Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
1 พรรษาในร่มกาสาวพักตร์ ตอนที่ 15 อบรมกรรมฐาน ภูมิรัชต์ นิยมศิลป ติดต่อทีมงาน

15. อบรมกรรมฐาน
    คณะสงฆ์กรุงเททมหานคร ได้จัดโครงการ ‘’ อบรมกรรมฐานพระนวกะ ‘’ เพื่อให้พระที่บวชใหม่ในพรรษานี้ได้มีโอกาสในการฝึก ‘’ กรรมฐาน ‘’ ทั้งการนั่งและการเดินจงกรม โดยกำหนดเวลาทั้งหมดเจ็ดวัน วันละหกชั่งโมง เริ่มตั้งแต่บ่ายสองโมงถึงห้าโมงเย็น พักหนึ่งชั่วโมงแล้วเริ่มอีกทีหกโมงเย็นจนถึงสามทุ่ม
                  ผมและเพื่อนๆพระนวกะทั้งสิบสามรูป ต้องไปร่วมอบรมด้วย ตามคำสั่งของเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ที่ดูแลปกครองพระสงฆ์สามเณรในเขตกรุงเทพและจังหวัด
ปริมณฑล
                 โดยกำหนดให้เจ้าคณะเขตแต่ละเขต จัดอบรมในเขตปกครองของตัวเองโดยให้วัดใดวัดหนึ่งในเขตเป็นศูนย์กลาง
                 ในเขตวัดที่ผมจำพรรษาอยู่นี้ มีวัดในพื้นที่ปกครองเดียวกันทั้งหมดเก้าวัด มีพระนวกะพรรษาแรกทั้งหมดประมาณ หนึ่งร้อยสามสิบรูป
                 จุดประสงค์ของโครงการ ‘’ อบรมกรรมฐาน ‘’ เพื่อให้พระใหม่ได้ฝึกและลิ้มรสของการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เป็นการฝึกจิตหรือเรียกว่าบวชจิต นอกเหนือจากการบวชที่เป็นรูปกาย โกนหัว ห่มผ้าเหลือง  จะได้ฝึกสมาธิ มีสติ สัมปชัญญะ
                    กรรมฐานแบ่งเป็นสองข้อใหญ่คือ
                 ‘’ สมถะกรรมฐาน ‘’
                 ‘’ วิปัสนากรรมฐาน ‘’
                    การนั่งพิจารณาลมหายใจเข้าออก ยุบหนอ พองหนอหรือพุธโธก็แล้วแต่ เจตนาเพื่อทำจิตใจให้สงบ ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ทำให้เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิ มีสติ ก็เกิดปัญญา อย่างนี้เรียกว่า ‘’ สมถะกรรมฐาน ‘’  
                    ส่วน ‘’ วิปัสนากรรมฐาน ‘’  เป็นการพิจารณาร่างกาย ให้เห็นเป็น
                 ‘’ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ‘’
                   เพื่อให้เห็นความไม่เทื่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช้ตัวตน ทุกอย่างมีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรยั่งยืน แม้แต่ตัวเรา
                    รู้จักปล่อยวางไม่ยึดติดกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
                    เพราะไม่ใช่ของจริง และเป็นที่มาให้เกิดกิเลส
                    บางที่จะให้นั่งพิจารณาโครงกระดูก หรือซากศพ เพื่อให้เกิดความปล่อยวาง ไม่ยึดติดในตัวตนเพราะวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นอย่างนี้
                    ทุกสิ่งล้วนแตกสลายไปตามกาลเวลา ให้จิตรับรู้และควบคุมความรู้สึกของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
                     ถ้าจิตไม่ปรุงแต่ง สิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัส ก็ไม่รู้สึกว่า น่าเห็น น่าเป็น น่าสัมผัส เมื่อเป็นเช่นนั้นกิเลสก็ไม่เกิด เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
                    ทางพุทธศาสนาถือว่า ความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์
                    พระพุทธองค์จึงพยายามหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์
                    โดยนั่งอยู่หกปีด้วยวิธีการต่างๆ
                   ทรมานตัวเองตามความเชื่อของพวกฤาษีนักบวช เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้กิเลสแห้งเหือดไป
                   อดอาหารจนร่างกายซูบผอม มีแต่หนังหุ้มกระดูกเอามือลูปดูขนก็ติดล่วงลงมา จนร่างกายเสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่จิตใจไม่ได้แปรเปลื่ยน
                  พุทธองค์จึงคิดได้ว่า หากจิตใจยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ร่างกายจะแปรเปลื่ยน
อย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้
                 หลังจากที่พระองค์รู้แล้วว่าการทรมานตัวเองไม่ใช่วิธีที่จะหลุดพ้นแน่ ก็เกิดอุปมาสามข้อที่พระองค์ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนคือ
๑. หากมีกายและใจมิได้หลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น แม้จะทรมานตัวเองเพียงใดก็ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ เหมือนกับไม้สดที่แช่อยู่ในน้ำ จะนำไปสีให้เกิดไฟก็เหนือยเปล่า
๒. หากกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีใจรักใคร่ในกามอยู่ แม้จะบำเพ็ญทุกข์เพียงไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยางแม้จะอยู่บนบก จะนำไปสีให้เกิดไฟก็ไม่ติด
๓. หากมีกายหลีกออกจากกามแล้ว และละจากความรักใคร่ในกามแล้ว ย่อมสามารถพ้นจากทุกข์ได้ เหมือนไม้แห้ง ที่สามารถนำมาสีให้เกิดไฟได้
                 
                พระนวกะทั้งหนึ่งร้อยสามสิบรูป ไม่มีใครเคยฝึก ‘’ กรรมฐาน ‘’ มาก่อนเลย บางคนชอบบางคนไม่ชอบเพราะต้องนั่งๆ เดินอยู่หลายชั่วโมง จนมีบางคนบ่นว่าโหดจังเลย ตั้งเจ็ดวัน วันละหกชั่วโมง
                     บางคนที่ไม่ชอบเลยแก้ลงไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ หรือไม่มาเลยก็มี
                    หลวงพี่ที่เป็นอาจารย์สอนท่านบอกว่า เจ็ดวันนี่น้อยมาก และแค่วันละหกชั่วโมง เวลาเขาฝึกกันจริงๆ นั่งกันตั้งแต่ตีสี่ถึงสี่ทุ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลย มีคนคอยส่งข้าวส่งน้ำ และทำกันเป็นเดือนๆ
                   พวกเราอ้าปากค้างหงายท้องตึงเลย
                   แค่ห้านาทีก็ปวดขาจะแย่อยู่แล้ว
                   ปีนี้เป็นปีแรกของการอบรม กรรมฐานพระนวกะ และหลังจากที่ทุกคนผ่าน
การอบรมครบทั้งเจ็ดวัน จะมีวุฒิบัตรมอบให้ และจะเป็นคะแนนเก็บ ยี่สิบคะแนนช่วยในการสอบ  ‘’ นวกะภูมิ ‘’  ตอนก่อนออกพรรษา
                   พวกเราบางคนหัวใส ขอไปอ่านหนังสือเพิ่มเองดีกว่ายี่สิบคะแนนทำได้แน่ จะได้ไม่ต้องมาทนนั่งให้ตะคริวกิน
                    แต่คงลืมคิดไปว่า
                    ประสบการณ์ของการ อบรมกรรมฐาน ไม่ได้อยู่ที่คะแนน
                    ถึงแม้จะสอบไม่ผ่านแต่สามารถนำ กรรมฐาน ไปฝึกและใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น เรื่อง สมาธิ สติ สัมปชัญญะ เห็นและเข้าใจถึงความไม่เทื่ยงไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง
                    สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าคะแนนจากการสอบเป็นไหนๆ
                    เพราะจุดประสงค์ของการจัดอบรมไม่ได้อยู่ที่คะแนน แต่อยู่ที่การนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
                     
                    หลวงพี่ท่านหนึ่งบวชมาแล้วหลายพรรษา เห็นพวกเราไปอบรม กรรมฐาน กลับมาก็เลยอยากจะคุยด้วย ตัวแกเองชอบทางด้านนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่จะออกไปทางด้านปาฏิหาริย์ ซักหน่อย ประเภทนั่งคุยกับเทวดา หรือว่าทอดจิตไปไหนต่อไหน
                    ท่านก็ชวนผมและเพื่อนๆพระใหม่อีกสามคนมานั่งด้วยกัน ท่านบอกว่าจะพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พาไปดูจุฬามณีสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่บนสวรรค์ พาไปนิพพาน
                   ด้วยความเกรงใจ พวกเราทั้งสี่คนนั่งหลับตาและรับฟังสิ่งที่หลวงพี่ผู้แก่วิชาพร่ำพรรณา
                   เป็นเวลานานเท่าไรไม่ทราบ ผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เพื่อนที่นั่งข้างๆปลุกให้กลับไปนอน
                  คิดอยู่ในใจอย่างเดียวว่า สิ่งที่พระพุทธองค์สอนมีเรื่องเดียว คือเรื่องของ ทุกข์
                  เหตุให้เกิดทุกข์  การดับทุกข์ และหนทางที่จะนำไปสู่การดับแห่งทุกข์……

จากคุณ : Mr.key
เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 10:51:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com