เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าถึงใจ การที่จะอยู่ที่ใจ การจะระลึกรู้อยู่ที่ใจต้องอาศัยสติ ตัวเดียว
นั่งรู้ ขยับรู้ นิ่งรู้ ไหวรู้
คิดรู้ อยากรู้ ไม่อยากรู้ อะไรก็รู้ๆ อะไรเกิดขึ้นก็รู้
แค่นี้แหละ อาศัยรู้ในปัจจุบันนี่แหละ จึงจะเข้าไปสู่ที่ฐานของใจหรือฐานที่เรียกว่าดวงจิตผู้รู้ได้
แล้วอาศัยดวงจิตผู้รู้นั่นแหละ ที่ออกมาเห็นตรงเห็นชัดในสิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามัน
ไม่ว่าอะไร โดยไม่เลือก มันจึงเห็นธรรมตามจริง
ธรรมที่ปรากฏนั้น เป็นอะไร คืออะไร
หรือไม่เป็นอะไร หรือไม่ใช่คืออะไร
มันจะเข้าไปเห็น โดยอาศัยดวงจิตผู้รู้ดวงเดียวนี่แหละ
รู้เฉยๆนี่แหละ เห็นเฉยๆนี่แหละ
จนมันเห็นว่าทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้ามัน กลวง มันเป็นอะไรกลวงๆ เหมือนกองฟาง
มันไม่มีแก่น มันไม่มีแก่นสาร เหมือนไม้ไม่มีแก่น เหมือนไม่ไผ่
มันจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างกลวงไม่มีค่าในตัวของมันเอง ไม่มีตัวตนที่ถาวร
มันเป็นตัวตนที่กลวงๆเท่านั้นแหละ ธรรมตามความจริงก็เท่านั้นแหละ
ใจที่เข้าไปเห็นธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้นแหละ มันจึงจะไปเพิกถอนความเห็นผิด
การเข้าไปหมายมั่น มันจะหมายมั่นเพราะอะไร เพราะมันเห็นแก่น ในสิ่งที่กลวง
มันเห็นเที่ยงในสิ่งที่มันไม่เที่ยง มันเห็นสุขในทุกข์
มันเห็นความดำรงคงเป็นตัวตนในสิ่งที่มันไม่มีความเป็นตัวตน
นี่เป็นเหตุให้เกิดความหมายมั่น มั่นหมดหมายหมดไม่ว่าอะไร
นิดหนึ่งก็เอา หน่อยหนึ่งก็เป็น อะไรนิดอะไรนะอะไรวะ
หยิบจับอะไร เห็นอะไร ได้ยินอะไร คิดอะไร มีอารมณ์อะไร
มันกระโดดเข้าไปงับเหมือนหมางับกระดูกไม่ยอมปล่อย
เหมือนหมามันบอกว่ากระดูกเป็นอาหารของมัน
ทั้งๆที่ว่ามันไม่มีคุณค่า มีแต่โทษ สารอาหารก็ไม่มี ติดคออีกต่างหาก กระดูกแทงไส้แทงกระเพาะทะลุอีก
จิตที่ไม่รู้นะ อะไรสัมผัสสัมพันธ์มัน มันเข้าไปหมาย มันเข้าไปจับจอง
มันเข้าไปถือ มันเข้าไปมี มันเข้าไปเป็น
จนกว่าอาศัยดวงจิตผู้รู้ที่มีสติ สมาธิ ปัญญา อยู่ภายในดวงจิตผู้รู้นั้นแหละ
คือรู้เฉยๆ เป็นกลาง คำว่ารู้เฉยๆ รู้แบบไม่คาดหมาย รู้แบบไม่เอาอะไรกับมัน
ถ้าพูดภาษามนุษย์นี่พูดอย่างนี้ ถ้าพูดภาษาธรรมะก็พูดว่า
รู้นั้นเรียกว่าเป็นรู้ที่เรียกว่ามีศีล สมาธิ ปัญญาในตัว
แต่ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านทั่วๆไปก็บอกว่ารู้เฉยๆ รู้แบบไม่คาดหมายอะไรกับมัน
รู้แบบยังไงก็ได้ รู้แบบธรรมดา เป็นปกติ
แต่ในความเป็นจริงรู้นั้นน่ะ คือ รู้ที่มีศีล สมาธิ ปัญญา
ในตัวรู้นั้น ในใจดวงนั้น ขณะนั้น อาศัยใจที่มีศีล สมาธิ ปัญญาภายในนั้นนะ
มันจึงจะเห็นแจ้ง เห็นแทง เห็นตลอด ของธรรมที่ปรากฏเบื้องหน้า
ไม่ว่ารูปหรือนาม ไม่ว่าการให้ค่าใดๆก็ตาม
มันก็จะเห็นธรรมตามความเป็นจริง ว่าอะไรมันนั่ง นั่งเป็นใคร นั่งเป็นของใคร มีใครนั่ง
แต่ถ้าเป็นดวงจิตผู้รู้ที่ไม่มีสติ ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา
มันจะเกิดความคิดขึ้นมาแทรก มันจะเกิดความเห็น ว่านี่คือเรา
ว่านี่เป็นที่...มันไม่รู้ที่เกิด มันดันมีความคิดความเชื่อเข้ามาสอดแทรกตรงนั้น
มันก็ไม่เห็นธรรมที่ปรากฏนั้นตรงๆ มันก็เห็นธรรมแบบบิดเบือน
ถูกบิดเบือนด้วยใจที่ไม่รู้และตรงขึ้นมาในขณะนั้น
เพราะศีล สมาธิ ปัญญาไม่เพียงพอ แอบคิดแอบปรุงแล้วก็หลงไปตามความคิดความปรุง
ก็มันยังเป็นของเราอยู่น่ะ ดูกี่ทีๆ ก็เป็นเรา ของเรา
ก็มันไม่อาศัยใจผู้รู้ที่มีศีล สมาธิ ปัญญา ดู
มันเอาใจผู้รู้ที่แอบมีผู้หลงผู้คิดผู้ให้ความเห็นเข้ามาตีค่าให้ค่า
แล้วก็บอกทำไม ดูยังไงก็ไม่เห็นว่ามันไม่ใช่เราของเรา
ดูกี่ทีๆ ก็เป็นเรา ของเรา
ดูกี่ทีๆ ก็เป็นชาย ดูกี่ทีๆ ก็มีชื่อ
มันรู้ไม่เป็น ยังรู้ไม่เป็น ยังรู้ที่ไม่มีองค์ของศีล สมาธิ ปัญญาที่เพียงพอ
ทำยังไง? รู้เข้าไป! ไม่ต้องสนใจมัน
ไอ้ความเห็นวันนั้น ไอ้ความเห็นความเชื่ออย่างนั้น
รู้อีก ดูอีก รู้อีก ดูอีก อย่าเชื่อตามความเห็นนั้น
จนมันเหลือแต่รู้เปล่าๆ เห็นเปล่าๆ ไม่มีคำพูด
รู้ไปอย่างงั้นน่ะ เห็นก็เห็นไปอย่างงั้นน่ะ
อะไรก็ไม่รู้ เป็นก้อนอะไรก็ไม่รู้ เป็นสิ่งหนึ่งอะไรก็ไม่รู้ เป็นของอันหนึ่งอะไรก็ไม่รู้
กำลังจะว่าอะไรก็ไม่รู้กับมัน แกล้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับมัน
นั่นแหละ แล้วมันจะ อ๋อ อ้อ เออ เอ่อเฮอะ เอ้ย เอ้ออออออ มันเป็นอย่างนั้น
ไม่งั้นก็จะ ฮึ? ฮื้อ? หือ? อะไรกัน อย่างนี้ มันมีอื้อหือหืออือ มันมีลูกคู่คอยสนับสนุน
รู้ที่ใจก็คือการละ การวาง การปล่อย การคลาย ที่ใจ
ในใจมันจะเข้าไปถืออะไร เข้าไปหาอะไร เข้าไปมีอะไร จะไปเป็นอะไร
จับมันบวชซะ อย่าไปกับมัน อย่าให้มันไป อย่าไปตามมัน ปัจจุบันไว้