กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 25
|
 |
โอ้..อินเดีย 25
เช้าวันนี้พวกเราถูกปลุกตั้งแต่ เช้ามืด เพราะหัวหน้าทัวร์ต้องการให้ไปดู...แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี ที่อินเดียนี่ มีอะไรแปลก ๆ มากมาย คนอินเดีย ก็คิดอะไร เชื่ออะไรแปลก ๆ เยอะแยะ อันนี้ตามความคิดของผมแต่ผู้เดียวนะ... คนที่นี่เค้ามีนิยายปรัมปรา หลายเรื่องที่พวกเค้ารู้สึกเป็นจริงเป็นจัง เช่นเรื่อง มหาภารตะ , รามเกียรติ์ , วิกรมาทิตย์ ....... ซึ่งหลาย ๆ เรื่องนั้นมีชื่อเมืองเกี่ยวพันกับ พาราณสี เกือบทั้งนั้น พระอาจารย์วิทยากร ท่านก็บอกว่า พาราณสีเป็นอินเดียแท้ ๆ ใครอยากเข้าใจคนอินเดีย ก็ให้มาที่นี่
อีกประการก็คือ เมืองนี้ถือว่าเป็นหัวใจ หรือเป็นป้อมปราการ ของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ไม่มีใครหรือศาสดาองค์ไหน เข้าแทรกแซงทำลายได้ แม้แต่ พระพุทธองค์บรมศาสดา ของพวกเราก็ยังหลีกเลี่ยงไม่อยากยุ่งเกี่ยวเท่าใดนัก หากว่าในตอนนั้น ปัญจวัคคีย์ ไม่ได้อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เราก็อาจจะไม่ได้ยินชื่อเมืองนี้ ในประวัติพุทธศาสนาเลยก็ได้ เมื่อโปรดปัญจวัคคีย์ และพระสาวกรุ่นแรกรวม 60 องค์ แล้วส่งไปประกาศพระศาสนายังทุกสารทิศ ส่วนพระพุทธองค์เอง ก็ไปที่ ตำบลอุรุเวลา เพื่อโปรดสอนพวกชฎิล 3 พี่น้อง ซึ่งมีสาวกอยู่รวมถึง 1,000 คน ยุทธศาสตร์ของพระองค์แยบยลมาก ใช้หลัก...ยิงคนให้ยิงม้า จับโจรให้จับหัวหน้า ท่านปราบพี่ใหญ่ อุรุเวลกัสสปะ ให้ยอมรับอย่างราบคาบได้ ทำให้น้อง ๆ คือ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ก็ยอมตามด้วย แล้วพระบรมศาสดา เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นนับถือการ...บูชาไฟ มาตลอด จึงทรงแสดง อาทิตตปริยายสูตร อันว่าด้วยโทษแห่ง ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ จนกระทั่งบรรลุธรรมทั้งหมด แล้วจึงนำขบวนไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ในกรุงราชคฤห์ โดยพระองค์ท่านก็ไม่ได้คิดจะข้องแวะ พาราณสี เมืองที่ตั้งมั่นของฮินดูอีกเลย
ต่อมาพวก อิสลาม บุกรุกรานเข้ามามีอำนาจในอินเดียอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรเมืองพาราณสี ไม่ได้ ถึงแม้จะมาในยุคหลังที่ อังกฤษ เข้าปกครองอินเดียทั้งประเทศ แต่ก็ทำอะไร เปลี่ยนแปลงอะไร หรือครอบงำเมืองนี้ไม่ได้เลย ความเจริญทางวัตถุ และไลฟ์สไตล์ตะวันตก คนที่นี่ปฏิเสธหมด
ระหว่างทางที่รถวิ่งไปยัง แม่น้ำคงคา ผมเห็นสิ่งที่นึกไม่ถึง... มีรถตู้คันหนึ่งแซงรถบัสของเรา ผมมองไปเห็นคนนั่งอยู่เกือบเต็มรถ แต่บน...หลังคา...มีสัมภาระบางอย่างถูกมัดอยู่ ลักษณะเป็นห่อผ้ายาว ๆ เมื่อเข้ามาใกล้หน้าต่างที่ผมนั่งอยู่ถึงได้เห็นชัด ๆ ว่า สิ่งที่เค้ามัดเทินไว้บนหลังคารถน่ะ...ไม่ใช่สัมภาระ แต่เป็น...ศพคนตาย ห่อผ้าขาวไว้มิดชิด แทนที่จะใส่ไว้ในตัวรถอย่างที่บ้านเมืองอื่นเค้าทำกัน ดั๊น..น..เอาไปมัดไว้บนหลังคา...บนหลังคา นะนายจ๋า ผมเห็นแล้ว ช๊อค ไปชั่วขณะ
เราไปถึงในเวลายังเช้ามืดมาก หัวหน้าทัวร์ สั่งให้รถบัสไปจอดให้ใกล้แม่น้ำ ให้มากที่สุด แต่ก็ยังห่างจาก ท่าน้ำ มากพอสมควร พวกเราต้องลงเดินไปตามทางเล็ก ๆ ทางน้อย ๆ อีหลุกขลุกขลักชะมัด แต่ระหว่างทางก็ได้เห็น เรื่องราว ความเชื่อ ความจริงของชีวิตคนอินเดีย ผู้คนที่อยู่ด้วย ศรัทธา หรืออะไรบางอย่างพยุงชีวิตพวกเค้าไว้ ตลอดทางที่เดินไป ผมแทบจะไม่เห็นสิ่งที่เป็นเรื่องยั่วยุกิเลส ตัณหา เหมือนบ้านเมืองอื่น เห็นก็แต่คนเร่ร่อน ขอทาน คนยากจน ระเกะระกะไปหมด มีวัว แพะ นอน หรือเดินไปมาแบบไม่มีการบังคับ หรือผูกมัด จะยืน จะเดิน จะนอน จะขี้...ตามสบาย บนถนนก็มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งวุ่นวาย บีบแตรลั่นตลอดเวลา มีรถสามล้อถีบ จักรยาน และก็ วัว ชุลมุนไปหมด ยิ่งใกล้ถึงท่าน้ำ ก็จะเจอพวกโยคี หรือนักบวชประเภทต่าง คนทั้งหลายพากันเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน คือ ท่าน้ำ ซึ่งเห็นว่ามีทั้งหมดตั้ง 64 ท่า
หลังจากเดินกันอย่างเลิ่กลั่ก ระมัดระวังเหยียบ...ขี้ ไม่รู้ว่า ขี้ อะไรบ้างมันทั้ง ขี้วัว ขี้แพะ ขี้แขก ขี้คน แล้วก็มาถึงบริเวณท่าน้ำจนได้... ทางหัวหน้าทัวร์เหมาเรือให้พวกเรา 2 ลำ สังเกตุดูนะ โอ้โฮ...ผู้คนมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งผู้แสวงบุญ ทั้งคนแขกอินเดียทั้งชาย ทั้งหญิง ทั้งนักบวช โยคี และอื่น ๆ อีกมากมาย ในน้ำก็มีเรือนักท่องเที่ยวแสวงบุญ นักท่องเที่ยวฝรั่งผจญภัย นักท่องเที่ยวแบบเศรษฐีก็มี ที่ท่าน้ำตลอดทางมีคนมาอาบน้ำ ซักผ้า ดำผุด ดำว่าย บางพวกก็ยืนพนมมือท่วมหัวภาวนาไม่สนใจใคร บางคนก็ทำอาการคล้าย ๆ โยคะ หรือนั่งสวดมนต์ออกท่าออกทางต่าง ๆ คนขับเรือก็พาพวกเราแล่นช้า ๆ เลียบตามริมฝั่งไปเรื่อย ๆ จนมาถึงบริเวณที่เค้าบอกว่า ท่ามณีกรรณิการ์ อันโด่งดัง ท่าน้ำที่เชื่อกันว่า กองไฟของการเผาศพ ไม่เคยดับมอดมาเป็นพันปีแล้ว คนอินเดียเชื่อกันอย่างจริงจังว่า แม่น้ำคงคา คือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดได้มาอาบ มาดื่มกิน มาสวดมนต์ภาวนา และมา ตาย ที่นี่จะได้ขึ้นสู่สวงสวรรค์...ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือเลวแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกคน...ทู๊ก.ก..คน ก็จะพยายามตะเกียกตะกายมาถึงให้ได้ ถ้าแค่ใกล้ตาย ยังไม่สิ้นลม ก็จะให้ญาติพี่น้องช่วยพามาเช่าที่พักอยู่ริมแม่น้ำคงคานี้ ซึ่งมีมากมายเป็นอาคารขนาดใหญ่แบ่งห้องเล็ก ๆ ไว้ เรียกกันว่า...มรณาโฮเต็ล เมื่อสิ้นใจ ตาย ก็ต้องรีบเผาที่ริมแม่น้ำภายในไม่เกิน 24 ชั่วโมง เท่าที่เห็น ศพ ยังไม่ทันแข็งตัวก็เผาแล้ว บางรายแก่มาก ป่วยหนัก รีบมาเช่าพักอยู่แต่อยู่ไปหลายวันแล้วไม่ตาย ญาติก็ต้องพากลับไปบ้านก่อน เอาไว้ใกล้ตายอีกทีค่อยมากันใหม่ แต่บางราย ไม่ตาย เกิดหายจากโรคที่เป็น ทว่าธรรมเนียมบางแห่งมองว่าเป็น กาลกิณี ไม่ให้เข้าบ้านแล้วก็มี โธ่...น่าเศร้าที่สุด
พวกเราลอยเรือมาถึงท่าน้ำที่ใช้เผาศพนี้ พอดีมีการหามศพมาเตรียมไว้ พระอาจารย์เลยให้คนขับพาเข้าไปหยุดดูใกล้...แต่ห้ามถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เด็ดขาด เราเลยโชคดีได้เห็น พิธีการ อย่างละเอียด คนงานที่หามมาแล้วก็ต้องเอาจุ่มน้ำชำระล้าง 3 5 ครั้ง แต่ทว่า ศพ รายนี้เป็นผู้ชายแก่ตัวใหญ่มาก อ้วนอีกต่างหาก เลยไม่สามารถหามลงไปจุ่มน้ำได้ จึงใช้วิธีแก้เอาผ้าพันห่อศพออก พวกเราถึงได้เห็นกันอย่างชัดเจน ไม่มีเซนเซอร์ ศพชายแก่ร่างใหญ่นี้ มีเพียงผ้าขาวนุ่งมาผืนเดียวเท่านั้นเอง พวกเขาจับ ศพ นั่งแล้วตักน้ำในแม่น้ำมาราดรดทำความสะอาดไปทั่วตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วค่อยพันผ้ากลับเข้าไปใหม่ จากนั้นก็ช่วยกันแบกไปวางไว้บนกองฟืนที่เตรียมไว้ เอาฟืนอีกหลายท่อนวางทับไปบนร่างอีกที แล้วก็ราดน้ำมันจุดไฟเผากันสด ๆ เห็น ๆ ใหม้หมดฟืน พอไฟมอดทิ้งให้เย็นแล้วโกยเถ้าถ่านทิ้งลงแม่น้ำ ซึ่งพระอาจารย์อธิบายว่า ฟืนที่อินเดียนี้ราคาแพงมาก ถ้ารวยหน่อย พอมีเงินซื้อฟืนได้เยอะ ก็จะเผาได้หมดเกลี้ยง แต่ถ้ายากจนไม่ค่อยมีเงิน ก็จะซื้อฟืนได้นิดเดียว เผายังไม่ทันหมดทั้งตัว ไฟก็มอดแล้ว ก็ต้องโกยเอาที่เหลือทิ้งลงไปในแม่น้ำอยู่ดี ระหว่างนั้นก็เห็นมีศพอื่น ๆ หามมารอคิวเผากันอีกหลายราย อ้อ...ท่านอธิบายว่า มีศพบางประเภทที่เขาไม่เผา แต่ห่อผ้าแล้วหย่อนลงแม่น้ำคงคาไปเลย ถ้าจำไม่ผิดก็ นักบวช , หญิงม่าย , เด็ก และคนที่ถูกงูกัดตาย แล้วบางทีก็มีนักบวชนิกายประหลาด ที่เรียกว่า...อกุลี จะคอยแอบเก็บเอาไปทำ พิธีกรรม บางอย่างต่ออีกที ฟังแล้วออกแนวไสยมืดยังไงก็ไม่รู้ แฮะ
ระหว่างที่เรากำลังดูการเผาศพอยู่นั้น ก็เห็น...หมา สุนัขนั่นแหละ เดินป้วนเปี้ยนไปมาหลายตัว แล้วเจ้ากรรม เอ๊ย.... มีตัวหนึ่งมันเดินลุยลงไปในน้ำตื้น ๆ ไปคาบ...แขน ที่มีมือติดมาด้วย เอามานั่งแทะกิน...อึ๋ย..ย...ย เห็นแล้วจะอ๊วก
ดูจนหนำใจแล้ว เราก็แล่นเรือออกไปกลางแม่น้ำ ทำพิธีลอยกระทงที่ทำจากใบไม้ เพื่อขอขมา...พระแม่คงคา ระหว่างที่ลอยเรืออยู่กลางแม่น้ำ ยังเห็นมีห่อผ้าที่มีอะไรบางอย่างข้างใน ลอยกะผลุบกะโผล่ อยู่ก็มี แสดงว่านับเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ในท้องแม่น้ำคงคาสายนี้ จะต้องมีกระดูกคนทั้งที่เผาแล้ว และไม่ได้เผา อยู่จำนวนมากมายมหาศาลซักแค่ไหนเนี่ยะ
พระอาจารย์มหาเกษม ที่อยู่ลำเดียวกับพวกผมอธิบายว่า... ที่อินเดียนี่ มีข้อดีอย่างหาที่ไหนไม่ได้ คือ...สัจจธรรม เราจะเห็น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างชัดเจน พวกเค้าได้ใกล้ชิดความเป็นจริง โดยไม่มีการปิดบังอำพราง มากกว่าคนในสังคมอื่น ประเทศอื่น ทำให้พวกเค้าเหล่านั้น ปล่อยวางกิเลส ตัณหา อุปาทานได้ง่าย ให้สังเกตุดูนะ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่แบบง่าย ๆ ปฏิเสธความฟุ้งเฟ้อแบบสังคมตะวันตก เพราะเขาเห็นเทวทูตทั้ง 4 อยู่แทบทุกวัน เข้าใจดีเลยว่า...จะเอาอะไรไปมากมาย เดี๋ยวก็ตายกลายเป็นศพ นอนบนกองฟืน แล้วก็มอดไหม้หมดไม่มีเหลือ ที่บ้านเมืองของเราซะอีก นะ...ปกปิดความเป็นจริง ความน่าเกลียด ความตายก็ใส่โลงปกปิดติดลวดลาย อย่างสวยงาม เผากันในเตา กันอุดจาดไม่มีใครเห็น ทิ้ง ความดี ไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม เหลือแต่ ความชั่ว เอาติดตัวไปเท่านั้น เอ๊ะ...พระอาจารย์พูดยังไง ชอบกล
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งหลายเอาทุกสิ่งไปฝากไว้กับพระเจ้า และเทพที่มีอิทธิฤทธิ์ช่วยดลบันดาล ให้พ้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นสารพัด ไม่คิดที่จะทวนกระแส ด้วยกำลังของตัวเอง เอาแต่วิงวอน และทำทุกอย่างให้ถูกใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดที่จะพัฒนาตนเองให้ มีฤทธิ์ มีเดช สามารถต่อสู้กับมารในจิตใจ เห็นความจริงอันเป็น ทุกข์ อยู่ต่อหน้าแท้ ๆ เห็นสัจจธรรม การเกิด ดับ อยู่ตำตา แต่ไม่ใช้...อริยสัจ อันที่จริงชาว ฮินดู เป็นมังสวิรัติซะส่วนใหญ่ ดำเนินชีวิตก็ ละ ลด ปลด วาง มัธยัสถ์กันอยู่แล้ว ศาสนาของเขาเน้นการทำให้เทพเทวาพอใจ ร้องวิงวอนขอความช่วยเหลือ ความเห็นใจ เซ่นสรวงบูชาด้วยอามิส ด้วยชีวิตสัตว์ แล้วก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่รู้อีกกี่ภพ อี่กกี่ชาติ...
เฮ้อ...น่าเสียดาย น่าเสียดาย...
อนณ 089-995-9377 tobeteam@yahoo.com
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 15:19:35
จากคุณ |
:
tobeteam
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 55 01:47:45
|
|
|
|