ความคิดเห็นที่ 1 สมเด็จองค์ปฐม ก็คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก องค์ ต้น ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จากคุณ : เด็กวัด (boss11589) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 06:48:16

ความคิดเห็นที่ 2 "คือ ทิฏฐิของ ผู้ที่ (เสนอคำว่า สมเด็จองค์ปฐม) ยังไม่รู้ปฏิจจสมุปบายสายเกิด สายดับ  ตรงตามที่ พระบรมศาสดาตรัสไว้" กล่าวคือ ---- ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต --- พระสารีบุตร ขยายความ เห็นธรรม ว่า คือ เห็น ปฏิจจสมุปบายสายเกิด สายดับ   ด้วย "มัคคภาวนา อันเป้นทางสู่ สัมมาญาณะ" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:13:38

ความคิดเห็นที่ 3 สมเด็จองค์ปฐม   เป็นเรื่องของพวกติดนิมิตไม่รู้จักอรูปห่างไกลนิโรธเขาเชื่อกัน จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 09:03:20

ความคิดเห็นที่ 4  พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 66   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว     ยังดำรงอยู่     เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่  ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     พวง มะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว  ผลใดผลหนึ่งที่ติดขั้วอยู่  ย่อมติดขั้วไป  ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย        กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพชาติแล้ว ก็เหมือนฉันนั้น    ยังดำรงอยู่    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่    ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต. ______________________________________________________________   ถ้าเฉพาะความหมายของคำ คห. 1 อธิบายไว้ชัดเจนครับ แต่ถ้ามีใครบอกว่า "เห็นพระพุทธเจ้าองค์  เห็นพระปัจจเจก  เห็นพระสาวก ใดๆ ก็แล้วแต่ หลังจากที่กายของท่านแตกสิ้นชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะไปเห็นในที่ใดๆ "  จากข้อความในพระไตรปิฏกที่ยกมา สรุปชัดๆ  :  ผู้ที่หลุดพ้น หรือนิพพาน  เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว ย่อมไม่ปรากฎในที่ใดๆ อีก ... แล้วมีเรื่องเล่าว่ามีใครไปเห็นได้อย่างไร  ? "เรื่องหมูๆ สำหรับมาร" จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 09:33:13

ความคิดเห็นที่ 5 (แก้ไขคำสะกด :  หากเข้าไปแก้ข้างบนลักษณะพิเศษจะหายไป เช่นสี ตัวหนา  ไม่รู้ทำอย่างไรดีครับ  เมื่อ Save กลายเป็น Html ไปหมด ) (จากข้อความ) ...แต่ถ้ามีใครบอกว่า "เห็นพระพุทธเจ้าองค์  เห็นพระปัจจเจก  เห็นพระสาวก ใดๆ ก็แล้วแต่ หลังจากที่กายของท่านแตกสิ้นชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะไปเห็นในที่ใดๆ "  แก้เป็น ...แต่ถ้ามีใครบอกว่า "เห็นพระพุทธเจ้า  เห็นพระปัจเจก  เห็นพระสาวก ใดๆ ก็แล้วแต่ หลังจากที่กายของท่านแตกสิ้นชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะไปเห็นในที่ใดๆ "  จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 09:41:06

ความคิดเห็นที่ 6 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย        กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพชาติแล้ว ก็เหมือนฉันนั้น    ยังดำรงอยู่    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่    ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต. ููููู^^^^ พิจารณา จูฬสุญญตสูตร [๓๔๑]  ดูก่อนอานนท์     ประการอื่นยังมีอีก     ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญ- จัญญายตนสัญญา    ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา     ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต   (เช่น สัญญาเวทยิตนิโรธ  ของพระอนาคามี ฯ) จิตของเธอย่อมแล่นไป   เลื่อมใส   ตั้งมั่น   และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต   เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า   เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล   ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง  จูงใจได้   ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง   จูงใจได้นั้น   ไม่เที่ยง   มีความดับไปเป็นธรรมดา   เมื่อเธอรู้อย่างนี้     เห็นอย่างนี้  จักย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ    แม้จากภวาสวะ   แม้จากอวิชชาสวะ   เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว  ย่อมมีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  รู้ชัดว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว     กิจที่ควรทำไค้ทำเสร็จแล้ว      กิจอันเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ       มีอยู่ก็แค่เพียงความกระวนกระวาย (ทรถา)  คือ  ความเกิดแห่งอายตนะ  ๖   อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า   "สัญญานี้" (สัญญาแบบ เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต สิ้นอาสวะแล้ว) ว่างจากกามาสวะ   สัญญานี้ว่างจากภวาสวะ   สัญญานี้ว่าง   จากอวิชชาสวะ   และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖  อาศัยกาย นี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย     ด้วยอาการนี้แหละ     เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น --------------- (  คือ ?????) ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย   และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้น อันยังมีอยู่   ว่ามี   ดูก่อนอานนท์   แม้อย่างนี้เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง   ตาม ความเป็นจริง  ไม่เคลื่อนคลาด  บริสุทธิ์   ของภิกษุนั้น. ๓๔๒]  ดูก่อนอานนท์    สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลไม่ว่าพวก ใด ๆ ที่เข้าถึงสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์   เยี่ยมยอดอยู่   ทั้งหมดนั้น  ก็ได้เข้าถึง สุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์    เยี่ยมยอดนี้เองอยู่   สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคต กาลไม่ว่าพวกใด ๆ ที่จะเข้าถึงสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์  เยี่ยมยอดอยู่  ทั้งหมด นั้น      ก็จักเข้าถึงสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์     เยี่ยมยอดนี้เองอยู่    สมณะหรือ พราหมณ์ในบัดนี้   ไม่ว่าพวกใด ๆ ที่เข้าถึงสุญญตสมาบัติอัน บริสุทธิ์  เยี่ยมยอด อยู่  ทั้งหมดนั้นย่อมเข้าถึงสุญญตสมาบัติอัน บริสุทธิ์   เยี่ยมยอดนี้เองอยู่  ดูก่อน อานนท์    เพราะฉะนั้นแล   พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า     เราจักเข้าถึง สุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์  เยี่ยมยอดอยู่.           พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว   ท่านพระอานนท์จึงชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.                                      จบ  จูฬสุญญตสูตรที่  ๑     ****************************************************** (๑) ลัทธินั้น "กำหนด สมเด็จองค์ปฐม"  ด้วย ปัญญา ????   (๒) สมเด็จองค์ปฐม   คือ ?  ตาม  พุทธปัญญา -- จูฬสุญญตสูตร (๓) ถ้า สมเด็ของค์ปฐม หมายถึง ---- ความว่างนั้น ---- ---- เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น  -- ด้วย  สมธิแบบ ไหน? ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย --- สมาธิวิชาธัมมกาย  เป็น มิจฉาสมาธิ ใช่ไหม? พราะ ไม่ใช่   เจโตสมาธิ ตามที่ตรัส และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้น อันยังมีอยู่   ว่ามี  ---- ตทายตนัง  มีอยู่  (แต่ นิพพานธาตุ  หรือ นิโรธธาตุ (นิสรณิยธาตุ) ? สรุป พระพุทธเจ้ายังทรงยังอยู่ ครับ --ชาวพุทธทั้งหลาย จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 10:53:25

ความคิดเห็นที่ 7 ร่วมสนทนา      ผู้ที่ติดอยู่ในธรรมปฏิรูป คือมีใจย้อมติดชมชอบในธรรมปฏิรูปนั้นทั้งยังเข้าใจผิดอยู่ แล้วไม่น้อมไปสู่การปฏิบัติธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  ก็จะสับสนคลุ่มเคลือ และพัฒนาสู่ธรรมเบื้องสูงได้โดยยากนัก เป็นธรรมดา.      ซึ่งก็เป็นวาสนาของสัตว์นั้น ตามกรรมตามฐานะตามกิเลสที่ปรุงแต่งแห่งตน และกลุ่มๆ ตน ที่ปรุงแต่งไปเป็นธรรมดา      ในปัจจุบันนี้ผ่านมา ถึง 2600 ปี ตั้งแต่บังเกิดพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้่ขึ้น  ถึงปัจจุบันธรรมะปฏิรูปนั้นมีมากมายเสียเหลือเกิน จนมีการปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ มากเหลือเกิน ไปตามยุคไปตามสมัย.     หรือวาสนาของสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างนี้ ดำเนินไปแบบคลุ่มเคลืออย่างนี้จนบารมีสมบูรณ์  ซึ่งไม่สามารถมีใครต้านได้ หรือต้านได้ยากนัก. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 11:06:18

ความคิดเห็นที่ 8 คคห 7 ประเด็น --- ผู้ที่ติดอยู่ในธรรมปฏิรูป คือมีใจย้อมติดชมชอบในธรรมปฏิรูปนั้นทั้งยังเข้าใจผิดอยู่ แล้วไม่น้อมไปสู่การปฏิบัติธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  ก็จะสับสนคลุ่มเคลือ และพัฒนาสู่ธรรมเบื้องสูงได้โดยยากนัก เป็นธรรมดา.     ซึ่งก็เป็นวาสนาของสัตว์นั้น ตามกรรมตามฐานะตามกิเลสที่ปรุงแต่งแห่งตน และกลุ่มๆ ตน ที่ปรุงแต่งไปเป็นธรรมดา                                         ตรงคำว่า "วาสนา"           ********************************************* (๑) เสนอไม่ผิด (คือถูก) แต่ "ต้องถูกต้องแล้วโดยประการทั้งปวง เป็นอันยุติ  หรือ?" ควร พิจารณาให้ทั่วถึง ฯ (๒) วาสนา  --- คือ ?  ก็ตาม ยกไว้                                        ---- เมื่อ ยังเนื่องด้วย หรือ เจือด้วย อวิชชา  --             ที่ อ้าง วาสนา ก็ย่อม  จริง ตามอวิชชา  = (สิ่งนั้น + วาสนา) ไม่จริง ไปได้          ***********************************************                                             ยกตัวอย่าง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม --ไม่ว่า จะ กำหนดว่า มี หรือไม่มี วาสนา ฯ แต่ เพราะ อาสัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตร  สัตว์ที่มีความเกิด (เพราะเจตนาคือกรรม มี วิบากแห่งกรรม) เป็นธรรมดา  ย่อมพ้นจากความเกิด (เพราะกรรม) ได้   --- (จากความจำ)                                                    ดังนั้น ไม่ว่า จะอ้าง วาสนาอะไร -- แค่ ทิ้งสิ่งที่ คาใจ (ด้วย มิจฉาทิฏฐิ และ ทิฏฐิที่ถือมั่นนั้น) "เช่นอุปติสสะ ทิ้งอาจารย์สัญชัย" เสีย         ------- อริยสัจสี่ (ความจริงของพระอริยะ) จึง สำหรับทุกคน ----- *********************************************************                                        หมายเหตุ ไม่ได้ค้าน อะไร ?  เสนอมุมมองต่าง  ตรง "แค่ ทิ้งสิ่งที่ คาใจ" เสีย วาสนา ตามที่ว่าว่า  ก็ "บ่อ มิ ไก๊"  (กระมัง) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 13:37:08

ความคิดเห็นที่ 9 สมเด็จองค์ปฐมท่านมีพระนามว่า พระสิกขีทศพลที่1 พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถึงท่านมีอยู่จริง จากคุณ : นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะ (NetPop) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 15:08:31

ความคิดเห็นที่ 10 เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระองค์ทรงละทิ้งสังขารทั้งปวง เหมือนงูลอกคราบอันเก่า ดังต้นไม้สลัดใบเก่าแล้วเสด็จนิพพานเหมือนไฟดับ ฉะนั้น พระพิชิตมารผู้ประเสริฐบรมศาสดาพระนามว่าปทุม เสด็จนิพพาน ณ ธรรมาราม พระธาตุของพระองค์แผ่ไปกว้างในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=7605&Z=7658 แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 55 15:21:29 จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 15:17:12

ความคิดเห็นที่ 11 สวัสดีครับ ร่วมสนทนาต่อ.    เรื่องความต่างระดับ หมายถึง    ทิ้งจากที่มืด ไปยังที่สว่าง  ก็เป็นสิ่งที่ดี ในระดับพื้นฐาน    ทิ้งจากที่สว่างสลั่วๆ  ไปยังที่สว่างกว่า  ย่อมเป็นสิ่งที่ดีขึ้นกว่า    ในที่นี้ คำว่า ธรรมปฏิรูป คือธรรมที่ก่อให้เกิดความสลั่วๆ คลุมเคลือ สับสน ไม่ชัดเจน วนเวียนอยู่ที่เดิม เหมือนเป็นดังวาสนา เมื่อเกิดชมชอบย่อมติดอยู่ตรงนั้น สละได้อยาก.      ข้างบนนั้น ธรรมปฏิรูป เป็นอุปสรรค์        ดังนั้นธรรมปฏิรูป เมื่อยังมืดแล้วไปชมชอบติดอยู่ การที่จะทิ้งที่มืดไปยังที่สว่าง ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก เหมือนน็อดตัวผู้ตัวเมีย ที่เป็นเบอร์เดียวกัน แต่ร่องเกรียวหยาบและละเอียดต่างกัน  ย่อมขันเข้าได้ แต่ถ้าฝืนขันให้ได้ เกรียวทั้งตัวผู้และตัวเมียย่อมพังเสียประโยชน์และย่อมพังไป ในชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น      แต่ถ้าเมื่อมายังที่สว่างแต่ยังสลั่วๆ แล้ว ไปติดไปชมชอบอยู่กับธรรมปฏิรูป การที่จะทิ้งจากที่สลั่วๆ ไปยังที่สว่างกว่าย่อมเนิ้นช้า หรือวนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่ไปที่สว่างกว่า เหมือนดังมีม่านบังไม่ให้เห็น หรือเหมือนดังน็อดตัวผู้ตัวเมีย ที่เบอร์เดียวกัน เกรียวสัมพันธ์กัน แต่มีเศษดินเศษทรายติดอยู่ ทำให้ขันน็อตนั้นได้อยากหรือไม่สำเร็จแน่นหนา ต้องแก้ไข ใส่น้ำมันหรือถอดออกมาใหม่เพื่อชำระล้างเศษดินหรือทราย(ธรรมปฏิรูป)นั้นออกไป.     แต่ในบางกรณี ด้วยเพราะธรรมปฏิรูป ที่เปรียบดังเศษดินเศษทรายนั้น ทำให้การขันน็อตนั้นเปียนเกรียว ทำให้เสียเวลาไปทั้งชีวิต เพื่อตาบเกรียวใหม่เป็นชีวิตใหม่มากกว่า 3 ครั้ง จึงรู้ว่าต้องให้สะอาดก่อนจากธรรมปฏิรูปที่ติดอยู่ กับเกรียวชีวิตใหม่นั้น จึงทิ้งจากที่สว่างสลั่วๆ ไปยังที่สว่างกว่าได้.     นั้นเป็นการเปรียบเีที่ยบตามความเข้าใจของตนเอง นะครับ. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 15:54:22

ความคิดเห็นที่ 12 คห. 9 สมเด็จองค์ปฐมท่านมีพระนามว่า พระสิกขีทศพลที่1  พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถึงท่านมีอยู่จริง ....ค้นในพระไตรปิฎกและอรรถกถา 91 เล่ม  "ยังไม่เจอครับ" จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 16:26:20

ความคิดเห็นที่ 13 ในพระไตรปิฎกมีคำว่า "นิพพานธาตุ" หลายที่ด้วยกันครับ โปรดอย่าดูเบาครับ  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการแยกแยะ  คือ ไม่ยืนยันไปทางใดทางหนึ่ง (คำกล่าวนี้ ศึกษาได้จากคำตัดสินของพระเจ้าอโศกที่กำจัดอลัชชี แฝงตัวมาบวช) จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 16:50:35

ความคิดเห็นที่ 14 -+( ตอนแรกไม่เชื่อ แต่มีในคัมภีร์ของกรมศิลปากร อยู่ในเถรวาทของพวกเรา เคยมีพระพุทธเจ้าองค์แรกจริง ๆ แต่ปรินิพพานไปนานแล้ว ) -+ข้อมูลหาอ่านได้ในหอสมุดแห่งชาติครับ -+พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ มีอยู่ จริง ๆ และมีคัมภีร์ปฐมมูลรับรองพระนาม คือ " พระติกขะคัมมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า" -+หอสมุดแห่งชาติ มีคัมภีร์เก่า ๆ มากมายที่ยังไม่ได้แปล และมีสุดยอดคัมภีร์อีกหลาย ๆ คัมภีร์ที่ คนไทย ยังไม่รู้ และเป?นของเถรวาทแท้ ๆ ด้วย ครับ -+พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป?นพระพุทธเจ้าองค์ ปฐม ที่พระพุทธเจ้าองค์ป?จจุบัน ทรงตรัสแสดงแก่ท่าน " พระอัญญาโกณฑัญญะ" และ พระปฐมสาวกทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ก็จะทูลถาม พุทธประวัติ ของ " พระพุทธเจ้าองค์ปฐม" พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตทุกพระองค์ก็จะทรงตรัส แสดงให้ฟ?งปฐมสาวกได้ฟ?ง แม้มาในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน คัมภีร์นี้เป?นคัมภีร์ที่เก่าแก่มาก ต้นฉบับ เป?น " ภาษล้านนา " คณาจารย์ของกรมศิลปากร ได้แปลรวมไว้อยู่ใน หนังสือ เล่มใหญ่ ชื่อ " โลกุปปัตติ อรุณวดีสูตร ปฐมมูล ปฐมกัป มูลตันไตรย " -และถ้ามีป?ญหาถามว่า " พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระ พุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่าอะไร ? พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อุบัตขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ อื่นใดมาก่อนเลย เพราะยังไม่มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่องค์เดียว พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ใช้ระยะเวลาในการประทับนั่งบน โพธิบัลลังก์เป?นเวลา ยาวนานกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง คือ ทรงใช้เวลา 5,000 ป?นั่ง ประทับตรัสรู้อยู่ใต้ต้นไม้ 25 ต้น ๆ ละ 200 ป? เพราะ พระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี และ ไม่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์ ใดพระองค์มาก่อนเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมูล พระองค์นั้น ทรง พระนามว่า " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า " พระองค์มีพระชนม์มายุ 100,000 ป? แล้วจึงเสด็จดับขันธ ปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงพยากรณ์เป?นพระองค์แรก ว่า " ต่อไปภายภาคหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่ง จะมาตรัสรู้ต่อจาก พระองค์ จะมี 3 ตระกูล คือ 1. ป?ญญาธิกะ 2. สัทธาธิกะ 3. วิริยาธิกะ ซึ่งมีเหตุมาจาก มานพ 3 คน ได้มีสัทธาเลื่อมใสป?้น พระพุทธรูปเหมือน " พระติกขะ" คนแรก มีวิริยะน้อย และต้องการจะป?้นให้เสร็จเร็ว พระรูปที่ ป?้นจึงมีขนาดเล็กที่สุด ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?นพระพุทธเจ้าประเภท "ป?ญญาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยเพื่อให้ตรัสรู้ได้เร็วที่สุด และ พระวรการก็เล็ก เหมือนกับพระรูปที่ป?้น คนที่ 2 มีสัทธามาก แต่มีวิริยะน้อย ป?้นเหมือนพระติกขะ มากกว่าคนแรก พระรูปมี ขนาดปานกลาง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?น พระพุทธเจ้า ประเภท "สัทธาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างพระบารมีปาน กลาง คนที่ 3 มีวิริยะแก่กล้ามากที่สุด และต้องการจะป?้น พระพุทธรูปให้เหมือน "พระติกขะ" มากที่สุด จึงได้ใช้ระยะเวลาในการป?้นนานที่สุด และ พระพุทธรูปที่ป?้นขนาด ใหญ่เท่าองค์จริง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?น พระพุทธเจ้าช้าที่สุด แต่ มีพระรูปกายสูงใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการสร้าง บารมีนานที่สุด นี่คือ มูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของ " พระพุทธเจ้า 3 ประเภท" ****ดีแล้วถูกแล้วที่ยังไม่เชื่ออะไรโดยง่าย จากคุณ : นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะ (NetPop) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 16:57:38

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่เชื่อไม่ผิดแต่ให้ระวังการปรามาสโดยไม่รู้ตัว จากคุณ : นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะ (NetPop) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 16:59:43

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่เชื่อ ภิกษุสมัยนี้  ที่ เสนอคำว่า " สมเด็จองค์ปฐม คือ อย่างนี้ๆ" เพราะ เป็น ชาวพุทธที่ ฉลาด  เข้าใจ กาลามสูตร และ เชื่อ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่า "วิชาอะไรนั้น" ชาวพุทธที่มี มุมมอง หลักพิจารณา เช่น ข้างบนนี้ --- ไม่เกี่ยวกับ คำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"  หรือ "แต่ให้ระวังการปรามาสโดยไม่รู้ตัว " และ ไม่ หวั่นไหวกับ "คำ" ที่ใครๆ ก็ตาม เสนอว่า --ไม่เชื่อไม่ผิดแต่ให้ระวังการปรามาสโดยไม่รู้ตัว --         เพราะ มี ศัทธาแน่วแน่ใน การตรัสรู้ของพระบรมศาสดา พระองค์นี้ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:06:01

ความคิดเห็นที่ 18 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA ปรามาส  แปลว่า ? ดู "สีลัพพตปรามาส"  ตาม ลิงค์ข้างบน สีลัพพตปรามาส (บาลี: สีลพฺพตปรามาส) เป็นศัพท์ในพระไตรปิฎกเถรวาท หมายความถึงความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือความยึดมั่นถือมั่นในการบำเพ็ญเพียงกายและวาจาตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา (ศีล) ของตนว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ซึ่งเป็นเหตุให้ละเลยการปฏิบัติทางด้านจิตใจหรือการใช้ปัญญาเพื่อหลุดพ้น[1] ******************************************************** ตกลง  ปรามาสโดยไม่รู้ตัว --- หมายถึง "?" แน่   *********************************************************                           ปรามาส  -- น่าจะ มีความหมาย คือ ---- เหตุเพราะ ---ฉลาดยังไม่พอ  เพราะ ไม่อาสัย กาลามสูตร ยังไม่มี สัมมาทิฏฐิ อัน เป้นทางสายกลางฯ  ฯลฯ ผลที่ตามมา คือ มีพฤติกรรม "ลูบคลำมั่นหมายลงไปอย่างวิสัยปุถุชน (ปรามาส)" ในสิ่งนั้นๆ  เช่น --- ศีล  คำสอน  พิธีกรรม ลัทธิ วิธีปฏิบัติ (เช่น สมาธิวิชานั่น นี่) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:12:41

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 13 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ในพระไตรปิฎกมีคำว่า "นิพพานธาตุ" หลายที่ด้วยกันครับ โปรดอย่าดูเบาครับ  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการแยกแยะ  คือ ไม่ยืนยันไปทางใดทางหนึ่ง (คำกล่าวนี้ ศึกษาได้จากคำตัดสินของพระเจ้าอโศกที่กำจัดอลัชชี แฝงตัวมาบวช) ^^^^ "พระเจ้าอโศกมหาราช" (ราวๆ พ.ศ. 270)   กับ "พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" (ก่อนพ.ศ. 1 หลัง เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 4 เดือน) ---- มี ฐานะ  ตาม พุทธวงศ์นี้  เหมือนกันหรือ? *********************************************************               ในพระไตรปิฎกมีคำว่า "นิพพานธาตุ" หลายที่ด้วยกันครับ                                               ^^^^ แล้ว มีพรพุทธวจนะ "นิโรธธาตุ"  (นิสรณิยธาตุ)  ด้วย ครับ ดู  http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12177278/Y12177278.html                **************************************** ศึกษา พระพุทธวจนะ แล้ว สรุปเองได้ไหมครับว่า "นิพพานธาตุ (๒)"  กับ "นิโรธธาตุ  (นิสรณิยธาตุ) "  --- เหมือน ต่างอย่างไรท  ตาม พระพุทธภาษิตนั้น จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:17:44

ความคิดเห็นที่ 20 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12177278/Y12177278.html หน้า ๖๐๒ -๓  พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาขน (๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสรณิยธาตุ ๓ ประการ คือ --- เนกขัมมะ (ธาตุ) - เป็น (อนัตตาที่ทรงอยู่ด้วย) ความพ้นไปจากกาม (ทั้ง สังกัปปราคะคือกาม และกามคุณ ๕ อันเป็น วัตถุกาม) ทั้งหลาย --- อารุปปะ (ธาตุ) -  เป็น (อนัตตาที่ทรงอยู่ด้วย) ความพ้นไปแห่งรูปทั้งหลาย --- นิโรธ (ธาตุ)  - เป็น (อนัตตาที่ทรงอยู่ด้วย) ความพ้นไปแห่งสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง (คือสังขตธรรม หรือ สังขารทั้งปวง) ที่เกิดขึ้นเพราะอาสัยเหตุปัจจัย  (อวิชชา ปัจจยา สังขารา) *********************************************************                    ตกลง  ตาม ทิฏฐิ ใดนั้น  ว่าด้วย  "สมเด็จองค์ปฐม" สมเด็จองค์ปฐม เนื่องกับ (๑) ----- เนกขัมมะ (ธาตุ) หรือว่า สมเด็จองค์ปฐม เนื่องกับ (๒) ----- อารุปปะ (ธาตุ)   หรือว่า สมเด็จองค์ปฐม เนื่องกับ (๓) ----- นิโรธ (ธาตุ) แล้ว นิพพานธาตุ ๒  เนื่องกับ ธาตุอะไร? เนกขัมมะ (ธาตุ) / อารุปปะ (ธาตุ)  / นิโรธ (ธาตุ)  ????? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:26:55

ความคิดเห็นที่ 21 ศึกษา  พระพุทธวจนะให้ทั่วถึง เพียงพอ + ปฏิบัติธรรม แบบ ที่พระพุทธเจ้า ทรงเฉือนขี้ริ้วทิ้งออกให้หมดแล้ว  คือ อานาปานสติสมาธิ แบบ อานาปานสติพิสดาร (๑๖)  ที่ตรัสแก่ ภิกษุ อริฏฐะ   ปลอดภัยกว่า  "นั่งล้อม กลุ่มบุคคล ที่ พูดถึง "สมเด็จองค์ปฐม" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:28:35

ความคิดเห็นที่ 22 จะมีสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐมหรือไม่ หรือจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ผมว่าก็ดีทั้งนั้นแหละครับ ถ้าจิตเราระลึกถึงท่านเป็นพุทธานุสติ ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมทรงคุณอันประเสริฐบริสุทธิ์เหมือนกันทุกพระองค์ จากคุณ : time wait for no one เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 18:33:33

ความคิดเห็นที่ 23 สักการะบูชา หรือ จะสู้ ปฏิบัติบูชา ครับ เชื่อว่ามี หรือ ไม่เชื่อว่ามี ผมว่า อีกเรื่อง แต่ เรื่องที่ สอนให้พ้นทุกข์ ท่านเชื่อ แล้ว"ทำ" หรือเปล่า ผมว่า นั้น คือ เหตุ ผลว่า ทำไม พุทธองค์ ถึงทรง สอน สิ่งที่พุทธองค์ได้รู้มา ให้แก่ เหล่าสาวกทั้งหลาย นะครับ ----------- เพิ่มเติม ขออภัย จขกท ที่ นอกเรื่อง นะครับ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 55 19:12:55 จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 19:12:24

ความคิดเห็นที่ 24 "สมเด็จองค์ปฐม" คือ พระพุทธเจ้า ใดนั้น  ที่เกิดจาก อวิชชา ของผู้นั้น  (ไม่ว่าจะอ้าง ผลของสมาธิแบบไหน?) พระพุทธเจ้าพระองค์นี้  ตรัสว่า ทรงเป็นศาสดาไม่มีกำมือของอาจารย์  --- แปลว่า เป็นพระศาสดาด้วย เป้นอาจารยืด้วย ชนิด  ไม่ปิดบังธรรมะ ไรๆ ไว้  ฯ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา  ท่านก็ "เป็นทาสของพระบรมศาสดาพระองค์นี้" พระเถระที่กระทำปฐมสังคายนาคือ "ปฐมพุทธทาส"  ----- ที่มี พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นนาย ฯ ดังนั้น  พระสูตร  ที่ตรัสไว้ ฯ  จึง ตรงตามที่ตรัสไว้  ตามที่ --พระเถระครั้งปฐมสังคายนา  ท่านก็ "เป็นทาสของพระบรมศาสดาพระองค์นี้"  แสดงไว้ ในที่ต่างๆ (ตามภาพ) ไม่มี พระพุทธภาษิต ของพระบรมศาสดา พระองค์นี้ ตรัส ถึง ""สมเด็จองค์ปฐม"  ใน พระไตรปิฎก ชั้น จากพระโอษฐ์ อีกทั้ง  ธรรม วินัย ของพระบรมศาสดา พระองค์นี้ ยังทรงยังอยู่ จะเสียเวลา เพลิดเพลิน ใน พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น  ไป เพื่ออะไร? อีกทั้ง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ล้วนตรัสรู้ อริยสัจ ๔ - ปฏิจจสมุปบาท  เช่น พระบรมศาสดา พระองค์นี้ ยังทรงยังอยู่ 4 บรรทัด  เสนอ สมเหตุ สมผล ไหม? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 19:57:21

ความคิดเห็นที่ 25 ** น่าจะไปถามลูกศิษย์วัดท่าซุงค่ะ ส่วนตัวเรา เชื่อว่ามีค่ะ  พระพุทธเจ้าพระองค์เเรก จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 22:18:11

ความคิดเห็นที่ 26 คห.14 ... " ต่อไปภายภาคหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่ง จะมาตรัสรู้ต่อจาก พระองค์ จะมี 3 ตระกูล คือ 1. ป?ญญาธิกะ 2. สัทธาธิกะ 3. วิริยาธิกะ ซึ่งมีเหตุมาจาก มานพ 3 คน ได้มีสัทธาเลื่อมใสป?้น พระพุทธรูปเหมือน " พระติกขะ" คนแรก มีวิริยะน้อย และต้องการจะป?้นให้เสร็จเร็ว พระรูปที่ ป?้นจึงมีขนาดเล็กที่สุด ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?นพระพุทธเจ้าประเภท "ป?ญญาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยเพื่อให้ตรัสรู้ได้เร็วที่สุด และ พระวรการก็เล็ก เหมือนกับพระรูปที่ป?้น คนที่ 2 มีสัทธามาก แต่มีวิริยะน้อย ป?้นเหมือนพระติกขะ มากกว่าคนแรก พระรูปมี ขนาดปานกลาง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?น พระพุทธเจ้า ประเภท "สัทธาธิกะ" คือ ใช้เวลาในการสร้างพระบารมีปาน กลาง คนที่ 3 มีวิริยะแก่กล้ามากที่สุด และต้องการจะป?้น พระพุทธรูปให้เหมือน "พระติกขะ" มากที่สุด จึงได้ใช้ระยะเวลาในการป?้นนานที่สุด และ พระพุทธรูปที่ป?้นขนาด ใหญ่เท่าองค์จริง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป?น พระพุทธเจ้าช้าที่สุด แต่ มีพระรูปกายสูงใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการสร้าง บารมีนานที่สุด นี่คือ มูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของ " พระพุทธเจ้า 3 ประเภท"  ****ดีแล้วถูกแล้วที่ยังไม่เชื่ออะไรโดยง่าย จากคุณ : นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะ (NetPop)  เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 16:57:38  (...ที่ขีดเส้นใต้ และทำเป็นตัวหนาสีส้ม  น่าจะคือคำว่า "ปั้น"  ) ผมสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า    ทำไมในพระไตรปิฏกและอรรถกถา 91 เล่ม   ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย   (ผมว่าชุด 45 เล่ม ก็ไม่น่าจะมี) ไม่ได้กล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าเลยว่า เกิดจากการ"ปั้น" รูป  และพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ไม่เคยเล่าเลยว่า ท่านบำเพ็ญบารมีโดยปั้นรูปพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมา  และเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ใน  พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒   เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าองค์ที่ผ่านมารวมทั้งพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็หาไม่เจอ  อย่างน้อยก็น่าจะทิ้งติดๆ ไว้สักคำสองคำ แต่ก็หาไม่เจอ ? ...เป็นไปได้หรือว่าเรื่องสำคัญๆ แบบนี้ จะตกๆ หล่นๆ หรือสูญหายไปจากการบันทึกในพระไตรปิฏก ?   จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 22:23:24

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าเป็น คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ถือว่าเป็น อาจาริยวาท ครับ ไม่ตรงกับพระไตรปิฏก อรรถกถา ใด ๆ รวมทั้งแนวปฏิบัติเรื่อง มโนมยิทธิ การไปเห็น นรก สวรรค์ นิพพาน -------------------------------------------------- สมเด็จองค์ปฐม มีจริงหรือไม่ ? สมเด็จองค์ปฐม มีอยู่ในพระไตรปิฏกหรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาหรือไม่ http://larndham.org/index.php?showtopic=23573&st=1#entry310630 http://larndham.org/index.php?showtopic=19173&st=9#entry194379 สมเด็จองค์ปฐม  ไม่มี มีแต่  " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งพระชนมายุ  100,000  ปี "        ซึ่งมีปรากฎอยู่ในคัมภีร์โบราณของล้านนา  ชื่อ  " ปฐมมูล "  ซึ่ง  กรมศิลปากร        เก็บรักษาไว้                      (  คัมภีร์นี้  เกิดก่อน " หลวงพ่อฤาษีลิงดำ "  หลายพันปี )                          พระติกขะคัมมะ  เป็นมูลแห่งพระพุทธเจ้า  3  ประเภท            คำกล่าวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  เป็นเพียง  อาจาริยวาทะ  เท่านั้น            จัดเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักน้อยมาก  เมื่อเทียบกับ  " คัมภีร์ปฐมมูล " (  คุณธนวัฒน์  ควรเข้าใจลำดับ  ของ  หลักฐาน  ให้ถูกต้อง  ไม่ใช่  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  พูดแล้ว  ก็ถือเอาว่า  ถูกที่สุด  ซึ่งที่จริงแล้ว  เป็นเพียง  อัตตโนมติ  เท่านั้น  ใช้รับรองไม่ได้  ) สมเด็จองค์ปฐม   ไม่มี ผู้ใดกล่าวว่า   มีสมเด็จองค์ปฐม ก็ต้องไล่สอบกันตามหลักฐาน ตั้งแต่    พระบาลี            อรรถกถา            มหาฎีกา            จูฬฎีกา            คันถี   ปกรณ์ หากสอบสวนแล้วไม่มี    ให้เรียกว่า  เป็น  " อาจาริยะวาทะ "   (  นี่คือ  การศึกษาเพื่อตรวจสอบ  วาทะที่มีการกล่าวอ้างของภิกษุในพระพุทธศาสนา ) จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 55 05:56:41

ความคิดเห็นที่ 28 โดยคุณพระนาย  จากกระทู้เก่าใน  ลานธรรมเสวนา http://larndham.org/index.php?/topic/18118-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88/ พระพุทธเจ้าองค์แรกที่อุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์  ใน  " ปฐมมูล " ทรงพระนามว่า                      " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า" ทรงบำเพ็ญพระบารมีใต้ต้นไม้ตรัสรู้  25  ต้น ๆ ละ  200  ปี พระองค์เป็นผู้บัญญัติ  " ภาษาอักษร "  ใน  ภาษาบาลี  และทรงพยากรณ์ตระกูลของ พระพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้ต่อไป  หลังจากที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ว่าจะมี      3    ตระกูล คือ 1.  ตระกูลพระพุทธเจ้า  ประเภท  " ปัญญาธิกะ" 2.  ตระกูลพระพุทธเจ้า  ประเภท  "สัทธาธิกะ" 3.  ตระกูลพระพุทธเจ้า    ประเภท  "วิริยาธิกะ" ถ้าใครได้ศึกษาคัมภีร์  " ปฐมมูล"  จะไม่เกิดความสงสัยเลยว่า              " พระพุทธเจ้าองค์แรก  มีหรือไม่ ? " เพราะลำดับการนับ  2 3 4 5 6 7 8 9 ...  100 ....200  ... ยังมีได้ แล้ว  พระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่อุบัติขึ้นก่อนทุกพระองค์ก็ต้องมี หมายเหตุ        ข้อมูลนี้ เป็นคัมภีร์ของล้านนา  ชื่อ  " ปฐมมูล"  บันทึกเป็นภาษาบาลี   เก่าแก่มากจนเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร  ต้องเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังที่สุด        พระพุทธเจ้าติกขะ  ทรงใช้เสียงร้อง  อะ อา ของเด็กทารก  มาเป็นมูลในการบัญญัติภาษาบาลี  เพราะในกาละนั้น  ไม่มีภาษาอักษร  มีแต่ภาษาเสียง หอสมุดแห่งชาติ  แปลคัมภีร์นี้แล้วเผยแพร่แก่ประชาชน ในปฐมมูล  ปรากฎข้อความเป็นภาษาบาลี  แล้วแปลเป็นไทยว่า " ดูก่อน  โกณฑัญญะ  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  ติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเทสนาสั่งสอนปาณสัตว์ทั้งหลาย  ให้ได้เข้าถึง พระนิพพาน  นานประมาณได้ 28 อสงไขย  160  โกฏิ  ปลายแสนตัวสัตว์  สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ทรงมีพระชนมายุได้  100,000  ปีก็ปรินิพพานแล  ดูก่อน  โกณฑัญญะ    ความเป็นมาของนิทานนี้  สืบเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าที่มีมา แล้วแต่ปางก่อนทุกพระองค์  ทรงเทสนาต่อ ๆ กันมาโดยลำดับ  และในคัมภีร์นี้  ยังมีบาลี  ที่กล่าวถึงการสั่งสมพระบารมี  ของ  พระสังกัจจายะ นะเถระ  อย่างละเอียด  เมื่อครั้งศาสนาของ  พระพุทธเจ้า " อโนมทัสสี"  ครูบาอาจารย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร  และจบเปรียญธรรม 9  ประโยคหลาย ท่าน  ได้ตรวจสอบเทียบเคียงกับ  พระไตรปิฎก  และอรรถกถาหลายเล่มแล้ว  และเห็น ว่าเป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงมูลเหตุแห่งพระพุทธศาสนาจริง  สมดังชื่อคัมภีร์  " ปฐมมูล" จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 55 06:03:31

ความคิดเห็นที่ 29 ก็อย่าให้กลายเป็น พวกมากลากไป ก็แล้วกันครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 55 12:10:08

ความคิดเห็นที่ 30 ...ขอขอบคุณ"เฉลิมศักดิ์" ที่เข้ามาสืบกระทู้ย้อนหลังให้  เรื่องราวแห่งการมีหรือไม่มีองค์ปฐม ยังไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นใหญ่ที่สุด ที่กลุ่มผู้ศึกษาพุทธศาสตร์มักรู้กันคือ "มีเมืองนิพพาน" รอผู้หลุดพ้นไปอยู่ และมีผู้ไปเห็น ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า นี่แหละครับไปขัดกับ ... พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 66   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว     ยังดำรงอยู่     เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตดำรงอยู่  ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     พวง มะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว  ผลใดผลหนึ่งที่ติดขั้วอยู่  ย่อมติดขั้วไป  ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย        กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพชาติแล้ว ก็เหมือนฉันนั้น    ยังดำรงอยู่    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคต ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่    ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต. จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 10:35:47

ความคิดเห็นที่ 31 (แก้คำหน่อยครับ) แก้เป็น ... ...ขอขอบคุณ คุณ"เฉลิมศักดิ์1" .... จากคุณ : Olive2004 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 10:38:04

ความคิดเห็นที่ 32 พิสูจน์ดูให้แจ้งแก่ใจตน ด้วยการปฏิบัติ อย่ามัวแต่นั่งอ่านตำรา แล้วมาเถียงกันให้กิเลสมารมันฟูให้มานะทิฐิมันครองใจเลยครับ จากคุณ : ทำซ่ะ (คุณตาทิพย์) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 18:36:31