ความคิดเห็นที่ 1 มาลงชื่อรอฟังด้วยครับ (จะได้ search เจอ) จากคุณ : O-Omega เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 01:01:34

ความคิดเห็นที่ 2 ถาม – แฟนเป็นคนต่างศาสนา ค่อยๆตะล่อมดิฉันให้ไปโบสถ์ด้วยกัน แล้วตามมาด้วยการอ่านพระคัมภีร์ จากนั้นก็เริ่มแสดงท่าไม่พอใจหากดิฉันไม่ค่อยกระตือรือร้น สิ่งที่อยากถามคือตามหลักของกรรมวิบากแล้ว เป็นไปได้ไหมคะที่ทำบุญร่วมกันมา มาพบกัน รักกันอีก แต่เป็นคนต่างศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่าองค์ประกอบของรักแท้ที่ตั้งมั่น ได้แก่ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา หากมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบถ้วนบริบูรณ์ พึงหวังว่าจะครองรักกันตลอดชาตินี้ และได้ไปพบกันอีกในชาติต่อๆไป แต่หากองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งพร่องไป ก็ไม่อาจเป็นประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขึ้นต้นมามีศรัทธาต่างกัน ก็นับว่าขาดองค์ประกอบระดับหัวหน้าของรักแท้ไปแล้ว ศรัทธาในหลักการดำเนินชีวิต หรืออารมณ์ทางศาสนาของคนเรานั้น มีอยู่สองประเภทใหญ่ๆ หนึ่งคือเข้ามาเต็มตัวถอยยาก สองคือครึ่งๆกลางๆพร้อมจะถอย หากต่างฝ่ายต่างมีศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วไปคนละทิศทาง โอกาสจะครองรักด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่งคงยาก ไม่ต้องพูดถึงว่าชาติหน้าจะกลับมาพบกันอีกหรือไม่ ในความเป็นจริง ไม่ว่าคนของศาสนาไหน มักมาได้แค่ต้นทางหรือครึ่งทาง หมายความว่าศรัทธายังอาจกลับเปลี่ยน หากมีเหตุผลทางความคิดหรือเหตุผลทางอารมณ์แรงพอ ก็พร้อมจะถอย เช่นถ้าอำนาจความรักแรงเกินความศรัทธาในหลักศาสนาเดิม ก็พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตาม ติดตามไปทำบุญตามความเชื่อของคนรักได้เสมอ เมื่อตามใจคนรัก บางทีก็อาจเห็นข้อดี บางทีก็อาจไปคลิกเข้ากับวาทะเด็ดประจำศาสนา แล้วเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาจริงๆ อยากประพฤติปฏิบัติตนตามที่เห็นดีเห็นงามจริงๆ อันนั้นก็เป็นอันจบปัญหา ศรัทธาลงกัน ก็เหมือนเริ่มต้นดี เมื่อเริ่มต้นดี ความรักก็ได้ใบรับประกันความเจริญงอกงามไปกว่าครึ่ง คนเราลงถ้าศรัทธาต่างกันเสียแล้ว แม้รักกันก็มองอะไรๆต่างกัน และเมื่อมองอะไรต่างกัน อยู่ด้วยกันนานๆก็ไม่มีตัวเชื่อมใจให้เข้าถึงกัน ความดึงดูดระหว่างเพศหรือความวาบหวามอันเกิดจากฤทธิ์ของบุญเก่าใดๆที่ทำร่วมกันมา ก็ย่อมจืดจางลงตามกาล ความรักมักมีอายุไม่ยืนก็เพราะความต่างกันนี่แหละ อย่าไปคิดถึงคำพูดสวยๆ ทำนองว่าความรักไม่ต้องการสายตาที่ตรงกัน แต่ต้องการหัวใจเป็นอันเดียวกัน ปรัชญาแสนหวานทำนองนี้จะติดตรึงใจแค่ไม่นาน ชีวิตคู่อันเต็มไปด้วยแรงกระทบกระแทกทางความเชื่อต่างหากที่อยู่กับคุณจริง และจะทำให้คุณระอากับความขัดแย้งทางความคิดมากขึ้นทุกวันครับ โดย ดังตฤณ ที่มา http://dungtrin.com/mag/?12.prepare จากคุณ : Kengmanny เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 01:03:00

ความคิดเห็นที่ 3 ได้แน่นอนครับ ศาสนาทุกศาสนาอยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขครับ จากคุณ : ดาด้าดุ่ม เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 04:23:41

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับในความเชื่อที่ต่างศาสนากัน ก็อยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าเริ่มมีการชักชวน และคาดหวังว่าเขาจะเชื่อตามเราเมื่อไร ก็ยุ่งเมื่อนั้น จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 08:35:41

ความคิดเห็นที่ 5 จากที่คุณกล่าวตรงจุดนี้ "แล้วในมุมมองของศาสนาพุทธที่ว่า คนจะแต่งงานกันต้องเสมอกัน 4 อย่าง คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา" ผมไม่เคยคิดอะไรตรงจุดนี้เลยครับ ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละ ว่าคนพุทธจะต้องคิดเช่นนี้ ผมเองก็มีภรรยาเป็นคริสต์ เราก็อยู่ด้วยกันได้ ไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องศาสนากัน ไม่เคยมีใครชวนกันเข้าศาสนา เราอยู่กันอย่างให้เกียรติ ญาติพี่น้องของภรรยาผมก็มีหลายคู่อยู่ที่ต่างศาสนากัน(พุทธ-คริสต์) ก็อยู่ด้วยกันจนลูกโต ไม่มีปัญหา ผมไปโบสถ์กับเธอได้ เธอไปทำบุญกับผมได้  มันอยู่ที่ความคิดส่วนบุคคลมากกว่าครับ ทุกวันนี้จะเถียงกันก็เรื่องอื่น แต่เรื่องศาสนาไม่เคยเถียงกันเลยซักที จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 08:48:40

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าใจแคบอยู่ไม่ได้ครับ แต่ถ้าเปิดใจยอมรับสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายนับถือ อยู่ได้ครับ หลักๆก็คือให้เกียรติซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกันแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปอิงหลักธรรมอะไรมากมายหรอก เพราะชีวิตคู่มันก็ต้องการแค่นี้ ศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมเป็นพุทธ แต่งงานกับคริสต์มาจะ 10 ปีละ..... จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 09:28:15

ความคิดเห็นที่ 7 อยู่ได้แต่ต้องให้เกียรติ์กันเรื่องการศรัทธา และพยายามพูดเรื่องศาสนาเวลาอยู่ด้วยกันให้น้อยที่สุดหรือไม่พูดเลยยิ่งดี แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง  และที่สำคัญสังคมแวดล้อมรอบบ้านก็สำคัญ ไม่ควรไปตั้งอยู่ในจุดศูนย์รวมของเครือญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดปัญหาจากการดุถูกดูแคลนว่าต่างศาสนา ควรจะอยู่ห่างเครือญาติเพื่อสุขภาพจิตที่ดี แต่ทางที่ดีที่สุดน่าจะตกลงกันว่าจะนับถือศาสนาใดร่วมกันดีที่สุดเพื่อความมั่นคงของชีวิตคู่ จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 10:56:20

ความคิดเห็นที่ 8 ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา หมายถึงว่า ถ้าสี่ข้อนี้ เสมอกันหมด สองคนนั้น จะเข้ากันได้ดีที่สุด (Optimal case) ถ้า 4 condition นี่ มีผลรวมของความต่าง มากเท่าไหร่ ก็จะมีความ เข้ากันได้ น้อยลง มากเท่านั้น นั่นคือความหมายครับ ไม่ใช่หมายถึง อยู่กันไม่ได้ หรือเป็นข้อสรุปว่า ถ้า 4 ค่านี้ไม่เท่ากัน จะไม่ได้แต่งงานกัน จริงๆ 4 ค่านี้ ไม่ได้ใช้วัดเฉพาะ ความเข้ากันได้ ของชีวิตคู่ แต่ใช้วัดความเข้ากันได้ ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ รูปแบบอื่นๆด้วย (พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง เพื่อน ฯลฯ) อนึ่ง การวัด ไม่ใช่วัดกันง่ายๆแค่ปากบอกว่า คนนั้น คนนี้ ศรัทธา ศาสนาอะไร (ซึ่งถ้ากำหนด ดัชนีตรวจวัด แบบนี้ จะมีความละเอียดในการตรวจวัดที่ต่ำมาก คือหลักๆแค่ 4 ค่าใหญ่เท่านั้น) คำว่าศรัทธา อาจเทียบได้กับคำว่า value (คือสิ่งที่หมายเชื่อในใจ ว่านี่แหละคือดี นั่นคือไม่ดี นี่น่าเชื่อ นี่ไม่น่าเชื่อ, ซึ่งจะเรื่องอะไรบ้างก็มีมากหมายหลายหัวข้อ ที่จะนำมาวัดได้ แยกเป็นเรื่องๆไป) ซึ่งที่บอกว่า แยกกันด้วยศาสนาตรงๆไม่ได้ เพราะตัวอย่างเช่น ทุกศาสนา บัญญัติว่า การฆ่า,พูดปด,ลักขโมย เป็นบาป เหมือนๆกัน สมมุติมีเพื่อนอยู่กัน 3 คน และทั้งสามคน นับถือ ต่างศาสนา กันหมด แต่ 3 คนนี้ ล้วนเห็นตรงกัน ทั้งภาพรวมและรายละเอียดปลีกย่อยว่า การฆ่า(ทั้งภาพรวมและรายละเอียด), การพูดปด(ทั้งภาพรวมและรายละเอียด), การลักขโมย(ทั้งภาพรวมและรายละเอียด) อันนี้ถือว่า ศรัทธา ในเรื่องของ การฆ่า การพูดปก การลักขโมย เป็นบาป , ทั้ง 3 คนนี้ มีศรัทในเรื่องนี้ "เสมอ" กัน ถ้าในชีวิตประจำวัน ทั้ง 3 คนนี้อยู่ด้วยกัน โดยแทบไม่มีเรื่องเชิงจิตวิญญานหรือชีวิตหลังความตาย เลย ทั้ง 3 คนนี้ก็อยู่กันได้แบบไม่มีปัญหา และเข้ากันได้ดีด้วย ส่วนคำว่า ศีล คือสิ่งที่เขาเป็นอยู่จริง (ซึ่งแยกเป็นคนละส่วนกับ ศรัทธา เพราะคนเรา สิ่งที่เชื่อ กับความเป็นจริงที่เขาทำได้ มันไม่จำเป็นต้องตรงกันเสมอไป เพราะมีเงื่อนไขแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง อีกหลายตัว) หวังว่าพอจะเข้าใจมากขึ้นน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 55 11:37:14 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 55 11:34:20 จากคุณ : Detonator_Pao_ เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 11:33:38

ความคิดเห็นที่ 9 เรียนคุณเจ้าของกระทู้ แต่งงานกันได้ครับ เราเรียกว่า ต่างคนต่างถือ ผมเป็นคริสตัง แฟนเป็นพุทธ ลูกผมคนหนึ่งเป็นคริสตังตามพ่อ คนหนึ่งเป็นพุทธตามแม่ ผมให้สิทธิลูกเลือกเองครับว่าจะถือแบบไหน เขาเลือกกันเองแบบนั้น ผมขอเธอว่าอย่าตั้งรูปเคารพในบ้าน ผมก็ไม่ตั้งกางเขน เธอก็ขอผมว่าอย่าทานเนื้อในบ้าน และขอให้ผมทานเจกับเธอช่วงเทศกาล เพื่อให้ศีลเธอบริสุทธิ์ ผมก็รับปากเธอ ทาน 10 วันกับเธอทุกปี แต่ด้วยความรัก นาน ๆ ครั้ง ผมก็ถามความสมัครใจเธอว่า ได้ยินกระแสเรียกบ้างแล้วยัง เธอก็ปฏิเสธแบบนุ่มนวลทุกครั้งว่ายัง เราก็อยู่กันแบบนี้มา 29 ปีแล้ว แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะเรารู้ว่าจุดอ่อนแต่ละคนอยู่ที่ไหน ก็จะไม่ไปแตะ ให้เธอมีอิสระ มีความสุข ก็อยู่ร่วมกันได้ ขอพระอวยพระพร คุณทั้งสองครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 55 12:32:52 จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 12:31:43

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับผม เราคงไปด้วยกันไม่ได้ จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 14:43:54

ความคิดเห็นที่ 11 ขนาดพุทธด้วยกันเอง ถ้าต้องหา ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ให้เสมอกัน แล้วจึงอยู่ร่วมชีวิตกันได้ เกรงว่า คู่แต่งงาน คงลดลงกว่าครึ่งครับ ที่ว่า ควรจะหาผู้ที่ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เสมอกัน เพราะว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่ได้ง่าย ไม่ต้องปรับตัว แต่ถ้าไม่เสมอกัน ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เปิดใจให้กว้าง อย่างเช่นหลายท่านที่เข้ามาแสดงให้เห็นนั่นแหละครับ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 20:32:46

ความคิดเห็นที่ 12 เรียนคุณเจ้าของกระทู้ ผมขออนุญาตเพิ่มเติมหลักข้อความเชื่อของคริสตัง เกี่ยวกับการแต่งงานหน่อยนะครับ คริสตัง เชื่อว่าในกรณี ต่างคนต่างถือ เมื่อแต่งงานถูกต้องตามพิธีทางศาสนาแล้ว พระพรจากพระเจ้า จะผ่านจากคริสตัง ไปยังคู่สมรส แล้วไปถึงบุตร ถ้าเป็นคาทอลิกทั้งคู่ พระพรจะมาจากพระเจ้าผ่านทางพ่อและแม่ 2 สาย มายังลูกเลย พระพรนี้ช่วยให้เรารักษาศีลสมรสให้บริสุทธิ์ได้ เพราะเราชั่วชีวิตแต่งงานครั้งเดียว ต้องมีพรพระคุ้มครอง แต่ถ้าคริสตังเองทำบาปแล้วไม่ไปแก้บาป จะทำให้พระพรหรือพระหรรษทานนั้นเสียไป เราจึงต้องไปวัดแก้บาป รับศีลมหาสนิทเป็นประจำ เพื่อช่วยเราให้อยู่ในศีลในพรของพระเจ้าครับ จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 55 00:19:15

ความคิดเห็นที่ 13 ศาสนาทุกศาสนานั้น ล้วนสอนให้คนทุกคนเป็นคนดี พระพุทธเจ้า ท่านก็มิได้จำกัดว่า ห้ามคนที่นับถือ พุทธไปนับถือศาสนาอื่น  (แต่สำหรับศาสนาอื่นผมไม่รู้ว่าห้ามมั้ย)   เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตประจำวัน เหรอว่าการประพฤติ เกี่ยวกับ ประเพณีของศาสนานั้นๆ  ถ้าคนที่รักกัน ต่างศาสนากัน ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน  ก็ต้องยอมรับ วันที่ ชาวพุทธต้องไปวัด  ชาวคริสต้องไปโบสถ์  อะไรประมาณเนี้ย ถ้าเกิดวันสำคัญทางศาสนาทั้งสอง มาบรรจบกันพอดี  คุณทั้งสองจะตกลงกันได้มั้ยว่าจะไปที่ไหน เหรอให้อิสระแก่กันในการ  ประกอบพิธีทางศาสนา  ต่างคนต่างไปประพฤติได้  ก็จบเรื่อง เพราะถ้าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง รู้สึกถึงการถูก คุกคามทางศาสนา  เหรอโน้มน้าว นั้นก็จะเป็นการ บีบคั้นกัน  จนรู้สึกอึดอัด  จนได้แหล่ะครับ   มี ดร. (คนที่เคยทำงาน องค์การ nasa ) เคยพูดกับพ่อไว้ว่า ทำไมคนเราถึงนับถือได้เพียง ศาสนาเดียวล่ะ  ทำไมเราไม่ลอง ศึกษาของศาสนาอื่นดูบ้าง งี้เราไม่ขาดทุนแย่เหรอ     ถ้าศึกษาไปแล้วคิดว่าไม่ใช่  ก็ไม่ต้องทำตาม   ตอนท่านถาม ท่านนับถือคริส ตามพ่อน่ะครับ  แล้วก็ อยากรู้ว่าศาสนา พุทธ สอนอย่างไร ปัจจุบัน ท่านก็นับถือพุทธ  เพราะว่าท่านให้เหตุผลว่า  มันเป็นตรรกะ มากกว่า มีเหตุมีผล   อันนี้มิได้ลบหลู่ศาสนาใดน่ะครับ เอาเรื่องราวท่านมาเล่าย่อๆ อันนี้ส่วนตัวน่ะครับ........ ผมก็คิดว่า  "ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล"   ถ้าคุณ ฆ่าใคร  ลูกหลาน เหรอญาติสนิท เค้าก็อยากที่จะให้คุณตายตกตามกัน ถ้าคุณ ลักทรัพย์คนอื่น เค้าก็จะเกิดทุกข์ ถ้าคุณโดนคนอื่นลักทรัพย์ คุณก็จะเกิดทุกข์เช่นกัน ถ้าคุณ ประพฤติผิดในกาม  ผิดลูกเมียคนอื่น  ถ้า ผัว,เมีย คนอื่นเค้ารู้ ก็อาจจะจบโดยการ ฆ่ากันเกิดขึ้น ถ้าคุณพูดโกหกกับคนที่คุณรัก  แล้วเค้ารู้ทีหลัง  + แล้วถ้าคนที่คุณรักโกหกคุณแล้วคุณรู้ทีหลัง  ก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน ถ้าคุณดื่มเหล้า คุณก็จะเมาขาดสติ  อาจทำให้เกิดอันตรายถึงตายได้ อันนี้คือศิลป 5 ถ้ารักษาได้จะดีมากๆ เช่นนั้นแล แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 55 01:03:21 จากคุณ : เลนส์ระเริง เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 55 00:57:38

ความคิดเห็นที่ 14 เคยมีคนแนะนำให้ พอทราบว่าต่างศาสนา ก็ถอยเลยค่ะ ไม่กล้าลองเสี่ยง ถ้ารักมากๆ คงไม่เป็นไรมั้ง   แต่ถ้าแบบไม่ได้อะไร ไม่เสียเวลาดีกว่า หุหุ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 55 15:04:51

ความคิดเห็นที่ 15 สำหรับผมแล้ว ไม่ได้ครับ หากผมอุตส่าห์จะใช้ชิวิตร่วมกันแล้ว ต้องไปวัดกับผมครับ ไปนั่งสมาธิกัน ช่วยกันเลือกของไปถวายสังฆทาน ผมไปส่งพระ ก็ไม่โกรธผม ไปเที่ยวจังหวัดไหน ก็ตรงไปไหว้พระก่อนเลย หากผมตายก่อน ก็ช่วยทำบุญให้ผมด้วย เพราะพุทธศาสนาคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ส่วนที่สำคัญมากเสียด้วย เรื่องของเรื่องคือ หากเลือกได้ ก็เลือกที่มันเหมือนกันดีกว่าครับ จากคุณ : เป็ดจิ๋ว เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 55 18:32:49

ความคิดเห็นที่ 16 สำหรับคริสเตียนในกลุ่มที่ผมเชื่อนะครับ เราเชื่อในข้อพระคัมภี่ร์ที่ว่า ---อยาเข้าเทียมแอกกับผู้ที่ไม่เชื่อ--- คริสเตียนในกลุ่มเราถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะมันจะมีผลต่อตัวเรา และจะสร้างความสับสนให้กับลูก(ถ้ามี) แต่ถ้าคนที่เป็นสามีและภรรยากันอยู่แล้่ว แล้วมาเป็นคริสเตียนคนหนึ่ง อันนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องแยกกันนะ พระคัมภีร์สอนให้เราอธิษฐานเพื่อช่วยใ้ห้คู่สมรสกับในมาเชื่อพระเจ้า เรื่องของคริสเตียนมีบางเรื่อง อาจจะดูแข็งๆ แต่อย่างไรก็ตาม นี้เป็นไปตามที่พระคัมภร์บันทึกสอนไว้ บางทีคนนอกอาจจะคิดว่า แบ่งเป็นเคร่ง หรือไม่เคร่ง แท้จริงแล้ว ไม่มีคริสเตียนที่เคร่ง หรือไม่เคร่ง มีคำเดียวคือ จะยอมจำนนต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือจะตามใจเรา ขออภัยทุกๆท่านที่่เห็นขัดแย้ง ขอพระเจ้่าอวยพระพร ในความรักของพระเยซูคริสต์ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 55 01:43:38 จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 01:42:37

ความคิดเห็นที่ 17 สำหรับผมแล้วไม่ได้ครับ ถ้าจะเลือกรักสักคน ก็ขอเป็นคริสต์ด้วยกัน เพราะเชื่อว่าครอบครัวจะได้รับพระพร และไม่ขัดแย้งกันมาก ปกติคนเป็นคริสต์ก็ต้องปราถณาให้ผู้อื่นได้รับความรอดของพระเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คริสเตียนจะไม่ประกาศความรอด โดยเริ่มที่ครอบครัวก่อน นั่นคือพระมหาบัญชาที่สำคัญของพระเยซู ถ้าเราเชื่อจริงๆว่า ความรอดมีทางเดียวและเราไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ภรรยาหรืออธิฐานให้เธอกลับใจใหม่ แล้วเราจะไม่เสียใจเหรอครับที่เราได้ไปอยู่แผ่นดินของพระเจ้าคนเดียว แล้วครอบครัวเราหละ  ผมคิดเช่นนี้ จากคุณ : ต้นอ้อที่ไหวลม (ต้นอ้อที่ไหวลม) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 21:48:20

ความคิดเห็นที่ 18 ชาวพุทธเราน่าจะตั้งกฏให้เคร่ง ๆ เหมือนศาสนาอื่นดูบ้างสิ ว่าใครจะแต่งงานกับชาวพุทธต้องเข้าพุทธ อยากจะรู้ว่าศาสนาอื่นจะว่าไง ก็เห็นแต่ชาวพุทธนี่แหละอิสระเสรีภาพในเรื่องนี้ที่สุดแล้ว จะทำอะไร ที่ไหนอย่างไร ก็ได้โดยไม่ทำให้ใครต้องลำบากใจเลยในเรื่องศาสนา จากคุณ : Mopeena เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 10:28:09