Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เสนอสรุป ทางธรรม ด้วยศรัทธา เห็น/เป็นทุกข์ สุ่การปฏิบัติบูชาตามลำดับทั้งแต่เกิด ในวันพุทธชยันตรีครบ 2600 ปี ติดต่อทีมงาน

เรื่อง การปฏิบัติบูชาทั้งชีวิตที่ผ่านมา ในวันพุทธชยันตรี ครบ 2600 ปี.

     หมายเหตุ ถึงแม้จะช้ำเดิมเรื่องเดิมๆ แต่เป็นเรื่องของชีวิตจริงๆ ในปัจจุบันและเป็นทุกข์เห็นทุกข์จริงๆ  

     ผมเกิดในชนบท บ้านอยู่ใกล้วัด วัยเด็กประมาณ 3-4 ขวบ ยังไม่รู้จักอะไรๆ ในฐานะทางสังคม แต่ทราบว่าตนเองศรัทธา ในพระภิกษุสงฆ์ หรือชีพราหมณ์ เมื่อเห็น เมื่อเข้าใก้ล จะสงบเจียมตัวจนจิตใจและร่างกายนี้ลีบเลย

     เมื่อโตขึ้นรู้ความ ก็รู้ถึงความต่ำต้อยของฐานะทางสังคมแห่งตนเรื่องสิทธิเสรีภาพ   และความกดดันจากพ่อ ที่มีต่อครอบครัว ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นคนไม่ดี พ่อขยันในการทำงานและเรียนรู้วิชาชีพ แต่ประหยัดจนถี่เหนียว จนมีเงินเก็บแต่ให้ทุกคนในครอบครัวอยู่แบบจนแบบขัดสนไปหน่อย และทุกอย่างต้องเป็นไปตามแนวทางที่พ่อเห็นพ่อคิดเท่านั้น ปิดช่องแม้แต่ความเห็นต่าง.

      จึงมีความทุกข์พื้นฐานจาก ฐานะทางสังคม บวกกับทิศทางของพ่อที่กำหนด ความกดดันจึงตกลงที่ลูกมากกว่าปกติไป  จนพีชายคนโต ซึ่งอายุมากกว่าผม 12-13 ปี ต้องเสียสติบ้าไป เพราะเรียนเก่งอยากเรียนสูงๆ ขึ้น แต่พ่อใม่ให้เรียน เพราะเรียนขั้นอุดมศึกษาไม่ได้ ถึงเรียนมาได้ก็ทำงานอะไรไม่ได้ ฟี่ชายคนโตจึงเริ่มเสียสติเพี้ยนๆ ไป

      ผมเมื่อประมาณ 10 ขวบ ก็เคยนั่งสมาธิตามพระพุทธรูป ในพี่ดู แต่ก็โดนพี่แกล้ง และเมื่อเรียนอยู่ชั้น ป.6 ก็เีรียนเก่งขึ้นตามลำดับ จบ ป.6 จะขึ้น ป.7 (สมัยก่อน) พ่อก็เริ่มบังคับไม่ให้เรียนต่อ

        ดังนั้นทุกช์หนักสามประการ ต้งแต่เกิดมาจนโตขึ้นคือ

        1.ทุกข์เพราะฐานะทางสังคมที่ขาดสิทธิ์เสรีภาพ และโดนคนรอบข้างบางส่วนที่สิทธิ์สมบูรณ์มองในทางต่ำต้อยและดูถูก.
        2.ความกดดันจากพ่อ ที่ไม่ให้เรียนต่อ ในชั้น ม.ศ 1.  
        3.พ่อกดดันให้เป็นไปตามแนวทางของพ่อเท่านั้น

     เมื่อไม่มีทางออก ไม่มีใครสามารถช่วยได้เลย มืดไปทั้งหมดทุกด้าน จึงเห็นว่าอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่อาจจะช่วยได้  จึงเริ่มไหว้พระสวดมนตร์ และอธิษฐานของให้ได้เรียนต่อกับรูปรูปพระ ทุกคืนไม่เคยขาด และเริ่มหัดนั่้งสมาธิตามพระพุทธรูปนั้น ด้วยตนเอง.

(จากข้อความเก่าที่พิมพ์ไว้)
---------------------------------
      แล้วเริ่มหัดนั่งสมาธิด้วยตนเอง โดยจะนั่งตามแบบพระพุทธรูป และคิดไปว่าจะต้องนั่งนิ่งๆ ไม่คิดอะไรไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ข้าพเจ้าต้องแอบหลบไปนั่งสมาธิในห้องนอนไม่ให้ใครรู้
      ในการหัดนั่งสมาธิ แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ ๕ - ๑๐ นาที ไม่สามารถทนได้มากกว่านี้ต้องเลิกเสียก่อน เพราะไม่มีอุบายหรือ อาจารย์สอนในการนั่งสมาธิ  
      เมื่อพยายามไม่คิดอะไร ในขณะนั่งสมาธิความรู้สึกก็ไปรู้ที่ร่างกายมาก และส่วนที่ไปรู้ มากที่สุดได้แก่บริเวณใบหน้า แล้วจะคันตามบริเวณใบหน้าเหมือนกับมีมดหรือแมลงไต่ตามแก้มตามใบหน้า ก็ทนเพราะตั้งใจไว้ว่าไม่ยอมเคลื่อนไหวเด็ดขาด
      บ้างครั้งเมื่อทำงานไม่ถูกใจพ่อเพราะความขี้เกียจของข้าพเจ้า ก็จะโดนพ่อด่าหรือตี ข้าพเจ้าก็จะแอบขึ้นไปนั่งสมาธิในห้อง ด้วยความเสียอกเสียใจน้ำตาจึงเริ่มไหลจากหัวตา ไหลไปตามร่องจมูกมันชั่งจักกระจี่ระคนกับความเสียใจ แต่ก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว จนน้ำตาไหลไปตามมุมปาก และเข้าไปออที่ริมฝีปาก ต้องอดทนจนความเสียใจนั้นหายไป  
     มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อขึ้นไปตามในห้อง เห็นข้าพเจ้านั่ง สมาธิ จึงพูดว่า  "นั่งอยู่ทำไมในห้องมืดคนเดียว จะบ้าหรือ"      
------------------------------------

    ต้องหยุดเรียนไปหนึ่งปี แล้วปีต่อมาเกิดโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมศึกษา เปิดใกล้บ้าน (ตามปกติโรงเรียนมัธยม จะมีอยู่ในตัวจังหวัดเท่านั้น) ผมอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ขอให้แม่พูด จนพ่อใจอ่อน เพราะสัญญาว่า จะเรียนต่อและยังช่วยงานพ่อในการซ้อมจักรยาน ตอนเย็นและเสาร์-อาทิตย์ ดังเดิม.

    แต่โรงเรียนนั้นเปิดได้ปีเดียวก็ปิดไป จนผมต้องไปเรียน ม.ศ 2 ในตัวเมือง ซึ่งพ่อไม่คัดค้าน ปล่อยเลยตามเลย แล้วผมก็ได้ ปฏิบัติกรรมฐานด้วยตนเอง รู้ลมหายใจ ภาวนา "พุทธ" เมื่อหายใจเข้า ภาวนา "โธ" เมื่อหายใจออก.
     ผมปฏิบัติเป็นประจำ และสวดมนตร์ไหว้พระ ก่อนนอนแทบจะไม่เคยขาดแม้แต่คืนเดียว  การเรียนผมก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ มาสดุดตอน ม.ศ. 3 เทอมสอง และ ม.ศ 4 ทั้งปี เพราะต้องการสอบเทียบเพื่อให้ทันเพื่อนที่เสียเวลาไป 1 ปี แต่ก็ไม่มีสิทธิ์สอบ เสียเวลาไปเปล่า
      และเมื่อจะจบ ม.ศ. 5  ปีการศึกษา 2522 ก็สอบติดโคต้า ม.สงขลา คณะวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อสอบสัมพาท อาจารย์ผู้สอบก็บอกว่าไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอดุมศึกษา เพราะขัดกับกฏหมายและกฏกระทรวง  ในช่วงนั้นผมหมดอาลัย ในการเข้าเรียนในมหาลัยปิด..
 
     แล้วพ่อก็ประกาศอย่างชัดแจ้งว่า ไม่ให้ผมเรียนต่ออีกแล้วจะขัดขวางทุกทาง แต่ผมยังมีความหวังที่จะเข้าเรียนในมหาลัยรามคำแหง เมื่อหนีพ่อไปสมัครเรียนเข้ารามคำแหงคณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์  อาจารย์ที่รับสมัครเรียนท่านก็ไม่รับสมัครเมื่อเห็นหลักฐาน และบอกว่า คุณไม่มีสิทธิ์เรียนในระดับอุดมศึกษา ผมอึ่งนิ่งไปเลยรู้สึกหมดอาลัย ต้องกลับไปบ้านนอกทำงานกับพ่อตามปกติ.

      แต่ผมก็ยังปฏิบัติธรรมรู้ลมหายใจ พุทธ - โธ ดังเดิม สวดมนตร์ไหว้พระอธิษฐานขอให้ได้เรียนต่อ ก่อนนอนไม่เคยขาดเช่นเดิม เป็นประจำแทบไม่เคยขาดเลยสักคืน แล้วเกิดเรื่องที่ดีกับผมตอนปลายปี เมื่อมีกฏกระทรวงมหาดไทยเกิดอนุโลม ให้มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้ในบางกรณีไป.

      ด้วยช่องทางนั้นที่เปิดเพียงนิดเดียว ทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์ในการได้รับอนุญาตผมเอาหลักฐานนั้นไปสมัครเรียนที่มหาลัยรามคำแหง ได้สิทธิ์เรียน ในปีการศึกษา 2523 แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาที่สมบูรณ์ เพราะหลักฐานไม่สมบูรณ์ ความทุกข์ความกดดันจึงเกิดกับผมอย่างมากมาย เพราะไม่เคยได้รับใบอนุญาตอย่างแท้จริงเลย และพ่อกดดันทุกหนทาง
      ด้วยเห็นทุกข์หนักนั้น ที่ตนเองอาจจะกลายเป็นคนเสียสติและบ้าได้ จึงกำหนดภาวนารู้ลมหายใจ พุทธ-โธ เมื่อระลึกได้ ทุกเวลา และศึกษาหนังสือธรรมและพระไตรปิฏกบางส่วน ในห้องสมุดมหาลัย โดยให้เวลาพอๆ กับการเรียนคณะวิทยาศาสตร์ แต่เข้าห้องเรียนทุกคาบแทบไม่ขาด

       ผมเห็นทุกข์อย่างมากมายเห็นทุกข์จนตนเองแทบจะผิดเพี้ยนวิปลาสไปได้ ทั้งปกปิดฐานะและกดดันตนเองอย่างมากมาย เสมือนแทบจะทนอยู่ได้ยากทางจิตใจ มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้ปฏิบัติเอาเองได้ศึกษาเอาเองหล่อเลี้ยงใจให้พอดำรงค์อยู่ได้ และผลเกิดทางกายเพราะเหตุการณ์ใน 3 ปีนั้น ยังมีรองรอยอยู่ถึงปัจจุบันคือโรค รุมาตอย และท้องผูกเกี่ยวกับลำใส้ใหญ่ถึงปัจจุบัน.

      เมื่อจะเรียนจบในเวลา 3 ปีในปีการศึกษา 2525 คาบกับปี พ.ศ 2526 ที่กำหนดไว้ ก็ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมเป็นรูปแบบครั้งแรกในชีวิต ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ เป็นเวลา 8 วัน แล้วกลับมาเรียนภาคฤดูร้อน 3 วิชา ที่เหลือวิชาเลือกง่ายของปีหนึ่ง และก็รู้ว่าเรียนจบแน่นอนในเวลา 3 ปี  

     ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเมื่อทิ้งการเรียนทางโลก ไม่ต้องกังวลแล้วจบแน่นอนแล้ว เมื่อปรงใจในการปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ยอมทิ้งชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรมนั้น ซึ่งปรากฏผลการปฏิบัติดังนี้.

    อุปจารสมาธิได้บังเกิดขึ้น

--------------------------
      พอถึงวันที่ 3 จึงปลงใจได้ว่า ยุบหนอ-พองหนอไม่ต้องภาวนา ดูลมหายใจเหมือนเดิม และภาวนาอย่างอื่นเช่น นั่งหนอ-ถูกหนอ เจ็บหนอ คิดหนอ เดินจงกลม คืออะไรเด่นชัดที่สุดภาวนาสิ่งนั้นให้ทัน
      เมื่อความกังวลเริ่มคลายจึงภาวนาสบายขึ้น ตัวเริ่มเบา มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานกำลังดูลมหายใจกระทบท้องอยู่เกิดตัวเบาสว่างนวล เหมือนปุยเมฆ มีความสุขปีติหูยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่แต่เบามากสักพักหนึ่งมีเสียงกระสิบใสตรงทีจิตว่า "ให้พยายามทำต่อไป อย่าได้หยุด"
       หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 หรือ 20 นาที ก็เป็นเวลาช่วงพักกรรมฐาน ความจริงเวลาพักกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ยังกำหนดภาวนาอยู่ทุกเวลาแต่อาจไม่เข้มข้น
       พอวันที่ 4 ของการเข้ากรรมฐานครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าพิจารณาว่าเมื่อลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ต้องพิจารณาให้ทัน จึงต้องมีคำภาวนากำกับ
       ตกลงใจใช้คำภาวนาว่า "ไม่เทียงเป็นทุกข์ " เมื่อหายใจเข้า และ "ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน" เมื่อหายใจออก โดยมีสติตั้งที่ปลายจมูกเป็นหลัก
       และเมื่อหายใจเข้าต้องให้พิจารณาเห็นว่าลมไม่เที่ยงจริงต้องเปลี่ยนไปเป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้  เมื่อหายใจออก พิจารณาเห็นว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆ ยึดถือไม่ได้ ส่วนคำภาวนาอย่างอื่นก็ตามแบบของคณะ 5 ทุกอย่าง  
----------------------------    

      เกิด สมนสนญาณ(วิปัสสนาญาณที่ 3) ที่มีกำลังเทียบเท่ากับ ปฐมฌาน แล้วเกิดวิปัสสนูกิเลส ให้หลงผิดไป ดังนี้.

---------------------------
       พอวันที่ 7 หลังจากพักกรรมฐานช่วง 20.00 น เป็นเวลาที่เตรียมตัวอาบน้ำข้าพเจ้าเห็นว่าช่วงนั้นมีคนใช้ ห้องน้ำกันมาก จึงทำกรรมฐานรอไปเรื่อยๆ
      แล้วเอนกายลงนอนแต่กำหนดภาวนาอยู่ ความรู้สึกก็หายไปมารู้อีก ครั้งคล้ายเป็นนิมิตที่ชัดเจน เห็นพระอายุประมาณ 50 ผิวขาวท้วมกำลังเดินขึ้นกุฏิ ความรู้สึกก็ได้น้อมมาที่จิต ของตนเองและคำนึงขึ้นว่า

       เป็นพระนี้ดีหนอถ้าไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ จะอยู่อย่างสงบสุข

      หลังจากนั้นจิต ก็มีความรู้สึกเต็ม แต่ไม่ได้รู้ที่ร่างกาย แล้วรวมตัวดิ่งลงภวังค์ลึก ถอยขึ้นมารับความรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว รวมตัวลงภวังค์ลึกไปอีก เป็นอยู่ 3 ครั้ง จึงขึ้นมารับรู้ทั้งตัวทันทีทันใด
       หลังจากนั้นร่างกายทุกส่วน ก็สะบัดอย่าง รวดเร็วติดต่อกันหลายครั้ง คล้ายปลาที่โดนตีหัว
       ต่อจากนั้นจิตใจวางเฉยมาก และไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา จึงเตรียมตัวไปอาบน้ำ ขณะที่อยู่ในห้องน้ำพอตักน้ำรดตัวขันแรกก็นึกขึ้นว่า เอะ ! ที่ผ่านมาคืออะไร?
        จึงคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นมรรคผลนิพพาน ก็บังเกิดตัวร้อนวูบวาบด้วยความดีใจ เมื่ออาบน้ำเสร็จขึ้นมาที่ห้อง ได้พูดกับเพื่อนถึงอารมณ์ที่ผ่านมา แล้วเข้าใจว่าเป็นมรรคผลนิพพาน
        หลังจากนั้นร่างกายร้อนวูบวาบมากขึ้น มีปีติบังเกิดขึ้นอย่างมากมายคล้ายระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง นอนไม่หลับต้องนั่งตัวโยกเพราะปีติทั้งคืน
        รุ่งวันใหม่ก็ยังมีปีติอยู่ หลังจากนั้นรู้สึกว่าผิวหนังและกล้ามเนื้อกระชับ ไม่มีอ่อนเพลียและง่วงนอนเลย แถมดวงตาเริ่มมองเห็นรัศมีจากคนทั่วไป และรูปพระต่างๆ ในขณะปกติไม่ใช่ขณะนั่งสมาธิ รัศมีของแต่ละคน นั้นแตกต่างกันตามระดับสมาธิ บุคคลทั่วๆ ไปรัศมีสีเหลืองอ่อนไม่ใสคลุมจางๆ สำหรับผู้ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เป็นสีเหลืองอ่อนใสมากขึ้นพอกับผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้ากรรมฐานวันแรกๆ ที่เข้ามาทำกรรมฐานที่ทำจริง แต่ผู้ที่ทำกรรมฐาน จะทรงอยู่ตลอดเวลา และผู้ที่ทำกรรมฐานที่ดีขึ้นก็จะมีสีใสมากขึ้นแล้วกระจายเป็นวงกว้างมาขึ้น  
       มีผู้ทำกรรมฐาน ถึงอีกระดับหนึ่ง  จะมีรัศมีขาวนวลสว่างคลุมอานาบริเวนกว้างประมาณช่วงแขนของตนเองซึ่งมีน้อยคน
       แต่มีรัศมี ท่านผู้หนึ่งที่ต่างจากบุคคลทั่วไปมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา รัศมีของท่านเป็นสีเหลืองทองอ่อนเข้มข้นระยิบระยับ เคลือบผิวอย่างหนาแน่นห่างจากผิวประมาณครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้ว แม้ว่าท่านจะเดินอยู่กลางแดดจ้าทามกลางฝูงชน รัศมีของท่านก็ยังคงอยู่ ทั้งที่ช่วงนั้นข้าพเจ้ายังมีความศรัทธาในตัวท่านน้อยอยู่มาก แต่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ มากกว่า ท่านผู้นี้คืออาจารย์

       เมื่อข้าพเจ้าสามารถเห็นรัศมีจากผู้อื่นทำให้ข้าพเจ้ามีความหลงในตัวเองมาก ว่าเป็น พระอริยะไปแล้ว
----------------------------------

       ผมหลงอยู่เป็นเวลา ประมาณ 2 เดือน แต่ในเวลา 2 เดือนนั้นผมได้รับทุกข์ทางใจอย่างยิ่ง ในเรื่องฐานะทางสังคมที่กระทบแม้กระทั้งเรื่อง การที่จะบวชเป็นพระก็ยังมีปัญหา ไม่ให้/ไม่ได้บวช   ผมเห็นทุกข์เห็นความกดดันทางจิตใจ อย่างยิ่ง เพราะด้วยเห็นทุกข์เห็นความกดดันทางจิตใจแทบเกินต้านทานนั้น จึงได้สติรู้ว่าเรายังเป็นปุถุชนอยู่ คลายความหลงไปได้ แล้วปฏิญานกับตนเองว่า จะไม่ให้หลงอย่างนี้อีก
       ขณะรอบวชใหม่ในอีกคณะหนึ่ง ทุติยฌาน ก็ได้บังเกิดขึ้น หรือกล่าวได้ว่า ทุติยฌาน และตติยฌาณ ของอานาปานสติ ที่แบ่งเป็น ปัจจฌาน( 5 ฌาน)ได้บังเกิดขึ้น.

----------------------------
    โดยบวชพร้อมกันกับนาคอื่นอีก 6 นาค ต้องรอไปอีก 7-8 วัน และระหว่างที่รอข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อ โดยพิจารณาลมหายใจตามที่กล่าวมา มีเหตุการณ์ในตอนหนึ่งขณะนอนพิจารณาดูลมหายใจอยู่
     ความรู้สึกตัวก็หายไปเหลือแต่จิตอย่างเดียว เป็นสว่างนวลมีปีติเล็กๆ มีสุขเด่นกว่า ทรงอยู่พักใหญ่แล้วถอนมารู้ทั่วตัว
     แล้วเริ่มกำหนดภาวนาใหม่ ก็มีอาการเหมือนเดิมครั้งนี้ใสกว่าเก่า มีปีติสุขละเอียดมากกว่าเก่า ทรงอยู่นานกว่าแล้วถอยออกมาปกติ แล้วก็ไม่พยายามทำต่อเพียงแต่ทรงอารมณ์กรรมฐานไว้        
------------------------------

       เมื่อได้บวชพระ ก็ปฏิบัติธรรม จนเกิด ภยญาณ จนถึง นิพพิทาญาณ แต่การบวชของผมนั้นก็ยังมีปัญหาอีกมีพระที่อยากให้ผมสึกไม่ให้บวชต่ออีกจนได้  เป็นถึงรองเจ้าอาวาส ได้ข้อร้อง(อ้อนวอน) ผมจึงยอมสึกให้ท่าน เป็นอันว่าผมบวชพระเข้าพรรษาอยู่เป็นเวลา 100 วันพอดี.
        เมื่อสึกจากการบวชพระก็เข้ากรุงเทพฯ ปฏิบัติธรรมต่อที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ในทันที่ คือแทบไม่ขาดระยะการปฏิบัติธรรมเลย และได้ทิ้งการรู้ลมหายใจไป เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบของการปฏิบัติธรรม ยุบหนอ-พองหนอทุกกรณี.

        สภาวะธรรมการดับอย่างสิ้นเชิงได้ปรากฏขึ้น.

-------------------------------
         ข้าพเจ้าเริ่มทำกรรมฐานวันหนึ่งประมาณ 20 ชั่วโมง และภาวนาจนหลับไปเองเมื่อร่างกายต้องการพักผ่อนกระทำติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 ของการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ และในวันนั้นหลังสอบอารมณ์ 21.00น
         เมื่อทำการอาบน้ำเสร็จข้าพเจ้าก็ทำกรรมฐานต่อตามปกติ ความชาบนใบหน้าบังเกิดขึ้นมากจนทนนั่งไม่ไหวจึงกำหนดนอนกรรมฐาน ภาวนาได้ยินหนอเป็นหลัก เมื่อกำหนดมากเข้าแหนบชาเริ่มจับตั้งแต่มือที่วางทับอยู่บนอกแล้วเคลื่อนมาตามลำตัวจนถึงใบหน้า
         จึงคอยมารวมที่บริเวณหูที่กำหนด ขณะนั้นจิตข้าพเจ้าวางแล้วว่าถ้าเกิดพิการหรือเกิดผิดปกติทางระบบประสาทก็ยอมเสี่ยงเพราะที่ศึกษามามีบุคคลเป็นเช่นนี้ก็ไม่เป็นอะไร เมื่อศรัทธาในธรรมจริง เพราะข้าพเจ้าศรัทธาจริงๆ
         จึงกำหนดกรรมฐานต่อความชาก็มารวมที่บริเวณหูมากขึ้น เมื่อมากขึ้นความรู้สึกก็หายไปชั่วระยะหนึ่งมารู้สึกอีกครั้งรู้เฉพาะจิต ไม่มีร่างกาย แต่ยังภาวนาอยู่ว่า
          "ยินหนอ ยินหนอ ยินหนอ" ได้ 3 ครั้งก็ขาดความรู้สึกทันทีทันใดหรือที่เขาเรียกว่าดับ มันเสมือนไฟฟ้าดับไปทันที่ พอรู้สึกตัวก็รู้สึกทันทีสติเต็มตัวทันใด    ไม่มีความชาหลงเหลืออยู่เลย   แถมร่างกายยังกระฉับกระเฉงมีปีติสุขที่นิ่มนวลกว่าที่ผ่านมา
           ซึ่งครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ให้ความหลงเข้ามาครองใจเหมือนที่ผ่านมาเพราะที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดทางใจที่มากพอแล้ว
           หลังจากนั้นมีสติกำหนดภาวนาได้ละเอียดขึ้นและภาวนาได้เป็นเวลานาน สะดวกขึ้นความชาเป็นก้อนระหว่างคิวมีอยู่ แต่ไม่ได้รบกวนอะไรมากตั้งใจทำกรรมฐานต่อไปไม่มีอะไรเป็นห่วงเรียนก็เรียนจบแล้ว  
-------------------------------------

      เมตตาฌาณได้บังเกิดขึ้น

-------------------------------------
     ในช่วงนี้อาจารย์ให้ทำกรรมฐานเพิ่มเติมคือพรหมวิหาร 4 ภาวนาแผ่เมตตา "อะหัง สุขิโท โหมิ"(ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข) แผ่เมตตาให้กับตัวเองแล้วแผ่ให้กับสรรพสัตว์คือ "สรรพเพ สัตว์ตา สุขิตา โหนตุ" (ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข) ก่อนที่จะภาวนากรรมฐานหลักประมาณ 10 ถึง 15 นาที หรือหลังกรรมฐานหลัก
     ซึ่งช่วงนี้ให้อะไรมาข้าพเจ้าก็รับ ปรากฏเหตุการณ์แปลกอยู่ตอนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาแผ่เมตตาอยู่ใจก็น้อมไปจริงๆ มีปีติขนลุกทั้งตัวสักระยะหนึ่งแต่ยังแผ่เมตตาต่อ แล้วค่อยลงภวังค์จิตขึ้นรับอารมณ์ภาวนาต่อ แต่หนืดมากคล้ายกับคนที่ถีบจักรยานลงในหลุมโคลนแล้วความรู้สึกขาดทันทีทันใด ขึ้นมารับรู้อารมณ์ปกติแต่มีปีติสุขมาก
      ส่วนกรรมฐานหลักข้าพเจ้าก็กำหนดโดยไม่ขาดระยะ จะว่ากำหนดภาวนาทั้ง 24 ชั่วโมงก็ว่าได้ ในวันหนึ่งจะนอน 4 ชั่วโมง  และในขณะที่นอนก็ภาวนากำหนด ได้ยินหนอ จนหลับหายไปเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็ภาวนาได้ยินหนอติดต่อเป็นไปเอง  นับว่าเมื่อไรเมื่อมีความรู้สึกอยู่ก็ไม่ขาดจากการภาวนานอกจากหลับ เป็นเช่นนี้ติดต่อกัน 6-7 วัน
---------------------------------------

  สภาวะธรรมอันอย่างยิ่งได้บังเกิดขึ้น และละทิ้งได้แม้ทั้งชีวิต ที่เป็นอยู่.

----------------------------------------
    หลังจากทำกรรมกรรมฐานมา 24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย ก็กำหนดภาวนาทันที
    ซึ่งสติมีความเร็วมาก พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น ความคิดก็แวบขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ
     ภาวนาเร็วขึ้น ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว
     เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจาก
     จึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก แล้วเบรกกะทันหันชะรอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่ เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว)
      หลังจากนั้นจิต ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8 ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจน

      หลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นาน

      จากนั้นจิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า "นี้เป็นมรรคผลนิพพาน"
      แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่ออ! อารมณ์สุขอย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพรหม"
      พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้นช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืยงอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโครงเคลงคล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ แล้วรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่างเดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมา
      หลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะมีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตละร่างกาย และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับไปทันทีและสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที่
--------------------------------------------------

      ด้วยผลของการปฏิบัตินั้น ทำให้ทราบตนเองอย่างแน่ชัดแล้วว่า ตนเองจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตแน่นอนแล้ว และจะไม่เสียสติไม่บ้าอีกเลย และตนเองพึงจะบรรลุนิพพานอย่างสิ้นเชิงแน่นอนในเบื้องหน้า.

      แต่ภายหลังก็มีความเข้าใจผิด สับสนกับธรรมปฏิรูป อยู่เช่นกันเป็นช่วงๆ เวลาสลับกัน ด้วยความทุกข์ด้วยเห็นทุกข์ด้วยเป็นทุกข์ จึงปฏิญาณตนเองว่า พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติธรรม เป็นสำคัญเท่านั้น

     แต่หลังจากนั้นสภาวะธรรม ที่เป็นเยี่ยงนั้นหรือยิ่งกว่านั้นไม่ปรากฏอีกเลยเป็นเวลายาวนาน   มีแต่ใกล้ๆ เคียงๆ แต่ไม่ที่สุดของสภาวะธรรม แม้จะปฏิบัติอยู่เนื่องๆ บางช่วงพยายามอย่างยิ่งยวดในภายหลังแล้ว  เพราะยังต้องหาเลี้ยงชีพ นำพาครอบครัว  ถึงแม้การขาดสิทธิ์เสรีภาพทางสังคมก็ทำให้เป็นทุกข์เห็นทุกข์ได้อย่างมากมายยิ่ง ก็ยังไม่เพียงพอ แค่เกือบเพียงพอเท่านั้นแล้วถอยกลับไป.

แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 55 15:56:55

จากคุณ : P_vicha
เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 55 13:22:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com