ความคิดเห็นที่ 1 มีศาสนา อเทวนิยม ด้วยหรือ? ที่เห็นทั้งของจริง และตำรามีแต่ 1. เอกเทวนิยม เชื่อว่า มีพระเจ้าสูงสุดที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ให้สักการะเพียงองค์เดียว 2. สหเทวนิยม เชื่อว่า มีบรรดาเทพ บรรดาเจ้า ผีสาง เทวดา ผู้มีฤทธิ์ทั้งคน สัตว์ และ สิ่งของ ให้สักการะมากมายจนไม่อาจนับไหว ให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่มนุษย์ต่างดาวก่อนให้ทางเลือก อย่าหลอกมนุษย์ต่างดาวเลยครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 17:54:34

ความคิดเห็นที่ 2 ลัทธิคอมมิวนิสต์ครับ เพราะวิทยาการสูงส่งแบบนั้นคงก้าวสู่ยุคคอมมิวนิสต์ได้แน่ๆ แล้วนำไปสู่ยูโทเปีย จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 18:01:04

ความคิดเห็นที่ 3 นั่นสิ ถ้า มองข้ามศาสนา ไปนับรวมลัทธิที่ไม่ยึดคัมภีร์โบราณ หรือ พวกแปรรูปคัมภีร์โบราณเป็นแนวของตนเอง ก็ว่าไปอย่าง งั้นก็ มีให้เลือกเยอะครับ จานบิน สังคมนิยม ประชาธิปไตย ทุนนิยม ปรัชญานิยม วิทยาศาสตร์นิยม หรือ ลัทธิไซแอนโทโลยีของทอม ครูซ ก็ได้ น่าจะ อเทวนิยม ทั้งหมด จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 18:07:30

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าผมเป็นมนุษย์ต่างดาวและมีสติปัญญาที่นำพาตัวเองข้ามดาวบ้านเกิดมายังโลกได้ ผมคงไม่นับถือศาสนาแล้วครับ หรือไม่ก็ไม่ใช่ศาสนาบนโลกใบนี้แน่ จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 18:08:24

ความคิดเห็นที่ 5 เราคงเลือกนับถือศาสนาพุทธค่ะ เพราะถึงขนาดข้ามกาแล็คซี่มาได้แล้ว วิทยาการคงสูงพอแล้ว น่าจะสนใจพัฒนาคุณภาพจิตด้วยการเจริญสติและสมาธินะ เราก็เคยสงสัยอยู่ว่า อำนาจแห่งจิตนี่มันมีมาแต่เกิดได้ไหม อยู่ใน DNA บางทีมนุษย์ต่างดาวบางเผ่าพันธุ์อาจมีคุณภาพจิตที่ดีกว่ามนุษย์โลกตั้งแต่เกิดก็ได้นะ เหมือนพวกเทวดาหรือพรหมเป็นต้น จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 18:55:05

ความคิดเห็นที่ 6 มนุษย์ใน อมรโคยานทวีป  ปุพพวิเทหะทวีป  อุตรกุรุทวีป  อยู่คนละซีกฝั่งของจักรวาล เค้าถือศีล 5  เป็นปกติ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/05/Y7901784/Y7901784.html จากคุณ : ธารารักษ์ เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 20:41:21

ความคิดเห็นที่ 7 แสดงว่าตามหลักฐานในพุทธศาสนา  มนุษย์ต่างดาวกำลังถือศีล 5 กันอยู่สินะ  อืม... จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 20:50:53

ความคิดเห็นที่ 8 #6 ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวจะลองเข้าไปอ่าน ^^ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 21:22:20

ความคิดเห็นที่ 9 เลือก ข้อ 1 คับ จากคุณ : เคน (ผีจีน) เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 21:48:42

ความคิดเห็นที่ 10 เจริญด้านปัญญาประดิษฐ์ขนาดนั้น ผมว่า เค้าคงไม่รับวิถีทางของศาสนาทั้งหมดแน่ๆ เพราะไม่เหมาะอย่างยิ่ง แต่จะเลือกรับเอา "แก่น" ที่สุดของความเป็นศาสนา คิดว่าเลือกข้อ 2 นะครับ แต่จะเป็นแบบที่เชื่อใน "พลังเหนือธรรมชาติ" ที่ผ่านการฝึกทางด้านจิตใจของตัวเอง และเรียนถึงกฎธรรมชาติด้านจิตใจด้วย (เพราะด้านวัตถุนั้นเจริญสุดๆ จนข้ามวิถีของทุกศาสนาไปแล้ว) "แก่น"  เช่นนี้  พุทธตอบได้แบบเจ๋งนะ จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 21:55:31

ความคิดเห็นที่ 11 อืม...ข้ามวิถีของทุกศาสนาเชียวหรือ?? ผมว่ามันคนละเรื่องกันมากกว่านะ ความเจริญทางวัตถุเนี่ย จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 22:09:28

ความคิดเห็นที่ 12 เลือกนับถือศาสนาที่เข้ากับจริตนิสัยตนเอง แต่ละมนุษย์ต่างดาวน่าจะมีนิสัยแตกต่างกัน ถ้าเหมือนกันหมด ก็ไม่มีความหลากหลายค่ะ ถ้าดิฉันเป็นมนุษย์ต่างดาว ก็จะนับถือพุทธศาสนา จากคุณ : จิตรพร เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 23:28:32

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วคำว่า อเทวนิยมนี้่ จขกท. หมายถึงศาสนาไหนครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 02:09:19

ความคิดเห็นที่ 14 น่าจะหมายถึงลัทธิมากกว่า จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 08:52:37

ความคิดเห็นที่ 15 ศรัทธาทางไหนก็เลือกทางนั้นครับ จากคุณ : หอบหืด เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 09:21:05

ความคิดเห็นที่ 16 *********************************************** #1 เข้าใจผิดนะครับ มีศาสนา อเทวนิยม ด้วยหรือ? ที่เห็นทั้งของจริง และตำรามีแต่ 1. เอกเทวนิยม เชื่อว่า มีพระเจ้าสูงสุดที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ให้สักการะเพียงองค์เดียว 2. สหเทวนิยม เชื่อว่า มีบรรดาเทพ บรรดาเจ้า ผีสาง เทวดา ผู้มีฤทธิ์ทั้งคน สัตว์ และ สิ่งของ ให้สักการะมากมายจนไม่อาจนับไหว *********************************************** ยังมีข้อ 3 อีกครับ คือ อเทวนิยมมีศาสนาเดียวในโลกนั่นก็คือพุทธศาสนา พุทธศาสนานับถือมนุษย์คือพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอน และมนุษย์ผู้เป็นพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่พึ่งสูงสุด พระพุทธเจ้าสอนว่า เทพ เทวดา ผีสาง มีจริง แต่พระพุทธเจ้าไม่นับถือเทพเทวาเหล่านั้นครับ โดยเทพเทวาเหล่านั้นจะลงมากราบไหว้พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ สมัยนั้นพราหมณ์เชื่อว่ามีเทพสูงสุดผู้สร้างโลกคือพระพรหม ผู้มีความรักไม่มีประมาณ ผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ ผู้สร้างโลกธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นผู้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง บันดาลได้ทุกอย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนว่าพระพรหมนั้นมีจริงและได้ลงมากราบไหว้พระพุทธเจ้าในหลายๆครั้ง ส่วนที่คนรุ่นหลังมาไหว้ผี เข้าองค์ ทรงเจ้า ไหว้พระพรหม บูชาเทวดานั้น ก็ไหว้ไปเหมือนญาติผู้ใหญ่ เช่นไหว้ผีคุณยาย ผีคุณตา เป็นธรรมดาลูกหลานต้องแสดงความเคารพญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนที่พึ่งอันสูงสุด หรือสรณะสูงสุดนั้น ทุกคนเหมือนกันหมดคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ เป็นมนุษย์ธรรมดา และคำสั่งสอน ไม่ใช่เทพเทวา จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 12:00:57

ความคิดเห็นที่ 17 #7 มีมนุษย์ต่างดาวจากโลกนี้กำลังถือศีล 5 อยู่ และบางมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ได้ถือศีล 5 ครับ พระพุทธเจ้าสอนว่าจักรวาลมีจำนวนไม่สิ้นสุด จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 12:04:45

ความคิดเห็นที่ 18 "เทพสูงสุดผู้สร้างโลกคือพระพรหม ผู้มีความรักไม่มีประมาณ ผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ ผู้สร้างโลกธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นผู้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง บันดาลได้ทุกอย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนว่าพระพรหมนั้นมีจริง และได้ลงมากราบไหว้พระพุทธเจ้าในหลายๆครั้ง" แล้วพระพรหม จะมากราบ สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมาทำไมครับ? ขอเหตุผลหน่อย จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 16:01:58

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้จริง .... เค้าคงถือตามศาสนาเดิมของเค้านั่นแหละครับ ทำไมเค้าถึงต้องมาเลือกถือศาสนาของเรา ? แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 17:26:05

ความคิดเห็นที่ 20 "เทพสูงสุดผู้สร้างโลกคือพระพรหม ผู้มีความรักไม่มีประมาณ ผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ ผู้สร้างโลกธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นผู้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง บันดาลได้ทุกอย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนว่าพระพรหมนั้นมีจริง และได้ลงมากราบไหว้พระพุทธเจ้าในหลายๆครั้ง" แล้วพระพรหม จะมากราบ สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมาทำไมครับ? ขอเหตุผลหน่อย" พระพรหมในพุทธศาสนาคือ คนที่ได้ฌาณแล้วเข้าฌาณขณะที่จิตออกจากร่างครับก็คือตอนตายนั่นเอง ไม่ใช่พรหมสร้างโลกครับ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 19:06:17 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 19:03:56

ความคิดเห็นที่ 21 พุทธเป็นอเทวนิยม เพราะไม่ได้บอกว่าให้ไหว้พระอย่างเดียวหรือขอพรแล้วหลุดพ้นครับ และไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าสร้างทุกสิ่ง แต่ให้ปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนถึงหลุดพ้นครับ ถ้าว่าตามแก่นศาสนานะครับ เทวนิยมคือถือว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง มีอำนาจสูงสุด มนุษย์ต่างดาวก็น่าจะมีศาสนาของตัวเองอยู่แล้ว และคงไม่เปลี่ยนง่ายๆหรอกครับ เพราะเขาก็คงถือว่าเขาเหนือกว่าเราชาวโลก แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 19:13:51 แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 19:12:53 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 19:11:34

ความคิดเห็นที่ 22 ข้อมูลขัดแย้งกันเอง ตรรกะวินาศสันตะโรแล้วนะครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 19:34:04

ความคิดเห็นที่ 23 ข้อไหนครับ? ถ้าเรื่องพระพรหมเข้าใจว่าตนสร้างโลกนั้น หาในกูเกิ้ล คำว่าท้าวพกาพรหม นะครับ ท่านอยู่บนชั้นพรหมนานจนสำคัญผิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าทีเดียว แต่มันมิฉฉาทิฐฐิครับ และท่านเป็นพระพรหมไหม? ท่านเป็นพระพรหมจริงๆครับ แต่ไม่ได้สร้างอะไรเลยนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 19:55:11 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 19:37:40

ความคิดเห็นที่ 24 1. ข้อมูลจากพวกคุณเองไม่ใช่หรือที่ว่า พระพรหมในความเชื่อฮินดูเป็นเทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และ พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่ามีจริง  แต่เสริมว่าพระพรหมนั้นแหละที่มากราบพระองค์หลายๆครั้ง 2. แต่คุณมาแย้งว่า พระพรหม เทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ กลับ ต้องมาจากมนุษย์เสียเอง ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เขาเรียกว่า งูกินหาง หรือ ตัวแปรวนลูปครับ ถ้าเขียนโปรแกรมผิดลักษณะนี้จะฟ้องผิดตรรกะทันทีเมื่อกด Enter และที่สำคัญจะค้านกับ พรหมติดใจรสชาติง้วนดิน จนมาสร้างมนุษย์ คนแรก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่ารอบไหน พระพุทธเจ้าก็คงไม่ใช่มนุษย์คนแรกอยู่ดี ลำดับเหตุการณ์ให้ดีครับ 3. และไม่ว่าจะมาจากไหน หากพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งก็ไม่มีเหตุผลที่จะมากราบผู้ถูกสร้างอย่างที่กล่าวไปแล้ว 4. เสริมว่าหากพระพรหมเป็นมนุษย์ที่สำเร็จฌานจริง ก็แสดงว่า เคยมีมนุษย์ที่ได้ฌานมาก่อนมีพระพุทธเจ้าแล้ว  เพราะพระพรหมณ์ไม่ได้มาจากสาวกพระพุทธเจ้าที่ตายก่อน ถ้าเป็นเช่นนนั้นก็แสดงว่ามีคนบรรลุฌานก่อนพระพุทธเจ้าสิครับ การที่มีพรหมมาก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว แสดงว่าเคยมีคนที่หลุดจากวงโคจรมนุษย์แล้วโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า   จาก 4 กรณีนี้ กรณีไหนเป็นเท็จบ้างครับ? ขอเหตุผลด้วย นี่ผมพูดตามข้อมูลศาสนาคุณทั้งหมดเลยนะครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 19:57:06

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นว่ามีรายละเอียดการสร้างเยอะดีในเวบนี้เอามาให้อ่านครับ ไม่ทราบว่านี่เป็นความเชื่อคนพุทธด้วยหรือไม่? http://www.somjate.com/buddhadays01.html จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:03:24

ความคิดเห็นที่ 26 นี่ด้วย .... ในอัคคัญญสูตรกล่าวถึงการกำเนิดโลกและจักรวาลไว้ว่า แรกเริ่มจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า นานแสนนาน ต่อมาก็เริ่มมีฝนตกจนท่วมไปหมด ด้านล่างมีลมพยุงไว้ ด้านข้างก็มีลมพยุงไว้ ต่อมาน้ำนั้นก็ค่อยๆ งวดแห้งลงเรื่อยๆ ช่วงนี้เองก็มีพระพรหมที่หมดอายุขัยพอดีจุติจากพรหมโลก มาอุบัติเป็นสัตว์โลกรูปร่างสวยคล้ายพรหม ลอยไปลอยมาในอากาศ อิ่มทิพย์ มีแสงสว่างในตัว อยู่ไปนานๆ เข้าก็เบื่อเพราะมีอยู่คนเดียว ก็เลยรำพึงในใจว่าอยากมีเพื่อน คิดได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีพรหมอีกองค์จุติมาอุบัติ พรหมองค์แรกก็เข้าใจว่าตัวเองเนรมิตขึ้น พรหมองค์ใหม่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เข้าใจว่าพรหมองค์แรกเนรมิตขึ้นมาจริงๆ ต่อมาก็ช่วยกันคิดช่วยกันนึก ก็มีพรหมองค์อื่นๆ มาอุบัติเพิ่มเรื่อยๆ เลยหลงเชื่อกันไปใหญ่ว่าตัวเองเป็นผู้สร้าง ต่อมาผืนน้ำเบื้องล่างแห้งงวดเข้าไปอีก ผิวหน้าเริ่มเกาะกันเป็นแผ่น (เหมือนไขมันที่เริ่มแห้ง) เรียกว่าง้วนดิน สัตว์โลกตนหนึ่งลองเอานิ้วจิ้มใส่ปากชิมดู ปรากฏว่าอร่อยก็เลยกอบกินกันใหญ่ แสงสว่างที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไป ที่เคยอิ่มทิพย์ก็ไม่อิ่มทิพย์แล้ว แต่ต้องมากินง้วนดินแทน ตอนนี้น้ำงวดแห้งลงมาก ปรากฏเขาสิเนรุอยู่ตรงกลาง มีพระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรอยู่รอบๆ สัตว์โลกเหล่านั้นก็เลิกลอยไปลอยมา แต่ลงมาเดินบนพื้นดินกลายเป็นมนุษย์เดินดิน ต่อมาง้วนดินก็หมด เปลี่ยนเป็นเครือดิน อร่อยน้อยกว่า ต่อมาก็เป็นกระบิดินอร่อยน้อยลงไปอีก ในที่สุดก็เป็นดินกินไม่ได้ ถึงเวลานี้ก็มีข้าวสาลีเม็ดโตเกิดขึ้นเอง ไม่มีเปลือกไม่มีรำ หยิบกินได้เลย พอเริ่มกินข้าวสาลีที่เป็นอาหารหยาบ ความเป็นทิพย์ก็หมดสิ้น ความเป็นเพศเริ่มปรากฏ เกิดเพศหญิงและเพศชาย เพ่งกันไปมองกันมากก็เกิดกำหนัด จับคู่เสพเมถุนกัน พวกที่รังเกียจก็ขับไล่ เอาน้ำราด เอาฝุ่นโปรย เอาก้อนดินก้อนหินขว้างใส่ พวกนี้ก็เลยเริ่มสร้างที่กำบังเกิดเป็นบ้านเรือนเพื่อแอบไปเสพเมถุนกันในที่ลับตา กลายเป็นมนุษย์เดินดินกิเลสหนาโดยสมบูรณ์ แต่ความเชื่อเรื่องพระพรหมสร้างโลกก็ยังติดมาด้วยความเข้าใจผิด จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:05:53

ความคิดเห็นที่ 27 1. ข้อมูลจากพวกคุณเองไม่ใช่หรือที่ว่า พระพรหมในความเชื่อฮินดูเป็นเทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และ พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่ามีจริง  แต่เสริมว่าพระพรหมนั้นแหละที่มากราบพระองค์หลายๆครั้ง ยืนยันว่ามีพรหมจริงครับ แต่สภาวะจิตเป็นพรหมครับ คนละเรื่องกับพรหมสร้างโลกเลยครับ ทำฌาณเกิด เป็นพระพรหมครับ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า อสังขตธรรม คือ นิพพาน แต่ พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสว่า อสังขตธรรม คือ พระเจ้า เพราะ ตลอด 45 พรรษา นับแต่ตรัสรู้ พระพุทธเจ้า ทรงปฏิเสธ คำสั่งสอน เรื่อง พระเจ้า มาโดยตลอด ดังที่ พระองค์ตรัสว่า อิศวรนิรมิตวาทะ คำสอนเรื่อง พระเจ้า ไม่ใช่ คำสั่งสอนของพระองค์ เพราะ ใน พระธรรมวินัย ของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่เคยตรัสสอน ว่า อสังขตธรรม คือ พระเจ้า จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:06:08

ความคิดเห็นที่ 28 ตกลง อะไรคือความชัดเจนครับ? จะไม่เรียกเรื่องราวเหล่านี้ ว่าหฤหรรณ์ พัลวัน และตรรกะวิบัติ คงไม่ได้ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:09:02

ความคิดเห็นที่ 29 2. แต่คุณมาแย้งว่า พระพรหม เทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ กลับ ต้องมาจากมนุษย์เสียเอง ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เขาเรียกว่า งูกินหาง หรือ ตัวแปรวนลูปครับ ถ้าเขียนโปรแกรมผิดลักษณะนี้จะฟ้องผิดตรรกะทันทีเมื่อกด Enter และที่สำคัญจะค้านกับ พรหมติดใจรสชาติง้วนดิน จนมาสร้างมนุษย์ คนแรก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่ารอบไหน พระพุทธเจ้าก็คงไม่ใช่มนุษย์คนแรกอยู่ดี ลำดับเหตุการณ์ให้ดีครับ พรหมเป็นสภาวะจิตที่ปราศจากกิเลส ชั่วคราวครับ เน้นว่าชั่วคราวเพราะขาดตัวปัญญา จึงสามารถที่จะลดความละเอียดได้ครับแต่คำว่าชั่วคราวก็นานนับเป็นกัปทีเดียว การที่มนุษย์เป็นพรหมได้เกิดจากการ เข้าสมาธิหรือฌาณ เพื่อกดทับกิเลสนะครับ เน้นว่ากดทับให้มันไม่กำเริบเท่านั้น และเมื่อกิเลสก่อตัวก็เห็นว่าสิ่งที่หยาบนั้นเป็นสิ่งที่ดี "พระพุทธเจ้าก็คงไม่ใช่มนุษย์คนแรกอยู่ดี ลำดับเหตุการณ์ให้ดีครับ" ถูกครับเป็นสัมมาทิฐฐิครับ พระพุทธเจ้าไม่ใช่มนุษย์คนแรกครับแต่เป็นมนุษย์ที่ใช้ปัญญาหาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดและดับเหตุนั้นครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:11:14

ความคิดเห็นที่ 30 3. และไม่ว่าจะมาจากไหน หากพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งก็ไม่มีเหตุผลที่จะมากราบผู้ถูกสร้างอย่างที่กล่าวไปแล้ว ก็เพราะพระพรหมไม่ได้สร้างโลกไงครับแต่เป็นจิตที่มาเกิดบนโลกซึ่งโลกมันเกิดของมันเองครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:12:51

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าคุณจะอธิบายว่าเป็น จิต แะจิตนั้นๆก็ไม่ได้สร้างอะไร คุณจะอธิบายเรื่องราว ขั้นตอนการสร้าง ในคัมภีร์ตนเองอย่างไร? ต้องพิสูจน์ว่า ใครพูดเท็จกันแน่ครับ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:15:06

ความคิดเห็นที่ 32 4. เสริมว่าหากพระพรหมเป็นมนุษย์ที่สำเร็จฌานจริง ก็แสดงว่า เคยมีมนุษย์ที่ได้ฌานมาก่อนมีพระพุทธเจ้าแล้ว  เพราะพระพรหมณ์ไม่ได้มาจากสาวกพระพุทธเจ้าที่ตายก่อน ถ้าเป็นเช่นนนั้นก็แสดงว่ามีคนบรรลุฌานก่อนพระพุทธเจ้าสิครับ การที่มีพรหมมาก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว แสดงว่าเคยมีคนที่หลุดจากวงโคจรมนุษย์แล้วโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า   ถูกครับมีการทำฌาณให้เกิดก่อนมีพุทธศาสนาเสียอีก แต่ไม่ได้หลุดพ้นครับแค่กดทับกิเลสโดยสมาธิครับ ไม่ได้หาเหตุให้กิเลสหายไปจึงยังไม่พ้นกฏไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พรหมจึงค่อยๆลดความละเอียดลง จากชั้นสูงสุด ค่อยๆลดลงมาจนกลับมาเป็นมนุษย์อีกได้ครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:15:28

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าคุณจะอธิบายว่าเป็น จิต แะจิตนั้นๆก็ไม่ได้สร้างอะไร คุณจะอธิบายเรื่องราว ขั้นตอนการสร้าง ในคัมภีร์ตนเองอย่างไร? ต้องพิสูจน์ว่า ใครพูดเท็จกันแน่ครับ? การที่พรหมมากินง้วนดินไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้สร้างครับ จิตเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติเท่านั้นเอง การเกิดโลกนั้นเกิดโดยธรรมชาติครับ โดยมีปัจจัยที่เหมาะสม จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:17:19

ความคิดเห็นที่ 35 การกำเนิดโลกนั้นนับเป็นเรื่องอจิณไตยครับ เหตุผลคือเรื่องการเกิดโลกนั้นนานมากคนธรรมดาไม่สามารถพิสูจน์เห็นตามโดยสมาธิ แต่พระพุทธเจ้ารู้ครับ แต่ที่ไม่ตรัสเพราะคนธรรมดาไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะกำลังบารมีไม่มีทางพอครับ เมื่อคนธรรมดาพิสูจน์ตามไม่ได้ก็จะเกิดการถกเถียงแบบที่เป็นอยู่นี้แหละครับ ท่านเลยตรัสว่าเป็นอจิณไตย ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าการที่พรหมลงมากินง้วนดินเป็นสำหรับภทรกัปนี้นะครับเพราะจะเห็นได้ว่าสัตว์ต่างๆถูกพัดพามาจากนรกในจักรวาลอื่น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่การเกิดแบบจุดเริ่มต้นครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:21:59

ความคิดเห็นที่ 36 คือผมไม่ได้บอกนะครับว่าให้เชื่อแนวใด หรือ พรหมจะมีสภาพแบบไหนกันแน่ แต่ผมได้บอกตั้งแต่ คห. 22 แล้วว่า "ข้อมูลขัดแย้งกันเอง ตรรกะวินาศสันตะโรแล้วนะครับ " คุณคงต้องไปเถียงกันเองกับแห่งต่างๆที่ต่างก็อธิบายไปคนละทิศคนละทาง ทั้งที่อ้างจากศาสนาเดียวกัน หวังว่าคงเข้าใจนะครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:22:12

ความคิดเห็นที่ 37 เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นเรื่อง อจิณไตย ในศาสนาพุทธ แต่ในศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าแล้วอธิบายได้จบข้อสงสัยครับ แค่ยอมรับว่ามีผู้สร้าง ก็จบครับ ส่วนจะไปอธิบายรายละเอียดผู้สร้างเหมือนตาเห็นนั้น ก็อจิณไตยทุกศาสนา จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:25:39

ความคิดเห็นที่ 38 "แค่ยอมรับว่ามีผู้สร้าง ก็จบครับ ส่วนจะไปอธิบายรายละเอียดผู้สร้างเหมือนตาเห็นนั้น ก็อจิณไตยทุกศาสนา" ถ้าจะคาดคั้นให้เผยผู้สร้างผมก็จะบอกครับ "ธรรมชาติ" เป็นผู้สร้างครับยิ่งใหญ่จริง "เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นเรื่อง อจิณไตย ในศาสนาพุทธ แต่ในศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าแล้วอธิบายได้จบข้อสงสัยครับ" เรื่องที่ถูกใจบอกง่ายครับ แต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสครับ อย่างที่บอกคนที่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีอย่างกล้าแข็ง ตายเป็นตาย นั้นไม่สามารถจะตามดูการกำเนิดโลกได้ครับ และเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ก็เชื่อตามไม่ได้ครับ ผิดหลักกาลามสูตร คือ ต้องปฏิบัติให้รู้แจ้งเท่านั้น และการรู้การเกิดของโลกผมก็ยังหาไม่ได้ว่ามันสำคัญตรงไหนที่จะทำให้หลุดพ้นนะครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:35:23

ความคิดเห็นที่ 39 หลักกามลามสูตรนั้นไม่ได้มีไว้เล่นๆนะครับ ถ้าสงสัยข้อไหนก็ปฏิบัติตามเป็นข้อๆนะครับ แต่ที่บอกอจิณไตยคือถ้าอยากรู้จริงต้อง อดทนบำเพ็ญบารมีสิบทัศนานขั้นต่ำ ยี่สิบอสงไขยแสนกัปครับรู้หมดแน่นอน การที่มีข้อไม่ให้เชื่อตำราเพราะอาจมีการแปลผิดพลาด และยิ่งช่วงหลังๆอาจมีการนำคติส่วนตนไปผสมไงครับจึงมีข้อขัดแย้งแบบนี้ แต่หลักศาสนาพุทธคือ มรรคแปด อริยสัจสี่ มหาสติปัฏฐานสูตร กฏไตรลักษณ์ของขัณฑ์ห้า ทุกข์ของการยึดในขัณฑ์ห้า ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ครับเพราะเป็นคำสอนที่เด่นชัดมากๆ แม้นคุณ  laliklalee อาจต่างศาสนาแต่เมื่อลองทำข้อคำสอนบางอย่างคุณก็สามารถเข้าใจได้ครับว่ามันผิดหรือถูก และพุทธศาสนาไม่บังคับในการนำข้อปฏิบัติที่มีประโยชน์ไปใช้แม้จะไม่ได้นับถือพุทธครับ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 21:02:16 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 20:53:38

ความคิดเห็นที่ 40 "พรหมองค์แรกก็เข้าใจว่าตัวเองเนรมิตขึ้น พรหมองค์ใหม่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เข้าใจว่าพรหมองค์แรกเนรมิตขึ้นมาจริงๆ ต่อมาก็ช่วยกันคิดช่วยกันนึก ก็มีพรหมองค์อื่นๆ มาอุบัติเพิ่มเรื่อยๆ เลยหลงเชื่อกันไปใหญ่ว่าตัวเองเป็นผู้สร้าง" ข้อความนี้บอกชัดแล้วว่าเป็นการทึกทักเอาเองครับ มันขัดกับที่ว่าพรหมไม่ได้สร้างโลกตรงไหนครับ -.-" บอกแล้วไงครับว่าจิตที่ขาดปัญญานำพาความเป็นมิฉฉาทิฐฐิครับ อันนี้ไม่ได้ว่าคุณนะครับแต่ว่าถึงการที่เกิดการเข้าใจผิดว่าพรหมเป็นผู้สร้างครับ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 21:03:07 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:00:26

ความคิดเห็นที่ 41 ที่คุณ Rattanapreug เชื่อและอธบายได้เป็นฉากๆในเรื่องพรหมนี้ ต้องละเมิดหลัก กาลามสูตร กี่ข้อครับ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:06:38

ความคิดเห็นที่ 42 ที่คุณ Rattanapreug เชื่อและอธบายได้เป็นฉากๆในเรื่องพรหมนี้ ต้องละเมิดหลัก กาลามสูตร กี่ข้อครับ? แล้วคุณรู้หรือว่าผมไม่ได้ปฏิบัติครับ? จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:11:45

ความคิดเห็นที่ 43 ที่คุณอธิบายรายละเอียด ไม่นับส่วนที่แตกต่างที่ที่คุณไม่ชี้แจง คุณก็ยอมรับว่าไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็น และเข้าใจได้ อธิบายมามากกลับสรุปว่า "อจิณไตย" เพื่อปกป้องการพิสูจน์เท่านั้นเอง แต่คุณก็ "เชื่อ" ทีนี้หักกาลามสูตร เป็นหลัก "ห้ามเชื่อ" 10 ข้อ ผมจึงถามคุณว่าคุณละเมิด หลัก ห้ามเชื่อ กี่ข้อแล้วงัยครับ? โปรดพิจารณา จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:31:29

ความคิดเห็นที่ 44 ที่คุณอธิบายรายละเอียด ไม่นับส่วนที่แตกต่างที่ที่คุณไม่ชี้แจง คุณก็ยอมรับว่าไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็น และเข้าใจได้ อธิบายมามากกลับสรุปว่า "อจิณไตย" เพื่อปกป้องการพิสูจน์เท่านั้นเอง ก็บอกแล้วครับปฏิบัติแล้วตามดูได้ครับ เรื่องผลของการปฏิบัติสมาธินั้นผมจะไม่กล่าวเพราะเป็นเรื่องรู้เห็นส่วนตนอธิบายก็มีแต่จะเถียงไม่จบครับ แต่การปฏิบัติสมาธินั้นถ้าคุณทำแล้วติดข้องด้านไหนก็มาถามผมได้ครับจนถึงจตุถฌาณครับ และผมก็ไม่จำเป็นต้องกางตำราตอบด้วยครับ "แต่คุณก็ "เชื่อ" ทีนี้หักกาลามสูตร เป็นหลัก "ห้ามเชื่อ" 10 ข้อ ผมจึงถามคุณว่าคุณละเมิด หลัก ห้ามเชื่อ กี่ข้อแล้วงัยครับ? โปรดพิจารณา" มาลองปฏิบัติเถิดครับแล้วคุณจะรู้ว่ามีสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้อีกมากครับ แต่สามารถรู้เห็นได้ด้วยสมาธิครับ ผมเคยเขียนตอบคุณแล้วในกระทู้อื่นว่าการทำสมาธินั้น ไม่จำเป็นต้องท่องพุทโธก็ได้ครับ ผมจะบอกเป็นนัยว่าเมื่อคุณเห็นการเกิดดับของจิตแล้วคุณจะพิศวงมากๆครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:41:14

ความคิดเห็นที่ 45 อจิณไตย ไม่ได้ป้องกันการพิสูจย์ แต่มีไว้เพื่อป้องกันคนเป็นบ้า ดังนั้นถ้าไม่กลัวเป็นบ้าจะขบคิดพิสูจย์ไปก็แล้วแต่สำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับผู้สำหรับมรรคผล มีฌาณอภญญา ก็อีกเรื่องนึง คืออยากรู้กรรมใครก็เล็งเอา ยิ่งพระอรหันต์เป็นผู้มีสติทุกเมื่อจะขบคิดพิสูจย์แค่ไหน ก็ไม่เป็นบ้าหรอกครับ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:43:29

ความคิดเห็นที่ 46 "อรหันต์เป็นผู้มีสติทุกเมื่อจะขบคิดพิสูจย์แค่ไหน ก็ไม่เป็นบ้าหรอกครับ" ถูกใจครับ แต่เหตุที่ท่านไม่บ้าเพราะเรื่องที่คิดนั้นไม่ได้กระทบจิตแม้แต่น้อย จิตเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น แล้วจิตจะเฝือได้อย่างไร? จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:48:03

ความคิดเห็นที่ 47 กาลามสูตรไม่ได้บอกว่า ห้าม เชื่อ แต่บอกว่า ไม่พึง หรือไม่ควรเชื่อ หมายถึงจะเชื่อก้ได้แล้วแต่คุณ ไม่ได้บอกว่าห้ามเชื่อ ถ้าเชื่อนอกเหนือจากกาลามสูตรจะเป็นบาปตกนรกก้ไม่ใช้ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:00:36

ความคิดเห็นที่ 48 ตกลงคุณพิสูจน์จิตจน เชื่อ เรือ่งที่เล่ามาข้างบนแล้วใช่ไหมครับ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:01:24

ความคิดเห็นที่ 49 คห.47 จะบอกว่าแค่ทำสิ่งที่ไม่ควรเฉยๆ แต่ไม่ได้บาปงั้นเหรอ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:02:25

ความคิดเห็นที่ 50 "ตกลงคุณพิสูจน์จิตจน เชื่อ เรือ่งที่เล่ามาข้างบนแล้วใช่ไหมครับ?" เรื่องที่ตอบคือ "ผล" ของการปฏิบัติครับ เริ่มตอนนี้ก็ไม่สายครับถ้าทำถูกทาง และผมเน้นย้ำว่าผมขอตัดเรื่องปาฏิหารย์ของจิต แต่วิธีการปฏิบัติถามผมมาได้เลยครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:05:24

ความคิดเห็นที่ 51 กาลามสูตรคือ ไม่ให้ปักใจเชื่อเลย และ ไม่ได้ให้ปักใจว่าไม่ใช่เลย ทำจิตให้เป็นกลางแล้วปฏิบัติจึงเกิดผล การเชื่อเลยว่าใช่ก็ก่อให้เกิดอุปทาน การไม่เชื่อเลยคือการลังเลสงสัย เป็นอุปสรรคในการเจริญสมาธิ ใจกลางๆจึงปฏิบัติและรู้ได้ครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:07:47

ความคิดเห็นที่ 52 โปรดตอบตรงคำถามด้วย ความคิดเห็นที่ 48 MsgStatus(Msv[48], 48); ตกลงคุณพิสูจน์จิตจน เชื่อ เรือ่งที่เล่ามาข้างบนแล้วใช่ไหมครับ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:01:24 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:10:16

ความคิดเห็นที่ 53 ตัวอย่างคุณลองทำใจกลางๆแล้วพิจารณาว่า มีสิ่งใดในโลก ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และไม่ดับไปมั๊ย คุณลองหาข้อแย้งมา แม้นแต่ให้คนอื่นหาข้อแย้งมา แม้นพยายามหาสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายมา(พิสูจน์) ถ้าไม่มีก็เป็นสัจธรรมคือเรื่องจริง จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:13:56

ความคิดเห็นที่ 54 "ตกลงคุณพิสูจน์จิตจน เชื่อ เรือ่งที่เล่ามาข้างบนแล้วใช่ไหมครับ?" "เรื่องที่ตอบคือ "ผล" ของการปฏิบัติครับ(พิสูจน์) เริ่มตอนนี้ก็ไม่สายครับถ้าทำถูกทาง" ผมว่าผมตอบตรงแล้วนะครับ -.-" จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:15:53

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่มีครับ แล้วงัยต่อ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:16:44

ความคิดเห็นที่ 56 คุณจะบอกว่าผลที่รับรู้จากการปฏิบัติทำให้เชื่อที่กล่าวมา  ผมก็กำลังถามงัยครับว่า ยังงัย? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:19:56

ความคิดเห็นที่ 57 นี่แหละครับที่ผมบอกแล้วว่าพอบอกผลแล้วคุณก็จะพยายามคาดคั้นเพื่อให้ผมตอบว่าผม 'เห็นมาโดยสมาธิ" แล้วก็รอชาวพุทธหรือต่างศาสนามาถล่มผม ดังนั้นผมจะไม่บอกว่าพิสูจน์ยังไงนับจากนี้ ผมเน้นไว้ก่อนหน้าแล้วว่าอิทธิปาฏิหารย์ไม่ใช่เรื่องบอกแล้วคนอื่นเข้าใจต้องปฏิบัติเอง ผมหวังว่าคงไม่เห็นการพยายามคาดคั้นนะครับ แต่อยากเห็นคำว่า "ฉันจะปฏิบัติแล้วถ้าติดขัดอย่างไรก็จะปรึกษากัน" จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:20:15

ความคิดเห็นที่ 58 เปล่าเลย คุณยังไม่ได้บอกผลเลย ใครจะเข้าใจครับว่า ภาพที่คุณเห็นโดยสมาธินั้น คือภาพอะไร คุณเล่ามาเฉยๆคงไม่มีใครว่าคุณกระมังครับ ไม่มีใครถล่มคุณหรอกครับ จะทำไปทำไม? บอกมาเถอะครับ ผู้ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร? แต่ถ้ารู้สึกคาดคั้น ก็ไม่เป็นไรครับ บอกผมว่าไม่ได้จริงๆ ผมก็เข้าใจ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:24:41

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่องบาปทางศาสนาพุทธเป็นแบบนี้ครับ ศาสนาพุทธไม่ได้บอกว่าทำชั่วต้องลงนรก ทำดีไปสวรรค์ แต่มันมีองค์ประกอบมากกว่านั้น ศีล5 ก็ไม่ได้บอกว่าห้าม แต่เค้าจะบอกข้อดีของการรักษาศีล ข้อเสียของการผิดศีล ซึ่งจากนี้ใครจะทำตามไม่ทำตามก็แล้วแต่ เหมือนป้ายระวังไฟดูดนั้นแหละ คือถ้าเชื่อไม่เอามือไปแหย่ ก็ดีไป ถ้าไม่เชื่อเอามือไปแหย่ ไฟดูดตายก็เรื่องของคุณ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:26:01

ความคิดเห็นที่ 60 ถ้าจะรักษาสมาธิผมๆ ห้ามบอกเด็ดขาดคือมันรักษายากมากครับและเสื่อมง่ายมากๆ แต่ถ้าคุณอยากพิสูจน์ว่ามีสมาธิหรือเปล่า(เหตุ)ผมจะบอกวิธีในการฝึกให้(เหตุ) ส่วนผลของการปฏิบัติสมาธินั้นคุณต้องรู้เห็นด้วยตนเอง แล้วคุณจะร้องว่า อ๋ออย่างนี้นี่เอง ฌาณวิสัยเป็นเรื่องที่ต้องรู้เห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ส่วนวิธีปฏิบัติดูใน กรรมฐาน 40 ครับติดขัดอย่างไรค่อยมาว่ากันและถ้าเกินความรู้ผมก็ยังมีสถานที่ที่มีพระที่ตอบคำถามคุณได้ครับ หาไม่ยากถ้าต้องการจริงๆ แต่ถ้าเริ่มปฏิบัติคุณต้องเริ่มลบข้อความที่ต่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนครับ ไม่งั้นจะเกิดผลได้ยาก และขอขมาที่เคยล่วงเกินพระรัตนตรัยก่อน แล้วค่อยเริ่มฝึกครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:33:33

ความคิดเห็นที่ 61 "คุณเล่ามาเฉยๆคงไม่มีใครว่าคุณกระมังครับ ไม่มีใครถล่มคุณหรอกครับ จะทำไปทำไม?" น้อยไปครับ แม้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบอกเรื่องราวแก่ลูกศิษย์ไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชน พอลูกศิษย์เอามาเล่า ยังโดนมานักต่อนักเลยครับ การที่ไม่บอกผลให้นั้นเพราะการปรามาสคนที่ปฏิบัตินั้นเป็นบาปมหันต์ครับ ผมจะไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนั้นแน่นอน ถ้าคุณสังเกตดีๆผมจะไม่ปรามาสศาสนาอื่นก็เพื่อไม่ให้ใครมาปรามาสพระพุทธเจ้าครับ เหตุผลคล้ายกัน คือผมจะไม่เป็นต้นเหตุให้มีการด่าว่ากันเด็ดขาดครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:38:52

ความคิดเห็นที่ 62 ผมมีสมาธิ มีสติ ในการดำเนินชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นครับ แต่ยังงัยก็ขอบคุณในความปรารถนาดีครับ อย่างน้อย คุณก็เป็นคนสุภาพครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:41:36

ความคิดเห็นที่ 63 "ผมมีสมาธิ มีสติ ในการดำเนินชีวิต" สิ่งที่คุณกล่าวนั้นเป็นสัมมาทิฐฐิครับเพราะสัมมาทิฐฐินั้นเกิดได้ทุกศาสนาครับ "อย่างน้อย คุณก็เป็นคนสุภาพครับ" ขอบคุณครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 22:45:13

ความคิดเห็นที่ 64 เรียนท่าน Rattanpreug ผมขออนุญาต discuss ร่วมนะครับ คือใน # 53 และความจริงที่ว่า กาแลตซี่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้น ตามหลักแล้ว กาแลตซี่พอถึงจุดจบ (ผมเข้าใจว่า โลกกำลังถูกดูดเข้าศูนย์กลางของกาแลตซี่ หรือไม่ก็กำลังขยายไม่แน่ใจ) แต่มันคงถูกรวม แล้วก็ระเบิดใหม่ วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ (แบบนี้ถุกไหมครับ) ที่นี่คำว่านิพพาน หมายถึงไม่ต้องมาเกิดแล้ว (วิญญาณเป็นพลังงาน คงไม่มีวันสูญหาย - ถ้าเข้าใจผิด โปรดแนะนำด้วยครับ) จึงแปลว่า ถึงแม้น เอกภพจะระเบิด สร้างใหม่ ระเบิด สร้าง กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็แปลวไว้ ผู้ที่นิพพานแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ดวงวิญญาณอื่นๆ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ สิ่งที่อยากถามคือ แล้่วข้อเรื่องสวรรค์-นรก เป็นอย่างไร การระเบิดของเอกภพ จะกระทบถึงสวรรค์หรือนรกหรือไม่ ที่เล่าว่า มีสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือนรกขุมต่างๆ นี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ครับ ถ้าดวงวิญญาณจิตเป็นเพียงพลังงาน การระเบิดหรือสิ้นสุดของเอกภพ จะเป็นการทำลายวิญญาณจิตหรือไม่ -- เป็นการถามเชิงปรัชญานะครับ อยากทราบความคิดเห็นในมุมพุทธศาสนาครับ-- จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 05:57:58

ความคิดเห็นที่ 65 เรียนท่าน Rattanpreug ผมขออนุญาต discuss ร่วมนะครับ ยินดีครับ "สิ่งที่อยากถามคือ แล้่วข้อเรื่องสวรรค์-นรก เป็นอย่างไร การระเบิดของเอกภพ จะกระทบถึงสวรรค์หรือนรกหรือไม่ ที่เล่าว่า มีสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือนรกขุมต่างๆ นี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ครับ" เรื่องนรกผมยังไม่กล่าวครับเพราะยังไม่ได้พิสูจน์ แต่สวรรค์น่ะมีจริงครับ พระพรหมมีจริงครับ และโลกเราไม่ได้มีมิตินี้มิติเดียวครับมิตินี้พังไปก็ไม่ได้หมายความว่าอีกมิติจะพังครับ เท่าที่ผมทราบนะครับ และมีปริศนาอีกว่า มีศาสนาหนึ่งถ้าทำถูกต้องแล้วสามารถขึ้นสวรรค์หรือพรหมได้ครับ แต่ส่วนใหญ่จะไปในที่ๆมีสิ่งที่เขาเคารพอยู่ครับ นั่นคือสวรรค์ครับ ศาสนาไหนนั้นไปหาและพิสูจน์เอาเองนะครับ "ที่นี่คำว่านิพพาน หมายถึงไม่ต้องมาเกิดแล้ว (วิญญาณเป็นพลังงาน คงไม่มีวันสูญหาย - ถ้าเข้าใจผิด โปรดแนะนำด้วยครับ) จึงแปลว่า ถึงแม้น เอกภพจะระเบิด สร้างใหม่ ระเบิด สร้าง กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็แปลวไว้ ผู้ที่นิพพานแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ดวงวิญญาณอื่นๆ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่" คำว่านิพพาน แปลตรงความหมายคือ พ้นจากเครื่องร้อยรัด(กิเลส) กรรม วิบาก ดับเชื้อของการเกิดครับไม่มีการจุติใหม่ครับ ตอบได้เท่านี้ครับ เรื่องสภาวะของนิพพานนั้นไม่ขอกล่าวครับเพราะผมยังไม่ได้ครับ และไม่ว่าเอกภพจะระเบิด รังสีต่างๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกายคนนั้นไม่ได้มีผลกับจิตครับ ยกเว้น ธาตุสี่ที่เป็นทิพย์จึงสามารถทำร้ายจิตได้ครับแต่ไม่สามารถทำลายจิตให้แตกได้ครับ ตัวอย่างคือไฟนรกนั้นแม้นจิตโดนก็ทรมานครับ แต่ถ้าสามารถเอาไฟในโลกไปจุดใต้ที่วิญญาณอยู่ก็ไม่มีผลอะไรครับ คนละมิติกันแต่แค่ทับซ้อนกันครับ และตราบใดที่จิตยังมีกิเลสอยู่ก็จะยังเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุดครับ จะหยุดได้ต้องหากิเลสให้เจอและดับมันเสียครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 07:39:31

ความคิดเห็นที่ 66 "ถ้าดวงวิญญาณจิตเป็นเพียงพลังงาน การระเบิดหรือสิ้นสุดของเอกภพ จะเป็นการทำลายวิญญาณจิตหรือไม่" จิตแค่ซ้อนกับกับมิตินี้ ไม่กระทบดวงจิตแม้แต่น้อย แต่จิตที่ฝึกแล้วสามารถส่งพลังงานมากระทำกับวัตถุบนโลกนี้ได้ครับ จิตมีพลังงานมหาศาลครับถ้าเป็นหนึ่งไม่วอกแวก อุปมาว่าจิตที่ฝึกแล้วนั้นมีพลังแม้นทำให้โลกธาตุสะเทือนได้ อันนี้เป็นการเปรียบเทียบนะครับ จิตอยู่ในมิติที่ละเอียดกว่าครับแค่ซ้อนกันอยู่เช่น คนมีจิตที่ซ้อนกันอยู่ครับแต่พอคนตายจิตก็ไม่ได้สลายครับ แค่เปลี่ยนภพภูมิครับ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมบางสำนักสอนให้ดูลมหายใจ บางคนให้เพ่งกสิณ บางที่ให้ฝึกแบบอื่นแต่ลงเอยท้ายสุดก็มีสภาวะจิตแบบเดียวกันคือจตุถฌาณ จิตไม่ได้มีรูปร่างแต่อุปทานสร้างรูปขึ้นมา ดังจะเห็นว่าบางท่านที่นั่งได้สมาธิแล้วเห็นเทวดาองค์เดียวแต่รูปร่าง การแต่งกายไม่เหมือนกัน(ความคิดเห็นส่วนตัว ครับถ้าคิดว่าเลยเถิดก็ลืมมันไปครับ) ถ้าดับอุปทานจิตก็ไม่มีรูปร่างที่แน่นอนครับเปรียบเหมือนน้ำใส่ในภาชนะอะไรก็เป็นแบบนั้น ภาชนะของคนก็คือขันธ์ห้าเราเลยสำคัญผิดว่าตัวเราเป็นจิตจิตเป็นตัวเราได้ไงครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 07:54:50

ความคิดเห็นที่ 67 และความจริงที่ว่า กาแลตซี่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้น ตามหลักแล้ว กาแลตซี่พอถึงจุดจบ ยังไม่เป็นความจริงครับเพราะของที่จุดสิ้นสุดต้องไม่มีอะไรห่อไว้ครับแต่นอกกาแลคซี่ออกไปยังไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อหาจุดสิ้นสุดไม่ได้แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะมีจุดจบเมื่อไหร่-.-" เพราะตอนนี้เอกภพก็ยังขยายอยู่ครับ(วิทยาศาสตร์นิดนึงนะครับ) จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:12:45

ความคิดเห็นที่ 68 # Rattanapreug ถ้าดังนั้น แปลว่า วิญญาณจิตมีสภาพนิรันดร์ แล้ว สามารถแปรเปลี่ยนได้ หรือไม่ครับ เช่น วิญญาณจิตของคน ที่ทำบาปมากๆ จะกลายเป็นวิญญาณจิตของ สุนัข แมว ไ้ด้ไหม แล้ว วิญญาณจิตของสัตว์ กับ คนต่างกันไหม หรือ วิญญาณจิตของสัตว์ชั้นต่ำ จะสูญสลายไหม เช่น แมลง มด ถ้าวิญญาณจิตไม่สูญสลาย แสดงทั้งเอกภพ ควรมีจำนวนวิญญาณจิตที่คงที่ อีกประการถ้าการสิ้นสุดของเอกภพ ไม่กระทบต่อสวรรค์ ก็แปรว่า สวรรค์เป็นสภาพนิรันดร์ หรืออาจจะมองอีกมุมหนึ่งคือ เอกภพสิ้นสุดไ้ด้ แต่สวรรค์(อีกมิติหนึ่ง)เป็นนิรันดร์ หรือหมายว่า โลกที่เราอยู่มีกาลเวลา และสวรรค์ไม่มีกาลเวลา ขอขอบคุณครับที่ให้ความรู้ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:30:47

ความคิดเห็นที่ 69 "ถ้าดังนั้น แปลว่า วิญญาณจิตมีสภาพนิรันดร์ แล้ว สามารถแปรเปลี่ยนได้ หรือไม่ครับ เช่น วิญญาณจิตของคน ที่ทำบาปมากๆ จะกลายเป็นวิญญาณจิตของ สุนัข แมว ไ้ด้ไหม" จิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติครับการที่ฝึกฝนจิตก็คือทำให้จิตกับสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติครับ ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ จิตนั้นไม่ได้แปรสภาพครับยังเป็นจิตแบบเดิมแต่เปลี่ยนแค่รูปร่างให้เหมาะกับขัณฑ์ครับ และถูกแล้วครับถ้าทำบาปไว้มากก็จะเริ่มจากการลงนรกก่อนครับ การเป็นสุนัข แมว เป็นเพียงเศษของกรรมครับ ดังนั้นเป็นได้ครับ "แล้ว วิญญาณจิตของสัตว์ กับ คนต่างกันไหม" ไม่ต่างกันครับ อุปทานสร้างรูป สร้างขัณฑ์และไม่ปรากฏว่าสัตว์ที่ตายแล้วจิตเป็นรูปสัตว์นะครับ เปลี่ยนเป็นขัณฑ์ในแบบโอปาปะติกะนะครับ จิตสร้างรูปครับ ทั้งคนดู และคนที่เป็น อาศัยจิตสร้างรูป ดังนั้นจึงมีคนที่ทำสมาธิแล้วเห็นสัตว์ที่เป็นวิญญาณครับแต่เป็นเพียงการสร้างรูปของวิญญาณนั้นเพื่อให้คนที่เห็นจำได้นะครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:42:12

ความคิดเห็นที่ 70 "หรือ วิญญาณจิตของสัตว์ชั้นต่ำ จะสูญสลายไหม เช่น แมลง มด' ไม่มีแบ่งแยกครับ จิตคือจิตเท่ากันครับ การเป็นสัตว์ชั้นต่ำก็เป็นไปในส่วนของการใช้กรรมครับ พอหมดกรรมแล้วก็สามารถเป็นคน เทวดา พรหม ได้เหมือนกันหมด โดยอาศัยกรรมที่ส่งผลต่อจากกรรมที่ใช้หมดแล้วครับ "ถ้าวิญญาณจิตไม่สูญสลาย แสดงทั้งเอกภพ ควรมีจำนวนวิญญาณจิตที่คงที่" เกิดขึ้นเรื่อยๆครับเพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์และขนสรรพสัตว์ให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดครับ จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:47:08

ความคิดเห็นที่ 71 "อีกประการถ้าการสิ้นสุดของเอกภพ ไม่กระทบต่อสวรรค์ ก็แปรว่า สวรรค์เป็นสภาพนิรันดร์" สวรรค์มีสภาพนิรันดร์เป็นธรรมชาติแต่คนที่ไปเกิดบนนั้นไม่นิรันดร์ครับ เพราะยังไม่ได้ดับเชื้อของการเกิดอยู่คือตัณหา อวิชชา อุปทาน หรือกิเลส กรรม วิบาก สวรรค์เป็นที่ๆวิเศษสำหรับการเสพกามคุณครับ โดยมีผัสสะอันเป็นทิพย์ หาความทุกข์ไม่มี แต่มีข้อเสียข้อเดียวคือ มีวันที่เทวดาหมดอายุครับ (-_-") พรหมเป็นที่วิเศษของการเสพปิติธรรมครับ มีสภาพสุขโดยเกิดจากความสงัดแต่ก็มีวันหมดอายุเช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ไม่เคยหาวิธีที่จะทำให้มีแต่สุขอย่างเดียวและถาวรนะครับ แต่พระองค์ตรัสว่า สภาพสุขและทุกข์นั้นแยกจากกันไม่ได้ จึงต้องดับทั้งทุกข์และสุขพร้อมๆกัน ถึงจะหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด ถ้านับตามที่พิสูจน์ได้นะครับ ทุกข์และสุขดับชั่วคราวพร้อมกันที่จตุถฌาณครับ และจิตแยกจากกายชั่วคราวที่ จตุถฌาณเช่นเดียวกัน แต่เน้นว่าชั่วคราวครับ แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 55 09:00:48 จากคุณ : Rattanapreug เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:57:22

ความคิดเห็นที่ 72 ขอขอบคุณท่าน Rattanapreug ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 08:14:46