ทะลึ่ง นำเสนอ ในสิ่งที่ผมรังเกียจเด็ดขาด  โอเค๊? แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 55 11:40:01 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 55 11:31:35 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 11:25:44

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณคุณรถเรณู ที่ตอบมา แต่ยังไม่บอกที่ถาม เพียงระวังตามคำกล่าวที่ถามว่า ถ้าเห็นแขกกับงูพร้อมกันให้เลือกว่าจะตีอะไรก่อน เลยอยากรู้อ่ะ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 11:31:03

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณ คุณ Faraday ที่กล่าวขอบคุณผม  เรื่องที่คุณถามว่า...หากเห็นแขกกับเห็นงู ให้ตีใครก่อน ?  ตอบง่าย ๆ ครับ ผมเลือกที่จะตี Faraday ก่อน เพราะ  ๑. อยู่ ๆ ผมจะไปตีแขกทำไมเนี่ย?  ๒. แขก แกก็นั่งเป่าปี่ ให้งูโผล่หัวขึ้นมา ส่าย ๆ โยก ๆ เต้นระบำ....น่าดูออกจะตายไป  แล้วผมจะตีงู ทำไมอ่ะ?  ผมยืนดูอยู่อย่าง สุดจะบันเทิง แล้วอยู่ ๆ Faraday ก็มาสะกิดผมไม่เลิก  บอกว่า ให้ตีสักอย่างเถอะน่า  ไม่แขกก็งู  ไม่งูก้แขก....ไม่แขกก็งู  ไม่งูก้แขก  ........ ผมว่าผมต้องตีกบาล Faraday นะ ...... ขัดขวาง อารมณสุนทรีย์ดีนัก ชิชะ  ชิชะ ปล. พักนี้ ท่าทาง Fadaday จะเครียดมากเกินไปนิ๊สสสสนุง นะ....ไปซื้อกล้วยแขก แถว ๆ แยกนางเลิ้งกินซะบ้าง ก็น่าจะพอบรรเทา.....ลองดูสิ  ไม่เสียหาย แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 55 11:43:27 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 55 11:41:22 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 11:36:32

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยคุณรถเรณู  มีหัวใจเป็นอิสลาม  มีตัวเป็นพุทธ จากคุณ : 5tik เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 11:47:44

ความคิดเห็นที่ 32 สงสัยจะเป็นแขกจริง ๆ แหะ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 11:49:55

ความคิดเห็นที่ 33 ท่านรถเรณู  ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า ก้วนป่วนชอบที่จะเรียกอิสลาม ว่าแขก ทั้งๆที่ ถิ่นกำเนิดอิสลาม อยู่ที่อาหรับนะครับ 555  ไม่ต้องให้ผมต้องบอกต่อ....นะครับว่า ศาสนาที่คนไทยนับถือนั้นเกิดที่ใด ด้วยประการนี้ผมเลย ไม่ตีทั้งแขก และไม่ตีทั้งงู มันบาป งูมันอยู่ของมันดีๆ ไม่ได้ทำร้ายอะไรเราดันไปตีมันเข้า สิ่งที่น่าจะตี ก็น่าจะก้วนป่วนนั้นแหละครับ  ถ้ายังป่วนมากๆเข้า เขกกบาลสักโป้ก สองโป้ก น่าจะเรียกสติกลับมาได้มั่ง นะ ท่าน รถเรณู จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 12:35:43

ความคิดเห็นที่ 34 พี่จิม ถ้าอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนี้ จากหนังสือเล่มดังกล่าว ซึ่งผู้เขียนเป็นคนฝรั่งเศส จะเห็นอีกมุมมองว่า พระเพทราชา ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมอะไรนักหนา แต่นายฟอลคอนแกแรงเกิ๊น ถ้าแกลดความละโมภลงซักนิด พระเพทราชาคงไม่ล้มกระดาน และเมืองไทยคงเจริญกว่านี้อีกมากมาย แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 13:17:30

ความคิดเห็นที่ 35 itoursab ถ้ามุมมองของพี่จิม  ผมว่าเป้็นการสมประโยชน์กัน พอๆ กัน พระนารายณ์ กับพระเพทราชา ก็ไม่ใช่อื่นไกล คงมีรายการปีนเกลียวกันละครับ พระนารายณ์เลยต้องใช้ ข้าราชบริพาร เป็นชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เอาไว้ ถ่วงดุลย์ อาจมีความระแวงเล็กๆ กันอยู่ ต่างชาติหัวแดงเอง ก็หวังพระนารายณ์ในการแผ่อิทธิพลตะวันตก พระเพทราชา อาจไม่ชอบวิธีการอันนี้ ซึ่งรู้สึกว่าเป็นการบั่นทอนอำนาจ จึงหาเหตุในการล้มราชบัลลังค์ ประเทศไทยในขณะนั้นเนื้อหอม ชาวต่างชาติ ก็ชอบ พระนารายณ์เอง ก็ระแวงไปหมด พระเพทราชา ก็หาโอกาสเสียบ นี่ละครับมันอาจเป้นยีน อย่างนึงของคนในชาติ ของเรา เลยแตกเป้นก้วนเป็นก๋ก กันมายันทุกวันนี้หาความปรองดองยาก เราชนรุ่นหลังผมพยายาม รนณรงค์ให้เลิก วิถีคิดแบบไทยๆกันสักที เอาชาติเป้นที่ตั้งเอาความมักใหญ่ใฝ่สูงเอาซุกกระเป๋าไว้บ้าง รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา จะได้ร่มเย็นเป้นสุขกัน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 13:42:54

ความคิดเห็นที่ 36 นี่ละครับมันอาจเป้นยีน อย่างนึงของคนในชาติ ของเรา เลยแตกเป้นก้วนเป็นก๋ก กันมายันทุกวันนี้หาความปรองดองยาก เราชนรุ่นหลังผมพยายาม รนณรงค์ให้เลิก วิถีคิดแบบไทยๆกันสักที เอาชาติเป้นที่ตั้งเอาความมักใหญ่ใฝ่สูงเอาซุกกระเป๋าไว้บ้าง รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา จะได้ร่มเย็นเป้นสุขกัน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) "รนณรงค์ให้เลิก วิถีคิดแบบไทยๆกันสักที " แล้วเอาแนวคิดมุสลิมแถบตะวันออกกลางมาใช้หรือ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 14:16:56

ความคิดเห็นที่ 37 สิ่งที่น่าจะตี ก็น่าจะก้วนป่วนนั้นแหละครับ   ถ้ายังป่วนมากๆเข้า เขกกบาลสักโป้ก สองโป้ก น่าจะเรียกสติกลับมาได้มั่ง นะ ท่าน รถเรณู จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) ท่านทั้งสองนะคือก๊วนป่วนตัวจริงเลยละ เห็นตามไปป่วนทุกที่เลย แถมพูดจา แสดงออก ในแบบคนเกเร เช่น เขกกบาลสักโป้ก สองโป้ก คุณจิม ระวังนะครับ เขกหัวต้วเอง แล้วสะใจ เข้าใจผิดว่าเขกหัวผม เหมือน กินข้าวแล้ว กลับบอกว่ายังไม่ใด้กิน จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 14:24:24

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าความคิดแบบไทยๆ มันคิดอิจฉาตาร้อนกัน แก่งแย่งชิงดีกัน ก็สมควรเปิดใจรับแนวคิดอันอื่นมิใช่หรือ โดยไม่สูญเสียความเป้นชาติไทย ดูอย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม ลาว  เขมร แม้นกระทั่งพม่า เค้าก็ปรับแนวคิดแล้ว โดยไม่เห็นต้องสูญเสียความเป้นชาติเลย มัวแต่ติดกับดักตนเอง เมื่อไหร่ชาตเราจะเดินหน้าสักที นับ 1 วันนี้ดีกว่าไม่ได้นับเลยใช่ไหม แค่เรื่อง 3 G บ้านข้างๆเค้าจะไป 4 G อยู่แล้ว มัวแต่ปัดแข้งปัดขากัน หลงในความเท่ห์ของตนเองจนจะลงคลอง ยังไม่สำนึกอีก จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 15:38:13

ความคิดเห็นที่ 39 ประกาศ ตามหา นายเยา ไปที่กระทู้นี้ด่วน   http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12071703/Y12071703.html#62   จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 17:38:22

ความคิดเห็นที่ 40 -35 แต่ถ้าอ่านช่วงนั้นดีๆ ผมว่า พระนารายกับพระเภทราชาเค้าต๊ะมือกันนะครับ ส่วนความคิดไทยๆที่พี่จิมว่า คงเป็นความคิดที่หลวงวิจิตวาทะการว่าไว้ว่า "เรายังติดนิสัยทาษ" ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ ทาษ มาจากการยอมขายตัวเอง อเมริกายังไปจับคนผิวดำมา ญาฮิลีย์อาหรับก็จับคนต่างเผ่า ทาษของไทยละมาจากไหน? จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 19:44:17

ความคิดเห็นที่ 41 ทาษ ของคนไทย คือการเสนอตัวไปให้เค้าแลกกับเงินตรา ถึงแม้นจะเลิกทาสไปนาน แต่ก็ยังอยากเป็นทาส อยู่ ไปหาที่ซุกใต้พรม ใต้เท้ากัน แม้นทุกวัน ที่ปากบอกอิสระชน แต่ก็ยังขายหัวใจ และอุดมการณ์กันอยู่แหละครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 21:27:20

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นด้วยกับคุณจิมในความเห็น ที่ ๔๑ นี้ครับ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 07:39:05