ขอขึงประจานการอ่านหนังสือไม่หมดของ จขกท. และ พวก ด้วย การยก อัล-กุรอาน ซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮ์ ตั้งแต่ อายะฮ์ที่ 12 เป็นต้นไป จนถึง อายะฮ์ 44 ที่เขายกมาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้ปัญญาชนที่แสวงหาสัจธรรมได้เห็นเป็นอุธาหรณ์ของคนประเภทนี้ที่แฝงเร้นอยู่จริงในสังคม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
12 "และแท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสรออีล [1] และเราได้แต่งตั้งผู้ดูแลจากหมู่พวกเขาขึ้นสิบสองคน [2] และอัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า [3] แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่ด้วยกับพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และศรัทธาต่อบรรดาร่อซูลของข้า และสนับสนุนพวกเขา และให้อัลลอฮฺยืมหนี้ที่ดี [4] แล้วแน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเจ้า ซึ่งความชั่วทั้งหลายของพวกเจ้า และแน่นอนข้าจะให้พวกเจ้าเข้าบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าปฏิเสธ [5] หลังจากนั้นแล้ว แน่นอนเขาก็หลงทางอันเที่ยงตรง"
[1] คือเอาสัญญาแก่พวกเขาว่า ให้พวกเขาปฏิบัติตามบัญญัติที่อยู่ในคัมภีร์อัตเตารอต
[2] คือหัวหน้าเผ่าในหมู่พวกเขาสิบสองเผ่าด้วยกัน
[3] คือทรงกล่าวแก่ท่านนะบีมูซา
[4] หมายถึงให้บริจาคทรัพย์ไปในทางของพระองค์ โดยที่พระองค์จะทรงชดเชยให้ถึงเจ็ดร้อยเท่า
[5] คือปฏิเสธสัญญาที่ให้ไว้แก่อัลลอฮ์
13 "แต่เนื่องจากการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความกรุณาเมตตาของเราและให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือน บรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน[1]และลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้[2] และเจ้า[3] ก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และเมินหน้าเสีย[4] แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชอบผู้ทำดีทั้งหลาย"
[1] คือบิดเบือนให้เฉออกจากความหมายเดิม
[2] คือถูกเตือนให้ศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด
[3] หมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัด
[4] คือทำเป็นเสมือนไม่รู้ไม่เห็น
14 "และจากบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พวกเราเป็นคริสต์นั้น เราได้เอาสัญญาจากพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็ลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ [1] เราจึงได้ให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาซึ่งการเป็นศัตรูและการเกลียดชังกันจนกระทั่งวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮ์จะทรงบอกเขาเหล่านั้นถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมาก่อน"
[1] คือถูกเตือนให้ศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามที่พบในคัมภีร์โบราณ
15 "บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! [1] แท้จริงร่อซูลของเรา[2]ได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์[3] และเขาจะระงับไว้มากมาย[4] แท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮ์ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว"
[1] หมายถึงพวกยิวและคริสต์
[2] หมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัด
[3] อันได้แก่ลักษณะของท่านนะบีมุฮัมมัดและการลงโทษผู้ทำซินา โดยการขว้างด้วยหินจนตายเป็นต้น
[4] คือไม่บอกกล่าวสิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้
16 "ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์[1]ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัย[2] และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง"
[1] คือปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
[2] คือปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น
17 "แน่นอนได้ปฏิเสธศรัทธาแล้วบรรดาผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคืออัลมะซีห์[1] บุตรของมัรยัม จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ก็ใครเล่าที่จะมีอำนาจครอบครองสิ่งของ[2] จากอัลลอฮ์ได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำลายอัล-มะซีห์ บุตรของมัรยัม และมารดาของเขา และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง"
[1] หมายถึงท่านนะบี อีซา
[2] หมายถึงอำนาจของพระองค์ กล่าวคือไม่มีผู้ใดที่จะยับยั้งอำนาจของพระองค์ได้
18 "และบรรดาชาวยิว และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า พวกเราคือบุตรของอัลลอฮ์ และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์ จงกล่าวเถิด (มุฮัดมัด) แล้วไฉนเล่าพระองค์จึงทรงลงโทษพวกท่าน เนื่องด้วยความผิดทั้งหลายของพวกท่าน มิใช่เช่นนั้นดอกพวกท่านเป็นสามัญชนในหมู่ผู้ที่พระองคืทรงบังเกิดมาต่างหาก ซึ่งพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป"
19 "บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย ! แท้จริงร่อซูล[1] ของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะได้ชี้แจงแก่พวกเจ้า[2] ตามวาระสมัยที่ได้ว่างเว้นบรรดาร่อซูลมา[3] ทั้งนี้เนื่องจากการที่พวกเจ้าจะกล่าวว่า มิได้มีผู้แจ้งข่าวดีคนใด และผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเรา แท้จริงได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง"
[1] หมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัด
[2] คือให้รู้ถึงหน้าที่และสิทธิต่าง ๆ ที่พวกเจ้าพึงปฏิบัติ ทั้งที่เกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเจ้า และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
[3] คือได้ว่างเว้นร่อซูลมาเป็นเวลา 560 ปี นับตั้งแต่ท่านนะบีอีซาเป็นต้นมา
20 "และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้ประชาชาติของฉัน ! พึงรำลึกถึงความกรุณาเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแด่พวกท่านเถิด เพราะว่าพระองค์ได้ทรงให้มีบรรดานะบีขึ้นในหมู่พวกท่าน และได้ทรงให้พวกท่านเป็นกษัตริย์ และได้ทรงประทานแก่พวกท่าน สิ่งที่มิได้ทรงประทานให้แก่ผู้ใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย[1]"
[1] คือได้แก่การให้น้ำในทะเลแดงแยกออกเป็นทางเดินเพื่อหนีการตามล่าของฟิรเอาน์ ขณะเดียวกันก็ให้ฟิรเอาน์ และไพร่พลของเขาจมน้ำตาย การใช้น้ำตาลฟ้าตกลงมาเป็นของหวาน และให้นกคุ่มเป็นอาหารขณะอยู่ในทะเลทราย และให้เมฆบดบังแสงแดด
21 "โอ้ประชาชาติของฉัน ! จงเข้าไปในแผ่นดินอันบริสุทธิ์[1] ที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกท่านเถิด และจงอย่าหันหลังของพวกท่านกลับ[2] เพราะจะทำให้พวกท่านกลับกลายเป็นผู้ขาดทุน"
[1] คือแคว้นกันอานในเขตปาเลสไตน์
[2] คืออย่าหันหลังหนีกลับโดยไม่กล้าต่อสู้กับชาวกันอานผู้เป็นเจ้าของถิ่น
22 "พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซา แท้จริงในแผ่นดินอันบริสุทธิ์นั้นมีพวกที่เหี้ยมโหด[1] และพวกเราจะไม่เข้าไปในแผ่นดินนั้นเป็นอันขาด จนกว่าพวกเขาจะออกไปจากที่นั้น แต่ถ้าพวกเขาออกไปจากที่นั้นแล้ว พวกเราจึงจะเป็นผู้เข้าไป "
[1] คือชาวกันอานซึ่งมีร่างกาย-แข็งแรงกล้าหาญ
23 "มีชายสองคนในหมู่ผู้ยำเกรงที่อัลลอฮ์ได้ทรงกรุณาเมตตาแก่เขาทั้งสองได้กล่าวว่าพวกท่านจงเข้าประตูนั้น[1]ไปเผชิญหน้ากับพวกเขาเถิดครั้นเมื่อพวกท่านเข้าประตูนั้นไปแล้ว แน่นอนพวกท่านจะเป็นผู้ชนะ และแด่อัลลอฮ์นั้นพวกเจ้าจงมอบหมายเถิด หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา"
[1] คือประตูเมืองกันอาน
24 "พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซา ! แท้จริงพวกเราจะไม่เข้าไปที่นั้นโดยเด็ดขาด ตราบใดที่พวกเขา[1]ยังคงอยู่ที่นั้น ดังนั้นท่านและพระเจ้าของท่านจงไปเถิด แล้วจงต่อสู้[2] พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่"
[1] คือชาวเมืองกันอาน
[2] คือต่อสู้กับชาวเมือง
25 "เขา[1]กล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์ไม่มีอำนาจ[2] นอกจากตัวของข้าพระองค์เองและพี่ชายของข้าพระองค์[3] เท่านั้น ดังนั้นโปรดได้แยกระหว่างเรา กับประชาชาติผู้ละเมิดด้วยเถิด"
[1] คือท่านนะบีมูซา
[2] คือไม่มีอำนาจที่บังคับวงศ์วานอิสรออีลได้
[3] คือนะบีฮารูน
26 "พระองค์ตรัสว่า แท้จริงแผ่นดินนั้น[1]เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา[2] สี่สิบปี ซึ่งพวกเขาจะระเหเร่ร่อนไปในผืนแผ่นดิน[3] ดังนั้นเจ้าจงอย่าเสียใจให้แก่ประชาชาติผู้ละเมิดเหล่านั้นเลย"
[1] คือแผ่นดินอันบริสุทธิ์
[2] คือพวกวงศ์วานอิสรออีล
[3] หมายถึงในทะเลทราย
27 "และเจ้าจงอ่านให้พวกเขา[1]ฟัง ซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรชายสองคน[2] ของอาดัมตามความเป็นจริง ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลี[3]อยู่นั้น แล้วสิ่งพลีนั้นก็ถูกรับจากคนหนึ่งในสองคน[4]และมันมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่ง[5]เขา[6] จึงได้กล่าวว่า แน่นอนข้าจะฆ่าเจ้า[7] ให้ได้เขา[8] กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงรับจากหมู่ผู้มีความยำเกรงเท่านั้น"
[1] คือให้วงศ์วานอิสรออีล
[2] คือกอบีล และฮาบีล
[3] สิ่งพลีของกอบีลผู้เป็นพี่นั้นคือผลพืชเพราะเป็นผู้ทำไร่ ส่วนสิ่งพลีของฮาบีลนั้นคือแกะเพราะเป็นผู้เลี้ยงแกะ
[4] คือถูกรับจากฮาบีล
[5] คือไม่ถูกรับจากกอบีล
[6] คือกอบีล
[7] คือฆ่าฮาบีล
[8] คือฮาบีล
28 "หากท่าน[1] ยื่นมือของท่านมายังฉัน[2] เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก"
[1] คือกอบีล
[2] คือฮาบีล
29 "แท้จริงฉันต้องการที่จะให้ท่านนำบาปของฉันและบาปของท่านกลับไป[1] แล้วท่านก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ชาวนรก และนั่นแหละคือการตอบแทนแก่บรรดาผู้อธรรม"
[1] คือนำกลับไปยังอัลลอฮ์ ในวันปรโลก เพื่อรับการลงโทษจากพระองค์ ในเรื่องนี้บรรดามุฟัซซิรีนทั้งหลายได้ความหมายว่า ฉันต้องการที่จะให้ท่านนำบาปที่ฆ่าฉัน และบาปท่านเองกลับไป
30 "แล้วจิตใจของเขา[1]ก็คล้อยตามเขาในการที่จะฆ่าน้องชายของเขา แล้วเขาก็ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นเขาจึงได้กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ขาดทุน"
[1] คือของกอบิล
31 "แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ส่งกาตัวหนึ่งมาคุ้ยหาในดิน[1] เพื่อที่จะให้เขาเห็นว่าเขาจะกลบศพน้องชายของเขาอย่างไรเขากล่าวว่า โอ้ความพินาศของฉัน[2] ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นกาตัวนี้แล้วกลบศพน้องชายของฉันเชียวหรือนี่? แล้วเขาก็กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ตรอมใจ"
[1] คือทำประหนึ่งคุ้ยหาอาหารกิน จนกระทั่งเป็นหลุมลึก
[2] คือเรียกความพินาศของตนให้มาทำลายตนเสีย เพราะถึงเวลาที่ตนควรจะพินาศได้แล้ว ดังกล่าวนี้เป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความเศร้าใจและสังเวชในตัวเอง
32 "เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วาน อิสรออีลว่า แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากกการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้วก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดาร่อซูลของเราได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว แล้วได้มีจำนวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน[1]"
[1] หมายถึงทำการฆ่าฟันกันอย่างมากมาย และฝ่าฝืนบทบัญญัติศาสนาด้วย
33 "แท้จริงการตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ทำสงครามต่ออัลลอฮ์ และร่อซูลของพระองค์ และพยายามบ่อนทำลายในแผ่นดิน[1] นั้นก็คือการที่พวกเขาจะถูกฆ่า หรือถูกตรึงบนไม่กางเขน หรือมือของพวกเขาและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้าง[3] หรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน นั้นก็คือพวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงในปรโลก"
[1] หมายถึงการปล้นสดมภ์ หรือดักจี้ระหว่างทาง
[2] คือมือขวา และเท้าซ้ายสาเหตุแห่งการประทานอายะฮ์นี้มานั้น เนื่องจากมีชาวอุร็อยนะฮ์ จำนวน 8 คน ได้มาหาร่อซูลุลลอฮ์เพื่อรับนับถืออิสลามแล้วเกิดไม่สบายขึ้นเนื่องจากผิดอากาศ ร่อซูลุลลอฮ์จึงให้พวกเขาไหดื่มปัสสาวะอูฐและน้ำนมอูฐซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนซะกาต เพื่อเป็นการรักษาอาการป่วยของพวกเขา ครั้นเมื่อพวกเขาหายป่วยแล้วก็ทำการฆ่าคนเลี้ยงอูฐด้วยการตัดมือ ตัดเท้า และแทงตา จนกระทั่งตาย เมื่อท่านนะบีทราบจึงได้สั่งให้ทำการติดตาม เพื่อลงโทษพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้กระทำกับคนเลี้ยงอูฐ แล้วชาวอุร็อยนะฮ์ดังกล่าวก็ถูกตามล่าและถูกลงโทษตามคำสั่งของท่านนะบี
34 "นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว ก่อนจากที่พวกเจ้าจะสามารถลงโทษพวกเขา พึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา"
35 "ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! พึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงแสวงหาสื่อ[1] ไปสู่พระองค์ และจงต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮ์เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ"
[1] คือจะให้มีผลงานอันดีงามนั้นเกิดจากการปฏิบัติศาสนบัญญัติ อันจะเป็นสิ่งให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ขณะที่กลับไปยังพระองค์
36 "แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น หากพวกเขามีสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด และมีเยี่ยงนั้นอีกรวมกัน[1] เพื่อจะใช้มันไถ่ตัวให้พ้นจากการลงโทษในวันกิยามะฮ์แล้ว มันก็จะไม่ถูกรับจากพวกเขา[2] และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ"
[1] คือมีอีกเท่าหนึ่งของสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินทั้งหมด แล้วรวมกัน
[2] คืออัลลอฮ์ก็จะไม่ทรงรับ ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้รับโทษที่สาสมกับความยะโสของพวกเขา
37 "เขาเหล่านั้นปรารถนาที่จะออกจากไฟนรก แต่พวกเขาก็หาได้ออกจากมันไปได้ไม่ และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษที่คงอยู่ตลอดไป"
38 "และขโมยชายและขโมยหญิงนั้นจงตัดมือของเขา [1] ทั้งสองคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ (และ) เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษ[2] จากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ"
[1] คือตัดมือขวาก่อนและถ้าขโมยอีกให้ตัดมือซ้าย
[2] คือเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้คนอื่น ๆ เพื่อจะได้ไม่ประพฤติเช่นเดียวกับเขา
39 "แล้วผู้ใดสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากการอธรรมของเขา และแก้ไขปรับปรุงแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ"
40 "เจ้ามิได้รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงมีอำนาจในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่พระองค์จะทรงลงโทษใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงอภัยโทษแก่ใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์นั้น ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง"
41 "รอซูลเอ๋ย ! จงอย่าให้เป็นที่เสียใจแก่เจ้าซึ่งบรรดาผู้ที่รีบเร่งกันในการปฏิเสธศรัทธาจากหมู่ผู้ที่กล่าวด้วยปากของพวกเขาว่า พวกเราศรัทธาแล้วโดยที่หัวใจของพวกเขามิได้ศรัทธา[1] และจากหมู่ผู้ที่เป็นยิวด้วย โดยที่พวกเขาชอบฟังคำมุสา[2] พวกเขาชอบฟังเพื่อพวกอื่นที่มิได้มุ่งหาเจ้า[3] พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำหลังจาก (ที่มันถูกวางใน) ที่ของมัน[4] พวกเขากล่าวว่า หากพวกท่านได้รับสิ่งนี้ก็จงเอามันไว้[5] และถ้าหากพวกท่านมิได้รับมันก็จงระวัง[6] และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ซึ่งการทดสอบเขาแล้ว[7] เจ้าก็ไม่มีสิทธิแต่อย่างใดจากอัลลอฮ์ที่จะช่วยเหลือเขาได้[8] ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่อัลลอฮ์มิทรงประสงค์จะให้หัวใจของพวกเขาสะอาด โดยที่พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และจะได้รับการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก"
[1] หมายถึงพวกมุนาฟิกแห่งมะดีนะฮ์
[2] คือชอบฟังคำพูดเท็จที่บรรดาหัวหน้าของพวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเกี่ยวกับท่านนะบี
[3] คือชอบฟังคำพูดเท็จจากหัวหน้าของพวกเขาเพื่อเล่าต่อให้แก่พวกอื่นที่มิได้มาหาท่านนะบี
[4] คือบิดเบือนถ้อยคำในคัมภีร์เตารอต หลังจากเป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้ว ซึ่งความมุ่งหมายของมัน ทั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนถ้อยคำบ้างและความมุ่งหมายบ้าง
[5] คือเรื่องการทำซินาของชายหญิงชาวยิวคู่หนึ่งในตระกูลที่มีเกียรติ ซึ่งพวกเขาต้องการที่จะให้ได้รับโทษสถานเบา คือโบยคนละร้อยที ซึ่งความเป็นจริงนั้นจะต้องได้รับโทษสถานหนัก คือถูกขว้างด้วยหินจนตายตามบัญญัติศาสนาของพวกเขา ในการนี้พวกเขาได้ให้คนในตระกูลกุร็อยเซาะฮ์ ซึ่งเป็นชาวยิวที่อยู่ในมะดีนะฮ์ถามท่านนะบีเกี่ยวกับการลงโทษของชาย-หญิงดังกล่าว โดยกำชับว่าถ้าท่านนะบีตอบตรงกับที่เขาต้องการคือโบยร้อยทีก็ให้ยึดถือ แต่ถ้าท่านนะบีชีขาดให้ขว้างด้วยหินจนตาย ก็จงระวังอย่าได้ยึดถือ คำว่า ได้รับสิ่งนี้นั้นหมายถึงได้รับคำตอบจากท่านนะบีว่าให้โบยร้อยทีตามที่พวกเขาปรารถนา
[6] คือมิให้ยึดถือ
[7] คือทดสอบความศรัทธาของเขาโดยปล่อยให้เขาแสดงออกซึ่งควากลับกลอกของเขาต่อไปเพื่อให้เขาได้รับโทษอันสาสม
[8] คือท่านนะบีก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเขาได้ เพราะท่านไม่มีสิทธิและอำนาจใด ๆ จากอัลลอฮ์ที่จะระงับปฏิบัติการของพระองค์ได้
42 "พวกเขาชอบฟังคำมุสา ชอบกินสิ่งต้องห้าม[1] ถ้าหากพวกเขามาหาเจ้า ก็จงตัดสินระหว่างพวกเขา หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงพวกเขาเสีย และถ้าหากเจ้าหลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ให้โทษแก่เจ้าได้แต่อย่างใดเลย และหากเจ้าตัดสินใจ ก็จงตัดสินใจระหว่างพวกเขา ด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม"
[1] คือทรัพย์สมบัติที่ได้มาโดยไม่ชอบ เฉพาะอย่างยิ่งดอกเบี้ย
43 "และอย่างไรเล่าที่พวกเขาจะให้เจ้าตัดสินทั้ง ๆ ที่พวกเขามี อัต-เตารอตอยู่ ซึ่งในนั้นมีข้อตัดสินของอัลลอฮ์อยู่แล้วแล้วพวกเขาก็ผินหลังให้ หลังจากนั้น[1] ชนเหล่านี้หาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่"
[1] คือไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของท่านนะบีหลังจากที่ท่านได้ตัดสินลงโทษผู้ทำซินาโดยให้ขว้างด้วยหินจนตาย ซึ่งตรงกับข้อชี้ขาดในคัมภีร์ของพวกเขา
44 "แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอตลงมา โดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอต ตัดสิน[1]ด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮ์[2] และพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า[3] จงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย[4] และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา"
[1] คือตัดสินระหว่างพวกยิวหลังจากท่านนะบีมูซาได้ล่วงลับไปแล้ว เช่น เกี่ยวกับบรรดาค่อลีฟะฮฺ และบรรดานักปราชญ์ของมุสลิมใช้อัล-กุรอานตัดสินระหว่างมุสลิมีน หลังจากท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
[2] กล่าวคือเนื่องจากอัลลอฮ์ทรงมอบหมายให้บรรดผู้ที่รู้แจ้งในพระองค์และบรรดานักปราชญ์รักษาคัมภีร์ไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้คัมภีร์นั้นตัดสินระหว่างพวกเขา
[3] หมายถึงบรรดาผู้ที่รู้แจ้งในอัลลอฮ์ และนักปราชญ์ทั้งหลาย
[4] หมายถึงว่าไม่ยอมปฏิบัติตามโองการของอัลลอฮ์ โดยเห็นแก่ผลประโยชน์อันเล็กน้อย
+++++++
พระดำรัสของอัลลอฮ์ทรงสัจจริง และสูงส่งเสมอ