ความคิดเห็นที่ 1 คิดว่าน่าจะเป็นกระแสจักระครับ เป็นแนวคิดของอินเดีย การนั่งสมาธิแบบพุทธก็ได้อิทธิพลจากแนวคิดจักระ จักระเป็นกระแสพลังผ่านจุดจักระแนวกลางลำตัวคือ สะดือ หน้าอก ศีรษะ น่าจะประมาณนั้นครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 23:16:22

ความคิดเห็นที่ 2 อาการแบบนั้น  คือ จิตได้รวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ(ฌาน)ขั้นใดขั้นหนึ่ง   จึงเกิดความรู้พิเศษต่างๆขึ้นมาในใจ  แต่เนื่องจากไม่ชำนาญ  จึงเสื่ิอมหายไปไว ...แสดงว่าคนคนนี้มีบุญวาสนาเก่ามามาก  จึงทำสมาธิได้เห็นผลลึก ง่าย แบบที่เล่ามานั้น ... นั่นไม่ใช่อาการของความบ้า  อย่าไปเข้าใจผิดว่าเป็นบ้า  นั่นแหละคืออาการที่ดีมากๆ ที่ผู้ฝึกสมาธิทั้งหลายต้องการเจอกัน ก็ไม่เป็นไร...เมื่อมันเสื่อมไปก็ควรหาทางฝึกขึ้นมาใหม่  เมื่อมันเสื่อมอีกก็ฝึกอีก  จนชำนาญ  ต่อไปสามารถเอามาใช้ได้ตามต้องการ  เช่น  ต้องการรู้ว่าใครคิดอะไรก็รู้ได้    ต้องการรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับใครในอนาคตก็รู้ได้   ต้องการดลบันดาลใจให้ใครทำอะไรตามที่เราต้องการก็ทำได้ โดยคนที่ถูกบันดาลใจจะไม่รู้ตัวว่าถูกใครบังคับ แต่นึกว่าตนเองคิดอยากทำเอง(ที่แท้โดนคนอื่นกำหนดจิตให้เขาทำแบบนั้น) ...และจะมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีกมากมาย  ...เอามาฝึกใช้เล่นๆ  อย่ากระโต๊กระต๊ากไปบอกใคร  ทำตัวเฉยๆ เงียบๆ แกล้งโง่ไว้  อย่าให้ใครรู้  ไม่งั้นถ้ามีตัวอยากโอ้อวด อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นคนดัง  แทรกมานิดเดียวตอนที่เอ่ยปากบอกคนอื่นๆ   ต่อไปอาการพิเศษนั้นจะเสื่อมหายไปทันที  แล้วเอาคืนกลับมายากๆๆมากๆๆ หรือไม่อาจจะทำคืนได้อีก ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 01:07:43

ความคิดเห็นที่ 3 ก็แค่มีมารมาผจญ ให้คิดว่าตนเองนั้นสำเร็จไปถึงไหนต่อไหน จนลืมเป้าหมายที่แท้จริงในการทำสมาธิครับ ควรจะฝึกสมาธิต่อไปโดยไม่สนใจในสิ่งนี้จนพบหนทางสงบสุขที่แท้จริงนะครับ ^^ จากคุณ : Mr.Tow เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 01:26:41

ความคิดเห็นที่ 4 เพื่อนบอกว่าถ้าเราทำได้เท่านี้แล้วหลวงปู่หลวงตาแต่ละรูปจะขนาดไหน ถ้าธรรมมะมีจริง ไสยศาสตร์ก็ต้องมีจริงแน่นอน จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย ตอนนี้ไม่กล้าถอดพระออกจากคอเลย..... แก้ไข ลบบางข้อความออก แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 13:36:39 จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 06:44:32

ความคิดเห็นที่ 5 เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เพื่อนไปนั่งสมาธิที่วัดมา นั่งเอง ไม่ได้มีใครสอน แล้วมีกระแสไหลออกมาตรงกลางหน้าอกอยู่ประมาณ ๑อาทิตย์ ^^^^ เพื่อน ผู้นั้น  ท่านจขกท  รู้สึกว่า แก่งกว่า "พระพุทธเจ้า  ผู้สามารถใน อริยสัมมาสมาธิ"  หรือ ? ********************************************************** (๒) อาการแบบนั้น  คือ จิตได้รวมลงเป็นอัปปนาสมาธิ(ฌาน)ขั้นใดขั้นหนึ่ง   ^^^ ผู้นั้น  เป็น ปุถุชน ผู้ไม่รู้ชัด เรื่อง จิตประภัสสร  ที่เข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕  ที่เป็นดุจ แขกผู้มาเยือน จึง สามารถ ข่ม อุปกิเลส  ได้ อัปปนาสมาธิ  เกิดนิมิต เช่นนั้น หรือว่า ผู้นั้น คือ อริยสาวกของพระบรมศาสดา "พระองค์นี้"--- ผู้มีการสดับ ตามที่ตรัสฯ   รู้ชัดว่า จิตประภัสสร (สมัยปุถุชน บัดนี้) พ้นวิเศษจาก อุปกิเลส ฯ  คือเหตุ เกิดผล คือ ได้ สัมมาสมาธิคือ อัปปนาสมาธิ คือ รูปฌานที่ ๑ ๒ ๓ ๔ (ตามลำดับ แห่งความเป็น อริยสาวก) ? ********************************************************* แต่เพื่อนบอกตื่นเต้นมาก ความศรัทธาในศาสนาเพิ่มขึ้นมาก ทำเอง เห็นผลเองจริงๆ ^^^^ ศรัทธาใน พุทธศาสนา ---- "ศรัทธา" แบบไหน? ศรัทธาในพุทธศาสนาคือ  ศรัทธาในคำสอนของ พระพุทธเจ้า  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา จึงมี พุทธศาสนาในถิ่นนี้ ฯ  ใช่หรือไม่? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 07:15:11

ความคิดเห็นที่ 6 คิดเหมือนความเห็น 1 เพราะเคยอ่านหนังสือทางพุทธจักราศี ของคุณจันทร์พ้นเมฆ แต่ยังไม่กล้าฟันธงเหมือนกัน ลองไปหาอ่านดูนะคะ http://www.facebook.com/#!/buddhology จากคุณ : Transformation (TRANSFORMATION) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 07:51:59

ความคิดเห็นที่ 7 อย่าไปสนใจ เป็น โลกิญะผล ทั้งนั้น มุ่งเอาปัญญา แสวงหาความหลุดพ้นเถอะ จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 08:40:52

ความคิดเห็นที่ 8 คนไม่เคยก็แบบนี้ละครับจะหลงคิดในสมาธิอยากได้โน่นอยากได้นี่แล้วก็หลงไปยึดติดกับมัน สมาถะเป็นอุปสรรคของวิปัสนา หากบุญบารมีส่งเสริมเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาก็จะละทิ้งของเล่นพวกนี้หมดละครับ ผมเองก็เป็นทำได้ถึง3ชนิดแต่ผมไม่เอาไม่อยากมีไม่อยากได้มันมาเองและผมก็ไม่เคยนำสิ่งที่ผมมีไปใช้เลยสักครั้งเดียว จากคุณ : chick_alive เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:07:34

ความคิดเห็นที่ 9 จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)   ศรัทธา คือ หาหนังสือธรรมมะมาอ่านมากขึ้น อยากอ่านพระไตรปิฎกให้จบในชาตินี้ ไม่เคยเชื่อเรื่องบุญบาป เวียนว่ายตายเกิด ก็เปลี่ยนความคิด จากคนที่ไม่เคยทำบุญตักบาตรถวายสังฆทาน หรือไม่ก็ทำทำไปตามประเพณี ก็กลับมาทำเป็นประจำ ใจเย็นขึ้น รักครอบครัวมากขึ้น ทำห้องพระที่บ้าน จุดธูปเทียน จัดดอกไม้บูชาพระสวดมนต์ทุกวัน บอกว่าเริ่มเข้าใจแล้วว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร คือโดยรวมแล้วดีขึ้นมาก เปลี่ยนเป็นคนละคนจากเมื่อก่อนเลย จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:19:18

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณคุณยองเชียงใหม่ กับคุณtransformation. มากนะคะ จะไปหามาอ่านดู จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:24:48

ความคิดเห็นที่ 11 ขอต่อจากคุณโขตาน เพื่อนคุณได้ค้นพบว่า ตัวเองมีของเก่า จิตมีกำลังขึ้นมา เลยลองใช้ ซึ่งเขาก็รู้ขึ้นมาเอง และลองเอง เป็นสัญชาตญาณตามปกติ  เป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งที่เพื่อนยังไม่รู้คือ 1) สิ่งที่รู้นั้น แรกๆ มันตรง เพราะกิเลสยังไม่ทัน คือมันเกิดเฉพาะหน้า แต่พอเราเริ่มรู้ว่าเรามีของเก่าแล้ว กิเลสตามทัน คราวนี้จะไม่ตรง จะบิดได้เรื่อยๆ  ยิ่งรู้ว่ามีอำนาจจิต ตามธรรมดามันจะเกิดมานะอัตตาขึ้นมา เกิดกิเลสขึ้นมา  ถ้าปัญญาไม่พอ เขาจะเอาตรงนี้มาดึงให้หลง เสียเวลาออกไปได้  ถ้าปัญญาพอ ก็แค่สนุกไม่กี่วันก็เลิก 2) สิ่งที่ทำให้คนอื่นเราต้องเสียบางอย่างไปด้วย ถ้าบุญบารมีของตัวพอ ก็โอเค ถ้าไม่พอ ต่อไปก็รู้เองว่าไม่ฟรี   ต่อไปจะรู้ว่า ทำอะไรแล้ว จะมีผลกระทบตามมาถึงเราด้วย ก็จะเข็ดเอง ไม่ไปซี้ซั้วให้พรใคร 3) ถ้าเป็นพวกทางไกล คือพวกพุทธภูมิ  เขาก็จะพัฒนาทักษะต่อไปได้ มันจะมีหนทางไปเอง กลายเป็นผู้ที่ใช้วิชชาล้วนๆ กลายเป็นหมอดูอะไรไปก็มี แล้วก็ตายไป เกิดใหม่เรียนรู้สะสมไปเรื่อยๆ  ประเภทไม่ได้ฝึก แต่มีอุปกรณ์ให้ใช้ซะงั้น ก็มีเทพมีองค์อะไรไปตามเรื่อง พวกนี้ก็มีมากนะในปัจจุบัน แต่ถ้าพวกสาวกภูมิ คือมุ่งนิพพาน  เขาก็จะทิ้งเอง แล้วก็หันมาเอา โลกุตระธรรม คนนี้มีฌาน ทำฌานมาในอดีต  อยากฝึกต่อก็ไปหาครูอาจารย์ได้  ขอให้เป็นพระที่เราไว้ใจได้ หลายๆ วัดที่มีชื่อเสียง เพื่อนๆ แนะนำบ่อยๆ จะไปทางสายวัดป่าก็ได้ เอาท่านที่มีสมถะหน่อย คือไปฝึกจริงๆ กับครูอาจารย์ แล้วท่านจะสอนเราเอง   บางคนไปฝึกอาจารย์ให้ทิ้งไม่ยอมทิ้งก็มี บางคนไปฝึกแล้ว กลับเชื่อครูอาจารย์ทิ้งหมดเลย ก็มี อันนี้เราไม่มีทางรู้ก่อน ต้องไปลองฝึกลองเรียนกับครูอาจารย์ดูก่อน หรือจะไปวัดที่เราไปบ่อยก็ได้ www.visudhidham.com สรุป ยังไม่ได้มีครูอาจารย์ ก็ไปหาครูอาจารย์เสียค่ะ  หาแล้วฝึกต่อ ไม่ว่าจะไปแนวใด ก็จะได้ชื่อว่าไม่สูญเปล่าไปชาตินึงค่า จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:25:24

ความคิดเห็นที่ 12 2) สิ่งที่ทำให้คนอื่นเราต้องเสียบางอย่างไปด้วย ถ้าบุญบารมีของตัวพอ ก็โอเค ถ้าไม่พอ ต่อไปก็รู้เองว่าไม่ฟรี   ต่อไปจะรู้ว่า ทำอะไรแล้ว จะมีผลกระทบตามมาถึงเราด้วย ก็จะเข็ดเอง ไม่ไปซี้ซั้วให้พรใคร ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:44:17

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ อันนี้เห็นด้วยนะคะ พระอ.เราตอนที่ท่านสอนวิปัสนา ท่านพยายามช่วยศิษย์ที่มากรรมฐาน ไปเปิดกรรมให้เค้า (เราก็ไม่ทราบว่าทำอย่างไร) แต่ปรากฏว่า คนๆๆนี้ความอดทนไม่พอ เลิกปฏิบัติเสียกลางคัน ทำเอาท่านอาพาธเลยค่ะ ขนาดครูบาอาจารย์ ท่านยังมีผลกระทบเพียงนี้ เราเลยไม่ค่อยเชื่อหมอต่างๆ ที่บอกว่าเปิดกรรมได้เลย อะไรจะทำได้ทุกๆๆวัน เก่งจัง จากคุณ : I know who am i เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:15:30

ความคิดเห็นที่ 14 I know who am i   คือว่า พวกหมอดูนี่ ที่มีของเก่ามาจริงๆ ก็มีเยอะนะ  แต่จะแม่นระยะนึง ต่อมาจะดัง และมีลาภสักการะเข้ามา ก็เหมือนพระแหละ เหมือนกัน ชีก็เหมือนกัน คือถ้าเขาแม่น แล้วสามารถสร้างสมดุลได้ ก็แม่นต่อไป  ลาภสักการะมา ไม่หลง คือสร้างสมดุลระหว่างการรับและให้ได้   คือยังทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ก็จะแม่นต่อไป แต่สังเกตไหม วงจรจะ แม่น - ดัง- ลาภสักการะ- รวย- เสื่อม - หันไปออกแนวเทพๆ แทน ตอนเขาเสื่อม เราจะไม่รู้ แต่จะเห็นได้ว่า เขาจะหันเหไปทำอย่างอื่น เช่นเป็นพิธีกร ฯลฯ คือเขาดังแล้ว เอาความดังมาใช้ทำมาหากินต่อ (อันนี้คือเขาฉลาด) แต่ถ้าเขายังดูต่อ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่แม่น  ดูก็ผิด -- คนก็เสื่อมความนิยมไปเอง รั่วออกอากาศ แล้วก็จะมีผลกับชีวิตเขาเอง อย่างที่เห็นๆ   พวกนี้ก็เหมือนนักมวย ถึงเวลาต้องแขวนนวมนะ เป็นแชมป์ได้สั้นๆ แล้วก็ต้องหาทางลงดีๆ  คือโอกาสจะโกง หลอกลวงมันไม่นานหรอก แล้วก็วิบากมันหนักมาก หมอดูจำนวนมากเป็นพุทธภูมินะ คือว่าต้องมีการหลงทางไปอีกเป็นแสนๆ ชาติอ่ะ กว่าจะตรงทาง (คือเขาต้องเรียนรู้อีกมากน่ะ ไม่ได้มุ่งนิพพานไง)   คือถ้าคุณมีคุณวิเศษ แล้วบรรลุธรรม  ก็เลิกสนใจคุณวิเศษ เลิกเป็นหมอดูหลอกลวงคนแน่นอน.. 555  หมายถึงถ้าเป็นหมอดู ก็ไม่หลอกลวงคนแล้ว เพราะบรรลุธรรมจริงๆ ทีนี้พวกที่เปิดกรรมได้ทุกวันมีไหม มีจริงนะ แต่เขาต้องทำเพื่อประโยชน์คนอื่นไม่ใช่ประโยชน์ตัวเอง กลไกที่มารองรับคือ ผลวิบากที่ต้องรับแทน ซึ่งถ้ามากๆ เข้าก็ต้องหยุดเอง  ทำต่อไม่ไหว เช่นความเจ็บป่วย  พวกหมอดูจึงต้องมีการเก็บเงิน แล้วเอาเงินไปทำบุญ ไม่งั้นเขาจะป่วยหนักและตายง่ายๆ   พวกนี้จะต้องมีการบอกบุญเป็นฐาน เน้นวิหารทาน สร้างพระอะไรก็ว่าไป (พวกนี้ทานช่วยได้ เบาลงได้ แต่พระนี่ ใช้ทานไม่ได้ ต้องใช้ศีล สมาธิ ปัญญา) ก็เขียนมาหวังว่าจะเห็นกลไกมากขึ้นนะคะ คุณ January Friend  กรณีเพื่อนคุณหรือคุณ ถ้าต้องการป้องกัน ความหลง จะเรียนรู้อย่างไรให้ปลอดภัย นอกจากหาครูอาจารย์แล้ว ตัวชี้วัดสำคัญคือ "ศีล" ค่ะ ให้มีศีลและดูละเอียดขนาดกุศลกรรมบถเลย ศีลจะคุ้มครองคุณได้ค่ะ  ถ้าสวดมนต์ทุกวัน ถือไตรสรณคมณ์ เราจะปลอดภัยจากมิจฉาทิฐิทั้งหลาย จะหลงไปก็ไม่นาน  เขามีคาถากำกับการเรียนรู้ คือ "ศีล และธรรม นั่นเองค่ะ" จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 12:04:22

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 12:57:00

ความคิดเห็นที่ 17 ^^^ ขอบคุณมากนะคะ จะลองไปสอบถามจากครูอาจารย์ดู จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 13:38:45

ความคิดเห็นที่ 19 ตามท่าน chaosy นะครับ ศีลที่เรารักษาจะเป็นเหมือนเกราะป้องกันตัวเรา เเละครูอาจารย์คือแสงสว่างที่ชี้นำให้เราก้าวเดินไปในทางทีถูกที่ควร เราไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้มาก่อนจนมาเจอกบท่าน chaosy  ได้แนะนำให้เราไปในทางดีที่ถูกต้องไปเจออาจารย์ดีๆที่ช่วยชี้ทางส่วางให้ชีวิตผม ตอนนี้ผมได้ขอลาบวชแลวครับ วันที่31 ผมจะเข้าวัดเตรียมขานนาคแล้ว ผมขอขมาลาโทษขออโหสิกรรมทุกท่านที่ผมได้ล่วงเกินไปด้วยนะครับ จากคุณ : chick_alive เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 15:43:14

ความคิดเห็นที่ 20 คงต้องไปหาครูอาจารย์แล้วค่ะ เพราะไม่กล้านั่งสมาธิที่บ้านคนเดียว เจออะไรแปลกๆหลายอย่างมาก คนใกล้ตัวก็ไม่มีใครมีความรู้ด้านนี้เลย ขอบคุณทุกท่านนะคะ แอบอ่าน หาความรู้มานาน ที่นี่มีกัลยาณมิตรและมีคำตอบเสมอค่ะ จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 20:46:20

ความคิดเห็นที่ 21 Smiling-girl   ไปฟังมาแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ เคยอ่านหนังสือธรรมมะที่ถอดความมาจากคำเทศนาของท่าน อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 20:49:54

ความคิดเห็นที่ 22 มีพระสุตรในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าเปรียบวิญญาณเหมือนแสงที่ส่องออกไปตั้งอยู่ในภพแม้จะไม่ตายเพราะตัณหา อุปทาน ดังนั้นก็ไม่ต้องสงสัยว่าตาย  วิญญาณจะไปไหน เพราะวิญญาณไปตั้งอยุ่ที่ภพก่อนที่จะตายเสียอีกครับ http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1797/index.html กระแสที่ไหลออกหน้าอกอาจจะเป็นวิญญาณ  ที่เห็นเพราะกำลังสมาธิ เห็นลมไหลเข้าออก    ที่เห็นเพราะกำลังสมาธิ  หายไปเพราะกำลังสมาธิหายไป ไม่ใช่กระแสที่ไหลออกหายไปครับ จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 23:08:42