[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาส
นัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง ฯ
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ
ได้แม้ฉันใด....
เนื่องด้วยการเสนอว่า สุตรนี้แสดงว่า
มีวิปัสสนาในณานได้ เพราะพระพุทธองค์ตรัส
ซึ่งผมเข้าใจอย่างนั้น จากการอ่านสูตรอย่างตรงๆ
คุณชาวมหาวิหารแสดงไว้ว่า...ได้ออกจาก ฌานสมาบัติแล้ว...
(ซึ่งผมก็ปกติเชื่ออย่างนั้นอยู่ครับ)
แต่เมื่ออ่านอีก ดังที่ยกมาเต็มความ ก็ดูว่า
ไม่มีการแสดงว่า ได้ออกจากณานแล้ว
แต่ยังให้เข้าใจอยู่ว่ายังอยู่ในณาน
ส่วนจะเป็นว่าขณะจิตนี้เป็นอยู่ในณาน
ขณะจิตนี้อยู่นอกณาน ตามนัยอื่น
ด้วยพระองค์แสดงไว้ที่อื่น
แล้วต้องเอามาพิจารณาประกอบด้วยกัน
ก็ยินดีหากนำมาแสดงเพื่อความเข้าใจร่วมกัน
ผมเกรงแต่ว่าจะหากเราเข้าไม่เข้าใจตามพุทธประะสงค์
แล้วปฏิบัติอีกวิธี ทั้งที่วิธีนี้ก็ทำได้ แล้วทำได้ดีกว่าด้วย
ยินดีรับคำแนะนำครับ