ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเจริญสติปัฎฐาน 4 อย่างถูกต้องเหมาะสมตามพระไตรปิฏก พระอนาคามี -> พระอรหันต์ ใน 7 วัน อย่างช้า 7 ปี -------- อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐาน ๔   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง  ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ  ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๖ ปี  ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่  ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๕ ปี  ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑  หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง  พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๔ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑  หรือเมื่ออุปทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๓ ปี ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑  หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง  พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๒ ปี  ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่  ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ ปียกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง  พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๑ ปี  ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปีหนึ่งยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง  พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๗ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้  ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๖ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๕ เดือน  ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๔ เดือน  ผู้นั้น พึง  หวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง  พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๓ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๒ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด ๑ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ เดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด กึ่งเดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒  ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กึ่งเดือนยกไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนั้น ตลอด  ๗ วัน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก  เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย    เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่ง ความโศกและความร่ำไร  เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส  เพื่อบรรลุญายธรรม  เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง  ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้  คำอันใด ที่กล่าวแล้วอย่างนี้ คำอันนั้น เราอาศัยเอกายนมรรค ( คือ สติปัฏฐาน ๔ ) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล จบ มหาสติปัฏฐานสูตร จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 23:33:20

ความคิดเห็นที่ 2 กลุ่ม JuBu ฝึกสมาธิโดยที่ยังนับถือศาสนายูดาย นับถือพระเจ้าเหมือนเดิม จะไปได้ถึงอรหันต์ไหมคะ เรื่องมิจฉาทิฏฐิมีผลไหมคะ ? จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 03:16:39

ความคิดเห็นที่ 3 ใครก็ตาม  ถ้ายังไม่อาจจะทำให้อริยมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นได้  ย่อมไม่มีทางจะบรรลุได้แม้ขั้นโสดาบัน  ไม่ต้องไปพูดถึงขั้นพระอรหันต์หรอก ... การทำให้อริยมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นในจิตได้  พลังต่างๆของจิต ทั้ง ๓๖ ตัว ...คือ เจตสิกที่ดีๆ และเจตสิกกลางๆ ๓๖ ตัว  เช่น  ศรัทธา  สติ   สมาธิ  ปัญญา  วิริยะ ... ฯ  เป็นต้นเหล่านั้น  ต้องมีพลังเต็มที่ในระดับอัปปนาวิถี พวก JuBu หรือคนที่ยังนับถือศาสนาอื่นๆอยู่  เมื่อมาฝึกแบบพุทธ  ก็แสดงว่าศรัทธาในพุทธยังไม่เต็มที่ เป็นการฝึกแบบทดลอง เท่านั้น... ย่อมยากที่จะทำให้พลังเจตสิกต่างๆ  โดยเฉพาะพลังของศรัทธายกระดับถึงอัปปนาวิถีได้   ดังนั้น ในเมื่อระดับของพลังจิตเหล่านั้น ไม่อาจจะไต่ระดับถึงอัปปนาวิถีได้   ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อริยมรรคจะเกิดขึ้นมา  ดังนั้น เมื่ออริยมรรคไม่อาจจะเกิดได้  ก็หมายถึงไม่มีทางได้บรรลุเป็นพระอริยะเจ้าได้ แม้ขั้นต้น คือเป็นพระโสดาบัน ลักษณะพลังของศรัทธาหรือความเชื่อมั่นที่เต็มที่ในระดับอัปปนาวิถี  คือระดับที่เชื่อสุดๆเต็มตัว  ยอมตายกับความเชื่อนั้นได้ ไม่ลังเลแม้นิดเดียว ขนาดคนที่นับถือพุทธ  พยายามฝึกจิตมากๆ  แต่ก็มีน้อยคน หรือแทบไม่มีเลย  ที่จะยกพลังของจิตของตน ให้มีพลังสูงในระดับอัปปนาวิถีได้  จึงแทบไม่เห็นมีพระอริยะเจ้าเกิดขึ้น  หรือมีบ้างก็น้อยๆอย่างยิ่ง  ในหมู่ชาวพุทธด้วยกันเอง  ไม่ต้องไปพูดถึงชาวต่างชาติ ต่างศาสนาเลยละ  ว่าจะยากขนาดไหนที่จะเป็นไปได้ (พูดว่า เป็นไปไม่ได้  จะตรงความจริงมากกว่า) จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 05:52:24

ความคิดเห็นที่ 4 #2 #3 ท่านแมวเก้าแต้ม ท่านโขตาน ขออนุญาตเสริม เดี่ยวทาง JUBU จะใจเสีย เข้าใจผิด เลยไม่ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน การฝึกสมาธิจนได้ฌาณถึงอรูปฌาณ มีได้ในนอกพระพุทธศาสนา ดังนั้น ถ้าหากผู้ที่ฝึกได้ฌาณ แม้ฌาณ 1 แล้วมาฝึกมหาสติ คือสติปัฐฐาน 4 โดยพิจารณาเห็นตามจริงว่า กาย เวทนา จิต ธรรม หรือรูป นาม ทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก็ย่อมจะมีโอกาสได้บรรลุธรรมเป็นอริยะบุคคลกันครับ อย่างไรก็ตาม ขึ้นกับทิฐิของเขาเองว่าจะปฏิบัติเพื่ออะไร ถ้าเพียงเพื่อให้พระเจ้าที่เป็นตัวตนพอใจ ก็คงจะได้แค่ฌาณ แต่ถ้ายิ่งปฏิบัติแล้วเห็นว่าพระเจ้ามีคุณสมบัติไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา   อย่างนี้ก็มีสิทธิ์ก้าวหน้าในธรรมจนบรรลุเป็นอริยะบุคคลได้ครับ : ) แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 07:38:19 จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 07:37:37

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ Mahasati Neo ... ผมพูดถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่เรื่องฌานแบบฌานฤาษี ซึ่งคนนอกศาสนาพุทธอาจจะฝึกกันได้ ... แต่อริมรรคมีองค์ ๘ เป็นเฉพาะหลักการฝึกของศาสนาพุทธเท่านั้น .. ซึ่งมีพระพุทธพจน์ยืนยันไว้แล้วว่า "สมณะภายนอก ไม่มี เหมือนไม่มีรอยเท้าในอากาศ" ... สมณะในพระภาษิตนี้หมายถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ภายนอก หมายถึงนอกจากอริยมรรคมีองค์ ๘ ฌานแบบฌานฤาษี หรือแบบจิตส่งนอกทั้งหลาย เช่นการเพ่งกสิณต่างๆเป็นต้นเหล่านั้น คนละอย่างกับอริยมรรคมีองค์ ๘ เช่น ตัวอย่างพระเทวทัต ที่ฝึกสมาธิแบบฌานฤาษีจนได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์เดช เหาะได้ แต่ผลสุดท้ายลงไปเกิดในนรกอเวจี ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 08:43:02

ความคิดเห็นที่ 6 เปิดหัวกระทู้ของคุณ แมวเก้าแต้ม แล้วก็งง ว่าคือลัทธิ ความเชื่อหรือ กลุ่มอะไร เลยเข้าไปค้นในอากู๋ Jewish Buddhist                    A Jewish Buddhist (also Jewbu or Jubu or Buju) is a person with a Jewish background who practices forms of Buddhist meditation and spirituality. The term Jubu was first brought into wide circulation with the publication of The Jew in the Lotus (1994) by Rodger Kamenetz. In some cases, the term can refer to individuals who practice both traditions; in other cases, "Jewish" is no more than an ethnic designation where the person's main religious practice is Buddhism. In yet other cases, a Jubu is simply a Jew with an interest in Buddhism. A large demographic of Jewish Buddhists, constituting its majority, still maintain religious practices and beliefs in Judaism coupled with Buddhist practices and perhaps beliefs. Origins The first recorded instance of an American being converted to Buddhism on American soil occurred at the 1893 exposition on world religions and the convert had been a Jew named Charles Strauss. He declared himself a Buddhist at a public lecture that followed the World Conference on Religions in 1893. Strauss later became an author and leading expositor of Buddhism in the West.[1] After World War II, there was increasing interest in Buddhism, associated with the Beat generation. Zen was the most important influence at that time. A new wave of Jews involved with Buddhism came in the late 1960s. Prominent teachers included Joseph Goldstein, Jack Kornfield and Sharon Salzberg, who founded the Insight Meditation Society and learned vipassana meditation primarily through Thai teachers. Some Jewish Buddhists claim that the two religions are compatible, while other Jews believe this represents a serious adulteration of both traditions.[2] Buddhist-influenced rabbis have also existed, such as the late Alan Lew, a Conservative rabbi (and not a Jewish Buddhist) in San Francisco.[3] A number of Jewish Buddhists have found a religious home in the inter-spiritual community of Unitarian Universalism, where they lead Sanghas (Buddhist fellowships). According to the Ten Commandments and classical Jewish law, known as Halacha, it is forbidden for any Jew to worship any deity other than the way God is worshipped in Judaism – specifically by bowing, offering incense, sacrifices and/or poured libations. It is likewise forbidden to join or serve in another religion because doing so would render such an individual an apostate or an idol worshipper. Since most Buddhists do not consider the Buddha to have been a "god", Jewish Buddhists do not consider Buddhist practice to be "worship". In addition, many Buddhists (particularly Theravada Buddhists) do not "worship" the Buddha but instead "revere" and "express gratitude" for the Buddha's (and all buddhas') accomplishment and compassionate teaching (that is, discovering and teaching the Dharma so others might be released from suffering and achieve Nirvana). In Mahayana Buddhism (the dominant form of Buddhism in the world today), the Trikaya (three bodies) Doctrine, and praying to Buddha as savior in Shin/Pure Land Buddhism significantly blurs the issue for Jews of whether Buddhism is a religion and whether Buddha is considered a God. A number of Buddhist books, drawing only on surveys of East and West Coast Buddhist communities, concluded that roughly 30% of all Western-born Buddhists were born Jewish. More accurate statistics from the latest (2009) Pew Forum demographic survey shows that the number is no more than 6% – around one-hundred and ten thousand people – and probably significantly less. จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Jewish_Buddhist มาถึงคำถาม ส่วนใหญ่แล้วพุทธศาสนาที่ฝรั่งสนใจในช่วงหลังสงครามโลกจะเป็นพุทธนิกายเซนจากญี่ปุ่นแล้วต่อมาคือพุทธวัรชยาน แล้วค่อยมาเถรวาทตามลำดับ โดยส่วนตัว ตอนนี้ก็สนใจพุทธทิเบต มหายานจีนและก็คับบาล่าของยิวค่ะ ^^ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 08:51:15 จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 08:49:51

ความคิดเห็นที่ 7 คำของพระพุทธองค์ไม่เป็นสอง จากที่เคยตอบ สุภัททะ ปริพาชก ผู้เป็นเอหิภิกขุ คนสุดท้าย ศาสนาใดมีมรรค มีองค์แปด เมื่อนั้น ศาสนานั้นย่อมมีพระอรหันต์ ข้อ แรก ก็สัมมาทิฐิ   ความเห็นชอบ การมีพระเจ้าเป็นนิรันดร์ เป็นอัตตา ไม่ถูกกฎไตรลักษณ์ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 08:52:43

ความคิดเห็นที่ 8 #5 ครับ วันนี้ต้องโชคดีแน่ๆ ท่านโขตานตอบความเห็นผมด้วย   : ) จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 09:19:40

ความคิดเห็นที่ 9 เราเข้าใจละค่ะ ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ ^^ อันนี้ข่าวเกี่ยวกับ JuBu สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักนะคะ ----------------- ชาวพุทธยิวเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา มีรายงานข่าว กล่าวว่าสายเลือดใหม่ของชาวพุทธกำลังเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มศาสนิกชนของยูไดที่เรียกตัวเอง JuBus ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้นในสหรัฐอเมริกา ประมาณกันว่ามีชาวยิว อยู่ประมาณ 6 ล้านคน มีชาวพุทธอยู่ประมาณ 3 ล้านคน โดยชาวพุทธส่วนใหญ่จะเป็นคนเอเซีย และอีกประมาณ 30% เป็นชาวยิวที่เปลี่ยนศาสนามา นายแร๊บบี้ อลัน ลิว ได้กล่าวกับ นสพ.ลอสแอนเจลิสไทม์ ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่ม JuBu ก็คือ การประชุมของ 2 ศาสนาที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีศรัทธาและความสวยงาม ซึ่งจะมารวมกันที่สหรัฐอเมริกา การประชุมนี้จะมีการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมต่อไปด้วย การนั่งสมาธิกำลังเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในหมู่ชาวยิว เขากล่าวว่า ความทุกข์มีอยู่ในใจของทุกคน นักเขียนเดวิด ก๊อตเทียบ ก็กล่าวว่า ชาวยิวได้รับความทุกข์ใจในชีวิต พระพุทธศาสนาทำให้เราพ้นทุกข์จากการนั่งสมาธิและไม่หวนคิดถึงความหลังอีก ------------------------- JuBu : Judaism & Buddhism ธรรมะกับพระเจ้า ในชุมชนชาวยิว (จูบู) ในสหรัฐอเมริกา นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในโลกของความเชื่อและการปฏิบัติ ‘ความเชื่อดั้งเดิม’ ถือเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล ส่วนการปฏิบัติก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัย ในโลกที่แต่ละคนจะต้อง ตัดสินใจวิถีชีวิตให้แก่ตนเอง ปรากฏการณ์ใหม่ที่ว่านี้ คือกระแสการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนชาวยิวหลายแสนคนในสหรัฐอเมริกา พวกเขาเป็นชาวยิว นับถือศาสนายิวโดยกำเนิด ซึ่งก็ยังมีพิธีกรรมของตนเอง มี ‘พระเจ้า’ อันสูงสุดอยู่ในใจ แต่ชาวยิวจำนวนมากเหล่านี้ หันมาศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้หันมาฝึก “สมาธิ” กันอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการเปิดรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต โดยไม่มีความขัดแย้งต่อความเชื่อดั้งเดิมนับพันๆ ปีแต่อย่างใด ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีประชากรเกือบ 300 ล้านคน ซึ่งมีผู้นับถือศาสนายิว (หรือ ศาสนาจูดาย) ถึง 6 ล้านคน แต่ข้อมูลจากสำนักข่าว ABC รายงานว่า จากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีชาวพุทธในอเมริกาอยู่ 3 ล้านคน และตัวเลขสำคัญ อยู่ที่ว่า ศาสนิกอื่นที่หันมานับถือพระพุทธศาสนานั้น ปรากฏว่า 1 ใน 3 เป็นชาวยิว!!! แม้ว่าการสำรวจตัวเลขเรื่องความเชื่อ จะให้แน่ชัดนัก ก็เป็นไปได้ยาก แต่ทว่ากระแส “แนวโน้ม” ของ “จูบู” ก็แผ่ขยายไป อย่างรวดเร็ว บุคคลสำคัญๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของจูบู ได้แก่   Steven Seagal, actor Orlando Bloom, actor     Jack Kornfield, writer   Daniel Goleman, psychiatrist and author   Eric Levine, gym CEO หนังสือพิมพ์ แอล. เอ. ไทมส์ (L.A. Times) แห่งลอส แอนเจลลิส ได้เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า การนับถือควบสองศาสนานี้ ถือเป็นแนวโน้มข้ามไขว้ระหว่างสองศาสนา ซึ่งกำลังเฟื่องฟูเป็นอันมากในสังคมอเมริกัน โดยมีกลุ่มปัญญาชนชาวยิว เป็นผู้บุกเบิกแนวโน้มที่ว่านี้ สำนักข่าว UPI ได้สัมภาษณ์ท่านแร็บไบ (นักบวชยิว) แห่ง Congregation Beth Shalom ในซาน ฟรานซิสโก ซึ่งได้จัดให้มี “โปรแกรมสมาธิ” ขึ้นในพื้นที่ติดกันกับสุเหร่า ท่านแร็บไบ บอกว่า “สมาธิ (Meditaion) เป็น กิจกรรมยอดนิยมในชุมชนชาวยิว” -------------------------------- เคยได้ยินว่ามีชาวยิวสนใจศาสนาพุทธกันมาก ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากขนาดนี้นะคะเนี่ย คงมีบางอย่างที่ทำให้ยิวและพุทธจูนถึงกันได้ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 12:42:29

ความคิดเห็นที่ 10 โขตาน คงเข้าใจศรัทธาคลาดเคลื่อน แล้วหละครับท่าน จากคุณ : มังกรจักรวาล เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 13:28:38

ความคิดเห็นที่ 11 จะเป็นพระอริยะเจ้าได้ต้องละ สังโยชน์ 3 ขึ้นไป พวกนี้ทำได้หรือเปล่าละ จากคุณ : Brutal PoP เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 13:30:23

ความคิดเห็นที่ 12 หากอ่านคุณวิกี้ จะบอกว่า คนที่เริ่มต้นเลย คือชาวมะกันที่สนใจพุทธ จะเข้าใจมะกันหรือแนวคิดของเขาก็ต้องหันมาสนใจเส้นทาง การค้นหาบนเส้นทางจิตวิญญาณของเขาเหล่านั้นก่อนค่ะ มาเริ่มมาตั้งแต่ปี 1800 จำรายละเอียดชัดๆไม่ได้ น่าจะประมาณสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุคที่การทำสงครามเริ่มเข้สู่ระบบอุตสาหกรรมผลิตอาวุธขนาดใหญ่ และเห็นผลชัดหลังสงครามโลก ในช่วงนั้น คำว่า Spiritual ยังไม่เกิด จนกระทั่ง เกิดเรื่องราวของ พี่สองคู่หนึ่งย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้วเกิดปรากฏการณ์พารานอลมอล เกิดเสียงดังในบ้าน แล้วเสียงนี้หาต้นตอไม่ได้ แทนทีเด็กหญิงทั้งสองจะกลัวกับตอบสนองต่อเสียงที่ดังนี้ ทั้งคู่สื่อสารกับเสียงนี้ โดยตั้งรหัส ว่าเคาะเท่านี้หมายถึงอักษรนี้ ไล่ตั้งแต่ A-Z ด้วยความอดทนก็สื่อสารกับเสียงเคาะนี้จนได้ใจความว่า เป็นวิญญาณที่ตายแล้วฝังไว้ที่ใต้ถุน ชื่อนามสกุลและบอกประวัติ เด็กพวกนี้ก็ไปบอกแม่ ซึ่งตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่ก็มีการพิสูจน์ ขุดพบจริง จึงเกิดคำว่า spiritual ขึ้น สร้างกระแสเป็นข่าวดัง และกระแสสนใจนี้พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และทำให้เกิดความสนใจที่ขยายวงไปยังศาสนาอื่นๆ และรวมถึงการแตกของทิเบต หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สองก็ส่งออกพุทธศาสนานิกายเซน ชาวมะกันกลุ่มที่สนใจอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ และคนที่สนใจจะทุ่มเทอย่างมาก ในการสอนของทิเบตนั้น มีคำอธิบายที่่ใกล้เคียงและสอดคล้องกับแนวคิดของยิวอย่างมาก ค่ะ จากคุณ : พยัคฆ์น้อย เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 13:47:31

ความคิดเห็นที่ 13 นั่งสมาธิแนวไหน ก็แนวพุทธนั่นแหละครับ แต่ไม่ได้แนวพุทธแบบไทยๆนะครับ ต้องแยกให้ออก แนวพุทธแบบไทยๆคือ มีแก่นแล้วมีเปลือกแบบไทยๆหุ้มอยู่ ส่วนพวกฝรั่งก็ มีแก่น และก็เปลือกแบบ zen บ้าง ทิเบต บ้าง  เถรวาทบ้าง  หุ้มอยู่ ถ้าจับแก่นให้ได้ จะทำแบบไหนก็ได้ ฝรั่งเดี๋ยวนี้ส่วนมากจะสนใจที่แก่นเลย คือจับที่การทำ mindfulness   mindfulness ก็คือสตินี่เอง ตะวันตกนี่แหละคือความหวังใหม่ของพุทธศาสนา เพราะเค้าเริ่มกันที่แก่นเป็นส่วนมาก ผิดกับในไทย หลายๆคนยังคิดว่า สมาธิสำคัญกว่าสติอยู่เลย การเจริญสติปัฎฐาน 4  คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ ฝรั่งก็ทำแนวนี้ อาจจะต่างกันบ้างที่วิธีการ แต่เป้าหมายเดี๋ยวกัน   ความรู้ของฝรั่งในเรื่องนี้บางสำนักอาจจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ในบางเรื่องแต่เขาปฏิบัติจริง ไม่ใช่แบบมีความรู้ในตำราสมบูรณ์แต่ปฏิบัติแบบเข้าใจคลาดเคลื่อนเยอะแบบบ้านเรา อยากรู้ว่าฝรั่งพุทธเล่นอะไรก็ ค้าหาคำว่า mindfulness ก่อนเลย การทำสมธินั้นมีหลายแบบ เพราะได้รับวัฒนธรรมพุทธแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะ ทิเบต เซน หรือเถรวาท แล้วถามว่า ถ้า ถ้ามีการเจริญสติปัฎฐาน 4 จะสามารถไปได้ถึงขั้นไหนคะ ตอบว่ามันมีให้ถึงขั้นไหนก้ขั้นนั้นแหละครับ คุณพูดเรื่องขั้นแบบนี้ไม่แน่ใจว่าจะไปหมายถึง สมาธิในเชิง สมถะหรือเปล่า  หวังว่าคงไม่ใช่นะครับ อยางไรก็ตามฝรั่งเค้าไม่ได้หยุดนิ่งนะครับ นิสัยต่างจากบ้านเราเยอะ คนที่แสวงหายังไงสักวันก็ต้องเจอ แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 14:16:36 แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 14:12:53 จากคุณ : มังกรจักรวาล เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 14:11:27

ความคิดเห็นที่ 14 น่าสนใจมากค่ะคุณพยัคฆ์น้อย จะหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ไหนคะ โดยเฉพาะในส่วนคำสอนที่ใกล้เคียงและสอดคล้องกับยิวน่ะค่ะ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 14:24:37