ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ครับ พระพุทธเจ้า เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ซึ่งค้นพบแนวทางการใช้ชีวิตกับธรรมชาติอย่างเหมาะสม และเรียบเรียงองค์ความรู้ดังกล่าว มาถ่ายทอดต่ออย่างเข้าใจง่าย ท่านเป็นคนที่ฉลาดมากๆคนนึงครับ ไม่ใช่พระเจ้า แต่สามารถพบแนวทางการใช้ชีิวิตในแบบที่ถูกต้องที่สุด จนทำให้พระเจ้าเป็นแค่เรื่องไร้สาระไปได้ จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:01:56

ความคิดเห็นที่ 2 พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า ครับ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าจะเรียกบัญญัติท่านว่า "พระเจ้า" ผมก็มิบังอาจจะกล่าวเช่นนั้นได้เลย และนิพพาน ไม่ใช่แดน ไม่ใช่ภพ ครับ อิๆ จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:05:31

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่มีวันใช่ ครับ ถ้าใครบอกว่าพระพุทธเจ้าคือพระเจ้า คนนั้นไม่ใช่พุทธศาสนิกชนเถรวาท ถ้าใครบอกว่าพระเจ้าคือพระพุทธเจ้า คนนั้นไม่เคยเข้าใจศาสนาพระเจ้า ถามใครเห็นต่าง ผมมาที่ 3 แต่ขอยกมือคนแรก จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:37:48

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าพระเจ้าที่คุณนิยามความหมายเป็นอย่างนั้น คำตอบมันก็จะสอดคล้องกับหัวข้อกระทู้ แต่สำหรับคนอื่นที่นิยามแตกต่างกันไป คำตอบก็คือไม่ใช่ จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:43:19

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าคิดโดยพื้นฐาน พระเจ้า ของท่านจขกท.คือ ไกลวัลยธรรม คิดได้ครับ แต่ฐานคัมภีร์พุทธต้องแน่นจริงๆ ไม่งั้น คำอธิบายหลายคำ ที่ผู้รับสาส์นเข้าใจ จะไปทับซ้อนกับ ข้อมูลทางคัมภีร์ของคริสตเตียน ติดใจคำนึง "พระพุทธเจ้าไม่มีศาสดานำ" ถ้า "ศาสดา" คือ ผู้สอน "ธรรมชาติ+ศาสนาผู้สร้าง+อนุภาพกิเลสที่ขับเคลื่อนวัฏฏะสงสาร" คือ ศาสดาของพระพุทธเจ้า หรือเปล่าครับ? ศาสนาพุทธ สอนให้ใช้ สิ่งแวดล้อมเป็นครูบาอาจารย์ ไม่ใช่หรือ? เมื่อเรียนสำเร็จ และมีอานุภาพไม่แตกต่างกับพระเจ้า ในอีกความเข้าใจนึง ซึ่งถ้าพุทธองค์ตามกระแส "อวิชชาเดิม" อานุภาพคงไม่ต่างกับ พระเจ้า(ด้านดี) หรือ ซาตาน(ด้านเลว) พุทธองค์เลือกชี้ทางออก ทวนกระแสอวิชชาเดิม สอดคล้องกับหลักอนัตตาที่ทรงประกาศไว้ เมื่อพุทธองค์กลายเป็นพระเจ้า คือ กลายเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ทรงคุณค่าที่สุด พ้นจากสภาวะทั้งปวง อาจใกล้เคียง ความหมายท่านเจ้าของกระทู้กระมัง (ใช้คำว่า "สถิตย์ ณ ดินแดน" เดี๋ยวพวกท่านพี่ๆ ฝ่ายคัมภีร์จะเข้ามารุมประชาทัณฑ์ผมกัน) จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 12:59:08

ความคิดเห็นที่ 6 คือ ถ้าใช้ภาษาแบบท่านเจ้าของกระทู้ (ท่านตาลโตน) เพื่อไปกลืนศาสนาคนอื่นเขา หรือเผยแพร่ศาสนาพุทธในอีกรูปแบบนึง น่าสนใจครับ แต่อาจจะไปเพิ่ม จำนวนกลุ่มไฮบริดด้วยหรือเปล่า? (พวกลูกผสม 2 ศาสนา) ที่แน่ๆ พุทธสายตรง หลายท่านอ่านแล้ว พาลหงุดหงิดน่ะสิ จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 13:11:52

ความคิดเห็นที่ 7 จะว่าใช่ก็ได้ จะว่าไม่ใช่ก็ได้ อยู่ที่ความเข้าใจของผู้พูด คำว่า "พระเจ้า" "พระคุณเจ้า" "พระผู้เป็นเจ้า" ฯลฯ เหล่านี้ ในสมัยโบราณใช้เรียกพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงคือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า หรือเรียกรวมกันว่า พระเจ้า พระภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาค เวลาสนทนากับพระพุทธเจ้า ก็ใช้คำว่า "พระเจ้าข้า" (พระเจ้าของข้า?) คำว่า พระเจ้า จึงต้องมีการจำกัดความด้วย ว่ามีขอบเขตแค่ไหน เพราะคำว่า พระเจ้า แสดงถึงสิ่งเคารพสูงสุดก็ได้ แสดงถึงผู้มีอำนาจสูงสุดก็ได้ แสดงถึงผู้สร้างก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้านำคำว่าผู้สร้าง มารวมกับคำว่า พระเจ้า ในกรณีนี้ต้องบอกว่า ไม่สามารถนำมารวมกันได้ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 13:17:17

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ใช่ และจะไม่มีวันใช่ครับ เพราะไม่มีอะไรที่เหมือนกัน ศาสนาพระเจ้า - พระเจ้าเป็นผู้สร้างเป็นผู้ดลบรรดาลทุกสรรพสิ่งอย่าง  สร้างแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้างทุกสิ่งอย่าง แต่เป็นผู้ค้นพบบางอย่าง ว่าเหตุใดจึงมีสรรพสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งตัวพระเจ้าเอง จากคุณ : via iPhone (Vees) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 14:32:07

ความคิดเห็นที่ 9 พระพุทธเจ้า คือคนธรรมดาที่ไม่มีศาสนา แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 15:10:44 จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 15:10:12

ความคิดเห็นที่ 10 ศาสนาพุทธบูชา   "พระธรรมเจ้า"   ครับ จากคุณ : canon A40 เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 15:10:59

ความคิดเห็นที่ 11 พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทุกๆนัย ถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่บ้าง ก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าพระพุทธเจ้า ถ้าศึกษาในศาสนาอื่น ที่มี ที่สอน เรื่องของพระเจ้า ก็จะเข้าใจความหมายของพระเจ้า การที่บอกว่า "พระพุทธเจ้าคือพระเจ้า" เป็นการจับแพะชนแกะ หาสาระแก่นสารใดๆไม่ได้ เป็นการพูดเอาเอง นึกคิดเอาเอง เสนอขึ้นเอง ตามความคิด ตามจริตของตนเองเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ถูกต้อง ไม่เที่ยงตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แต่ประการใด จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 16:00:58

ความคิดเห็นที่ 12 ขอออกความเห็นครับ              ว่า  พระพุทธเจ้า   กับ พระเจ้า ที่ จขก.พูดถึง  ไม่ใช่สิ่งเดียวกันตามที่คิด             พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า  ที่มีตัวตน เกิดขึ้นด้วยการเข้าถึงธรรม คือพุทธวิสัย บรรลุโพธิญานด้วยพระองค์เอง ประกอบด้วย ทศพลญาน 10 จึงได้ชื่อว่าเป็น "พระพุทธเจ้า" หรือ "พระอรหันต์" "พระสัตถา" "พระจอมไตร" "พระผู้พิชิตมาร" "พระสมณโคดม"             ส่วนพระเจ้า ไม่มีตัวตน  เป็นแต่คำเรียกหา อาจสมมุติขึ้นก็ได้ จึงเป็นไปได้ว่า ยกบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็น ชื่อเรียก "พระเจ้า"   แต่ไม่มีธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ หรืออริยสัจ 4 เหมือนพระพุทธเจ้า... ไม่ประกอบด้วยธรรมคือการกำจัดกิเลส             ฉะนั้น พระเจ้า  จึงไม่มีอยู่จริงในตัวบุคคล เรา เขา เป็นแต่นามสมมุติขึ้น จากคุณ : นะโม (กลุ่มพุทธบุตร) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 16:17:15

ความคิดเห็นที่ 13 ขอเรียนตอบนะครับ จะพยายมใช้ภาษาสื่อง่ายๆ เพื่อเข้าใจตรงกันนะครับ คห.1พระพุทธเจ้า เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ซึ่งค้นพบแนวทางการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ถูกแต่ไม่ใช่จุดสูงสุด ท่านเป็นคนธรรมดา ที่ค้นพบแนวทางไปสู่ ความหลุดพ้น เส้นทางที่ศิษย์สาวกทุกคน ต้องละทิ้งทุกสิ่งในโลก เพื่อไปสู่ความเป็นพระเจ้า คห.2 นับถือพระพุทธเจ้าเป็นครูผู้สอนจริยธรรม ผมเคารพความเห็นนี้ครับ คห.3 เห็นต่างได้ด้วยเหตุผล แสดงความเห็นด้วยปัญญา กรุณา ละจากการยกตนเป็นผู้ตัดสินผู้อื่น ว่าต้องเป็นโน้นนี่นั้น เพราะนั้นแสดงถึงขีดขั้น ความรู้ที่เรามีอยู่ เป็นสิ่งที่พึงระวัง คห.4 ไม่ใช่แค่นิยามแต่เป็นสถานะแท้จริงของพระพุทธเจ่า สถานะพระเจ้า คห.5 ศาสดาคือมนุษย์ ที่พระเจ้า เลือกให้้เป็นผู้นำสารจากพระเจ้า สู่มนุษย์ สารที่บอกเล่าถึงเส้นทาง ที่จะทอดยาวไปถึงความเป็นพระเจ้า สู่ดินแดนพระเจ้า แต่พระพุทธเจ้า ไม่มีศาสดาใดมาสั่งสอน แต่ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองครับ คห.6 พระพุทธเจ้าอยู่ในสถานะพระเจ้า ของมนุษย์ทุกคน พระองค์ข้ามขอบศาสนาไปแล้วครับ คห.7 คำนามเป็นคำเรียกสัตว์สิ่งของ ไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าหมายถึง ความว่างเปล่าที่ไม่มีขอบเขต เป็นนิรันด์ เป็นเบื่องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นผู้สร้างและไม่ได้สร้าง คห.8 พระพุทธเจ้า มิใช่พระเจ้าที่สร้างอะไรให้ใคร หรือไม่สร้างอะไรให้ใคร เพราะหน้าที่ของพระองค์ เป็นเพียงผู้ชี้ทางนำเราไปสู่สถานะพระเจ้า อย่างที่พระองค์เป็นเท่านั้น คห.9 ถูกต้องครับ พระองค์ไม่มีศาสนา คนภายหลังเข้ามาตั้งเป็นศาสนาเอง ศาสนาพุทธ เกิดขึ้นหลังพระพุทธองค์ทรงเสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพาน สู่สถานะพระเจ้า คห.10 พระพุทธเจ้า อยู่ในสถานะพระเจ้า ไม่มีตัวตน เป็นความว่างเปล่า และไม่ใช่พระเจ้า ที่จะมามอบสิ่งใดให้ใคร เพราะพระองค์ไม่มีสมบัติใดๆที่จะให้ใคร มีแต่ความว่างเปล่า ใครจะกราบไหว้หรือไม่ พระองค์ไม่เคยร้องขอ ขอบคุณครับสำหรับ ความเห็นต่าง เคารพทุกความเห็น ยินดีตอบ ในปัญญาอันจำกัด ให้เกียติในธรรมของทุกคอมเม้นครับ.. จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 16:19:38

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องขออภัยท่านจขกท.ที่ล่วงเกิน นำคำศัพท์มาขยายความนะครับ "ผู้สอน"ของพุทธองค์ นิยามคร่าวๆไปแล้ว ในคห.5ครับ  บรรทัดที่5 ถ้านับ"ผู้สอนองค์สมณโคดม" เพิ่มเข้าไปอีก คือ พระพุทธเจ้าองค์ก่อน องค์สมณโคดมไม่ใช่หรือครับ? ที่ทำให้องค์สมณโคดมมีปณิธาน ในการศึกษา"สัทธรรมรูปแบบเฉพาะ" ซึ่งไม่เหมือนศาสนาผู้สร้างใดๆ ที่เคยใช้กิเลสจากจิตทั้งมวล ขับเคลื่อนสังสารวัฏแห่งนี้ ทุกคนเป็นพระเจ้าในความคิดผมนะ กระแสความต้องการแห่งจิตรวมกัน ในห้วงเวลาเป็นล้านปีของดาวดวงนี้ เปลี่ยนอวัยวะในตัวที่ไม่ใช้งานให้หายไปก็ได้ ยามภัยพิบัติเปลี่ยนอวัยวะอื่นมาทดแทนก็ได้ จิตตัวเดียว ที่ศาสนาพุทธให้ความสำคัญมาก จิตนี้สำหรับผม คือ พระเจ้าเลยล่ะ จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 16:56:39

ความคิดเห็นที่ 15 คห.11 ผมยืนยันว่า พระพุทธเจ้าคือพระเจ้า ตามสถานะปัจจุบันของพระองค์ พระพุทธเจ้าคือผู้เข้าถึงจุดสูงสุด ที่มนุษย์ยอมรับในความดี เมตตา ให้อภัย พระพุทธองค์ตรัสรู้เข้าสู่สถานะพระเจ้า สู่ความดับ สู่ความว่างเปล่านิรันด์ แล้วพระเจ้าในความเข้าใจของคุณคืออะไรครับ คห.12 พระพุทธเจ้าเคยมีสถานะเป็นมนุษย์ แต่ปัจจุบันท่าเดินทางถึงความเป็นพระเจ้า มีสถานะเป็นพระเจ้า สู่ สูญญตา ที่ไร้ตัวตน ทิ้งไว้เพียงพระธรรม ที่เป็นวัตถุตัวตนจับต้องได้ พระพุทธเจ้า ทรงไปถึงสถานะพระเจ้าครับ. คห.14 ครูที่สอนพระพุทธเจ้ามีครับ แต่ไม่มีศาสดาใดเลย ที่สอนให้พระพุทธเจ้า ไปสู่ทางตรัสรู้ พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ถูกต้องไหมครับ สมาชิกที่มีความเห็นต่าง หรือมุมมองต่อคอมเม้น เพื่อนสมาชิก เชิญแสดงความเห็นต่าง ต่อคอมเม้นอื่นได้ครับ ของดการส่อเสียด เกลียดชัง ดูถูก ก้าวร้าว ชวนทะเลาะ มีเวลาจะเข้ามาตอบครับ  พิมพ์ตกเกิน พลาดพลั้งขออภัย ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 22:06:15 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 17:09:32 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:03:27

ความคิดเห็นที่ 16 "ผมยืนยันว่า พระพุทธเจ้าคือพระเจ้า ตามสถานะปัจจุบันของพระองค์ พระพุทธเจ้าคือผู้เข้าถึงจุดสูงสุด ที่มนุษย์ยอมรับในความดี เมตตา ให้อภัย พระพุทธองค์ตรัสรู้เข้าสู่สถานะพระพุทธเจ้า สู่ความดับ สู่ความว่างเปล่านิรันด์" พระเจ้า...เมื่อมนุษย์ไม่ทำตามพระบัญชาของพระจ้า พระเจ้าจึงลงโทษมนุษย์ ใครไม่เชื่อพระเจ้าก็ไปลงนรก แต่พระพุทธเจ้า...ไม่ได้ลงโทษใคร เป็นกฎธรรมชาติต่างหากที่ลงโทษ เพราะพระพุทธเจ้าก็เคยอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ และไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลงนรก เพราะยังมีความดีอื่นๆที่ผู้คนทำตามได้ ความดีเฉพาะของศาสนาพุทธมีไว้สำหรับคนอยากพ้นทุกข์เท่านั้น ถ้าไม่อยากพ้นทุกข์พระพุทธเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์บันดาลให้ใครไปลงนรก  เพราะมันอยู่ที่ตัวคนคนนั้นเอง พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้าง เพราะพระพุทธเจ้าเคยถูกสร้างขึ้นมาโดยกฎธรรมชาติ แต่เผอิญเป็นคนที่ตั้งคำถามและไม่อยากอยู่ภายใต้กฎ  แต่พระเจ้าในความหมายของคริสต์ฟังเหมือนตัวพระเจ้าเองนั้นคือกฎ พระพุทธเจ้าล่วงพ้นกฎนั้นมาได้แต่พระพุทธเจ้าไม่มีทางเป็นกฎได้ค่ะ  เหมือนพระพุทธเจ้าคือคนที่สอบผ่านแต่พระพุทธเจ้าไม่ใช่ตัวข้อสอบ หรือคนที่ออกข้อสอบ และจะมีคนที่สอบผ่านมากกว่าหนึ่งคนแน่ๆในอนาคต หมายถึงมีพระพุทธเจ้าได้หลายพระองค์ต่างจากของคริสต์ที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว และพุทธจริงๆ ( ไม่ใช่ Buddhist by record ) เขาจะนับถือสิ่งที่สอนไม่ใช่ตัวคนสอน พุทธานุสติ เราว่าใจความสำคัญอยู่ที่ "คุณสมบัติ" ของคนเป็นพุทธะ ไม่ใช่ตัวคนที่เป็น แต่เราเคารพ พระพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ )ในฐานะเป็นผู้ที่แสดงให้เราเห็นถึงคุณสมบัตินั้น ถ้าไม่มีเจ้าชายสิทธัตถะ เราจะเอาตัวอย่างความเป็นพุทธะจากที่ไหนให้ปฏิบัติตาม ชาวพุทธที่แท้จะรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เอาแต่กราบไหว้ ทุกชีวิตจะต้องขึ้นอยู่กับความเมตตาของพระองค์ ไม่ใช่แบบนั้น  ซึ่งต่างจากคริสต์ที่เน้นให้เชื่อในตัวพระเจ้า ต่างกันโขอยู่นะเราว่า จับมาชนกันปวดหัวเปล่าๆ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 17:52:22 จากคุณ : . (Friday13th) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:35:51

ความคิดเห็นที่ 17 ใน ศาสนาพุทธเถรวาท อะไรเป็นตัวชี้วัด ชี้ขาดว่า พระเจ้าและพระพุทธเจ้าหรือนิพพาน เป็นคนละเรื่องคนละราว นั่นคือ ทิฐิไงครับ สัมมาทิฐิเป็นหนึ่งในมรรคมีองค์อันเป็นทางเดียวสู่นิพพาน สัมมาทิฐิ คืออะไรมีอะไรบ้าง ทิฐิที่เชื่อในพระเจ้า เป็นสัมมาหรือไม่ จขกทต้องกลับไปศึกษาใหม่ ไม่อย่างนั้นอย่าใช้คำว่า พุทธศาสนิกชนเถรวาทให้เสียผู้อื่น ท่านพูดอะไรพูดได้ แต่ถ้าเผยแพร่ความเชื่อ ทิฐิเช่นนั้น ไปโดยอ้างว่าเป็นพุทธเถรวาท มันเป็นการบิดเบือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลักของเถรวาท จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:47:00

ความคิดเห็นที่ 18 จขกท ถ้าท่านเผยแพร่ทิฐิอย่างนั้นโดยอ้างว่าเป็นพุทธเถรวาท ท่านกำลังบิดเบือนคำสอนฝ่ายเถรวาท ถ้าท่านเผยแพร่ทิฐิเช่นนั้นโดยอ้างว่าเป็นผู้ศรัทธาพระเจ้า ท่านเป็นผู้ไม่ให้เกียรติศาสนาพระเจ้า ท่านจะศึกษาอะไร 1. ท่านต้องเข้าใจหลักแก่นอันสำคัญของศาสนานั้นๆ ก่อน 2. ท่านต้องคงหลักคำสอนด้วยหลักฐานข้อเท็จจริง(จากคัมภีร์เป็นหลัก) 3. ท่านต้องแยกความเห็นออกจากข้อเท็จจริง(จากคัมภีร์) 4. ท่านควรเข้าใจว่า การพยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนาที่แท้จริง ต้องกล่าวกันตามหลักฐานข้อเท็จจริง แสดงจุดร่วมสงวนจุดต่าง แต่ต้องคงข้อเท็จจริง การบิดเบือนข้อเท็จจริงไม่ใช่การทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนาแต่การบิดเบือนหลักของศาสนานั้นๆ ทุกศาสนา จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:53:33

ความคิดเห็นที่ 19 ผมมาเตือนด้วยความหวังดี สิ่งที่ท่านกำลังทำ มีผลต่อความบาดหมางระหว่างศาสนา ในบอร์ดศาสนาครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:55:00

ความคิดเห็นที่ 20 สมมติท่านตาลโตน เรียน "เลข" พื้นฐานบวก ลบ คูณ หาร ท่านนับนิ้วเอาง่ายๆได้ แต่หากท่านต้องการเรียน "แคลคูลัส" ท่านตรัสรู้(รู้แจ้ง) ด้วยตนเองได้ไหมครับ? ห้ามพึ่งหนังสือนะ ในอัตชีวประวัติ ตามคัมภีร์ เขียนว่า "ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง" ในทางปฏิบัติจริงๆ เรื่องละเอียดซับซ้อนขึ้น ต้องอาศัยการชี้นำเสมอครับ "ธรรมชาติแวดล้อม + อ.นักบวชในศาสนาผู้สร้าง + กิเลสตัณหาอุปาทานในจิตตน + ฯลฯ" เป็นการสอนแฝง เพื่อการนำไปลองผิดลองถูก ล้มเหลวซ้ำๆ จนถึงวันค้นพบ "อริยสัจ4" ผมเข้าใจว่า คนรุ่นหลังๆ อยากให้พุทธเป็นศาสนา อยากให้ศาสดามีความเก่งกาจโดดๆ แบบไม่พึ่งใคร แต่ในความจริง วิถีแห่งพุทธคือวิถีที่ใกล้เคียงวิทยาศาสตร์ที่สุด คือ ใช้ปัจจัยภายใน-ภายนอก"ทั้งหมด"เป็นครู แล้ว "ทดลองทำ" , "รู้แจ้งด้วยตนเอง เป็นลำดับขั้น" ไม่มีประเภท ข้าเก่ง ข้าแน่ สำเร็จด้วยตนเองแน่ๆครับ อันนั้นทิฐิมานะอวดตัวถือดีอัตตาหนาจ๋าเลย ยังไม่สำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คนครับ พอสำเร็จสัมมาฯแล้ว สถานะคงเปลี่ยนล่ะ ผมตามใจท่านตาลโตนในท้ายที่สุด :D (คือ ประเด็นผมเอียนมุก พระเจ้า=นิพพาน แล้วล่ะ ลองอีกแบบก็ดีเหมือนกัน :P) จากคุณ : รอฟังท่านอื่นบ้าง (Zim-MorLuth-) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 17:58:04

ความคิดเห็นที่ 21 ขอถาม จขกท.. ก่อนว่า เข้าใจความหมายของคำว่า พระเจ้า ว่าอย่างไร? พระเจ้า คืออะไร เป็นใครล่ะ ? คน สัตว์ ดิน ฟ้า อากาศ ลม อวกาศ โลก พื้นดิน หรืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ? แต่..พระพุทธเจ้าเป็นคน ทางกายภาพก็เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ มีลมหายใจ ฯลฯ เหมือนคนปกติทั่วไป แต่..เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ฉลาดและเก่งที่สุดในโลก เหมือนดั่งอภิสวาจาที่เปล่งตอนประสูติว่า "เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้จะไม่มีการเกิดอีกแล้ว " และที่พระองค์ได้ชื่อว่า พระพุทธเจ้า ก็เพราะหมายถึง เจ้าแห่งผู้รู้ เจ้าแห่งความรู้ (รู้ในความจริงของธรรมชาติ หรืออริยสัจ 4 ) เพราะ พุทธ แปลว่า รู้  ดังนั้น พุทธ+เจ้า ก็แปลว่า เจ้าแห่งผู้รู้ คือรู้ความจริงนั่นเอง ฉะนั้น..ถ้า จขกท..บอกว่าพระพุทธเจ้าคือพระเจ้า  จขกท..ก็ต้องยอมรับซิว่า พระเจ้าของคุณเป็นมนุษย์หรือคน   ไม่ใช่เป็นอย่างอื่น จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 19:35:37

ความคิดเห็นที่ 22 ก็นั่นเป็นพระพุทธเจ้าตามความเห็นและทิฏฐิของจขกท. แต่ไม่ใช่ความหมายของพระพุทธเจ้าตามความหมายของพระพุทธศาสนาเถรวาท พระเจ้าในความเข้าใจของผมคืออะไร คงไม่มีความจำเป็นต้องตอบ เพราะผมเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ใช่มุสลิมหรือชาวศริสต์ที่นับถือในพระเจ้า แล้วจขกท.นับถือศาสนาใด ถ้านับถือพุทธ ก็ศึกษาพุทธให้เข้าใจถ่องแท้ ถ้านับถือคริสต์หรืออิสลาม ก็ศึกษาคำสอนให้เข้าใจจนเข้าถึงและศรัทธาในพระเจ้า เอาสักอย่างให้รู้ให้เข้าใจชัดเจน จะได้ไม่สับสนจนนำมาปะปนกันจนหาข้อสรุปไม่ได้ . จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 19:50:36

ความคิดเห็นที่ 23 1. จะว่าท่านเป็นพระเจ้าเฉพาะส่วนที่เนื่องด้วยพระธรรมคำสอนของพุทธก็ไม่ตรงนะครับ เพราะความจริงมั้นมีอยู่ก่อน ท่านค้นพบและสั่งสอน 2.ถ้าจะหมายเอานิพพานคือการเข้าถึงสภาวะพระเจ้าในแบบของพุทธ ก็ไม่ได้อีกเช่นกันครับ ถ้าเทียบได้ท่านคงเทียบให้เราศึกษาไปแล้ว ไม่มารอให้เราเทียบเคียงอยู่หรอก... 3. หรือถ้าท่านเป็นพระเจ้าตามข้อ 1. และ..หรือ..เอานิพพานตามข้อ 2. คือพระเจ้าจริงๆ แล้วไปเทียบกับพระเจ้าในศาสนาอื่นๆก็ยังไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีเหมือนหรือแม้แต่จะ จิตของผู้ที่ไปพระนิพพานได้ต้องสิ้นกิเลส แต่พระเจ้าของศาสนาอื่นๆ ยังมีการกระทำที่เกี่ยวเนื่องมุ่งหมายหวังผลเอากับโลก.. จึงไม่ตรงกันอยู่ดีครับ 4. ประเด็นสำคัญสุดคือ.. ต่อให้ใช่....มันก็ไม่ใช่เรื่องความพ้นทุกข์นะสิครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 19:54:55

ความคิดเห็นที่ 24 พระพุทธเจ้า คือ พระเจ้า ย่อ มาจาก พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ไม่แปลกอะไร จากคุณ : men of the day เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 20:18:55

ความคิดเห็นที่ 25 ในภาษาเหนือ บางครั้งก้เรียกพระพุทธเจ้าว่าพระเจ้า ซึ่งน่าจะมาจากทางภาษามากกว่าเช่น ถวายทานข้าวพระพุทธเจ้าเป็น ทานข้าวพระเจ้า พระพุทธเจ้าตรหลวง เป็น พระเจ้าตนหลวง จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 21:08:18

ความคิดเห็นที่ 26 อาจจะใช่ก็ได้ครับ เพราะในนี้ ยังไม่มีใคร ได้เคยไปพบพระเจ้าสักคน จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 21:15:28

ความคิดเห็นที่ 27 คห.16 คุณ Friday13th ใครมาสอนว่า พระเจ้าจะลงโทษให้ไปตกนรก คุณอย่าไปเชื่อเขาหลอกเด็ก พระเจ้า เป็นความรัก ความดี เป็นผู้ให้อภัย เป็นความชื่นชมยินดี สังเกตุว่า ทุกครั้งที่เราทำความดี เราจะมีความสุข ปิติ และความสุขนั้นก็คือสภาวะของพระเจ้า เป็นความสุขที่ไร้ตัวตน แต่ทุกจิตวิญญาณก็ปราถนา ที่จะไปให้ถึงสภาวะพระเจ้า เพื่อสุขเป็นนิรันด์   พระเจ้าให้โอกาสมนุษย์ทุกคน เดินทางมาเป็นพระเจ้าเหมือนพระองค์ ไม่ใช่บ่าว เพราะดินแดนของพระเจ้า ไม่ใช่สำหรับสาวกหรือบ่าวไพร่ แต่สำหรับพระเจ้า บ่าวต้องไปดินแดนบ่าว สาวกต้องไปดินแดนสาวก ในสภาวะของพระเจ้า เป็นความว่างเปล่า ไร้การงานใดๆ และพระเจ้า ก็ไม่มีหน้าที่มาลงโทษ หรือตัดสินโทษใคร ผิดหรือถูก หรือตั้งกฏกติกาบังคับใคร ไม่เคยเอาเงินทองทรัพสินมาให้ใคร หรือเสกใครร่ำรวย ไม่มีหน้าที่มาทำให้ภูเขาไฟระเบิด หรือเกิดสินามิ ฝนแล้ง น้ำท่วม วาตภัย เพราะพระองค์ ทรงอยู่เหนือสมบัติของโลกนี้ พระองค์ไม่ใช่ตุลาการหรือ ศาลหรือเพชรฆาต เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้เป็นความดี ว่างเปล่า ไร้การงานใดๆ ผู้ที่ยังทีการงาน เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ย่อมไม่ใช่พระเจ้า พระพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน ท่านได้ฝากปัจฉิมโอวาท ให้นับถือพระธรรมแทนตัวท่าน เพราะท่านรู้ว่า ท่านกำลังเข้าสู่ความเป็นพระเจ้าสูงสุด ในดินแดนอันไร้ขอบเขต ย่อมไม่สามารถกลับมาสั่งสอน ปลดทุกข์ปันสุขให้ใครได้ คงเหลือพระธรรมที่จะเป็นครู สอนให้มนุษย์เดินทางไปเป็นพระเจ้า ที่อยากเป็น และต้องเป็นกันทุกคน ส่วนจะช้า จะเร็ว ย่อมขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคน.. คห.17 เรียนสหายธรรม สายลมเหงาแห่งขุนเขา อย่าเพิ่งมีโทสะ ใจเย็นๆ โทสะเป็นความมืดมน เป็นตัวปิดบังสติปัญญา ช่วยกลับไปลากข้อความ ที่ผมอ้างว่าเป็นเถรวาทอะไรนั้น มาให้ดูหน่อยครับ พระพุทธองค์ทรงย้ำเตือนเรื่องสติปัฏฐาน 4 พุทธสาวก ต้องระวัง อย่าให้ตกหล่น คห.20 การตรัสรู้ค้นพบเส้นทางสู่ความเป็นพระเจ้า ด้วยพระองค์เอง หากเราได้ศึกษาแนวทาง ก็จะพบว่า เป็นแนวทางเรียนรู้ให้เข้าใจกฏของโลก (ไตรลักษ์) เมื่อเข้าใจ ก็หาวิธีที่จะละทิ้งทุกสิ่งในโลก เมื่อพบก็นำมาแบ่งปัน เผยแพร่ เพราะนั้นคือจุดสุดท้ายที่มนุษย์ต้องไปให้ถึง เพื่อเข้าสู่ความว่างเปล่า ความเป็นพระเจ้า คห.21 ขอให้อ่านคอมเม้นที่ผมลงให้แล้ว มีคำตอบที่คุณถาม ที่เหลือจะค่อยๆทะยอย ตามปัญญาอันน้อยนิดนะครับตอบนะครับ.. จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:03:29

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเชื่อว่า ท่านเจ้าของกระทู้ ได้ศึกษาแล้ว ในคำสอนของศาสนาพุทธ มาไม่น้อย และเชื่อว่า คุณ ได้เห็นความจริง ตามที่เป็นอยู่จริงบ้างแล้ว แต่ยังไม่ยอมทิ้งคำว่า พระเจ้าที่ติดด้วยศรัทธาอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ  เท่านั้นเอง จึงพยายามปรับความหมายให้ได้กับสิ่งที่สูงสุด ของพุทธศาสตร์ ให้หมายถึงพระเจ้าให้ได้ ผมคิดว่าคุณมีสิทธิ์ ที่จะคิดได้ แต่ถ้าคุณจะพูดว่า  พระเจ้าคือ สูญญตา เป็นความว่างเปล่า ความว่างเปล่า ย่อมประกาศคำสอนอะไร หรือบัญญัติอะไร หรือสร้างอะไร ออกมาไม่ได้ทั้งนั้น คำสอนที่มีอยู่ทั้งหมด นี้ จึงไม่ใช่คำสอนของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้สอนอะไรเลย เพราะเป็นสูญญตา คำสอนเหล่านี้ จึงแอบอ้างพระเจ้าทั้งนั้น  คุณกล้าพิสูจน์ไหมล่ะครับ ลองไปพูดกับคนที่เขานับถือพระเจ้าอย่างเคร่งครัดดู เช่นแถวตะวันออกกลาง แล้วดูว่าเขาจะยอมรับคำพูดของคุณ ได้ไหม แล้วอะไรจะเกิดขึ้น....จากการที่ได้ผ่านได้อ่านได้ดูในที่ต่าง ๆ มีความรู้สึกเหมือนว่า ผู้ที่นับถือพระเจ้า กำลังปรับตัว ปรับคำสอนใหม่ เช่น บางท่าน ก็ถือเอาว่า ธรรมชาติคือ พระเจ้า ก็มี แต่ท่านเหล่านั้น รู้หรือไม่ว่า  ธรรมชาติ โดยธรรม มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจิตใจ มันก็เป็นไปตามธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง บางที เกิดสิ่งดีจากธรรมชาติ  แต่บางทีธรรมชาติมันก็โหดร้าย เหลือเกิน เช่นภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว  ซึนามิ พายุทะเลทราย  เฮอริเคน ไต้ฝุ่น อุกาบาตตก โลกร้อน น้ำท่วมโลกและอีกมากมาย จะโทษมนุษย์ก็ไม่ได้ เพราะมนุษย์ ก็เป็นธรรมขาติอย่างหนึ่งเหมือนกัน ภัยธรรมชาติ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผู้เคารพบูชาพระเจ้าตายมากมายก่ายกองมาแล้ว แล้วก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป  ถ้าเขารู้ว่าพระเจ้า ที่เขาบูชาคือธรรมชาติที่เป็นภัยทำร้ายเขา เพราะมันเป็นธรรมดาตามธรรมชาติอย่างนั้นเอง บูชาไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วเขาจะบูชาอยู่หรือไม่...ในพุทธศาสนาของเราไม่มีคำว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง  ในพุทธศาสนาของเราสอนเรื่องกรรม กรรมใคร กรรมมัน กรรมทำให้เกิด ในพุทธศาสนาของเราสอนให้รู้จักเหตุ รู้จักผล เมื่อเหตุถึง ผลจึงเกิด เมื่อเหตุดับ ผลจึงดับ เป็นธรรมดา  ไม่มีอะไรวิเศษเกินไปกว่าธรรมดา... ถ้าข้อความนี้จะทำให้คุณต้องขัดข้องหมองใจก็ต้องขออภัย  ตอนนี้คุณได้เปลี่ยนความหมายของคำว่าพระเจ้าที่มีมาแต่ในอดีต ไปแล้ว ถ้าจะตัดเอาคำว่าพระเจ้าออกไป แล้วลองหาคำที่เหมาะสมใหม่ มาใส่แทน จะดีไหมครับ.... จากคุณ : นิ่งหนอ (นิ่งหนอ) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:34:21

ความคิดเห็นที่ 29 โทสะนั้นเรื่องหนึ่งขอให้ทดไว้ในใจครับสหายธรรม เข้าประเด็นของเรื่อง หากท่านถือว่าเป็นชาวพุทธเถรวาท ท่านต้องยกข้อเท็จจริงอย่างที่ผมว่าไว้ ด้วยความหวังดี แม่ใช่แค่ท่าน แต่กับเราทั้งหลายทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพระเจ้า ท่านต้องรู้ความต่าง และเคารพกันและกันในความต่างนั้น เราไม่มักง่ายมั่วนะครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 22:58:04

ความคิดเห็นที่ 30 คห.22 ผมไม่ทราบว่าความเห็นผมจะไปค้านกับศาสนาใด นิกายไหน แต่ถ้าเห็นเป็นมิฉาทิฐิข้อใด โปรดชี้แนะแสดงธรรมปัญญา โปรดอย่าขุ่นเคือง ในโลกมนุษย์ ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน และเราไม่สามารถบังคับให้เห็นเหมือนเราได้ แต่มีความเหมือนกันสิ่งเดียว คือต่างมุ่งสร้างความดี ทำตามศาสดาของตน เพื่อนำจิตวิญญาณตน สู่เส้นทางพระเจ้า และต่างเชื่อว่าศาสดาของตนได้ข้ามโลก ไปสู่ความเป็นพระเจ้า และหนทางที่ศาสดาจัดเตรียมไว้ ย่อมเป็นเส้นทางสู่พระเจ้า ขอบคุณที่ตักเตือนให้ศึกษาเพิ่มเติม เห็นด้วยครับ ความรู้เรียนกันไม่จบ การจะพบสิ่งใหม่ๆ ต้องเปิดใจให้กว้าง เป็นแก้วที่ว่าง เพื่อมีที่ว่าง สำหรับความรู้ใหม่ๆ คห.23 1.ถูกต้องครับ ทุกสิ่งในโลกนี้ เกิดมาก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนศาสดาทุกพระองค์ และโลกย่อมเกิดจากความว่าง  ที่เราเรียกว่าพระเจ้า เพราะฉนั้น ศาสดาทุกพระองค์ย่อมต้องเกิดทีหลังโลก จึงรู้จักโลก จึงรู้ถึงเส้นทางสู่พระเจ้า 2.ขอเรียนถาม สภาวะนิพพานในแบบพุทธ แตกต่างจากสภาวะพระเจ้าอย่างไร 3.พระเจ้าคือความดีสูงสุด ความไม่มีมลทิน ไม่มีภาระผูกพัน ไร้กิเลสตัณหา ไม่มีตัวตน       มีสภาวะเดียว คือความจริง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันด์ ทุกศาสนามีพระเจ้าที่มีสภวาวะเดียว       หากศาสนาไหนมีพระเจ้าที่ต่างจากนี้ ย่อมไม่ใช่พระเจ้า 4.ใช่พระพุทธเจ้าคือพระเจ้า ผู้ชี้แนวทางพ้นทุกข์ เพื่อไปถึงพระเจ้า       ไปถึงดินแดนสุขเกษม ว่างเปล่า สงบเงียบ อันเป็นนิรันด์ คห.28 ด้วยความเคารพ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา มิได้เจตนาจะเปลี่ยนแปลงอะไรของใคร   เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นความจริง ถึงการเข้ามาศึกษาธรรม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระเจ้าของมนุษย์   เพราะตราบใดที่เรายังเป็นพระเจ้าไม่ได้ เราจะไม่มีสิทธิเข้าถึงดินแดนของพระเจ้าได้ ใช่ครับพระเจ้าเป็นสูญญตา เป็นความว่างเปล่า สัมผัสแตะต้องไม่ได้  ส่งสอนใครไม่ได้ จึงต้องมีศาสดา สั่งสอนเส้นทางไปถึงพระเจ้า และแนวทางนั้นๆของศาสดา ศาสนานั้นๆ จะเป็นทางไปสู่พระเจ้าจริงหรือไม่ จำนวนศัทธาสาวก ย่อมเป็นเครื่องการันตี ว่าศาสนานี้ดีแน่ ตามแล้วมีสุขจริง ละชั่วทำความดีได้จริง สำนึกละอายต่อบาปจริง  ละ ลด เลิก ทิ้งโลก ไปสู่ความสุขนิรันด์จริง ไปถึงพระเจ้าจริง ส่วนจะติดต่อกับพระเจ้าอย่างไร รับแนวทางสู่พระเจ้าแบบไหน เป็นเรื่องส่วนตัวของศาสดาแต่ละองค์ เราไม่มีสิทธิไปชี้ว่ารับจริงไม่จริง และไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เพราะไม่ใช่ทางหนดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงมีปัจฉิมโอวาท ให้ยึดถือพระธรรมเป็นตัวแทน เพราะพระองค์ กำลังไปสู่ความเป็นพระเจ้า สภาวะนิพพาน ไร้ตัวตน ว่างเปล่า กลับมาสั่งสอนใครไม่ได้ เข้าสู่สภาวะดับจากการเกิดทั้งปวง คห.29 เรียน สหายธรรม ท่านสายลมแห่งขุนเขา ขออภัยหากล่วงเกินสิ่งใด เพียงเป็นเหตุให้ท่านเกิดโทสะเป็นทุกข์ ก็ถือเป็นโทษแก่ตัวเราแล้ว ด้วยความเคารพ ผมไม่เคยอ้างตนเป็นพุทธเถรวาทหรือมหานิกายหรือนิกายใดๆ ผมไม่เคยอ้างว่าผมเป็นสาวกศาสดาใดๆ เพราะไม่รู้จะอ้างเพื่ออะไร เพราะเรากำลังเดินมุ่งหน้าสู่ความเป็นพระเจ้า เพื่อสู่ดินแดนพระเจ้า เราไม่ได้มุ่งหน้าสู่ความเป็นพุทธ คริต อิสลาม ขงจื้อ เต้าพรามณ์ หรือยิว เราไม่จำเป็นต้องเดิน โดยการปิดตาข้างเดียว มีกี่ตาก็ดูให้ครบทุกตา เพราะพระเจ้าสร้างตาให้มาดูไม่ได้สร้างมาให้เราปิด ศาสนาพระศาสดาในโลกมีมากมายหลายองค์ มีพระธรรมมากมายให้หยิบอ่านศึกษา มีกิจกรรมมากมายที่นำไปสู่ความดี ไปสู่ความว่างเปล่า ความเป็นพระเจ้า สมควรหรือ ที่เราจะต้องเลือกข้าง เลือกอ่าน กลัวอ่านแล้วจะเป้ ศัทธาคลอนแคลน งั้นหรือ อ่านเถอะครับศึกษาปฏิบัติเถอะครับ ทุกศาสนา ทุกศาสดา ทรงนำเราไปถึงพระเจ้า ไปถึงความดี หลุดพ้น ไปถึงพระเจ้า ความสุขชั่วนิรันด์ เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันเลย แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 55 23:42:37 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 55 23:41:16

ความคิดเห็นที่ 31 ตามการตีความ จขกท. ก็ตามนั้น แล้วแต่จะเห็น แต่ถ้าถาม เอาข้อเท็จจริง ใครจะไปรู้ข้อเท็จจริงอันนั้น นอกจากตีความกันไป สภาวะของพระพุทธเจ้า อาจจะคือ สภาวะเดียวกันกับพระเจ้า หรืออาจจะไม่เหมือนกันเลยก็ได้ อย่างที่บอก คือใครจะไปรู้ได้ เพราะที่มานั่งตอบๆกัน ไม่มีใครเป็นทั้งพระพุทธเจ้า หรือ เป็นพระเจ้า สภาวะทั้ง 2 แบบ ในที่นี้ ไม่มีใครได้เป็นทั้งนั้น แบบดีหน่อย ก็เปิดตำรามากางว่ากันไป แบบแย่หน่อย ก็ตีความตามใจอยากให้เป็น ปัญหา คือ - ตีความแล้วได้สังคม ได้ประโยชน์หรือได้โทษ จากสิ่งที่ทำ - ตีความแล้วจขกท. ได้ประโยชน์หรือได้โทษ จากสิ่งที่ทำ 30 คคห.ที่ผ่านมา คงบอกได้ชัดนะ ว่าทำแล้วได้อะไรกลับมา จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 00:29:36

ความคิดเห็นที่ 32 ลิเกจ๋าเชียว ท่านเจ้าของกระทู้ :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 00:34:58

ความคิดเห็นที่ 33 ผมมีความเห็นแย้งกับคุณตาลโตนนะกับประโยคที่ว่า "พระพุทธคือพระเจ้า(GOD)" เพราะจากที่คุณตาลโขนเขียนมาว่า "พระเจ้าคือความดี ความสงบ ความสำเร็จ ความสุขชั่วนิรันด์ ที่มนุษย์ทุกคนอยากเดินไปถึง ความเป็นพระเจ้า(ความว่างไม่มีสิ้นสุด) หรือสูญตา นิพพาน" มันจะแปลได้ว่า พระเจ้า(GOD)คือนิพพาน (ถ้าผมแปลความหมายผิดก็ขออภัย) ซึ่งก็ได้ว่า พระพุทธคือความว่าง/นิพพานด้วย (อันนี้ลองพิจจารณาดูว่าใช่หรือเปล่า) ที่ผมได้เคยอ่านมายังไม่เคยเจอคำว่าพระพุทธคือนิพพานหรือคำที่ใกล้เคียงเลย มีแต่พระพุทธเจ้าทรงปริพพาน ซึ่งก็หมายถึงการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้า ทีนี้ผม เข้าใจว่าคุณตาลโตนมองว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงปริพพานไปแล้วก็จะอยู่ในสภาวะ สูญตา นิพพาน และเข้าใจว่าอยู่ในสภาวะเดียวกับพระเจ้า (GOD) ถ้าไปดูความหมาย สูญตา แปลว่า ความว่าง (ไม่สุข/ไม่ทุกข์, ไม่ดี/ไม่ชั่ว ....) นิพาน แปลว่า การดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล จากที่คุณโขนตาลเขียนมาว่า "พระเจ้าคือความดี ความสงบ ความสำเร็จ ความสุขชั่วนิรันด์..." ความหมายของสภาวะของพระเจ้า(GOD) ก็จะขัดแย้งกับความหมายของสูญตา นิพพานอีก ก็ลองพิจจารณาจากที่ความเห็นผมดูนะครับว่าประโยคตามหัวข้อกระทู้นี้ถูกต้องหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:16:28 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:12:11 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:10:52 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:09:22 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:07:36 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:06:50 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:03:57 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 01:02:07 จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 01:00:21

ความคิดเห็นที่ 34 คห.31 ความจริง คือความจริง ไม่ต้องตีความ พระพุทธเจ้า ทรงเข้าสู่สภาวะพระเจ้าแล้ว ผมกำลังรอเหตุผล ที่ต่างจากนี้   ทุกคนในที่นี้ มีสิทธิได้ไปถึง สภาวะนี้แน่นอน เพราะนั้นเป็นจุดสุดท้าย ในเส้นทางอันยาวไกลของมนุษย์ชาติ ชาติภพแห่งการเดินทางไม่สิ้นสุด เพื่อไปถึงความเป็นพระเจ้า เป็นอมตะนิรันด์ คุณลองถามใจคุณเองว่า คุณอยากเดินไปสู่จุดสูงสุดของความดีไหม อยากเดินไปสู่จุดสูงสุดของความสุขนิรัด์ไหม อยากไปสู่ความหลุดพ้นหรือไม่ ไม่มีใครปฏิเสธความดี หนทางหลุดพ้น ไปสู่ความเป็นพระเจ้า ไม่มีเลย เรื่องของธรรมที่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น เรียนรู้เพื่อไม่ได้อะไรเลย เพราะวิชาที่เรียนรู้ เพื่อได้ มีมากมายในโรงเรียนทางโลก พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้แทนตัวตน  ก่อนเสด็จขึ้นเป็นพระเจ้า ไม่มีเลยที่สั่งสอนให้หา เพื่อได้ เพื่อสะสม มีแต่จะสอนให้วางให้ทิ้ง เพราะมนุษย์เราหวังแต่จะได้มา จึงสวนทางกับเส้นทางของพระเจ้าที่สอนให้ทิ้งไป คห.33 ปรินิพพาน สูญญตา อนัตตา โลกุตะระ นั้นคือสภาวะไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต ไร้กิเลสตัณหา เป็นความดี เป็นความว่างไม่มีสิ้สุด นั้นคือสภาวะของพระเจ้า ไม่มีอะไรแตกต่าง และพระพุทธเจ้าทรงเข้าสู่สภาวะพระเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าคือพระเจ้า.. จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 01:41:40

ความคิดเห็นที่ 35 พระพุทธเจ้า กับ พระเจ้า ไม่เหมือนกัน สภาวะนิพพาน กับ สภาวะพระเจ้า ไม่เหมือนกัน   การคิดนอกกรอบ กับ การคิดนอกคอก ไม่เหมือนกัน ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็เป็นอย่างนี้ น่าเสียดาย จากคุณ : มุมม่วง เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 02:49:14

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าจะเปรียบเทียบพอเป็นภาษาโลก  ให้พอสื่อสารเข้าใจได้ ผมว่าท่านเป็นครูของพระเจ้า จะพอเข้าใจได้ดีกว่า แต่นั่นหละ จะไปอธิบายให้คนอื่นฟัง เขาอาจจะไม่รื่นหูเท่าไหร่ ป.ล. ผมไม่ได้นับถือศาสนาใด จากคุณ : lekton เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 09:48:18

ความคิดเห็นที่ 37 คริสต์มือใหม่ ไฟแรงพรึ่บพรั้บนี่เอง แหมเนียนมาแต่ไกลเชียวนะพ่อหนุ่ม :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 09:49:57

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าไปคิดตามตัวอักษร มันก็แบบเด็กๆ......ไม่ต้องใช้สมอง     คิดแบบองค์รวมหรือบูรณาการมันก็คล้ายกัน ถ้าแยกแยะทุกกระเบียดนิ้วน่ะ ไม่มีอะไรในโลกที่เหมือนกันหมดหรอก คิดแบบสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ดีกว่า    ตัวอย่างเช่น ท่านพุทธทาส ตั้งชื่อตัวเองว่า พุทธทาส คนยังว่าดีเลย ทั้งๆที่ พระพุทธเจ้าไม่เคยต้องการให้ใครมาเป็นทาส และก็ไม่มีใครสงสัยว่า ตั้งชื่อแบบนั้นมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า.....พระพุทธเจ้าหนีออกจากวังเข้าสู่ป่า มาเป็นนักบวชที่ขอข้าวเขากิน จากวังสู่ป่าก็เป็นการทำลายระบบทาสแล้ว ท่านพุทธทาสเอามาตั้งชื่อเฉยเลยและคนก็ให้ความนิยมเสียด้วย จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 10:01:58

ความคิดเห็นที่ 39 ที่คุณเขียนว่า "ปรินิพพาน สูญญตา อนัตตา โลกุตะระ นั้นคือสภาวะไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต ไร้กิเลสตัณหา เป็นความดี เป็นความว่างไม่มีสิ้สุด..." ที่ผมทราบมาความว่างเปล่าคือความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งความดี ความชั่ว, ความทุกข์,ความสุข ขอบเขต,ขนาด ฯลฯ เผื่อผมจะพลาดไป ปรินิพพาน สูญญตา อนัตตา โลกุตะระ เป็นความดีด้วยหรือ? ไม่ทราบว่าคุณพอจะอธิบายที่มาที่ไปของตรรกะนี้ได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 10:03:38

ความคิดเห็นที่ 40 ต้อง"รู้"ก่อนนะครับ ว่า "พระเจ้า" มีมาก่อน "พุทธองค์" "พุทธองค์" เห็น "พระเจ้า" เป็นเพียง "กฏ" และไม่สถาปนาตนเอง "เหนือกฏ"  เพียงแต่ "ค้นพบสูตรที่ทำให้หลุดจากกฏ" ฉะนั้นหัวใจของพุทธ จะ "ไม่เชิดชูพระเจ้า" จะ "ไม่เทียบพุทธองค์เป็นพระเจ้า" แต่ก็จะไม่ถือดี อวดตนว่า เหนือกว่ากฏ เก่งกว่ากฏ ประเสริฐกว่ากฏ สุดโต่งทางซ้าย คือ เคารพบูชากฏ สุดโต่งทางขวา คือ ประเสริฐกว่ากฏ ทางสายกลาง อยู่ระหว่าง 2 ข้อ คือ สิ่งที่พุทธระบุในคัมภีร์   จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 10:10:09

ความคิดเห็นที่ 41 ยินดีและขอบคุณในความเห็นของทุกท่าน รวมทั้งผู้ที่ใช้พื้นฐานความคิดในการคาดคะเน ในการหาความผิด ในการตัดสินพิพากษาว่า คนคิดอย่างนี้ต้องเป็นคนอย่างนั้น ดังใจเรา ขอถามปัญหาสนุกๆสักหนึ่งเรื่อง "ใครคือหมอคนนั้น" มีพ่อกับลูกชายตัวเล็ก ขับไปรถไปทำธุระข้างนอก ปรากฎว่ารถเกิดอุบัติเหตุ ชนกับรถบรรทุก ลูกโดนอัดติดรถ พ่อบาดเจ็บเล็กน้อย อพปร.หลายคัน รีบเดินทางมาช่วยนำผู้ประสพอุบัติเหตุส่ง รพ. ลูกชายอาการหนักติดอยู่ในรถ ต้องหาเครื่องมาถ่างตัดรถ อพปร.คันหนึ่ง จึงรีบพาพ่อที่บาดเจ็บ ส่งรพ.ก่อน หลังจากงัดเอาผู้เป็นลูกออกมาได้ อพปร.อีกคันกลับนำไปส่งอีกรพ.คนละแห่งกับพ่อ เมื่อตัวเด็กถึงห้องไอซียู ต้องรีบเข้าห้องผ่าตัด เอาเลือดคลั่งในสมองออก หมอได้เข้ามาดูอาการ แต่หมอคนนี้ กลับขอให้โรงพยาบาล หาหมอคนอื่น มาทำการผ่าตัดแทนตน เพราะตนไม่สามารถผ่าตัดให้ลูกตนเองได้ ขอถามว่า หมอคนที่ปฏิเสธการผ่าตัด เขาคือใคร? เชิญครับ ชี้แจงได้เต็มที่ ผิดถูกไม่มีใครว่ากะไรดอก ของด ดูถูก กร้าวร้าว ส่อเสียด อารมณ์เสีย ชวนทะเลาะ เยาะเย้ย ขู่อาฆาต.. จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 11:31:24

ความคิดเห็นที่ 42 ด้วยความเคารพผมงงกับคำถามจริงๆ คุณตาลโตนพอยกตัวอย่างคำตอบของคุณมาให้ดู นิดนึงได้หรือเปล่า เข้าใจว่าเป็นการแสดงความเห็นเท่านั้นไม่ได้มีผิดถูกอะไร แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 12:08:41 จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 12:01:58

ความคิดเห็นที่ 43 ความคิดเห็นที่ 35 คุณมุมม่วง พระพุทธเจ้า กับ พระเจ้า ไม่เหมือนกัน สภาวะนิพพาน กับ สภาวะพระเจ้า ไม่เหมือนกัน   การคิดนอกกรอบ กับ การคิดนอกคอก ไม่เหมือนกัน ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็เป็นอย่างนี้ น่าเสียดาย.. ..................................................................................... 1.ไม่เหมือนกันที่ภาษาเขียน แต่เป็นสภาวะเดียวกัน ขออธิบายความแตกต่าง 2.นิพพานกับพระเจ้า แตกต่างตรงไหน ขออธิบายความแตกต่าง 3.นอกกรอกกับนอกคอก ต่างกันตรงไหน ขออธิบายความแตกต่าง การติดกระดุมผิดเกิดจากสองกรณี 1.เด็กเพิ่งหัดใส่เสื้อผ้าเอง 2.ผู้ใหญ่ไร้สติ ด้วยความเคารพ หากคุณไม่อยู่ในสองประเภทนี้ 3 ข้อคงมีคำตอบ คห.36 พระเจ้าเป็นสภาวะสูงสุด เป็นสวาวะว่างเปล่า ไม่มีครูไม่มีศิษย์ครับ คห.39 เรียนคุณvrod  สภาวะของพระเจ้า นิพพาน คือสภาวว่างเปล่า จนไม่มีที่ว่างพอ ที่จะวางสิ่งใดได้ ขอให้ศึกษาเรื่อง สภาวะนิพพานกับพระเจ้า คือสถาวะเดียวกัน คำถามคือ หมอคนปฎิเสธการผ่าตัด เขาคือใครครับ อย่าซีเรียสนะครับ ปัญหาเชาว์สนุกๆ คห.40 Zim-MorLuth ต้อง"รู้"ก่อนนะครับ ว่า "พระเจ้า" มีมาก่อน "พุทธองค์" "พุทธองค์" เห็น "พระเจ้า" เป็นเพียง "กฏ" ...................................................................... ด้วยความเคารพ พุทธองค์ทรงตรัสกับใครที่ไหน ว่าพระเจ้าเป็น กฏ คงหมายถึง กฏไตรลักษณ์ นั้นคือกฏของโลก ไม่ใช่พระเจ้า สภาวะพระเจ้า ท่านอยู่เหนือโลก เหนือวัตถุ เป็นนิพพาน เป็นโลกุตะระครับ เชิญนะครับตรงไหนไม่เคลีย ย้ำคำถามได้...ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 12:06:12 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 12:03:15

ความคิดเห็นที่ 44 เรียนคุณตาลโตน ถ้าสภาวะของพระเจ้าคือความว่างเปล่าแล้ว ก็หมายความว่าพระเจ้าไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวตน ไม่มีความสามารถใดใด ไม่มีจุดประสงค์ และความว่างเปล่าก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งใดใดได้ มันเป็นอย่างนั้นหรือครับ? แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 12:17:43 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 12:16:41 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 12:15:55 จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 12:10:58

ความคิดเห็นที่ 45 กฏปฏิจสมุปบาท ไงครับ กฏที่สร้างสังสารวัฏ ลืมหรือครับ? จากแต่เดิม ศาสนาพราหมณ์อธิบายที่มาของ "จักรภพ" ด้วย "สภาวะผู้สร้าง" ถ้าพุทธองค์ไม่ได้ เห็น พระเจ้าเป็นกฏ แล้ว "กฏปฎิจสมุปบาท" ออกมาจากศาสนาไหนครับ? ช่วยเพิ่มความรู้ให้ผมที ------------ เมื่อพุทธองค์เพิ่มความรู้ลงในโลก การแตกแขนงทางความคิดเชิงจิตวิญญาณทางศัพท์จึงมากขึ้น นิยามคำว่า "พระเจ้า" แบบแปลกๆ ก็อยู่ใน "อวิชชา=ความไม่รู้แต่มั่นใจมาก" ในกฏปฏิจสมุปบาท จะว่าไปเติมเนื้อหาให้ศาสนาพระเจ้าเขา เขาก็ไม่รับครับ จะมาเติมทางพุทธ พุทธยักแย่ยักยัน เพราะทางพุทธก็เห็นอยู่ว่า อะไรเป็นอะไร จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 12:27:41

ความคิดเห็นที่ 46 เรียนคุณ vrod เข้าใจถูกต้องครับ สภาวะพระเจ้า นิพพาน ความว่างเปล่า ไม่มีสุขทุกข์ กิเลสตัณหา ดับ เป็นสัญญาลักษณ์แห่งความดี และเป็นจุดหมายสูงสุด ที่มนุษย์ทุกคน ต้องไปให้ถึง ซึ่ง พระเจ้า นิพพาน ความว่างไร้ขอบเขต เรียนคุณZim-MorLuth คอมเม้นและคำตอบเดิมคห.40 Zim-MorLuth ต้อง"รู้"ก่อนนะครับ ว่า "พระเจ้า" มีมาก่อน "พุทธองค์" "พุทธองค์" เห็น "พระเจ้า" เป็นเพียง "กฏ" ...................................................................... ด้วยความเคารพ พุทธองค์ทรงตรัสกับใครที่ไหน ว่าพระเจ้าเป็น กฏ คงหมายถึง กฏไตรลักษณ์ นั้นคือกฏของโลก ไม่ใช่พระเจ้า สภาวะพระเจ้า ท่านอยู่เหนือโลก เหนือวัตถุ เป็นนิพพาน เป็นโลกุตะระครับ ..................................................................... ปฏิจสมุปบาท หากได้ตั้งใจศึกษาให้เข้าใจท่องแท้ ต้องมีสติมั่นจึงเข้าใจ กฏปฏิจสมุปบา ไม่ใช่พระเจ้า เป็นการขยายความต่อจากกฏไตรลักษณ์ ลึกลงไปเพื่อแสดงถึงกฏของการเกิด เป็นคำตอบว่า สรรพสัตว์เกิดขึ้นจากอะไรอย่างไร คงสภาพอย่างไร ดับไปอย่างไรแล้วเกิดขึ้นใหม่เพราะอะไร อย่างไร มีผลอย่างไร เมื่อรู้ผลแล้ว ว่าการเกิดมันเป็นเรื่องทำให้เกิดทุกข์ มีสิ่งจึงทำให้เกิดสิ่งนั้น ตามกันเป็นวัฏจักร ก็ให้ใช้กฏอริยสัจสี่เข้ามาหนุนเนื่องแก้ไข ออกมาเป็นพระธรรมคำสอน ให้มนุษย์รู้ถึงความจริง รู้ถึงบ่วงบาตที่คล้องคอเรา ให้ติดยึดโลก หยุดสร้างเวรกรรม หยุดกิเลสตัณหาทิ้งสมบัติบ้า หยุดสร้างบัญชีเวรกรรมต่อกัน แล้วเดินทางสู่เส้นทางของพระเจ้า ผู้อยู่เหนือโลกเหนือทุกข์สุขทั้งปวง เข้าดินแดนนิพพาน ดินแดนสวรรค์ ที่ว่างเปล่าไร้กรอบไร้ขอบเขต เป็นนิรันด์ ................................................. ไตรลักณ์ ปฏิจสมุปบาท อริยสัจสี่ อันนี้เป็นสูตรยาคุมกำเนิดสรรพสัตว์ หยุดเกิด ทุกอย่างหยุดหมด สูตรของพระพุทธเจ้า ใครได้สูตรนี้ไป เอาไปศีกษา ปฏิบัตทดลองทดสอบ จนเข้าใจแจ่มแจ้ง มักไม่ได้เกิด นอกจากยังติดค้างมากมาย อีกฝ่ายไม่อโหสิ ก็ต้องลงมาแก้กันต่อ นี่เป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า ครั้นยังทรงพระชนน์อยู่ ทรงประกาศพระธรรม สู่ผู้คนมากมาย ก่อนเสด็จดับขันธ์5 ปรินิพพาน สู่สถานะที่เหนือกว่าพระพุทธเจ้าผู้มีตัวตนสังขาร ทรงสภาวะของพระเจ้าที่ไร้ตัวตน ว่างเปล่า ไม่ตื่นไม่เบิกบาน ไม่ทุกข์ไม่สุข ไร้การงานทั้งปวง แต่ชาวพุทธก็ยังเรียกท่านว่าพระพุทธเจ้า,พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำนามเรียกคนสัตว์สิ่งของ มีตัวตน ยังไม่ว่าง ยังมีการงาน ยังอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ แต่พระพุทธเจ้าท่านเลยคำนี้ไปแล้ว แต่ปัจจุบันท่านไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีการงานอีกแล้ว ทำไมยังเรียกตำแหน่งเดิม ท่านไปถึงพระเจ้าแล้ว สิ่งสูงสุด เพราะพระเจ้าเป็นความว่างเปล่า ไร้กาลเวลา ไร้ขอบเขต ถึงแดนนิพพาน แดนของพระเจ้าสำหรับพระเจ้าเท่านั้น เราไปเรียนวิธีไปเป็นพระเจ้ากันเถอะ.. แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 14:03:47 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 14:01:36 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 13:53:18

ความคิดเห็นที่ 47 อ้อ....มีคำตอบในใจแล้วนี่เอง แล้วถามความเห็นต่างทำไมละครับ ในเมื่อยอมรับไม่ได้ จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 15:05:12

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าคุณตาลแจ้งว่าไม่ได้เป็นนิกายเถรวาทหรืออื่นใดๆ ก็ขอให้แจ้งอย่างที่ว่าไว้ อันนี้ดีแล้ว แต่ขอให้ท่านแสดงให้ชัดเจนอีกว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล สรุป ท่านตาลโตนมีความเห็นด้วย 1. ไม่ได้อ้างจากหลักฐานทางนิกายใดๆ 2. ต้องกล่าวให้ชัดเจนว่า เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล 3. ท่านต้องยอมรับว่า สิ่งที่หัวกระทู้จ่าหน้าไว้นั่น ไม่ชัดเจนตามข้อ 1 และ 2 เรื่องโทสะของเราไม่ว่าจะฝ่ายไหน ทดไว้ในใจก่อนนะขอรับ มาดูที่ข้อเท็จจริงก่อน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 15:12:23

ความคิดเห็นที่ 49 สูตร 3 ข้อที่ว่า ต้องแยกนะครับ ทั้งหมดไม่ใช่สูตรคุมกำเนิด แต่เป็นหลักการศึกษา ทีละขั้นทีละตอน   -กฏไตรลักษณ์ เป็นสภาวะที่แม้แต่ "พระเจ้า" ในศาสนาพราหมณ์ยัง หนีกฏข้อนี้ไม่ได้ -กฏปฏิจสมุปบาท เป็นสภาวะตามลำดับของจิต ในการศึกษาให้เห็นจริง อย่างละเอียด ในมุมหนึ่ง ปฏิจสมุปบาท อธิบายกระแสวัฏจักรจักรภพ  ในอีกมุมหนึ่ง ปฏิจสมุปบาท อธิบายอำนาจแห่งจิตทั้งมวล ในลักษณะพลังงาน "กระแสวัฏจักรจักรภพ + พลังงานทั้งมวลที่เป็นระบบ/ไม่เป็นระบบ" ศาสนาอื่น เรียก "พระเจ้า" ครับ "การหลุดออกจากพระเจ้า" พุทธเรียก "นิพพาน"  หลุดออกจากพระเจ้า จะไปเป็นพระเจ้า ให้วุ่นวายระบบ อีกทำไมครับ? (จริงๆ เขาก็มีชื่อ เรียกนี่ครับ จาก "พระเจ้า" ไปสู่ "พระนิพพาน") แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 16:36:23 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 16:35:17

ความคิดเห็นที่ 50 กระทู้จินตนาการไร้สาระ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 22:57:41

ความคิดเห็นที่ 51 เรียนสหายธรรม สายลมเหงาแห่งขุนเขา ขอชมนามท่าน ช่างสันโดษวิเวกนัก เข้าใจถึงความห่วงใย ในใจของท่าน จะกระทบสัมพันธ์ สหายธรรมต่างศาสนิก ขอถามกลับ ตั้งแต่ต้นกระทู้ถึงบรรทัดนี้ มีคำใดที่เราแสดงตนว่าผมเป็นศาสนาอะไร ไม่มีสักประโยค แต่อาจมองว่าผมมายกย่องพระพุทธเจ้า ให้สูงขึ้นเป็นพระเจ้า นายนี่ก็ต้องเป็นคนพุทธ แต่ถ้าผมมาต้ังกระทู้ พระพุทธเจ้าเป็นแค่ครูหรือหลวงตาธรรมดา ท่านก็ต้องฟันธงทันที มาไม้นี้ไม่คริตสก็อิสลาม ผมจึงเตือนเสมอ พระพุทธเจ้าเตือนให้เราฝึกสติ ให้เป็นมหาสติ จะทำให้เรารอบคอบ ไตร่ตรอง ใคร่ควร พิจารณาตามความเป็นจริง อย่าเอาความรู้และความรู้สึกของเรา ไปตัดสินทันที เพราะยังมีองค์ความรู้มากมาย ที่เรายังต้องเรียนรู้ อย่างที่เคยบอกไว้ด้านบน การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้นจนสิ้นใจ เราต้องอย่าทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว เพราะมันจะไม่มีที่ว่างพอ สำหรับความรู้ใหม่ๆ การอ่านหนังสือหรือสัญญาใดๆ ต้องอ่านให้เข้าใจ ไม่เข้าใจตรงไหนต้องรีบไต่ถามผู้รู้ อย่าอ่านลวกๆ ค้นหาแต่จุดอ่อนช่องว่าง เพื่อหาทางโจมตีจี้คืน ไม่ได้ความรู้แถมยังเป็นทุกข์ใจ ลองปล่อยวางลงครึ่งตัว เปิดใจให้กว้างทำตัวให้เล็ก หายใจให้ลึก นั่งตัวตรง ดำรงสติให้มั่น ตามลมหายใจ ยาวก็รู้ สั้นก็รู้ อะไรมากระทบ รู้แล้วก็เฉยไว้ ฝึกบ่อยๆ อันนี้เป็นวิชาใจเย็น เพิ่มพลังปัญญา ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก่อนเสด็จสู่พระเจ้า ตกลงนิทานไม่มีคนตอบ หลายคนปรื้ดเลย หมอคนนั้นต้องเป็นพ่อ แต่เอ พ่อเด็กอยู่อีกโรงพยาบาล บาดเจ็บจะมาผ่าตัดลูกได้ไง ใช่ไหม บ้างคนคิดมากไปกว่านั้นอีก สงสัยพ่อเด็กตายแล้วเป็นวิญญานมาหรือเปล่า ขอเฉลยครับ คำตอบคือแม่เด็กเป็นหมอครับ เพราะจิตคิดแคบ คำตอบจึงแคบไปด้วย ต้องไปเรียนวิชาใจเย็น เรื่องศาสนา ถ้าผมจะตอบว่า ผมศาสนายิว และมาบอก ให้เข้าใจสถาวะแท้จริงของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง ปัจจุบันพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วไปกระเทือนศาสนาใคร เพราะพระเจ้าหรือนิพพาน เป็นสภาวะที่นับไม่ได้ เป็นความว่างเปล่าอนันต์ แบ่งแยกไม่ได้ ใครเป็นเจ้าของไม่ได้ ไม่มีตัวตน ไม่มียี่ห้อ ภาษา แล้วจะกลัวอะไรละครับ พอเข้าใจนะครับสหายธรรม คุยกันได้ปัญญา ปัจเจกชน คนกันเอง ........................................................................................ เรียนคุณZim-MorLuth -กฏไตรลักษณ์ เป็นสภาวะที่แม้แต่ "พระเจ้า" ในศาสนาพราหมณ์ยัง หนีกฏข้อนี้ไม่ได้ พระเจ้าในศาสนาพรามณ์ไม่ใช่พระเจ้า เพราะยังมีตัวตน มีกิจกรรม มียศศักดิ์ ตำแหน่ง หน้าที่ ย่อมอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ พระเจ้า พระนิพพาน เป็นความว่าง ไม่มีการงานใดๆ -กฏปฏิจสมุปบาท เป็นสภาวะตามลำดับของจิต ในการศึกษาให้เห็นจริง อย่างละเอียด เข้าใจถูกต้องครับ กฏปฎิจสมุปบาท เป็นพระธรรมแสดงถึงการเกิด ไม่ใช่พระเจ้า "กระแสวัฏจักรจักรภพ + พลังงานทั้งมวลที่เป็นระบบ/ไม่เป็นระบบ" ศาสนาอื่น เรียก "พระเจ้า" ครับ ....................................................................... ตอบ ศาสนาอะไรหรือครับ ช่วยฝากเรียนด้วยว่า พระเจ้า พระนิพพาน เป็นความว่างที่สุด จนไม่มีที่ให้วางสิ่งใด ไม่ว่าจะพลังงานพลังจักรภพ สิ่งเหล่านี้ เป็นโลกีย์ เป็นโลก เป็นทางตรงข้ามเส้นขนาน ที่ไม่สามารถพบกันได้ พระเจ้าคือความว่าง นิพพานคือความว่าง ไม่มีช่องว่าง ไม่มีรูให้เข้าหรือออก ไม่มีสูงต่ำกว้างยาวขั้นบันไดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเลย เป็นความว่างจริงๆ พระเจ้ากับนิพพานคือสิ่งเดียวกัน ความว่าง เอาละ คงจะได้การบ้านไปคิดกัน "พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์ไปสู่พระเจ้าแล้ว" ไม่หลอกให้เชื่อ แต่ขอให้ใช้ปัญญา ศึกษา ปฏิบัตให้เข้าใจ กำไรตกอยู่กับตัวเอง เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับ คนไร้สาระครับ คุณaliklalee แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:20:27 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:18:00 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 23:11:31

ความคิดเห็นที่ 52 ครับสุดท้ายก็ว่างเปล่า....ไม่มีอะไรในกอไผ่...ไม่มีรูให้เข้า-ออกเสียด้วย เรื่องไร้สาระของคนไร้สาระ...ผมเชื่อครับ คุณ ตาลโตน จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 00:02:08

ความคิดเห็นที่ 53 ลองดูใน youtube ครับ  "พระเจ้าในพราหมณ์" กลายเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับศาสนาสมัยใหม่ไปเรียบร้อยแล้วครับ Dr. Zakir Naik เขายืนยันกันตามหลักศาสนาว่า พระเจ้าไม่มีตัวตน ไม่มีตำแหน่ง ฯลฯ เหมือนท่านตาลโตน ว่าไว้เป๊ะเลย เผลอๆ จำกัดความได้เหนือกว่าท่านตานโตลเสียอีก  แต่อย่างไรก็ตามนิยามพระเจ้า ทางพุทธ ก็ยังเป็นเพียงกฏ ที่สามารถไปต่อได้ครับ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจว่า พระเจ้ามี 3 แบบ พระเจ้าแบบที่ 1 คือ ผู้สร้างตามหลักศาสนาชั้นนำของโลก พระเจ้าแบบที่ 2 คือ พระเจ้าตามแต่ในจินตนาการ อยากให้เป็นเฉพาะตน  เช่น "เป็นความว่างที่สุดก็ได้" แบบท่านตานโตลเรียนศัพท์อะไรมา ก็เอามาใส่เรียกตามใจ พระเจ้าแบบที่ 3 คือ กฏธรรมชาติแบบพุทธ มีที่มา-ที่ไป ตามเหตุ-ปัจจัย สรุป คือ พระเจ้าของท่านตาลโตน อยากไปนิพพานแบบพุทธหรือครับ?  แต่ก่อนพระเจ้าของผม ก็คิดว่า ว่างแล้วได้ไปนิพพานเลย ให้ว่างมาหลายปี ยังไม่เห็นแสงนิพพานส่องลงมา ดูดไปขึ้นยานเลย ผมเลยมาศึกษาเพิ่มเติม ถึงเข้าใจว่า "พระเจ้า กับ พระนิพพาน" อาศัยอยู่คนละที่กันครับ แต่ผมมั่นใจว่า พระเจ้าของทุกคน สามารถไปสู่พระนิพพานได้ อาจต้องใช้เวลาซักหน่อย --------------------------- แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 03:02:13 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 00:13:30

ความคิดเห็นที่ 54 อ้างลอยๆรึปล่าวครับ Dr.Zakir naik ยืนยันไว้ที่ไหนครับ? แปลมั่วเองรึปล่าว? อ้างอิงหน่อยดีไหมครับ? นิพพานเป็นสถานะ ว่าง เปล่า อย่าเอามารวมกับพระเจ้าต่อเลยครับ มัน ไร้สาระจริงๆ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 00:19:53

ความคิดเห็นที่ 55 ประเดี๋ยวก็รู้ สหาย มาเตือนด้วยความหวังดี ท่านกล่าวถึงศาสนาพุทธอย่างโน้นอย่างนี้ ท่านกล่าวถึงศาสนาพระเจ้าอย่างโน้นอย่างนี้ ท่านไม่อ้างอิงข้อเท็จจริง(ตามคัมภีร์ในแต่ละศาสนา) ไม่ชัดเจน ผมเข้ามาชี้ให้ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะศาสนาไหน ได้ทราบจากคำกล่าวของ ท่านตาลโตนเอง ว่าท่านไม่ได้ศึกษาและเผยแผ่ความรู้ความเข้าใจตามหลักพุทธศาสนาเถรวาท ผมก็จบภารกิจแล้วล่ะครับ ส่วนที่เหลือ ประเดี๋ยวก็รู้ ================================================= การไม่เคารพในข้อเท็จจริงในคัมภีร์ คือไม่เคารพต่อคำสอนของศาสดา แล้วจะเอามาเทียบเพื่อความวุ่นวายไปทำไม จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 07:36:57

ความคิดเห็นที่ 56 รออยู่นะครับ พวกอ้างลอยๆนี่เหมือนกันหมด เจอถามจี้แล้วเงียบ....ก่อนไหลไปเรื่องอื่น จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:18:20

ความคิดเห็นที่ 57 ถูกต้อง พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ที่เป็นทั้งพระ เป็นทั้งเจ้า เสียงเขาว่ากันพรรณนั้น จากคุณ : บ้าได้ถ้วย เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:34:15

ความคิดเห็นที่ 58 ท่านสายลมแห่งขุนเขา มีน้ำโหเสียแล้ว (ผมผิดด้วยใช่มั้ยครับ ที่ไปต่อปากต่อคำ) - -" ผมว่า เขาก็ยังดีที่ไม่อ้างเนื้อหาในคัมภีร์ ให้บานปลายไปใหญ่โต (แบบคนอีกพวกนึง) เขาอ้างความเข้าใจเขา คนเรามีสิทธิ์จะคิด (หรือเปล่า?) จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:07:23

ความคิดเห็นที่ 59 รอบหน้าท่านตานโตล ใส่หน้ากระทู้ไว้ด้วยนะครับ [ศาสนาอิสระตามใจฉัน] เผื่อจะได้เพื่อนใหม่มา mix&match ศัพท์ ศาสนาต่างๆ ปรุงแต่งกันเองได้อิสระ ฝั่งเนื้อหาแท้ๆอิงคัมภีร์ เขาจะได้ไม่ก่อหวอด กระทบกระทั่งกัน จากคุณ : ผมเปล่าให้ท้ายนะ (Zim-MorLuth-) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:10:29

ความคิดเห็นที่ 60 ที่ว่าประเดี๋ยวก็รู้ ผมก็ไม่ว่ากระไรต่อละครับ จะขอแค่นั่งดูความโกลาหล อยู่ข้างๆ เชียร์ฝ่ายที่หยิบข้อเท็จจริง มาตั้ง จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:58:16

ความคิดเห็นที่ 61 วิถีทางที่เราจะทำให้ความขัดแย้ง วิวาทะระหว่างศาสนา ยุติลงได้ ผมเห็นว่า 1. ควรอย่างยิ่งที่จะต้องคงคำสอนตามคัมภีร์เอาไว้(ยกข้อเท็จจริงขึ้นตามตรงทุกคำ ไม่บิด ไปเปลี่ยนแปลเพิ่มเติม) ของแต่ละศาสนา 2. ควรอย่างยิ่งที่จะต้องแยก ความเห็นส่วนตน ออกจากข้อเท็จจริง 3. ควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีภาษาต้นฉบับเอาไว้ ออกจากการแปลเมื่อมีการแปลจากภาษาเดิมไปสู่ีอีกภาษาหนึ่ง 4. ควรอย่างยิ่งที่จะไม่เปรียบเทียบกับศาสนาอื่นในเรื่องของ คำ ซึ่งอาจเป็นคำๆเดียวกันแต่คนละนัยยะ ความหมาย การใช้ 5. ควรอย่างยิ่งที่จะพยายามอ้างอิงตัวบทหลักของศาสนาก่อน บทเสริม และควรอย่างยิ่งที่จะต้องไม่ตัดส่วนใดส่วนหนึ่งสรุปทั้งหมด ซึ่งในคัมภีร์ของแต่ละศษสนาจะมีบทเฉพาะกาล เฉพาะบุคคลที่ไม่สามารถสรุปเป็นตัวชี้ทั้งหมดได้ ( local  และ Gobal ) ในการพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้การพิจารณาอย่างยิ่งยวด ควาขัดแย้งส่วนใหญ่มาจากการไม่พิจารณาในจุดนี้ ซึ่งหยาบและเหมารวม บางสิ่งควรพิจารณาหยาบ เพราะหยาบ บางอย่างควรพิจารณาอย่างละเอียดเพราะละเอียด ปัญหามักเกิดจากการพิจารณาและทำของหยาบในสิ่งละเอียด และพิจารณา ทำ ละเอียดในสิ่งที่หยาบ 6. ควรอย่างยิ่งที่จะไม่เปรียบเทียบศักดิ์ ว่านี้ดีกว่าโน้น โน้นดีกว่าไหนให้เกิดความบาดหมางคลางใจกัน 7. ควรพยายามเข้าถึงจุดร่วมในฐานะที่เป็นศาสนายกระดับจิตใจผู้คนทั้งโลก แต่ไม่ขัดต่อ 6 ข้อข้างต้น 8. ควรพยายามเลี่ยงพูดถึงจุดต่างเนื่องจาก มีฐานทิฐิที่ต่างกัน ผมเห็นดังนี้นะครับทุกท่าน แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 13:07:02 จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 13:05:32

ความคิดเห็นที่ 62 ^ ตั้งเป็นกระทู้สิครับ แชร์ความเห็นกัน แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 13:46:47 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 13:46:35

ความคิดเห็นที่ 63 ติดใจที่คุณlaliklalee โพสต์ย้ำมาหลายคอมเม้น ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ดีใจครับ ที่เข้าถึงธรรม คุณพูดความจริง ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ยึดถืออะไรเป็นสาระไม่ได้ มันเป็น อนิจจัง มันเป็นของมันอย่างนั้น .................................................................................... คุณZim "พระเจ้าในพราหมณ์" กลายเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับศาสนาสมัยใหม่ไปเรียบร้อยแล้วครับ.Dr. Zakir Naik ตอบ.อันนี้ไม่ทราบ และไม่ขออภิปาย เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะพระเจ้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า จึงมีภาพพระเจ้าในใจตามแบบที่ตนเองเห็นชอบ ซึ่งเป็นสิทธิที่ใครจะละเมิดมิได้ พระเจ้าจึงเป็นในสิ่ง ที่เขาอยากให้เป็น เช่น พระเจ้าคือผู้สร้างโลก พระเจ้าคือผู้ดูแลทุกข์สุข พระเจ้าคือผู้วิเศษ ที่จะประทานทุกสิ่งให้เราได้ เงินทอง ความร่ำรวย คลาดแคล้ว ล้างบาปกรรม แม้ทางรอดจากนรก พระเจ้าก็ประทานให้ได้ มนุษย์จึงพยายมยึดถือ กอดไว้ รัดไว้ แบกไว้ หวงแหน ปกป้อง เดือนร้อน เป็นทุกข์ เพราะเป็นสิ่งลำค่า ประเมินราคาไม่ได้ เหยียบย้ำมิได้ หากรู้สึกว่า มีใครมาทำให้พระเจ้าผิดไปจากที่ตนกำหนดตามข้างต้น ก็จะโกรธเอาเป็นเอาตาย เพื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา พระเจ้าของศาสนาอื่นผิดหมด ใครไม่มาทางเรา ตกนรกหมด ต้องศาสนานี้ ศาสดานั้น ของจริงของแท้พิสูจน์ได้ จึงกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาท โกรธเคืองแบ่งพวกแบ่งฝ่าย ฆ่ากันตายมากมายจนถึงทุกวันนี้ ทำเพื่อปกป้องพระเจ้า ผู้เป็นความว่างที่สุด แนวทางของพระเจ้า ของทุกศาสนาในโลกที่ผ่านศาสดา ที่พวกเราเคารพ ต่างชี้นำพาให้เราทิ้งตัวตน สมบัติลงเพื่อไปเป็นพระเจ้า ได้เข้าสภาวะการดับ เพราะที่หมายสุดท้าย ไม่มีที่ว่าง ที่จะวางสิ่งใดๆได้ ไม่มีอะไรเลย โดยส่วนตัว ไม่เคยขีดกรอบเรื่องศาสนาให้ตนเอง เรื่องทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่ต้องค้นหา ตามปัญญาตน เราถูกพ่อแม่ สังคม ขีดเส้นสร้างกรอบให้เรามากมายในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แม้แต่บัตรประชาชชน ยังต้องระบุ ตอนทำบัตร ผมบอกเสมียนอำเภอว่า ไม่ต้องระบุศาสนาได้ไหม หรือ ลงให้ผมทุกศาสนาที่คุณรู้จักได้ไหม เขาบอกไม่ได้ ผิดกติกาหรือกรอบของสังคม ตามศาสนาพ่อแม่ไปแล้วกัน แล้วทำไมเราต้องบังคับใจให้อยู่ในกรอบ อยู่ในคอก ที่คนอื่นขีดให้เรา เรามาคนเดียว ตายคนเดียว ไม่มีใครตายพร้อมเรา ไม่มีใครช่วยให้เราหลุดพ้นได้ เป็นสุขได้ นอกจากตัวเราเอง ใจเราเอง ผมจึงเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่จะหาคำตอบให้ตัวเอง และมันก็เป็นสิทธิส่วนตัวมิใช่หรือ กาลิเลโอมีความเชื่อว่าโลกกลม เพราะมีกล้องโทรทัศน์และสติปัญญา จึงกล้าประกาศออกมาทวนกระแสส่วนใหญ่ ผลคือโดนข้อหาพ่อมด มีโทษคือจับมัดเสาเอาฟืนใส่เผาให้ตาย ใครเห็นต่างบาทหลวง ไม่ได้ ถามว่าเราเคารพศาสดาทุกองค์ไหม ตอบว่าเราเคารพทุกองค์ เพราะทุกองค์มีปัญญา ที่ซ่อนไว้ในพระธรรมคัมภีร์ เป็นปัญญา ที่ทำให้เราถึงความสว่าง ใจสูงขึ้น มองได้ไกลขึ้น ถามว่าแล้วยึดศาสนาไหน ตอบได้ว่านับถือทุกศาสนา ผมมีความผิดไหม เพราะถ้าผมยอมลงกรอบ ประกาศว่าผมเป็น พุทธ คริตส อิสลาม แต่ไม่ได้สนใจศึกษาธรรมให้ลึกซึ้ง ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้เส้นทาง ทำไมต้องเกิด ทำไมต้องตาย ตายแล้วไปไหน ทุกข์แล้วแก้อย่างไร พระเจ้าคือใคร หรืออาจศึกษาผิวเปลือก ครูพักรักจำเขามา โดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรอง ประกาศตนเป็นผู้รู้ของศาสนานั้นๆ เพื่อหวังเครดิตความน่าเชื่อถือ แล้วชี้นำสังคมไปในทางผิด ประพฤติตนชั่ว แอบมั่วสีกา เอาเงินถวายไปเล่นการเมือง หาเศษหาเลยกับเงินบริจาคสุเหร่า นั้นย่อมเป็นตัวบ่อนทำลายศาสนา ที่ตนแอบอ้างอวดรู้ ให้เสียหายเสื่อมศัทธา ผมจึงบอกว่า พระเจ้าพระนิพพาน เป็นความดี เป็นความสงบ เป็นสุขที่สุด เป็นความว่างเปล่าที่เป็นนิรันด์ นับไม่ได้ ยึดครองไม่ได้ เป็นของคนใดคนหนึ่งไม่ได้ พระเจ้าไม่ใช่สมบัติสิ่งของ จึงไม่มีเจ้าของ ส่วนพระเจ้าที่มีเจ้าของ ย่อมไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าเป็นเพียงสถานะ ที่ทุกคนอยากเป็นไปถึง และถ้ามนุษย์ทุกศาสนาเข้าใจพร้อมกัน หยุดการยึดถือเป็นเจ้าของพระเจ้า ก็ไม่ต้องมาทะเลาะอวดสูงต่ำผิดถูก ไม่ต้องสงสัยครางแครงใจกันอีกต่อไป มุ่งหน้าเดินทางสู่จุดหมายที่ตนเห็นดีเห็นชอบ ไม่ต้องเป็นเหยื่อให้ใคร ไม่ต้องมากราบขอให้ช่วยอะไร เพราะพระเจ้าพระนิพพาน เป็นความว่างที่สุด ไม่มีอะไรจะให้หรือช่วยใคร พระเจ้าไม่ใช่อิฐดินทรายปูนเหล็กแก้วพลาสติคเรซิน ส่วนการที่ใครจะปั้นรูปปั้นคนสัตว์สิ่งของ แล้วเรียกสิ่งนั้นว่า พระเจ้า พระพรม พระเทพพระศาสดาอะไรก็แล้วแต่จะตั้ง แล้วกราบไหว้บูชา อ้อนวอนขอให้ตนได้ประพฤติดี ไม่เบียดเบียน คิดร้ายผู้อื่น เป็นที่ยึดมั่นทางใจโดยอาศัยดวงตา ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่มีความผิดอะไร การการทำดี คือเส้นทางไปถึงพระเจ้า ปัญญาต่างๆที่ได้มา ก็อาศัยพระธรรมและการปฏิบัติ จากความรู้ ของเหล่าศาสดาที่ผมเคารพ ทุกพระองค์ สิ่งใดดีไม่เคยปฏิเสธหรือเลือกข้าง มุมมองเรื่องศาสนา จึงเป็นมุมสงบ ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มุ่งหวัง ให้ใครเข้าศาสนาอะไร เป็นคนไม่มีกรอบ แล้วจะไปตีขอบให้ใครได้ เอาละครับ ก็คงเข้าใจชัดแจ้งแล้ว ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น ไม่เพียงได้ปัญญาไร้สาระกับผู้ตอบ ยังแผ่ไปถึงผู้รู้ที่เข้ามาอ่าน หากมีใครยังไม่เคลียข้อใด ยินดีขอคำชี้แนะด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 13:57:01 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 13:50:34

ความคิดเห็นที่ 64 หลักการดีครับ รบกวน"แคร์ความรู้สึก" คนที่เขาปกป้องคัมภีร์ซักนิดจะได้มั้ยครับ เพียงแค่ แปะหน้ากระทู้ว่า [สายสุญญตา] #59 เพราะบางท่านบางคน เขายังต้องใช้คัมภีร์นำ ศึกษาแบบไม่ผิดเพี้ยนในภาษาอย่างละเอียด ถ้าเล่นกันแนว "สุญญตา" หมด เดี๋ยวจะโกลาหลกันซะเปล่าๆ ใจเขาใจเรา ความสูงส่งในจิตใจในทุกศาสนา คือต้องคิดเผื่อคนอื่นที่ยังคิดไม่ถึงด้วย ไม่ใช่หรือครับ? เพียงแค่ "แคร์ความรู้สึกคนอื่น" พระเจ้าของท่านตานโตน ก็เข้าใกล้พระนิพพานไปอีกขั้นด้วยนะครับ ------------ ต้องขอโทษครับท่านตานโตน เรื่อง [ศาสนาอิสระตามใจฉัน] เปลี่ยนเป็น [สายสุญญตา] แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 15:18:05 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 14:07:02

ความคิดเห็นที่ 65 คุณzim คุณปกป้องคัมภีร์อะไร ไหนช่วยไขให้กระจ่าง อยากรู้ว่าคนที่ชอบชี้นำ ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ยังเพิ่มความไม่เข้าใจ ใช้คัมภีร์อะไรกัน อย่าหลงผิดคิดว่าคนอื่นต้องคิดเหมือนเรา เป็นความคิดของเราคนเดียว หากใครหลงว่าคนอื่นต้องคิดเหมือนเรา เลิกอ่านเถอะคัมภีร์ไรนั้น สูญตา นิพพาน พระเจ้า เป็นเรื่องที่น่าสนใจไตร่ตรอง ความสูงส่งทางศาสนา ต้องนำความจริงมาบอกมาพูด อย่าเอาศาสนาเป็นเครื่องล่อเพื่อประโยชน์ส่วนตน การคิดเผื่อผู้อื่น ต้องเผื่อเรื่องความจริง อย่าเอาความเท็จไปให้เพื่อทำให้เขาถูกใจ เพราะเมื่อวันใด เขารู้ความจริง เราจะกลายเป็นหนึ่ง ในคณะโน็ตเชิญยิ้ม คัมภีร์มีไว้อ่านศึกษา ไม่ใช่มีไว้เพื่อเก็บรักษาปกป้อง ทองแท้ตกในโคลนตม ก็ยังคงเป็นทอง สิ่งคุณน่าปกป้อง คือความจริง ไม่ใช้คัมภีร์หรือศาสนาใดๆ เพราะเป็นสิ่งบริสุทธิ เกินให้มนุษย์ไปปกป้อง ยิ่งเข้าไปยึดถือปกป้อง รังแต่จะเป็นช่องหาประโยชน์ พระพุทเจ้าเสด็จไปถึงพระเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นเพียงนามเรียกขาน หลังตรัสรู้ ขณะพระองค์ยังทรงพระชนน์ชีพ หลังจากเข้าสู่ปรินิพพาน ท่านทรงไปถึงพระเจ้าสูงสุดแล้ว.. แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 14:35:05 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 14:24:19

ความคิดเห็นที่ 66 ย้อนไปอ่านท่าน สายลมเหงาแห่งขุนเขา บ้างสิครับ ย้อนไปอ่าน คห.หลายท่าน ที่เขาทวง"การใช้ศัพท์" ไม่ตรงความหมาย คุณไม่เห็นเลย? คำว่า "พระเจ้า" คุณแปลตามใจตัวเอง (ไม่แคร์จิตใจศาสนาผู้สร้างเขาเลย) คำว่า "นิพพาน" คุณไม่สนใจ ความหมายตามคัมภีร์เลย ไม่ใช่ความหมายตามคัมภีร์ ต้องเชื่อครับ แต่มันมีแนวปฏิบัติ เพื่อถึงความหมายนั้นอยู่ การรักษาความหมายตามคัมภีร์ คือ การรักษาแนวปฏิบัติด้วย ----------- ที่ถามผมว่า "พระเจ้า คือ กฏ" เอามาจากไหน?? เอามาจากเว็บปรมาจารย์ด้านสุญญตา(มั้ง) (จริงๆไม่ต้องสุญญตา ชาวพุทธก็แปล เป็นกฏกันอยู่แล้ว) จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 14:57:48

ความคิดเห็นที่ 67 สำหรับชาวพุทธ พระเจ้า คือ กฏ จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 15:01:42

ความคิดเห็นที่ 68 คิดไปคิดมา ผมว่าแนวสุญญตาก็ดีเหมือนกัน เชิญต่อเถอะครับ (ถึงผมจะรู้สึกว่า พระเจ้าของท่านตานโตน ออกแนวตัวGuของGu ต่างกับไกลวัลยธรรมของสายสุญญตาเขา) อย่างน้อยก็ "แคร์คนอื่น" บ้างครับ สายสุญญตาไม่ไช่ จุดศูนย์กลางในระบบสุริยจักรวาล อย่าให้คนอื่นต้องมาหมุนรอบตัวคุณเลย โลกวุ่นวายมามากเพราะคนคิดแบบนี้ละครับ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 15:11:10 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 15:09:31

ความคิดเห็นที่ 69 ถ้าคัมภีร์ ไม่ปกป้อง   กาลเวลาผ่าน สัทธรรามปฏิรูป จะเอาอะไรไปศึกษา ถ้าอย่างนั้น ไปอ่านขายหัวเราะก็ได้ครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 16:39:20

ความคิดเห็นที่ 70 คห. 63 คุณตาลโตน จะถือว่า " ตอบ.อันนี้ไม่ทราบ และไม่ขออภิปาย เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา" เป็นคำตอบในทรรศนะคุณแล้วกันนะครับ แต่ผมถามคุณ Zim-MorLuth- ที่แอบอ้างใน คห.53 แล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าตัวน่ะครับ คนอื่นคงตอบแทนกันไม่ได้ รออ่านนะครับ รับผิดชอบด้วย จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 19:07:27

ความคิดเห็นที่ 71 โอ่โอปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขาทะเลกว้างไกล จะไปไหน ปักษ์ใต้บ้านเรา เห็นคุณZim นิมนต์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เพชรน้ำเอกแห่งพุทธศาสนา ผู้มีปริศนาธรรมในธรรมชาติ การจะศีกษา เล่าเรียนกับพระเดชพระคุณ หลวงพ่อ ต้องศึกษาตั้งแต่บรรทัดแรก ถึงบรรทัดสุดท้าย การสดับเพียง1ประโยค1วรรค แล้วนำไปใช้ มักไม่ได้ผล ธรรมของหลวงพ่อพุทธทาส เป็นธรรมทั้งเปลือก สดจากธรรมชาติ ใครไม่รู้ผลีผลามกินทั้งเปลือก ระวังจะติดคอ ชักตาตั้ง แต่หากใครมีปัญญา ปอกเปลือกเป็น ก็จะพบเนื้อในแท้ทองนพคุณ นั้นคือที่มาของฉายา เพชรน้ำเอกแห่งพุทธศาสนา ผู้มีปริศนาธรรมในหัวใจ ต้องกราบอโหสิกรรม ต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อและสานุศิษย์หลวงพ่อ ที่กระทู้นี้ เป็นเหตุให้มีคนเอาธรรมของท่านมาใช้สะเปะสะปะ ทั้งที่ท่านมรณภาพ ก็คงหมดคนเป็น ที่จะมาสนทนาธรรมกับข้าพเจ้าแล้ว ขอปิดกระทู้ครับ ส่วนคุณzim คงต้องไปเคลียกับคุณlaliklalee เอง แต่น่าจะไม่มีปัญหา เพราะคุณlaliklalee คงคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นอย่างนั้นใช่ไหมครับ คุณlaliklalee หุหุ.สวัสดี แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 22:53:25 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 22:53:07

ความคิดเห็นที่ 72 เรื่องโกหกใส่กันอย่างไร้ความรับผิดชอบ คงเป็นเรื่องมีสาระเรื่องเดียวในกระทู้ ที่ยอมกันไม่ได้เท่านั้นเองครับ แต่หากยืนกรานจะไม่รับผิดชอบจริงๆก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็คงได้เห็นกันแล้ว และระมัดระวังกันมากขึ้น สวัสดีครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 23:08:02