ในสมัยพุทธกาล..อุปติสสะและโกลิตะได้เกิดความศรัทธาบรรพชาเข้าสู่พระธรรมวินัย
หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พร้อมทั้งบริวารหลายร้อย
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม บริวารทั้งหลายต่างพากันบรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด
เว้นแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ที่ยังไม่บรรลุอรหัตผล
เพราะด้วยความที่ปัญญามาก จึงยังไม่เชื่อซะทีเดียว..หลังจากนั้นครึ่งเดือน พระสารีบุตรจึงบรรลุอรหันต์
โดยปกติธรรมชาติของผู้ชาย จะเป็นผู้ที่มีเหตุผล มักจะใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์
แต่ก็เป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง ด้วยความที่มีปัญญา จึงไม่ค่อยจะเชื่อผู้ใดง่ายๆ
ก็นับว่าเป็นการดีครับ ที่คุณไม่ยึดติดในคำสวดเพียงแต่สวดคร่อมปาก
แต่อยากขออธิบายให้เข้าใจดังนี้ครับ..
เมื่อคุณสวดมนต์ด้วยความตั้งใจ จิตจะเกิดสมาธิอย่างอ่อนๆ เป็นขณิกสมาธิ
อุปมาเหมือนหยดน้ำ แม้จะเป็นเพียงหยดเล็กๆ แต่เมื่อสะสมมากเข้า ก็สามารถเต็มโอ่ง เต็มภาชนะได้
--------------------------------------------------------------------------------
ภาษาบาลี คือภาษาที่ตายแล้ว หมายความว่าภาษาไม่ดิ้น ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีคำสแลงเกิดขึ้นมาใหม่ๆ
บทสวดมนต์ส่วนมาก เป็นการกล่าวคำบูชาสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า
เช่น พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ธะชัคคัง พาหุง เป็นต้น
ถ้าคุณมีใจเพลินเพลินยินดีด้วยการสวดมนต์ แม้จะยังไม่คว้าถึง "แก่น"
แต่จิตที่เป็นกุศลในขณะสวดสาธยายมนต์นั้น เมื่อเพียรให้บ่อย ทำให้มาก เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว
จิตดวงสุดท้ายที่มีความเพลิดเพลินยินดีในบทสวดมนต์..ถ้าคุณยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร
จะก่อภพก่อชาติให้เกิดในสุขคติภูมิ..ซึ่งดีกว่าผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นนิจ เที่ยวกลางคืนเป็นกิจวัตร
แต่ถ้าคุณสามารถสวดมนต์ด้วย "ปัญญา" แล้วสามารถพิจารณาตามคำแปล..
สิ่งที่คุณจะได้คือความหมายในคำแปลนั้น ภาษาบาลีที่คุณสามารถเข้าใจได้ในบางคำ
เช่นสะหัส แปลว่าหนึ่งพัน, ปิโย แปลว่าผู้เป็นที่รัก เป็นต้น
อุปมาเหมือนหัดเรียนภาษา คุณก็จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ต้องหัดท่องคำศัพท์ แม้จะยังจำความหมายไม่ได้ก็ตาม
(แต่นี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณสนใจก็เป็นได้ ?..แต่วันหนึ่งถ้าคุณสนใจที่จะจดจำคำศัพท์ คุณจะรู้ถึงประโยชน์)
ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าคุณสวดคำแปล พร้อมทั้งสามารถพิจารณาตาม
และน้อมพระธรรมนั้นเข้ามาใส่ตัว (โอปะนะยิโก) ปัญญาในทางธรรมก็จะเกิดขึ้น
(แม้คุณอาจจะไม่ต้องการโลกุตรปัญญาในวันนี้ก็ตาม..
แต่การได้สดับรับฟังธรรม ก็สามารถเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สามารถเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานในอนาคตกาลได้)
บางบทสวด ถ้าคุณสวดจะคล่อง สวดจนชำนาญ และสามารถเข้าใจความหมาย เช่น บทพาหุง
คุณก็จะรู้ว่าธรรมอันใด ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติเพื่อขจัดมาร
(มารมี ๕ ประเภท แต่ผมหมายถึงกิเลสมาร) และเมื่อระลึกถึงก็สามารถบังเกิดความปีติให้กับคุณได้
ที่สำคัญคือต้องมีศรัทธา ซึ่งคุณสามารถสร้างได้จากวิปัสสนาญาณ (เป็นสัมมาทิฐิ)
ในสมัยก่อน กระดาษ ปากกาไม่มี พระธรรมคำสอนที่สืบทอด ก็ได้มาจากการสวดท่องต่อๆ กันมา
(แค่หนังสือวิชาที่คุณเรียนซักเล่ม คุณสามารถท่องจำเพื่อทำให้สืบต่อไปถึง ๒๖๐๐ ปีได้หรือไม่ ?
แต่พระไตรปิฎกที่รวมพระธรรมคำสอน สามารถสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ !)
ภิกษุผู้ปฏิบัติ มักจะสำรวม พูดน้อย..การสวดมนต์เปล่งเสียงจึงเป็นทางหนึ่งที่ช่วยในการบริหารปอด
และสำหรับผู้ที่ปฏิบัติดี มีศีลบริสุทธิ์ เมื่อสวดมนต์ เทวดาจะพากันมาฟัง มาร่วมอนุโมทนา และมาคุ้มครอง
โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องสวดอัญเชิญเทวดา (ขึ้นอยู่กับความเชื่อแต่ละบุคคล)
และสุดท้าย การสวดมนต์ยังสามารถใช้เป็นการทดสอบกำลังสมาธิที่คุณมีได้อีกด้วย
ทั้งหมดที่กล่าวมา คงจะพอเป็นคำตอบสำหรับคำถามข้อที่ 1 ได้แล้วนะครับ ?
--------------------------------------------------------------------------------
ถ้าคุณลองแปลความหมายของคาถาชินบัญชรแล้ว คุณจะพบว่า
เป็นการอาราธนาคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มาช่วยปกป้องคุ้มครองภยันตรายต่างๆ
การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์นั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรับรองไว้ว่า..
สามารถช่วยทำไม่ให้เกิดความกลัวได้ (ลองศึกษาจากธะชัคคัคสูตรดูนะครับ)
ถ้าคุณมีศีลบริสุทธิ์ มีความศรัทธา มีวาจาสัจ.. การระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็จะสามารถช่วยคุ้มครองได้จริง
แต่ถ้าให้คนขี้เหล้าเมายา ฆ่าสัตว์เป็นปกติมาสวดมนต์ มนต์ใดๆ ก็ไม่อาจคุ้มครองได้
เพราะฉะนั้น อย่างน้อยการสวดมนต์ก็ช่วยเตือนตนว่า มีความประพฤติบริสุทธิ์อยู่ ทั้งกาย วาจา ใจ
อย่างที่คุณ จขกท. กล่าวไว้ครับว่า ศาสนาพุทธ มีหลักคำสอนที่ดีสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ผมขออนุญาตแนะนำให้คุณศึกษาพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ฆราวาสธรรม ๔ ซึ่งเป็นธรรมของผู้ครองเรือน ความรักของผู้ครองเรือนจะสามารถมั่นคงอยู่ได้ ต้องอาศัยพื้นฐานธรรม ๔ ประการคือ
๑. สัจจะ คือมีความซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ไม่โกหกหลอกลวงต่อบุคคลผู้เป็นที่รัก
๒. ทมะ คือรู้จักการบังคับควบคุมอารมณ์ มีการข่มใจ และปรับตัวเข้าหากัน
๓. ขันติ คือความอดทนอดกลั้น
๔. จาคะ คือความเสียสละ สามารถเสียสละแม้กระทั่งความสุขส่วนตนเพื่อคนที่เรารักได้
ลองพิจารณาดูนะครับว่า สาเหตุของการทะเลาะนั้น เกิดจากการขาดหลักธรรมในข้อใด ?
การสวดมนต์ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แม้คุณจะปราถนาในคนที่คุณรักสวดมนต์ด้วยปัญญา
แต่คุณต้องเข้าใจว่าแม้ดอกบัวยังมีสี่เหล่า ถ้าวันนี้สามารถทำได้เท่านี้ ก็ต้องถือว่าดีแล้ว
ลองพิจารณาใหม่ ก็คงดีกว่าคุณมีคนรักเป็นผู้หญิงชอบเที่ยว แสวงหาแต่ความสุขส่วนตน ไม่สนใจในธรรม
ถ้าคุณมีคนรักที่เป้นคนดีใฝ่ในธรรมแล้วยังไม่เป็นที่ชอบใจ คงต้องย้อนมาดูพิจารณาใจตนแล้วล่ะครับว่า..
แล้วใจของเราเองล่ะ เป็นที่ชอบใจของเราเองหรือไม่ !?
อะไรยอมได้ก็ยอมไปครับ การยอมสวดมนต์กับคนที่คุณรัก..
ก็คงไม่เป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีเกินไปสำหรับลูกผู้ชายอย่างเราหรอกครับ คุณว่าอย่างนั้นมั้ย ?
ถ้าคุณสามารถลดมานะ (ความถือตัว) ได้แล้ว คุณก็สามารถง้อได้โดยการขอโทษและนำแฟนคุณสวดมนต์ทุกวันครับ
สมัยก่อน พระธรรมคำสอน บทสวดมนต์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเช่นกันครับ
แต่เชื่อเถอะครับ วันหนึ่งถ้าคุณมืดแปดด้าน พบทางตัน ทุกข์หนักจนหาทางออกให้กับตนไม่ได้นอกจากความตาย..
พระธรรมคำสอนที่เคยบ่มมาอย่างดีแล้วนั้น จะผุดขึ้นมาจนสามารถทำให้คุณพบแสงสว่าง และหาทางออกได้
เพียรไว้ให้มากเถอะครับ ขอให้เจริญในธรรมและสมหวังในความรักนะครับ 
ปล. ธรรมอันใดที่คุณไม่เข้าใจ ถ้าแฟนคุณไม่เข้าใจก็อย่าซักไซร้เพื่อให้ทะเลาะกันเลยครับ
ให้คุณมาแสวงหาความรู้เช่นนี้ และนำไปบอกกล่าว เพื่อให้คุณทั้งคู่เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปจะเป็นการดีที่สุดครับ