อันนี้ น่าสงสัยนะครับ คุณบอกคุณรู้จัก แต่คีุณได้แค่เดาว่าเขาทำได้ แต่ทืำได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
ส่วนเรื่องศาสนาอื่น หรือไม่มีศาสนาก็ทำได้ คุณก็เดาอีกนั่นแหละครับ ว่าเอามาข่ม ทำให้รู้สึกอึดอึดไม่สบายใจซึ่งความจริง คุณไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาสบายใจหรือไม่ ผมบอกแล้ว เทคนิคพวกนี้ ไม่ต้องอิงศาสนาแล้วใครก็ทำได้
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ คุณก็ยังคงบอกแต่การเดา และอนุมานเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการที่แท้จริง และไม่สามารถทำมาบอกได้จริงเช่นเดิม
อย่างเรื่องแรก
คุณเห็นคนปลูกมะพร้าวคุณจะเชื่อว่าลูกออกเป็นมะพร้าวใช่ไหมครับ
เขาฝึกแบบนั้น ย่อมได้รับผลอย่างนั้น
เรื่องนี้คุณยังไม่พ้นจากการเดา หรืออนุมานครับ คุณเห็นคนที่ฝึกแล้วเขาเป็นแบบนั้น? แต่ผมไม่เคยเห็นครับ ไม่ว่าจะในประวัติศาสตร์จนปัจจุบันก็ตามยังคง "หลุด" อาการออกมาเป็นประจำ ลักษณะเป็นการ "ข่ม" แบบที่ทำให้อึดอัดเสียมากกว่า ซึ่งวิธีการที่คุณอ้างว่าสามารถตัดได้นั้น ผมมองว่ามันเป็นเพียงแค่การเบี่ยงเบนอารมณ์ออกไปอย่างนึง มันเป็นแค่วิธีการครับ
ประการต่อมา เรื่อง
* ศาสนาอื่นๆ เท่าที่ทราบส่วนใหญ่แนะนำให้ข่มใจด้วยอุบายวิธีการต่างๆ
2.1 นั่นคือ การเอาสำนึกฝ่ายดีเข้าฝืน....ส่งผลให้อึดอัดแน่นตัว..ไม่เป็นสุข
2.2 หรือใช้อุบายล่อใจตนเองเบี่ยงเบนอารมณ์ไม่ดีไปชั่วคราว ซึ่งก็เป็นเรื่องเอาความอยากหรือไม่อยากเรื่องอื่นๆ มาเบื่ยงเบนความอยากหรือไม่อยากที่เกิดขึ้นตรงหน้า
อันนี้ค่อนข้างจะพูดจากการไม่รู้จริงนะครับ ตัวอย่างเรื่องการระงับอารมณ์ และการรู้ทันอารมณ์ตัวเองนั้น เป็นอย่างที่ผมบอกคือ ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธเลย ไม่จำเป็นต้องไปนั่งวปัสสนาอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างการค้นพบ หาวิธีเลย แต่สามารถทำได้ในแต่ละบุคคล และสามารถเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องให้ใครมาสอน
ตัวอย่างที่สอง ครั้งหนึ่ง อาลี อิบนิ อะบูตอลิบ ลูกพี่ลูกน้องและเป็นลูกเขยศาสดาโมฮัมหมัดกล่าวแก่ศัตรูในสนามรบ หลังจากศัตรูพลาดท่าถูกท่านอาลีเอาดาบจ่อคอ และศัตรูถ่มน้ำลายใส่หน้าท่านอาลี เพื่อท้าทายให้ฆ่าตน ท่านอาลีโกรธมาก แต่ในที่สุดท่านก็ลดดาบลงและขยับตัวออกจากชายผู้นั้น พร้อมกับกล่าวว่า
ขณะที่ท่านถ่มน้ำลายใส่หน้าฉันนั้น ฉันยอมรับว่ารู้สึกโกรธมากจนทำให้อารมณ์ใฝ่ต่ำเข้าครอบงำจนเกือบจะฟันท่านให้ตายไปในทันที หากแต่ขณะเดียวกันนั้นเอง ฉันสำนึกได้ว่าหากฉันฆ่าท่านเพื่อสนองอารมณ์โกรธของฉัน ย่อมถือว่าฉันได้กระทำบาปอย่างมหันต์ และชื่อฉันจะต้องถูกจารึกในฐานะผู้เป็นฆาตกร ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่ปกป้องศาสนาเนื่องจากการถูกกดขี่รุกราน
ฉันไม่อาจสังหารท่านด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำเช่นนั้นได้ (หน้า 195)
เรื่องนี้เกิดในภาวะสงครามที่ทั้งฉุกละหุก และคับขันมาก แต่มุสลิมไม่ได้ทำการสู้รบด้วยความเกรี้ยวโกรธขาดสติ การกระทำของมุสลิมทำไปด้วยความที่ต้องทำ มุสลิมรู้จักควบคมุ ใช้ และพิจารณา อารมณ์โกรธ หรือความไม่พอใจ อย่างถูกต้องพอดี ไม่ขาดไม่เกิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในหนทางอันถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องไปละวาง ตัดทิ้งอะไร เพียงให้มันอยู่ทีที่สมควร
เหตุการณ์ทีเกิด ทำให้ผม และท่าน laliklalee สงสัย และไม่เชื่อเลยว่าคำสอนของคุณ ทำให้คนตัดได้หมดจริง หรือมีประโยชน์จริง
ตัวอย่างเช่น ศาสดาของท่านเคยกล่าวไว้ว่า
ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง
ผลที่เกิดกับญาติพี่น้องนั้น เป็นเหตุให้ปวดศีรษะ แสดงว่าเรื่องอื่นยังมากระทบใจได้ ไม่ใช่ว่าจะผ่องแผ้วตลอดเวลา เพราะฉะนั้น แม้แต่ศาสดาของท่านยังเป็น แล้วจะให้เชื่ออย่างไรว่า จะตัดหมดได้จริง?
3. ผมก็ไม่ได้คิดไปเองคนเดียวนี่ครับ... สมาชิกในห้องนี้หลายท่านก็ฝึกและแลกเปลี่ยนช่วยแนะนำกันก็บ่อย...ก็อย่างที่บอก เป็นเรื่องเฉพาะตน...คนที่ไม่ได้ฝึกย่อมไม่เข้าใจ..
คุณคงได้อ่านผ่านตามาบ้างเช่นกัน....
เรื่องแบบนี้นำมาอ้างไม่ได้หรอกนะครับ เพราะผู้ที่ได้รับศรัทธา และได้รับความยินดีจากการศรัทธาพระเจ้า มีมากกว่า จะเอามาอ้างได้ไหมว่า การรับศรัทธาพระเจ้าก่อให้เกิดความยินดี ติดแน่นยาวนานกว่า จนถึงกับทำให้สละชีวิคเพื่อศาสนาได้มากมาย?
ถ้าเอาแบบนั้นผมว่า ศาสนาแห่งพระเจ้าก่อให้เกิดความยินดีได้มากกว่านะครับ
*แต่ทางพุทธ..การอดทนอดกลั้นหรือเบี่ยงประเด็นเพื่อจัดการอารมณ์นั้น ถือว่า
แก้ที่ปลายเหตุ..รอให้เกิดอารมณ์ไำม่ดีก่อน ค่อยรู้สึกตัวและข่มอารมณ์ ยิ่งถ้ามีสติรู้สึกตัวไม่ทัน ปล่อยให้ตัวเองโลภหรือโกรธจนติดเป็นนิสัย ก็เป็นอันต้องปล่อยให้อารมณ์ไม่ดีนั้นสร่างซาไปเอง ซึ่งถึงตอนนั้นก็เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ หรือไม่ก็เสียการเสียงานไปแล้ว...
*ผมลงมือฝึกสติ พยายามศึกษาเพื่อทำเหตุให้สมบูรณ์ ทำเต็มที่ แต่ปล่อยวางใจ ไม่หวังผลเลิศ จึงไม่เครียดอะไร พยายามเอาใจใส่ตามหลักอิทธบาท 4 ถ้าทำเหตุสมบูรณ์ผลย่อมสมบูรณ์เอง ถ้าทำเหตุไม่สมบูรณ์ ต่อให้คาดหวังไป ก็ไม่ช่วยอะไรนี่ครับ...
เมื่อผมเข้าใจธรรมชาติของเหตุผลเช่นนี้แล้วจะไปคาดหวังไปอ้อนวอนทำไมหละครับ นี่เป็นการเบี่ยงเบนอารมณ์อย่างหนึ่งเช่นกัน โดยการหาข้ออ้างต่างๆ มาปลอบใจ เพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดทุกข์เฉพาะหน้า มันก็เป็นการหนีทุกเช่นกัน ตัวอย่างที่พบเห็นได้ เช่นการเกิดทุกข์ บ้างก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรมเก่า บ้างก็ทำใจว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นข้ออ้างในการเบนทุกข์ออกจากตัวนะครับ คนอื่นเขาไม่ได้มองว่านั่นคือการดับทุกข์
เพราะถ้าจะมองต้นเหตุุจริงๆ คือความเป็นมนุษย์ ความหิว ความอิ่ม เป็นพื้นฐานนึงในการมองหาสิ่งต่างๆ ความไม่พอใจ ความโกรธ มันเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ ในการกระตุ้นให้เราได้ดำรงชีวิตต่อไปครับ ถ้าจะตัดจริงๆ ต้องละความเป็นมนุษย์นั่นล่ะครับ มันไม่จำเป็นอะไร
เช่นที่ผมยกตัวอย่าง สิ่งมีชีวิต เช่น เทวฑูต พวกเขาไม่หิว ไม่กิน ไม่โลภ โกรธ หลง มีสติปัญญา ไม่หลับไม่นอน ตลอดเวลา เหล่านี้ไม่ดีกว่า มนุษย์ที่ยังต้องอาหาร ยังทุกข์เพราะหิวหรือ?
มนุษย์เพียงแค่เบี่ยงความไม่พอใจ ความโกรธออกไปเท่านั้น ผมก็ยังไม่พบวิธีดับที่แท้จริงได้นะครับ ที่คุณเล่ามา คือการรู้ว่าโกรธ แล้วเบี่ยงไป ด้วยสารพัดข้ออ้าง ตั้งแต่กรรมเก่าไปจนถึง หาว่าโกรธเพราะอะไร แล้วพยายามบอกตนเองว่า นั่นไม่ใช่เหตุให้โกรธ แต่ความจริง มันก็คือการ โปรแกรมตัวเองให้หลีกเลี่ยงการโกรธด้วยความเคยชินนั่นเอง
ผมถึงบอกไงครับว่า คนที่ทำแบบนี้ พิเศษ ดี เก่ง และเหนือกว่าคนอื่นอย่างไร? มีเหตุผลอะไรให้เขาควรได้รับการยกเว้นการลงโทษจากพระเจ้า? เพราะเขาทำอะไรก็เพื่อตัวเอง พยายามหาความสุข หนีความทุข์ เพื่อตัวเองทั้งสิ้น มีอะไรน่ายกย่อง? เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งที่ ใครก็ทำกัน ตัวอย่างศาสนาในยุคใกล้เคียงกับพุทธ ก็คือ เชน ศาสนาเชนนั้น ก็หาวิธีดับทุกข์ด้วย เพียงแต่กลวิธีเลี่ยงทุกข์ ต่างกับของพุทธครับ ก็มีการถกเถียงกันไป ไม่ใช่ประหลาด
อีกอย่างการฝึกสติสมาธินั้น...ต่อให้ศาสนาอื่นมาฝึกก็เป็นการฝึกตนเองในสาขาหนึ่ง เหมือนคุณฝึกยิงปืน ว่ายน้ำ ขับรถทำนองนั้นครับ โดยเนื้อแท้แล้วฝึกได้
โดยไม่ต้องรู้จักคำว่าศาสนาพุทธเสียด้วยซ้ำ..
*และการมีสติสมบูรณ์ ไม่ฟุ้งซ่านใจลอยเผลอไผลไปบ่อยๆ
ก็เป็นสิ่งที่คนในทุกชาติศาสนาต่างปรารถนากันทั้งนั้น
เพียงแต่หลายศาสนาไม่มีวิธีการเฉพาะเจาะจงและครบถ้วนเหมือนพุทธ
การมีสติสมาธิดี ไม่ใช่จะดีต่อพุทธอย่างเดียวนะครับ
ไม่ว่าใครศาสนาไหนทำได้ก็มีแต่จะช่วยให้ประพฤติตามกฏบัญญัติในศาสนาของตนได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับผมถ้าเชื่อโดยไม่มีทางพิสูจน์ด้วยตนเองได้ในทางใดทางหนึ่ง...หรือฝากศรัทธาใว้กับความเชื่อของคนอื่นสิครับ จึงจะผิดหลักกาลามสูตรครับ
ผมว่า ท่าน laliklalee บอกแบบนี้ เพื่อให้คุณระลึกว่า นี่เป็นความเชื่อของคุณนะครับ ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ คุณเพียงพิสูจน์ในระดับต้น แต่คุณเกิดศรัทธา และ "เชื่อ" ไปแล้วว่าใช้ แล้วออกซะงั้น ว่า ที่ครบถ้วนแบบพุทธไม่มี ทั้งๆ ที่แนวเดียวกันแบบพุทธคือ "เชน" ก็ยังมีครับ และดูจะเคร่งครัดกว่าด้วย ทำไมถึงบอกว่า พุทธครบที่สุดเพราะอะไร เพราะคุณ "เชื่อ" ครับ
ถ้าจะอ้างว่าพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ศาสนาไหนก็พิสูจน์ด้วยตนเองได้ทั้งนั้น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน เช่นอิสลาม ก็ให้คำตอบกับชีวิตได้ ทำให้ผู้รับศรัทธานั้น มีชีวิตที่ สงบสันติจากภายในได้ โดยผู้รับศรัทธานั้น รู้สึกได้ด้วย หรือจะพิสูจน์จากความถูกต้อง คัมภีร์ ก็พิสูจน์กันมาเป็น พันปีเช่นกัน จะเอาแบบไหนล่ะครับ?
ที่ยกตัวอย่าง เรื่อง กาลามสูตร ก็เพื่อให้คุณได้รู้ว่า คุณไม่ได้รู้แจ้ง หรือทดลอง แต่คุณ อาศัย "ศรัทธา" นะครับ ถึงถามไงว่า รู้ได้ไงว่า มีคนละได้หมดจริง