ความคิดเห็นที่ 1 อย่าเพิ่งไปไกล ท่านเข้าใจ สมมติ ว่าอย่างไร? จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 13:30:41

ความคิดเห็นที่ 2 http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=13474 อนันตะ  ๔  อย่าง คือ อากาศ  เป็น  อนันต์......ไม่มีที่สุด  ๑. จักรวาล  เป็น  อนันต์.....ไม่มีที่สุด  ๑. สัตตนิกาย คือ หมู่สัตว์  เป็น อนันต์.....ไม่มีที่สุด  ๑. พุทธญาณ  เป็น  อนันต์....ไม่มีที่สุด  ๑. จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 13:45:52

ความคิดเห็นที่ 3 เอาแค่  หมู่สัตว์ ที่มีจิตไปครอง แบบที่คนเชื่อแล้วนับเป็น 1 บุคคล เช่น คน หมา แมว เทพ เปรต  พรหม อสุรกาย ... ไม่นับพวก ที่ไม่ถือจิตครอง เช่น แบคทีเรีย ไวรัส พืช ... การเป็นอนันต์ มันมาจากไหนครับ ในเมื่อแต่ละสมมติมี 1 นามเรียก ใน 1 ชาติภพ ของมัน จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 13:52:41

ความคิดเห็นที่ 4 คุยเรื่องสมมติ corelooy ก็ถามแบบสมมติ เวลา เป็น อนันต์หรือไม่ นบนอบ สมมติ เวลา 1 วินาที มาอย่างไร นบนอบ สมมติ เวลา 1 นาที มาอย่างไร นบนอบ ที่สุดแห่งเวลามีหรือไม่นบนอบ corelooy เรียนเชิญ นบนอบ หากมีเวลา ไปเรียนอภิธรรมดีกว่า สนุกแน่นอนเลย จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:07:29

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ : corelooy จำนวนมีทั้งแบบ สเกลา และเวคเตอร์ เอาแค่ที่นับเป็นปริมาณ เวลาเป็นสเกล หรือเวคเตอร์ ...  เรากล่าวหน่วยของเวลาโดย การเทียบกับปรากฏกาณ เป็นรอบ เช่น วัน นับจากรอบการหมุนโลก แต่จำนวนนับของสัตว์   สิ่งของ  เรานับเป็น ชิ้น เป็นอันได้นี่ครับ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:18:37

ความคิดเห็นที่ 6 นี่แหละครับ นบนอบ นี่เรียก สมมติ (สมมติบัญญัติ) corelooy เลยเสนอให้นบนอบเรียนอภิธรรมนี่แหละ กว้างเชียว และตอบข้อสงสัยนบนอบได้นะ จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:21:06

ความคิดเห็นที่ 7 ถามแค่จริงโดยสมมติก่อนครับ   ระดับปรมัตถ์อภิธรรมไม่ถือสิ่งเหล่านี้เป็นบุคคล.. ก็คือมองแยกองค์ประกอบ...   แล้วอวิชชาไปจับว่าสมมติ เป็น 1บุคคล ระดับกรรมที่กระทำต่อ 1 หน่วยจิตครอง.. เช่น 1หน่วยจิตครอง อัน1 ไปทำกรรมบางอย่าง จึงเกิดแรงกรรมสะท้อน ต่อหน่วย1จิตครอง  ให้ยังเปลี่ยนแค่รูปภพชาติ...  จนต่อเมื่อ 1หน่วยจิตนี้ ได้ดับตัวลง (นิพพาน)...  รูปขันธ์ของ 1หน่วยจิตนี้ย่อมสูญไปจากวฏฏ จริงไม๊ครับ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:34:22

ความคิดเห็นที่ 8 คุณนบนอบมีทิฐิในอัตตาครับ ศึกษาศาสนาพุทธไป ไม่เป็นไร แต่อย่าเอาความเห็นจากทิฐิของตนเผยแพร่ออกไปแล้วบอกว่าเป๋็นศาสนาพุทธเถราทเด็ดขาด ทางเดินในโลกนี้ ต้องเลือกสักทางนะ เราต้องการศรัทธาในพระเจ้า หรือจะแสวงหานิพพาน มันคนละที่กัน ต้องกล้าที่จะชัดเจน ต้องมีความเคารพในคำสอนของศาสดา การศึกษาไม่เป็นไร แต่ศรัทธา เราต้องเลือกสักทาง ไม่งั้นวุ่นวายและมั่วไปหมด ผมเตือนด้วยความหวังดี จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:39:19

ความคิดเห็นที่ 9 นบนอบ ใน"ความคิดเห็นที่ 7" ถ้าเช่นนั้น จะ"ถามแค่จริงโดยสมมติก่อนครับ   ระดับปรมัตถ์อภิธรรมไม่ถือสิ่งเหล่านี้เป็นบุคคล.." นบนอบ ก็หลงสมมติเสียแล้วล่ะนะ เมื่อนบนอบหลง นบนอบจะทำความเข้าใจอะไรได้เล่า จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:45:23

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับ คุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา พุทธศาสนา คือการสอนให้เรารู้ทันสติครับ ที่ใช้ได้จริง ๆ แต่เรื่องปฏิบัติยังยากมากที่จะแยก รูปกับนามออก จนเราหมดทิฐิในอัตตา การโยนิโสมนสิการ ทำให้ คิดว่ามีเหตุปัจจัย.. ก็เลย ถามดูครับ..  แม้ว่า พุทธองค์ก็ไม่ได้บอกเหตุที่มหาภูติ4 จับให้เกิดเป็นเราท่าน... โดยส่วนตัวจึงไม่ปักใจในแนวคิดสังสารวฏฏ ที่เวียนว่ายไม่รู้จบ เพราะเคยอ่านว่ามัน เป็นแนวคิดจากพราหมณ์ไงละครับ...   โดยส่วนใหญ่คนที่เชื่อกรรมเก่าจากภพชาติอื่น จะโน้มเอียงความคิดในทางลบต่อชีวิตมากครับ การพ้นทุกข์ในระดับการแก้ที่ปัจจุบันคือคำสอนที่ตรงแท้ในพุทธศาสนา... จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 14:54:03

ความคิดเห็นที่ 11 ผมตอบความเห็นที่ 3 ของนบนอบก่อนนะครับ ในหลักศาสนาพุทธ เอาแค่  หมู่สัตว์ ที่มีจิตไปครอง แบบที่คนเชื่อแล้วนับเป็น 1 บุคคล เช่น คน หมา แมว เทพ เปรต  พรหม อสุรกาย ... ไม่นับพวก ที่ไม่ถือจิตครอง เช่น แบคทีเรีย ไวรัส พืช ... การเป็นอนันต์ มันมาจากไหนครับ ในเมื่อแต่ละสมมติมี 1 นามเรียก ใน 1 ชาติภพ ของมัน พวกนี้มาจาก อวิชชา ตัณหา ครับ อย่าพยายามคิดว่าพระเจ้าสร้างอะไรในหลักศาสนาพุทธครับ ถูกจับยัดเข้าอวิชชา ตัณหาหมด ผมถึงบอกไงว่า เลือกสักทาง ไม่งั้นมันจะกลายเป็นหลบหลู่คำสอนและไม่ให้เกียรติศาสดาของทั้งสองศาสนา จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 15:06:47

ความคิดเห็นที่ 12 ในศาสนาพุทธ พระพุทธทรงสอนอริยสัจจ์ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สองอันแรกเป็นเรื่องของทุกข์และเหตุของทุกข์ ท่านจึงสอนว่ากรรมและวิบาก อดีต กรรมกที่เคยทำ และวิบากที่ต้องรับผล ครับ และสอน นิโรธ มรรค อันเป็นทางของการดับสองอย่างแรก ซึ่งสองอันนี้เป็นหนทางรอดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในอริยะสัจจ์ 4 นี้ครบถ้วนทั้งในเรื่องของเหตุที่มาและวิถีในทางออกจากสังสารวัฏ ถ้าจะบอกว่า เรื่องกรรมวิบากในศาสนาเป็นเรื่องผิด นั่นท่านกล่าวว่า อรัยสัจจของพระพุทธเจ้าผิดพลาดครับ ท่านเห็นว่าสมควรไหมครับที่จะทำเยี่ยงนั้น กับสหายต่างศาสนา จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 15:12:53

ความคิดเห็นที่ 13 มรรคอันเป็นทางดับทุกขในศาสนาพุทธ มีองค์แรกคือ สัมมาทิฐิ ผู้ที่มีทิฐิถึงผู้สร้างอันเป็นอัตตา อยู่นอกนิยามของสัมมาทิฐิครับ ชัดเจนอย่างปฏิเสธไม่ได้ การบิดเบือนคำสอนศาสนาผู้อื่นเป็นเรื่องน่าละอายครับท่านนบนอบ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 15:15:46

ความคิดเห็นที่ 14 ปล. อย่าอ้างคำสอนของท่านพุทธทาส หากท่านยังศึกษาไม่เข้าใจ ท่านพุทธทาสสอนอีกอย่าง ท่านเอามาแปลอีกอย่าง ชาวพุทธเหนื่อยครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 15:17:11

ความคิดเห็นที่ 15 คนไม่มีศาสนาก็แบบนี้แหละ   มั่วซั่วไปเรื่อย   ความละอายไม่มี ไม่เห็นตั้งกระทู้ถึงพระเจ้าบ้างเลย   เอาพระเจ้าไปซ่อนไว้ที่ติ่งส่วนไหนหรือ  ท่านมั่ว ?? จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 15:43:06

ความคิดเห็นที่ 16 สรรพสิ่งมาจากจิตอันสงสัยนี่แล ดังอุจจาระเปรอะเปื้อนกางเกงเรา มันเป็นของใครท่านว่า ของผู้สร้างหรือเปล่า จากคุณ : lekton เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 17:06:13

ความคิดเห็นที่ 17 อ่านคำถามกันใหม่ดี ๆ นะครับ  ถ้าไม่เชื่อกรรมวิบากหรือ การเวียนว่ายจะถามทำไม ซึ่งการที่ท่านพุทธทาสไม่เน้นเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่ทุกคนไปนั่งได้วิชชา3 เห็นอดีต พระสายสุขวิปัสโก  ก็ไม่จำเป็นต้องรู้เห็นหรือเข้าใจเรื่องแบบนี้ จริงไม๊.. ถ้าท่าน สายลม ยืนยันว่าท่านมีทิฐิ ที่ถูกต้องแล้ว  ท่านบรรลุโสดาบัน แล้วใช่ป่าวครับ สำหรับผม ไม่ปักใจเชื่อ  เอาแค่วิปัสสนา เพื่อให้สติตามอารมณ์ทันก่อน จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 17:07:11

ความคิดเห็นที่ 18 มันไม่ต้องเป็นโสดาหรอก แต่เมื่ออ้างหลักพุทธศาสนาก็ขอให้ใช้ตามหลัก เราไม่นอกหลัก ก็พอ ท่านต้องยอมรับก่อน คำถามที่ตั้งมันเป็น ความเชื่อในอัตตา ว่ามีว่าเป็น สัตว์ คน ตัวตน บุคคล เราเขา เพราะเมื่อมีทิฐิเช่นนั้น ย่อมนับจำนวนมันได้ แต่ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัส สมมติบัญญัติไว้ว่าอย่างไร ต้องค้นคว้า ต้องทบทวน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 18:25:30

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นความผิดผมเอง ที่ใช้ศัพท์ที่คลาดเคลื่อนไป ...  สมมติของแต่ละสัตว์ นั้นนับไม่ได้ เพราะเปลี่ยนรูปต่างกรรมต่างวาระไป...  วฏฏจึงนับเป็นอนันต์ เมื่อเวลาผันไป...   อันที่จริงอยากจะสื่อถึงจำนวนนับ ของสิ่งที่มีจิตไปครอง จะเป็นรูปแบบไหน ภพไหน เอาทุกเวลาของมันที่ยังไม่พ้นวฏฏ...   รวมหมดไม่ว่าชาติอีกพันล้านชาติ ... ซึ่งกรรมวิบากส่งผลเป็นองค์รวมแล้วประกอบรูปธาตุของสิ่งมีชีวิตนั้น... เช่น นายแดง ชาติก่อนเป็นแมว หรือชาติที่2ล้านเป็นเทพ เป็นพรหม นับรวมเป็นทั้งหมด... เป็น 1 หน่วย โดย กรรมวิบาก เป็นของนายแดงคนนี้.. กรรมที่กระทำต่อเนื่องตลอดเวลาที่นายคนนี้ยึดติดในการเกิดเสมอ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 19:18:04

ความคิดเห็นที่ 20 ******* เดียรถีย์นอกพระศาสนากล่าวตู่ พระอัครสาวก จักได้รับกรรมแสนสาหัส ************ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12198408/Y12198408.html ดูเหมือนกระทู้ข้างต้นนี้จะเกี่ยวข้องกับ นบนอบ โดยตรง corelooy เปิดผ่าน จึงนำมาไต่ถามให้แน่ชัดว่า นบนอบเป็นเดียรถีย์จริงหรือ? นบนอบมีจุดยืนอย่างไรหรือ? นบนอบมีสิทธิ์ในการศึกษาก่อนศรัทธา นบนอบกำลังใช้สิทธิ์นั้น หรือกำลังทำอะไรอยู่หรือ? corelooy เพียงถามให้แน่ชัดเท่านั้น นบนอบจะทำความเข้าใจในสิ่งที่ถามได้อย่างไร หากนบนอบเป็นเดียรถีย์? แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 19:27:18 จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 19:26:49

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ : corelooy   ใครจะกล่าวหาผมอะไรแบบไหนก็ได้อะครับ..  ผมไม่ใช่นักบวชศาสนาไหนจึงมิใช่เดียรถีย ผมคือปุถุชนผู้ครองเรือน และแน่นอนมิได้แม้แต่ละสังโยชน์อะไร..  เชื่อและไม่เชื่อ เพราะไม่ปักใจเชื่อก่อน พระพุทธองค์ ตรัสกล่าวตลอดว่า เอหิปัสสิโก คือ ทรงเชิญชวนให้เรา มาดูก่อน ผมใช้สิทธิ์นั้น แต่ละคนย่อมมีจริต ด้วยทิฐิที่ไม่ตรง..  ต้องขวนขวายเพียรไปเองอะครับ.. หากผมกล่าวว่าคุณเป็นเดียรถีย์  แต่คุณบอกไม่ได้เป็น  ก็มีแค่ตัวคุณที่รู้... คนอื่น ช่างเขาครับ...  สิ่งที่คนตั้งกระทู้นั้นทำกับผมแรงกว่านี้เยอะ ด่าพ่อแม่...   ด่าตามด้วย ศาสนาคริสต์บ้าง...  ชาติชั่วบ้าง  เพราะเขาไม่มีวุฒิภาวะมากพอครับ... ผมก็ปล่อยผ่าน ใครอยากสมมติว่าเป็นผม ก็ช่างเขาครับ...   คนเราบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 19:55:34 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 19:51:05 จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 19:48:48

ความคิดเห็นที่ 22 ปรมัถธรรมมี 4 รูป จิต เจตสิก นิพพาน นี่คือปรมัถธรรม ต้องเข้าใจก่อน สามอย่างแรกมีความแปรปรวนตามเหตุปัจจัย ส่วนนาย แดง แมว เทพพรหม เป็นสมมุติบัญญัติ นี่ก็ต้องเข้าใจ อัตตาอย่างนายแดง อย่างแมว อย่างเทพ อย่างพรหมเป็นความเข้าใจผิดหลงของจิตเนื่องด้วยอวิชชา จะเอามาถามอย่างสมมุติบัญยัติว่า มันมีแดงแมวเทพพรหมกี่มากน้อย จะเอามาถามอย่างปรมัตถ์ว่า มันมีจิต เจตสิก รูป กี่มากน้อย เหมือนกันโดยหลัก ต่างกันโดยความเห็นแจ้ง ถ้าแจ้งก็เข้าใจว่า อ่อ นี่เอง จิต เจตสิก รูป นับไม่ได้ ถ้าไม่แจ้งก็เข้าใจว่า อ่อ นี่สัตว์ คน ตัวตน บุคคล เรา เขา นับได้อย่างที่จิตเนื่องด้วยอวิชชามันหลอกให้นับ ถามทั้งสองแบบ เหมือนกัน คือตกอยู่ใต้สามัญลักษณะ คือ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอัตตาอันใดอยู๋ที่ไหนให้นับ หากจะนับก็ต้องเรียกว่าเป็นอัตตาทิฐิ เห็นเป็นสัตว์คนตัวตนบุคคล เรา เขา ก็เรียกได้ว่า Zero sum อะไรก็ว่าไป ก็ต้องยอมรับในจุดนี้ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 19:59:48

ความคิดเห็นที่ 23 สวัสดีครับคุณ นบนอบ คุณ คืนวันอันแสนดี  ได้นำข้อความเสนอกับคุณ นบนอบ แล้ว คุณนบนอบเข้าใจอย่างไร? ------------------------------------------------------ อากาศ  เป็น  อนันต์......ไม่มีที่สุด  ๑. จักรวาล  เป็น  อนันต์.....ไม่มีที่สุด  ๑. สัตตนิกาย คือ หมู่สัตว์  เป็น อนันต์.....ไม่มีที่สุด  ๑. --------------------------------------------------------   เมื่อเป็นอย่างนี้คุณ นบนอบ เข้าใจอย่างไร.   ความสงสัย ในเรื่องเหล่านี้ ไม่คลายไปอีกหรือ?   เพราะเมื่อไม่มีที่สุด ก็จะเข้าสู่เรื่องอจินไตย สับสน ยุ่งเหยิ่ง. จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 20:10:46

ความคิดเห็นที่ 24 แก้ตัวน้ำขุ่นๆ  ไปเรื่อย ใช้คำศัพท์ผิดอีกแล้วเหรอ กระทู้ก่อนหน้านี้ที่อ้างถึงพระโมคคัลลานะก็บอกว่า "ใช้คำผิด" อ้างคอเป็นเอ็นว่าท่านโมคคัลลานะ "รีบดับขันธ์" หันไปศึกษาให้ละเอียดให้ถ่องแท้ ก่อนที่จะมาเนียนมั่ว "ใช้คำผิดๆ" กับพระพุทธศาสนา เถิดค่ะ เห็นบอกว่านับถือพระเจ้าด้วยนี่นา ไม่เห็นจะตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยล่ะ คุณนบนอบลำเอียง รักพระพุทธเจ้ามากกว่าพระเจ้า กระนั้นหรือ ???? จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 21:23:37

ความคิดเห็นที่ 25 ดีแล้ว ที่เลือก เอหิปัสสิโก หลังจาก เอหิปัสสิโกแล้ว ยังมีอีกนะ นบนอบ โอปนยิโก อย่าลืมนะ สำคัญ ไม่เช่นนั้น จะเข้าใจได้อย่างไร? ใช่ไหม? นบนอบ จึงจะ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ นะนบนอบนะ เมื่อยังสงสัยในบท ต้องพิสูจน์บท เมื่อการพิสูจน์บทปรากฏชัด จะพบความสามารถในการรู้ตามบทว่ายังบกพร่องนะนบนอบ เมื่อต้องการรู้แห่งสัพพัญญู นบนอบก็ต้องฝึกพิสูจน์ให้รู้ยิ่งขึ้นไป เหนื่อยแต่คุ้มนะนบนอบ นานนะนบนอบ แต่เดี๋ยวก่อนนะนบนอบ ถ้านบนอบยังใช้คิดเปรียบเทียบบท นบนอบจะพิสูจน์บทได้อย่างไร? จินตะหรือ? ไม่ควรแน่ ไม่ควรแน่ พิสูจน์บทนี่ต้องภาวนานะนบนอบ corelooy คงแนะนำได้เพียงเท่านี้นะนบนอบนะ จากคุณ : corelooy เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 22:19:26

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกัน กระทู้นี้ คุณนบนอบ ก็แสดงความเห็นได้สุภาพดี ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก ในเมื่อเค้าอยากรู้ และแสดงความเห็นโดยดี เราก็ควรตอบไปดีๆ ตามสมควร แค่นั้น เอาอย่างนี้ ผมตอบ แบบอิงความรู้ทางวิทยาศาสตร์นิดๆนะ จิต เป็นพลังงาน ในรูปลักษณะหนึ่งๆ ซึ่ง สามารถสะสมพลังงานอื่น และถ่ายเทพลังงานจากการกระทำ(กรรม)สืบเนื่องได้ จึงเกิดวัฏฏะ หมุนวนทางพลังงาน แต่นี้เป็นปํญหาของพลังงานนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่มีประโยชน์กับเรา ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึง เสียเวลาอันสูญเปล่าที่จะไปคิดถึง มุ่งประโยชน์ปัจจุบันดีกว่า เอาละ.. จากคำถาม ปริมาณของพลังงานนี้ (จิต)มีจำนวนเท่าใด จบได้ไหม.. ปัญหาคือ พลังงานนี้อยู่ในจักรวาล และจักรวาลมีปริมาณเท่าใด... คำตอบ จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด พลังงานนี้จึงไม่มีปริมาณอันสิ้นสุด เป็นสมการผกผันกัน และเมื่อ "สิ่งหนึ่งสิ่งใด อยู่ใน อินฟินิตี้ สิ่งใดสิ่งนั้นย่อม เป็นอินฟินิตี้ ไม่มีที่สิ้นสุด" จบคำอธิบาย นั่นคือคำตอบ บทสรุป และการปฏิบัติต่อคำถาม เมื่อ สิ่งอื่น สิ่งนั้น เป็นอินฟินิตี้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะหยุดสิ่งนั้น หรือพยายาม ตรึกนึกคิด กระทำต่อสิ่งนั้น แต่...แล้วปัญหาของเราละ จิตเราเอง หยุดได้ มีความสุขได้ ด้วยมรรค ผล นิพพาน แล้วจะสนสิ่งอื่นไปใย มาปฏิบัติธรรมกันนะ เอาให้ถูกต้อง ตรงทาง ถูกวิธี เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของเราเอง มามุ่งประโยชน์ปัจจุบันกันดีกว่านะครับ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 22:40:16 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 22:38:46 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 22:35:13 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 22:30:21 จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 22:28:21

ความคิดเห็นที่ 27 คิดมาก ยากนาน จากคุณ : ฟากฟ้าฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 11:42:42

ความคิดเห็นที่ 28 พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า   จักรวาลต่างๆมีนับไม่ถ้วน ไม่สิ้นสุด  ...ตรงกับทฤษฏีล่าสุดของพวกนักวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ว่า  เอกภพ(Universe) มีได้มากมายไม่สิ้นสุด  มากกว่าจำนวนดวงดาวทั้งหมดในเอกภพนี้ซะอีก (จำนวนดวงดาวในเอกภพนี้  ประมาณคร่าวๆว่า มีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายในโลกนี้ทั้งหมดรวมกัน) แล้วใครจะไปนับจำนวนสัตว์(รูปขันธ์ที่มีใจครอง) ทั้งหลายได้ไงกัน ??  เอาเฉพาะจำนวนสัตว์ในภูมิเดรัจฉานบนโลกนี้ใบเดียว ก็นับไม่ถ้วนแล้ว    ..ยังไม่รวมภูมิอื่นๆ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 18:53:25

ความคิดเห็นที่ 29 infinity จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 18:55:51

ความคิดเห็นที่ 30 พระพุทธเจ้ามีมากกว่าเม็ดทรายในพระมหาสมุทร จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 18:56:36

ความคิดเห็นที่ 31 ขันธ์ นี่คงหมายถึงความเป็นตัวตน ตัณหาท่ามกลางอวิชชา    คงแล้วแต่ว่า อดีตไกลสุดมีอยู่เท่าไหร่   อนาคตจะมีอยู่อีกไกลเท่าไหร่    แบบว่าจำกัดขอบเขตให้ได้ก่อนไง เราจะได้มีขอบเขตเผื่อจะระบุ ว่านับได้หรือไม่ได้   ถ้าไม่มีขอบเขต นับไปก็เมื่อยแย่ จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 55 22:31:52

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณครับทุกท่าน... ผมหาเวลาไปทำให้ดูบอลโลกอยู่... จริง ๆ แค่อยากรู้ว่า  จำนวนที่มีจิตครองที่ยังไม่บรรลุ ในวฏฏทั้งหมด ถ้ามันเป็นอนันต์  แต่ จำนวนสิ่งนี้ต้องลดลงเรื่อย ๆ ในเมื่อมีพระพุทธเจ้า มาตลอด...  ต่างบำเพ็ญเพื่อให้จำนวนสัตว์ในวฏฏ ลดลง... เมื่อนั้นเราก็น่าจะมั่นใจว่า แม้มันเป็นอนันต์  ยังไงก็ต้องลดปริมาณลง จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 09:10:56