ความคิดเห็นที่ 1 ก็ต้องไปถามพระเจ้า สิครับ มาถามคนเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้คำตอบอะไรหรือ คือว่า เราต้องไปถาม นายใหญ่ มาถาม( ^o^ ) (บ่าวข้า) ตอบไม่ได้หรอก แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 12:26:47 จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 12:26:16

ความคิดเห็นที่ 2 พระเจ้ากับเรื่องภพชาติมันไปกันได้ด้วยหรือ จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 13:43:33

ความคิดเห็นที่ 3 ทั้งที่เป็นชาวพุทธแต่ไม่รู้มีอะไรให้ผมมาตอบคำถามนี้นะ คงเป็นเพราะลึก ๆ แล้วผมรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า เป็นหนี้คนของพระองค์ เป็นหนี้เผ่าพันธุ์ของพระองค์ก็เป็นได้ ... ^^a ให้นึกอย่างนี้ละกันนะ  พระเจ้าคือดวงอาทิตย์ และสิ่งที่อยู่บนโลกนี้คือผลลัพธ์จากพระคุณของพระเจ้าคือ แสงสว่าง และความร้อน และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้โลกใบนี้เกิดห่วงโซ่อาหารขึ้นมา  เกิดบรรพบุรุษตั้งแต่แพลงตอนเมื่อ 460 ล้านปีก่อนเป็นลำดับ  แล้วไล่ยาวมาจนมาเป็นตัวคุณจนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม คริสตศักราช 2012 ครับ ... ^^ เอาละพอรู้แนวคิดแล้วก็มาตอบคำถามกัน 1.พระเจ้ามีประสงค์ใดถึงส่งผมมาเกิดยุคนี้ - คุณเป็นผลพลอยได้จากการที่พระเจ้าสร้างคนที่คุณเรียกว่าคนยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งที่พระองค์ประสงค์คงอยากให้คุณเชื่อพระเจ้า หรือไม่ก็เป็นพ่อพันธุ์ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานของคุณเชื่อพระเจ้า จากนั้นก็ถ่ายทอดความคิดภูมิปัญญาบางอย่างลงไปเพื่อให้ทำบางสิ่งบางอย่างให้แก่โลก เช่นถ่ายทอดภูมิปัญญาให้คนผลิตโทรศัพท์มือถือที่ยอดเยี่ยมกว่าแอ้ปเปิ้ล เป็นมือถือยี่ห้ออดัมกับอีฟ ก็เป็นได้ 2.แต่กับอีกคนไปเกิดยุคดึกดำบรรพ์ ประมาณยุคหินน่ะครับ - คนยุคหิน ท่านสร้างและให้ภูมิปัญญากับคนยุคหินที่ว่าเรื่อยมา จนถึงยุคโลหะสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก ยุคทอง ยุคอุตสาหกรรม ยุคดิจิตอล จนคนในยุค 2012 นี้ได้รับความสะดวกสะบายจากสารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใชอิเล็คทรอนิค คอมพิวเตอร์ รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ ยารักษาโรค และสารพัดเครื่องทุ่นแรง   3.ก่อนผมจะมาเกิดนี่ ผมอยู่ที่ไหน - อันนี้ผมขอให้ศึกษาพระพุทธศาสนาน่าจะได้คำตอบที่ดีกว่า 4.แล้วในยุคหินนี่ จะรู้จักพระเจ้าได้ยังไง - จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ภัยธรรมชาติ และความเจ็บป่วย สุดท้าย อยากฝากให้คิดว่าทุกวันนี้เราจะเป็นยังไงถ้าอยู่ด้วยการใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งข้าวของเครื่องใช้ที่เกิดจากภูมิปัญญาโดยคนของพระเจ้า ... ^^ ปล. ลองอย่างนี้ก็ได้  ให้คนที่ปฏิบัติธรรมได้วิชชาธรรมกายใช้ธรรมกายไปค้นหาคำตอบ ... ^^ จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 14:16:42

ความคิดเห็นที่ 4 คุณ  jimmy neutron ในฐานะที่ผมเป็นเสื้อแดง รุ่นใหญ่  รุ่นแรก และเป็นหนึ่งของการรนณรงค์ให้ใช้เสื้อแดง ใน การ Vote No ในค่ำคืนที่มีการประชุมที่จิตรโภชนา คุณควรกลับไปขอโทษในสิ่งที่ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จากการใช้ภาษา ในกระทู้ของคุณ และคุณไม่จำเป็นต้องหนีปัญหาด้วยการแยกกระทู้ออกมา กลับไปขอโทษในการใช้ภาษาที่ผิด กลับไปตอบคำถามผู้คนที่กังขา คนเสื้อแดงกล้าทำก็ต้องกล้ารับ "อย่าทำตนเป็นคนทำผิดอะไร ใหญ่หลวงขนาดใด ก็ขอโทษไม่เป็น"   แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 15:30:19 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 14:35:41

ความคิดเห็นที่ 5 รูปแบบการเขียนการเสนอข้อคิดเห็น ไม่ว่าจะนอกเวบ ในเวบ ในการดำเนินชีวิต -เหตุที่มา -ผลที่เราได้รับ - สิ่งที่เรากังขา และยึดถือหลัก ด้วยความระมัดระวัง ดั่งที่ผมเขียน มารยาท สมบัติผู้ดีนั่นแหละ คำว่า"ผู้ดี" หรือ คำว่า "ไพร่ มิได้แบ่งกันตามยศฐาบรรดาศักด์ิ แต่แบ่งกันด้วยระบบคิด การถามต้องถามในหลักการใช้ภาษาอย่างระมัดระวังต้องถามในลักษณะที่ทำให้ผู้ตอบ อยากที่จะตอบ ด้วยตัวอย่างการถามแบบนี้ "กระผมต้องการทราบการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้ารบกวนท่านผู้รู้ช่วยใขความกระจ่างด้วยครับ" แล้วในเนื้อหาคุณก็ใส่รายละเอียดเล่าเป็นเรื่องราวว่าเกิดอะไรกับคุณถึงเหตุที่ต้องมาถามในนี้ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 15:02:49 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 15:01:45 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 15:00:50 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 14:56:33

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบเท่าที่คิดได้ก่อนนะค่ะ.. 1. แล้วในยุคหินนี่ จะรู้จักพระเจ้าได้ยังไง พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกแล้ว...ถ้าเราย้อนกลับไป เราจะพบว่าทุกอารยธรรมโบราณมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งสิ้น ที่นี้สิ่งที่เราเรียนรู้มา ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งยุคทางอารยธรรม หรือ ความคิดเรื่องกลัวธรรมชาติจนมนุษย์ต้องสร้างพระเจ้าขึ้นมา..สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น "แนวความคิด" หรือ "สมมติฐาน" เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ของมนุษย์ที่เชื่อถือได้ว่ามีหลักฐานและเป็นเหตุเป็นผล ต้องเริ่มแต่สมัยที่มีการบันทึก(เป็นหลักฐานอ้างอิงได้) คือสมัยเมโสโปเตเมีย หรือกษัตริย์อาบูดาบีเป็นต้นมา ดังนั้นก่อนสมัยนี้ ล้วนเป็นแนวความคิด หรือ ความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะไม่มีเอกสารหรือข้อมูลใดๆอ้างอิงทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การเสนอความเห็น รวมทั้งยุคหินด้วย ปัจจุบันมีการพิสูจน์ด้าน DNA แล้วว่าซากมนุษย์โบราณไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการ (อ้างอิง Science Digest ฉบับที่ 39 หน้า 35 กล่าวว่า “ซากมนุษย์นีแอลเดอร์ธัลเป็นเพียงคนที่รูปร่างพิการ อาหารการกินของผู้นี้ขาดวิตามินดีอย่างแน่นอน” หรือมนุษย์พิลท์ดาวน์ แท้จริงกระดูกขากรรไกรเป็นของลิง,นมุษย์เนบราสก้า ซึ่งเราพบแค่ฟันหนึ่งซี่ แต่ต่อมาปรากฏว่าเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง เท่านั้น) จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 16:43:58

ความคิดเห็นที่ 7 2. ก่อนผมจะมาเกิดนี่ ผมอยู่ที่ไหน สำหรับความเชื่อในพระเจ้า จะแตกต่างกับศาสนาพุทธที่มีการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งคำถามนี้หากถามทางพุทธว่า "ผมในชาติแรกที่สุด มาจากไหน" ก็จะไม่มีคำตอบ เพราะหลักการความคิดของพุทธเป็นเช่นนั้น สำหรับความเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะเกิดมานั้น เราไม่ได้อยู่ที่ไหนทั้งสิ้น เพราะเรายังไม่มีตัวตน เมื่อเราเกิดมาแล้ว เราจึงเริ่มมีตัวตนและวิญญาณ แล้วจะสิ้นสุดเพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 16:52:40

ความคิดเห็นที่ 8 ประกาศขอบ้านถาวรให้ พี่คอกเกอร์อายุมาก ก่อนที่จะถูกนำไปส่งที่สถานกักกันภายในกลางเดือนหน้า นึกว่าได้บ้านถาวรไปแล้วนะ หนีมาหลบอยูนี่เองหราพี่คอกเอร์ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 17:53:09 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 17:52:30 จากคุณ : ยูซุฟ เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 17:51:23

ความคิดเห็นที่ 9 3. พระเจ้ามีประสงค์ใดถึงส่งผมมาเกิดยุคนี้  แต่กับอีกคนไปเกิดยุคดึกดำบรรพ์ ประมาณยุคหินน่ะครับ อันนี้ เราคงตอบไม่ได้ แต่ที่จริงการมาเกิดยุคนี้ หรือ มาเกิดในยุคหินล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะในไบเบิ้ลพูดอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าสร้างทุกสิ่งมาอย่างดีเลิศ การเกิดของมนุษย์จึงไม่ใช่ความทุกข์แต่เป็นพร ..แต่เพราะมนุษย์ถูกล่อลวงด้วยบาป ทำให้เกิดการเสื่อมโทรม จึงเป็นเหตุให้ปัจจุบันบางคนมองว่า..การเกิดมาไม่ใช่สิ่งที่ดี อาจมีการเปรียบเทียบว่าการเกิดในยุคนี้ กับ การเกิดในยุคหิน มันไม่เท่าเทียมกัน..อันนี้เราต้องเข้าใจ"จุดประสงค์"การมีชีวิตอยู่ในโลกก่อน หากเราคิดว่า การมีชีวิตอยู่คือความสะดวกสบาย แน่นอน เราจะมองว่าไม่เป็นธรรมกับคนยุคหิน..แต่จุดประสงค์การมีชีวิตอยู่ที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ไม่ใช่วัดกันที่ความสะดวกสบาย จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 17:58:41

ความคิดเห็นที่ 10 กดทางไกลสายตรงไปถามพระเจ้าตรงๆเลย  ดีที่สุด.... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 18:51:00

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เอาน่า จขกท.. เค้าบอกไว้แล้วไงจ๊ะ ว่า  ห้ามสงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า อย่าสงสัยมากซิจ๊ะ ไม่ดี ๆ  เดี๋ยวพระเจ้าโกรธน๊า หาว่าคุณชอบดื้อ ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในพระองค์ อย่าทำให้พระเจ้าไม่พอใจซิจ๊ะ เด๊่ยวตายไปแล้วตกนรกไม่รู้ด้วยน๊า.. จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 20:02:46

ความคิดเห็นที่ 12 จขกท. ถาม "คนเชื่อพระเจ้า" แต่คนต่อต้านความเชื่อเรื่องพระเจ้า เข้ามาตอบ..ซะงั้น!!! ความสงสัยเรื่องพระเจ้าไม่ใช่สิ่งผิด แท้จริงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่กระตุ้นให้มนุษย์แสวงหาความจริง แล้วพบพระเจ้าในที่สุด ดังนั้น การสงสัย ไม่ได้ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย หรือเราต้องตกนรกแต่อย่างใด ที่จริงพระเจ้าให้เราต้องใช้ปัญญาที่พระเจ้าประทานมาให้เราอย่างเต็มที่ คริสเตียนเรียกว่า การอารักขา ในพระคัมภีร์เองก็มีตอนหนึ่งที่ชมเชยความสงสัยว่า "ยิวชาวเมืองนั้นมีจิตใจสูงส่งกว่าชาวเธสะโลนิกา เพราะเขาค้นคว้าพระคัมภีร์ทุกวัน หวังที่จะรู้ว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่'(ก็คือสงสัย..จึงค้นหาความจริง) สำหรับคริสเตียน ความสงสัยมี 2 ประเภทจ๊ะ คือ ความสงสัยแบบท้าทาย กับ ความสงสัยเพื่อค้นหาความจริง  ความสงสัยประเภทแรก พระเจ้าไม่พอพระทัยและสั่งห้าม ส่วนประเภทหลังเป็นเรื่องดี เพราะเขาจะพบกับความจริง การสงสัยทั้งสองประเภท อาจเป็นการสงสัยเรื่องเดียวกัน แต่ท่าทีภายในใจต่างกัน ฝ่ายหนึ่งสงสัยเพื่อต้องการจับผิดหรือเยาะเย้ย อีกฝ่ายหนึ่งสงสัยเพื่อต้องการหาคำตอบที่เป็นจริง จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 55 22:40:10

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเข้าใจว่า เจตนาแห่งคำถามคือ แล้วพระเจ้าจะพิพากษาอย่างไรมากกว่า ผมขอย้ำนะครับ พระเจ้าทรงมองที่จิตใจ และมโนธรรมของคุณเอง ถ้าคุณเชื่อว่า จิตใจคุณถูกต้อง ดำรงตนในความชอบธรรม พระเจ้าจะพิพากษาตามนั้น โปรดอย่ากังวลใจแทนพระเจ้าในเรื่องคำพิพากษาว่าจะไม่เป็นธรรม เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ทุกหัวเข่า... จะก้มกราบลง ซึ่งผมตีความว่า จะเป็นการพิพากษาที่เป็นธรรมกับทุกๆคน ขอพระเจ้าอวยพระพรผู้แสวงธรรมทุกๆท่าน ในความรักของพระเยซูคริสต์ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 06:16:35

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าเราต้องการรู้ทั้งหมดแล้วค่อยเชื่อ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เชื่อ ความเชื่อมันเป็นสิ่งที่ เรามองไม่เห็น และคนที่จะเชื่อในสิ่งมองไม่เห็น มันก็ยากมาก แม้เราจะตอบให้เข้าใจได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเชื่อ เพราะ ถ้าพูดถึงอดีต คุณก็ย้อนอดีตไปเพื่อจะเห็นก็ไม่ได้ ถ้าพูดถึงอนาคต คุณก็ยังไปไม่ถึง คุณอยู่ได้แค่ ปัจจุบัน เห็นได้แค่ปัจจุบัน ที่สำคัญ พระเจ้าไม่ยอมให้คุณมองเห็น อนุญาตให้ได้ แค่เชื่อหรือไม่เชื่อ เท่านั้น คนที่จะเชื่อ พระเจ้าได้ ต้องเห็นว่า ปัจจุบัน ที่เขาอยู่นั้นมันเป็นอย่างไร ถ้าปัจจุบัน ของคุณมันดี มันสมบูรณ์ มันอยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าไปเข้าใจพระเจ้าเลย ไม่มีทางเข้าใจ แต่คนที่เชื่อพระเจ้า ปัจจุบันของเขามันล้มเหลว มันไม่มีอะไรช่วยเขาได้จริงๆ เขาก็จะมองไปที่อดีต และ อนาคต แทน อดีตที่เคยล้มเหลวมา อดีตที่เห็นแล้ว ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน อดีตที่ไม่มีคำตอบ และเมื่อมองไปที่อนาคต  แน่ใจไหมว่า จะไปได้ดี อดีตที่ทำมา สามารถพาตัวเองไปที่อนาคตอย่างยั่งยืนได้ และมั่นใจได้ไหมว่า อนาคตที่แสนไกลนั้น ตัวเองจะไปที่ที่ดีได้   เท่าที่เห็นคนเชื่อพระเจ้ามา ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่บอกไปแค่นั้นเอง คนอีกส่วนหนึ่งที่เชื่อพระเจ้าแค่ หวังกับปัจจุบัน คือ อยากร่ำรวย อยากได้การยอมรับ อยากเก่ง อยากฉลาด อยากอะไรมากมายเพื่อกิเลสตัณหาตัวเอง คนส่วนนี้เชื่อไปไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เลิก   คุณ จขกท จะอยากรู้เรื่องพระเจ้า หรือจะอยากเชื่อ เพราะอะไรล่ะครับ ต้องถามตัวเองดูครับ สิ่งที่ถามมานั้น ไม่ได้ทำให้คนเราเชื่อพระเจ้าได้หรอกครับ เพราะ เมื่อสงสัย ก็ต้องการคำตอบ เมื่อได้คำตอบ ก็จะสงสัยเรื่องอื่นต่อไป ไม่จบสิ้น กว่าจะรู้ทั้งหมดก็ตายเสียก่อน ยังไม่ทันได้เชื่อ เพราะว่า ถ้าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง ก็หมายความว่า สติปัญญาของพระเจ้ามหาศาลมาก แล้วมนุษย์อย่างเรา อย่างเก่ง IQ 180 ก็เทียบไม่ได้กับพระเจ้า ถ้าจะต้องเข้าใจทั้งหมด มันจึงเป็นไปไม่ได้ครับ ฉะนั้น ท่านจึงมองแค่ว่า อยากจะเชื่อ หรือ  ไม่อยากเชื่อก็พอ ถ้าอยากจะเชื่อ ก็ต้องทิ้งมาตรฐานของตัวเองไป แล้วค้นหาว่า ความเชื่อ คือ อะไรก็พอ ถ้าหาเหตุผลเพื่อต้องการให้ตรงกับความคิดตัวเอง ก็ไม่มีทางได้เชื่อครับ จากคุณ : เคราติน เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 09:58:47

ความคิดเห็นที่ 15 ความเชื่ออาจไม่ใช่ความจริง ตายแล้วรู้กัน ว่าใครผิดใครถูก จากคุณ : แล้วทำไม12 เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 55 14:20:10

ความคิดเห็นที่ 16 คุณเคราดิน ให้ความคิดเห็นที่ดีครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 55 08:52:42