ความคิดเห็นที่ 1 อย่างแรก อยากให้เผื่อใจไว้ ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนใครได้ *คนเราเปลี่ยนได้ แต่เปลี่ยนยาก (โคตรยากเลยละครับแม้แต่ตัวเราเองก็ตาม) ถ้าเราไม่คิดเปลี่ยนตัวเอง แล้วเมื่อไหร่ละ ที่คนเราจะรู้สึกอยากเปลี่ยนตัวเอง *ก็เมื่อ เห็นความสุข เห็นความทุกข์ เห็นข้อดี เห็นข้อเสีย ตรงนี้ละที่เราจะนำมาใช้ วิธีการที่เหมาะกับคนชอบดูหนังฟังเพลง คงต้องเล่นกับ การดูหนัง ดูข่าว ที่เค้าทำประจำละครับ 1. เวลาดูข่าวเราต้องไปดูด้วย(สร้างความใกล้ชิดก่อน) พอเจอข่าวไม่ดีบ้าง น่าสลดบ้าง ก็จุดประกายปัญญานิดๆว่า -เออนี่ละ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน -อืมม บางทีอาจเป็นกรรมเก่าของเค้าก็เป็นได้ 2.หรือมีข่าวในทางดี -คงเป็นบุญที่เค้าทำละที่ทำให้เค้า มีโชค มีลาภ มีความเจริญ 3. หรือพรรณาบอกความดี ผลของความดี ว่าทำแล้วได้อะไร ไม่ต้องเกิดมาลำบากอีก หรือทำบุญเยอะๆ จะได้เกิดมาร่ำรวย ให้คุ้นเคยกับการรับรู้ถึง ความดี ความชั่ว ผลของความดี ความชั่วก่อน -แล้วค่อยให้เริ่มทำบุญ บอกผลแห่งบุญว่าทำแล้วได้อะไร  ได้ความสบายใจ ได้ความสบาย ความร่ำรวย ความเจริญ ทั้งในชาตินี้ชาติหน้า หากเค้าสนใจทำบุญแล้ว ก็แนะนำให้ละบาปไปด้วย ให้รักษาศีล -รักษาศีลแล้วดีอย่างไร ละบาป หรือทำบาปได้ผลอย่างไร แล้วให้ปฏิบัติธรรมตามลำดับ วิธีการนี้เรียกว่า อนุปุพพิกถา คือการสอน เทศนาไปตามลำดับ http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=246 **สำคัญมาก ต้องใช้จังหวะเวลาที่ดี และอย่าตื้อมากไป อย่าอยากให้เค้าเป็นอย่างใจเรา แต่ให้แนะนำด้วยความเมตตา ให้เค้าคิดได้เอง แล้วเวลาไหนควรพูดได้เยอะๆละ *ก็เวลาที่เค้าเริ่มเป็นฝ่ายรุก เริ่มหันมาถามเราเองนั่นละ คือเค้าเริ่มสนใจแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะสอนครับ แต่อย่าเยอะนะ อย่าให้เบื่อ เอาพอหอมปากหอมคอ ให้อยากรู้ต่อ แล้วจะค่อยๆเป็นไปเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลาครับ อาจเป็นปีๆ หรือหลายปี ทำโดยไม่ต้องหวังผลมาก แล้วจะดีกว่าตื้อให้ทำบุญ อันนี้ไม่ดีครับ จะทำให้เค้าดื้อเปล่าๆ แล้วคนดื้อนี่สอนยากครับโดยเฉพาะคนใกล้ตัว วาสนาคนเราไม่เท่ากันครับ ชักจูง นำพาได้ไม่เท่ากัน **ขนาดพระพุทธเจ้ายังโปรดคนบางประเภทไม่ได้เลย ดอกบัวมี 4 เหล่า แบ่งตามบุญบารมีและปัญญาในทางธรรม หากสอนให้ปฏิบัติไม่ได้ แต่สอนให้ไปสวรรค์ได้ก็ยังดี เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะ ปรารณา มรรคผล นิพพาน เค้าอาจหวังแค่ความสุขใกล้ๆแค่นั้นเอง บารมีคนเราไม่เท่ากันครับ อยากให้เข้าใจเรื่องนี้ด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:49:49 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:46:18 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:43:49 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:43:24 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:41:47 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 55 23:41:18 จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 23:36:46

ความคิดเห็นที่ 2 เปลี่ยนตัวเองให้ท่านเห็นก่อนครับ ถ้าท่านเห็นว่าเราสุขขึ้นสงบขึ้น ก็อาจจูงจิตให้ท่านหันมาสนใจทางนี้ได้ ทั้งนี้ก็ต้องถึงเวลาที่กรรมจัดสรรด้วยเช่นกัน เมื่อถึงเวลาของท่าน ท่านก็จะสนใจศึกษาเอง อาจจะเป็นในชาตินี้ หรือไม่ก็ชาติถัดๆ ไป แล้วแต่อินทรีย์คนเราแก่อ่อนไม่เท่ากัน ฉะนั้นงานหลักๆ ของเราก็คือการทำตัวเองให้ดีก่อนเนี่ยแหละครับ จากคุณ : Kengmanny เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 55 23:55:12

ความคิดเห็นที่ 3 บอกตรงๆนะครับ ถ้าท่านที่คุณกล่าวถึง เป็นญาติชั้นผู้ใหญ่ของคุณ ผมเห็นว่าคุณใช้คำเตือน"แปลกๆ"ไปสักหน่อย จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 00:08:10

ความคิดเห็นที่ 4 คุณย่อมรู้ หนทางชักชวน จากคุณ : men of the day เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 00:18:18

ความคิดเห็นที่ 5 ใช้โอกาสตอนนั่งรถไปด้วยกัน เปิด CD ธรรม หลายๆแบบให้ฟังไปเรื่อยๆ (หวังว่าคงจะ)ได้ผลในวันใดวันหนึ่ง จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 02:04:02

ความคิดเห็นที่ 6 ที่บ้านเรา ใช้วิธีนี้ค่ะ ซื้อหนังสือธรรมะ มาไว้ในบ้าน ชวนไปวัดด้วยกัน ไปคุยกับพระท่าน ตอนนี้สามีเราเปลี่ยนไปมากจากคนที่ไม่เคยสนใจพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ชวนไปทำบุญ ไปวัด ไปปฏิบัติธรรม ไปด้วยตลอด จากคุณ : แม่ลูก1 เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 06:59:28

ความคิดเห็นที่ 7 พิจารณา  พระพุทธภาษิตนี้  (จากความจำ) ทิฏฐิตั้งไว้ถูกต้อง  มัคคภาวนาตั้งไว้ถูกต้อง ภิกษุนั้น (ผ่านผู้ครองเรือนมาแล้ว) จักทำลายอวิชชา  (โดยการไม่ให้ อาหาร (เหตุ) คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ที่เป็น อาหารของ อวิชชา  แก่  จิต ด้วย อานาปานสติฯ) จักทำวิชชาให้เกิดขึ้น (หลังจากเจริญอริยมรรค  ฯ เกิด ธรรม ๒ คือ สมถะด้วย วิปัสสนาด้วย  แล้วน้อมจิตไปยังวิชชา คือ อาสวักขยญาณ) หรือ จักกระทำ นิพพานให้แจ้งได้ (ทำ วิราคธรรมคือ นิพพาน ให้แจ้งได้) ******************************************************* สรุป ทิฏฐิ ที่ตั้งไว้ถูกต้อง  ตรงตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ --- อุบาย ในการทำให้คนในครอบครัวหันมาสนใจศาสนา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 07:06:21

ความคิดเห็นที่ 8 คำพูดและตัวหนังสือหลอกได้เพียงคนที่มีปัญญาต่ำกว่ามัน ถ้าครอบครัวคุณไม่ใช่คนโง่ จงพิสูจน์ให้พวกเค้าเห็นว่า มันทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นจริงอย่างชัดเจน คำพูดที่ไร้หลักฐานที่มีน้ำหนักรองรับ เป็นเพียงสายลมของทิฐิที่ปะทะกัน จากคุณ : koknam เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 08:20:35

ความคิดเห็นที่ 9 "ความเห็น"  ---- เมื่อกล่าวออกมา ก็คือ คำพูด (เนื่องกับ หมายรู้ได้ซึ่งความเห็น (ทิฏฐิ) นั้น "หลักฐาน"  คือ พระพุทธภาษิต คือ คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ (คำพูด)  เนื่องด้วย "ความเห็นเรื่องนั้นๆ" "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา "ตามที่ตรัสมา" = ตัวหนังสือ (หลักฐาน คือ ตัวหนังสือ ตาม พระพุทะภาษิตแปลไทย ) คือ  "ทิฏฐิ ของ ผู้เชื่อการตรัสรู้ของพระบรมศาสดา " เมื่อ ผู้นั้นกล่าว ตามที่ตรัสไว้ ---แม้นยังมี อวิชชา อนุสัย อาสวะ สังโยชน์ ---- ทำไม ผู้อื่น "ที่ยังมีอวิชชา ฯ"  จึง  "กำหนดว่า" = หรือ คือ --- คำพูดที่ไร้หลักฐานที่มีน้ำหนักรองรับ เป็นเพียงสายลมของทิฐิที่ปะทะกัน " ? (กำหนดที่ ผู้พูด ที่อ้างอิง พระพุทธภาษิต) ---- แล้ว คำพูด อื่นจาก พระพุทธภาษิต เช่น คำพุดของสาวกใดนั้น เลอเลิศประเสริฐศรี ยิ่งกว่า คำพูดของพระบรมศาสดา ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา หรืออย่างไร? ********************************************************* หมายเหตุ คคห นี้  ไม่ เนื่องกับ คคหใดๆ ข้างบนทั้งสิ้น ไม่มี ผู้ฉลาด ใด  ฉลาดที่สุด ตั้งแต่ ยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา  มิใช่หรือ  กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร ผู้ฉลาด ล้วน ฉลาดน้อย (คือ โง่) มาก่อนทั้งนั้น ดังนั้น คำพุดของผู้ฉลาดน้อย  ผู้ฉลาดแล้ว ยังควรต้องฟังดีดี  "ด้วยความไม่ประมาท"  ด้วย ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:19:42

ความคิดเห็นที่ 10 พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส เสียงเขาว่ากันพรรณนั้น จากคุณ : บ้าได้ถ้วย เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:44:08

ความคิดเห็นที่ 11 "ทำให้ดู อยู่ให้เห็น" ครับ จากคุณ : ลูกป้ามล เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:50:09

ความคิดเห็นที่ 12 ตัวเราเองสามารถมีชีวิตที่สุขสงบ ได้ทุกสถานการณ์ แล้วหรือยัง ยังพะวงถึงแต่ตัวเอง ยังอยาก ยังเลี้ยงยาก ยังเครียดยังกังวล ยังกลัว ยังโกรธ ยังโง่เรื่องตนเอง ฉลาดเรื่องคนอื่น อยู่หรือเปล่า คนมักหนีร้อนมาพึ่งเย็น ถ้าเรายังแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้  เขาจะมาหาเราทำไมกัน จะมาสนใจ มาเรียนรู้กับเรา ได้ยังไง คำพูดนั้น ใครจะพูดยังไงก็พูดได้   แต่ผลหรอก ที่ยังศรัทธาให้เกิด และสามารถรับรองคำสอน จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 09:51:33

ความคิดเห็นที่ 13 วิธีส่วนตัวนะคะ คือใช้กิเลส นำไป เช่นพื้นฐานนิสัยเป็นคนโลภ จะดึงให้เค้าสนใจศาสนาต้องมาทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พาไปเจอพระอริยะ พูดเล่าให้ฟังบ่อยๆ ให้เข้าใกล้วัด ใกล้พระเข้าไว้ แล้วค่อยสอนแก่นข้างในที่ละเอียดลึกยิ่งขึ้น ตรงนี้อาจรวมพวกโกรธง่าย พวกใจร้อน ต้องเห็นผลเร็วๆ คนรักสวยรักงาม จะดึงให้เค้าสนใจศาสนาต้องสอนเรื่องการทำบุญให้ทาน ยกผลของการทำบุญที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา หรือ เกิดใหม่เป็นคนที่มีหน้าตา ผิวพรรณสวยงาม  เปล่งรัศมีเป็นโยชน์อะไรปานนี้ แล้วค่อยสอนแก่นข้างในที่ละเอียดลึกยิ่งขึ้น คนโสด หรือ อกหกรักคุด จะดึงให้เค้าสนใจศาสนาก็ใช้วิธีอย่าเช่น เล่าถึงลักษณะคู่ครองที่ดีควรมีศีลเสมอกัน ทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน มีคนดีมากมาย คนอยากดีมากมายมาที่วัด และน่าแปลกเดี๋ยวนี้หน้าตาดีด้วยสิ การที่เราอยากได้คนดีก็ต้องมาหาในที่ที่ดี สมเหตุสมผลไม๊ล่ะ เป็นต้น จากคุณ : ตุ๊ดตู่ โอ้เย เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:27:09

ความคิดเห็นที่ 14 คำว่า ---พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส พิจารณาให้ทั่วถึง  ----(เพื่อไม่ประมาท  เพราะ คำพุด มันกำกวมได้เสมอ) ********************************************************** (๑) พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส แบบ ---  ภิกษุวัดจานบิน?   หรือ? (๒) พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส แบบ --- ภิกษุที่มีมติว่า นิพพานเป็น แดน ที่พระอรหันต์จะไปสถิตย์ที่นั้น หรือ? (๓) พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส แบบ --- ต้อง แบบ พ่อครูแม่ครู สายพระป่า นะ  หรือ (๔) พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส แบบ --- ต้องดูจิต แบบ ถิรสัญญาคือเหตุใกล้ของสติหรือ ? (๕) พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส แบบ --- ฯลฯ                                                      กับ (๖) พระพุทธภาษิต แปลไทย สำนวนแปลที่เลือกเฟ้นแล้ว แล้วไม่ประมาทด้วย นั่นแหละคือ --- พูดให้ฟัง (แล้ว คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายฯ)  ทำให้ดู (ตถาคตพูดอย่างไร ตถาคตทำอย่างนั้น) อยู่ให้เห็น (ถูกแล้วอานนท์ ตถาคตอยู่โดยมากด้วย สุญญตาวิหาร ตาม จูฬสุญญตสูตร) เยือกเย็นให้สัมผัส (ตามที่ตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก)                           ข้อที่ ๖   ปลอดภัย ยิ่งยวดกว่า ทุกๆ ข้อ มั๊ย ????                    -----  พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เยือกเย็นให้สัมผัส  ---- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 10:31:40

ความคิดเห็นที่ 15 คนเราแต่ละคน ชอบต่าง เห็นต่าง ไม่งั้นจะมีหลายศาสนาได้ไง จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:24:57

ความคิดเห็นที่ 16 .....ม้าตัวไหนสอนไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเสีย .....บางคนไปได้แค่จริยธรรมก็พอ จากคุณ : ธนะรัตน์ เอ็กโซติก เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 11:48:24

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ มาอ่านทุกความเห็น จากคุณ : via Galaxy Note (สายัณห์ ตะวันเพลิง) เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 13:23:38

ความคิดเห็นที่ 18 ตัวใครตัวมันครับ เห็นจะๆ ก็กรณีวัดธรรมกาย มีทั้งฝ่ายโปรฝ่ายคอน เปลี่ยนใจแต่ละฟากไม่ได้ จากคุณ : KittySP เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 17:25:39

ความคิดเห็นที่ 19 เริ่มต้นด้วยกุศโลบายใดๆก็ได้ ลงท้ายด้วยการฟังธรรม ปฏิบัติธรรม สมถะกรรมฐาน นั่งสมาธิ เจริญสมาธิภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน จากคุณ : deedang เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 55 20:59:13

ความคิดเห็นที่ 20 ผู้ที่จะเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจได้ ต้องมีอุปนิสัยที่สั่งสมมานานแล้ว พระไตรปิฏก และอรรถกถาแปล ชุด 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย เล่ม 43 หน้า 44 (เป็นบทสนทนาระหว่างพระอานนท์กับพระพุทธเจ้า) อานนท์.   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ย่อมแทรกอวัยวะทั้งหลาย มีผิวเป็นต้น (เข้า) ไปจดเยื่อในกระดูกตั้งอยู่เพราะเหตุไร  อุบาสกเหล่านี้แม้เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ จึงไม่ฟังโดยเคารพ? พระศาสดา.  อานนท์ เธอเห็นจะทำความสำคัญว่า ธรรมของเราอันบุคคลพึงฟังได้โดยง่ายกระมัง? อานนท์.     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม(ของพระองค์) อันบุคคลพึงฟังได้โดยยากหรือ? พระศาสดา.   ถูกแล้วอานนท์ อานนท์.      เพราะเหตุไร? พระเจ้าข้า พระศาสดา.  อานนท์ บทว่า พุทฺโธ ก็ดี ธมฺโม ก็ดี สงฺโฆ ก็ดี  อันสัตว์เหล่านั้นไม่เคยสดับแล้ว ในแสนกัลป์ แม้เป็นเอนกเพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงไม่สามารถฟังธรรมนี้ได้ จากคุณ : ปลาปูอยู่ทะเล เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 12:40:48