ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็นที่ ๑ นิวรณ์ทั้ง ๕ (อุปกิเลสสูตร)  เหมือนกับ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย (กิเลส)  ---หรือว่า ต่างกัน?                     ******************************** ประเด็นที่ ๒ อุปาทาน (อาการ คือ นันทิใดในขันธ์ใด นันทิคืออุปาทาน) เหมือนกับ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย (กิเลส)  ---หรือว่า ต่างกัน?                     ******************************** หมายเหตุ (๑) กามุปาทาน = (อาการคือ) นันทิ ใน สังกัปปราคะ (นั่นแหละคือกามของตนเรา อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลก หาใช่กามไม่  นิพเพธิกสูตร) (๒) ทิฏฐุปาทาน = (อาการคือ) นันทิ ใน ทิฏฐิใดนั้น (เช่น นันทิในสัสสตทิฏฐิ - อุจเฉททิฏฐิ) (๓) สีลัพพรตุปาทาน = (อาการคือ) นันทิในศีลพรต (ที่ไม่ เนื่องกับ ทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘) (๔) อัตตวาทุปาทาน = (อาการคือ) นันทิ ใน วาทะ (คำกล่าว (อันเป็นผลของสัญญาวิปลาส) ที่ยืนยันลงไปด้วยทิฏฐิใดนั้นว่า  นั่น (ไม่เกิน ขันธ์ทั้ง ๕) --- (อัตตา)ของเรา นั่นเป็น(อัตตา)เรา  นั่นเป็นตัวตนของเรา (ขันธ์ทั้ง ๕) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:45:22

ความคิดเห็นที่ 2 ขันธ์ทั้ง ๕ ----- (มูลฐานแห่งการบัญญัติขันธ์ทั้ง ๕)  จากความจำ มหาภูต(ธาตุ)สี่  เป็นเหตุปัจจัย  เพื่อการบัญญัติ  รูปขันธ์ ----- เนื่องกับ กพฬิงการาหาร ไหม? ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย เพื่อการบัญยัติ เวทนาขันธ์  ----- เนื่องกับ  ผัสสาหาร ไหม ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย เพื่อการบัญญัติ สัญญาขันธ์ ----- เนื่องกับ  ผัสสาหาร ไหม ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย เพื่อการบัญญัติ สังขารขันธ์ ----- เนื่องกับ  มโนสัญเจตนาหาร ไหม นามรูป แล เป็นเหตุปัจจัย เพื่อการบัญญัติ วิญญาณขันธ์ --- เนื่องกับ วิญญาณาหารไหม? สัมภเวสี (อาหาร สี่) --- กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร ฯ (๑) ย่อม มี อุปธิ คือ ความเคยชินยิ่งซึ่ง อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ มาแล้ว--- เพราะ คือ ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ "ตามที่ตรัส จิตนี้เป็นประภัสสรฯ นั่นเอง (หรือ เพราะ กุมารยังไม่มีเจดตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ตามมหาตัณหาสังขยสูตร) (๒) อุปกิเลส  แห่ง จิตประภัสสร (กุมาร คือสัมภเวสี) จึง เกิดก่อน อุปธิ คือ ความเคยชินยิ่งซึ่ง อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕  (ขันธ์ทั้ง ๕  ที่ สัมภเวสี จะ นันทิ -- นันทิ คือ อุปาทาน) อุปธิ  = ขันธ์ทั้ง ๕  ที่ เคยชินยิ่งแล้วซึ่งนันทิมาก่อน = อุปาทานขันธ์ อุปาทาน = นันทิใน อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ที่เคยขินยิ่งแล้ววึ่งอุปาทาน หรือ นันทิในอดีต) อุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕  คือ ความเศร้าหมองของ จิต (กำหนดที่สัมภเวสี ตาม อัสสุตวตาสูตร) ที่เป็นธรรมชาติประภัสสร                                                    ดังนั้น อุปกิเลส กับ กิเลส คือ -อนุสัย (๓) อาสวะ (๓)  สังโยชน์ ๑๐ (ฉันทะราคะในขันธ์ฉันทะราคะ คือตัวสังโยชน์) จึง ต่างกัน ฯ อุปาทาน (นันทิ) ก็ต่างจาก  กิเลส  คือ - อนุสัย (๓) อาสวะ (๓)  สังโยชน์ ๑๐ (ฉันทะราคะในขันธ์ฉันทะราคะ คือตัวสังโยชน์) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 23:52:02

ความคิดเห็นที่ 3 (๑) ขันธ์ทั้ง ๕  แห่ง สัมภเวสีสัตว์ (ซึ่ง จิตประภัสสร ยังไม่พ้นวิเศษจากอุปกิเลส) เคย นันทิมาก่อน (ในอดีต กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร  และ จะมีต่อไปในอนาคต  ยังไม่ต้องเลยไปยัง หลังจากตายเข้าโลงแล้ว)  แล้ว เกิด นันทิ ณ ปัจจุบันขณะใดนั้น  (เพราะ เหตุ ๔ (อาหาร ๔) และ ผัสสะ  ตาม นิพเพธิกสูตร) ล้วน คือ "ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์" ทั้งสิ้น --- นี้คือ  ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์ ที่ สาวก ต้องกำหนดรู้ ฯ (๒) อายตนะหกแห่งสัมภเวสีสัตว์   ก็ เนื่องกับ -- ขันธ์ทั้ง ๕  แห่ง สัมภเวสีสัตว์ (ซึ่ง จิตประภัสสร ยังไม่พ้นวิเศษจากอุปกิเลส) เคย นันทิมาก่อน (ในอดีต กำหนดตาม มหาตัณหาสังขยสูตร)  แล้ว เกิด นันทิ ณ ปัจจุบันขณะใดนั้น  (ผัสสะ  ตาม นิพเพธิกสูตร) ล้วน คือ "ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์" ทั้งสิ้น --- นี้คือ  ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์ ที่ สาวก (อริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง  จิตประภัสสร พ้นวิเศษจาก อุปกิเลส (ยังมี กิเลสคือ อนุสัย อาสวะ) ต้องกำหนดรู้ ฯ                                        ดังนั้น (เหตุนั้น) อุปาทาน (นันทิ) ก็ต่างจาก  กิเลส  คือ - อนุสัย (๓) อาสวะ (๓)  สังโยชน์ ๑๐ (ฉันทะราคะในขันธ์ฉันทะราคะ คือตัวสังโยชน์) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 07:43:49

ความคิดเห็นที่ 4 พิจารณาว่าเมื่อตรัสคำว่า "กิเลส" จะทรงหมายถึงกิเลสทั้งหมด เมื่อตรัสคำว่า "อุปกิเลส" จะทรงแสดงเพื่อ หมายถึง กิเลสที่เกิดขึ้นแบบใดแบบหนึ่ง คราวใด คราวหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งที่ประกอบเข้าแล้วกับจิตครับ อุปกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วคราวหนึ่งก็ทำให้เกิดกิเลสแบบใด ๆ ได้ต่อไปได้เรื่อย ๆ เป็นอนุสัย (โลกนี้มี โลกหน้ามี) หมายเหตุ. ยังมีตรัสถึงอุปกิเลส ๑๖ / อุปกิเลส ๒๒ ของผู้บำเพ็ญตบะ / อุปกิเลส ๔ ที่ทำให้สมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมัวหมอง จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 07:44:35

ความคิดเห็นที่ 5 คคห 4 (๑) "กิเลส" จะทรงหมายถึงกิเลสทั้งหมด                           เมื่อกิเลส  คือ ความสกปรก แห่งจิต จิต ที่ มี ความสกปรกมาก จิตที่ มี ความสกปรกน้อย ฯลฯ รวมทั้ง จิตที่มี ความเคยชินอย่างยิ่ง คือ ตามนอนเนื่องด้วยความสกปรก เหล่านั้น (อนุสัย) รวมทั้ง จิตที่มี ความเคยชินอย่างยิ่ง คือ ความหมักหมมที่จะซ่านไปด้วยความสกปรก เหล่านั้น (อาสวะ)                 แล้ว อุปกิเลส (นิวรณ์ทั้ง ๕ - จัดเป็น ราคะ โทสะ โมหะ ก้ได้) นั้น                                           เป็น กิเลส แบบไหน อุปกิเลส จัดอยู่ใน กิเลส ทั้งหมด --กำหนดแบบนี้ ไม่ผิด  แต่ มีประโยชน์ในด้าน "ปริยัติ ที่จะนำไปสู่ ปฏิบัติ เพื่อปฏิเวธ"  ได้ หรือไม่ ได้อย่างไร?  (สัมมาทิฏฐิว่าด้วย สุตมยปัญญา  อันจะ น้อมไปสู่ ภาวนามยปัญญา) คุณนายอิ่ม  มีมุมมอง อย่างไร?   ****************************************************** อุปาทาน เป็น อุปกิเลส  หรือเป็นกิเลส ??? หรือไม่เป็น ทั้งกิเลส และ อุปกิเลส  แต่ คือ  อาการ แห่งจิต  ที่คือ ความเพลินในสิ่งนั้น  เพราะ "ยังมีจิตอนุเสติในสิ่งนั้น"                                             ตกลง อุปาทาน  ตามที่ตรัสว่า "นันทิ ความเพลินใดในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์" ที่ เนื่องก้วย อนุสัยคืออวิชชา ก็ตาม เนื่องด้วยอาสวะคืออวิชชาก็ตาม ด้วยอวิชชา  มี เหตุ (อาหาโร) คือ อุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ---- เป็น ?  แน่? กำหนด ตาม ที่เพ่งพระพุทธภาษิตที่ตรัสเนื่องด้วย อุปาทาน โดยตรง คุณนายอิ่ม  มีมุมมอง อย่างไร? (มุมมอง --- ที่เนื่องด้วย เพ่งพระพุทธภาษิตที่ตรัสเนื่องด้วย อุปาทาน โดยตรง ) *********************************************************                                             ดังนั้น (เหตุนั้น) อุปาทาน (นันทิ) ก็ต่างจาก  กิเลส  คือ - อนุสัย (๓) อาสวะ (๓)  สังโยชน์ ๑๐ (ฉันทะราคะในขันธ์ฉันทะราคะ คือตัวสังโยชน์)                                             หมายความว่า เพราะ ยังมี "เชื้อ" คือ ความเคยชินอย่างยิ่ง = ตามนอนเนื่อง คือ อนุสัย + "เชื้อ" คือความหมักหมม แห่ง ความเคยชินอย่างยิ่งคือ อนุสัย ที่ สัตว์ (สิ่งที่ข้องอยู่กับขันธ์ทั้ง ๕) ตามที่ตรัสคำว่า สัมภเวสี  (กำหนด สัมมาทิฏฐิ ๒   ที่ เนื่องกับ สัมมาทิฏฐิในอริยมรรคองค์ที่ ๑)               ******************************************                                                    สรุป นันทิคืออุปาทาน คือ "อาการ" (ไม่ใช่ ลักษณะ)  มี เหตุมาจาก กิเลส (เชื้อสกปรก) คือ อนุสัย อาสวะ               ****************************************** ตรัสว่า ฉันทะราคะในขันธ์ ฉันทราคะ คือ ตัวสังโยชน์ กิเลส คือ สังโยชน์ ๑๐  เนื่องกับ "ฉันทะราคะในขันธ์ทั้ง ๕"                                           ตกลง  --- สังโยชน์ (ฉันทะราคะในขันธ์)  กำหนด ตาม ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด  --- สังโยชน์ ได้แก่ อาการ อะไร (ฉันทะราคะในขันธ์ใด) --- ใช่ อาการคือ ตัณหา - ความทะยานอยาก ที่ = ความผูกจิต ติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจความเพลิน (อันเคยชินยิ่งแล้ว หมักหมมแล้ว)  ไหม?                                                         สรุป นันทิ  ความผูกจิต ติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจความเพลิน (อันเคยชินยิ่งแล้ว หมักหมมแล้ว)  คือ  อาการ ทางมโนทวาร (อิทัปปัจจยตา)  ที่ เนื่องกับ "เวทนา" เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย  จึงมี ตัณหา ----- อาการทางมโนทวาร (ปฏิจจสมุปบาท) เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย  จึงมี อุปาทาน ----- อาการทางมโนทวาร (ปฏิจจสมุปบาท) เพราะมีอุปาทาน จึงมี ภพ มี ชาติ ทุกข์อริยสัจ ----- อาการทางมโนทวาร (ปฏิจจสมุปบาท) ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด กองทุกข์อริยสัจทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้  เนื่องกับ "อวิชชา"  เพราะ ยังไม่มี วิชชา เพราะ ยังไม่มี "สัมมาทิฏฐิ"  ตามที่ตรัสว่า ทิฏฐิตั้งไว้ถูกต้อง มัคคภาวนา ตั้งไว้ถูกต้อง ภิกษุนั้น จะทำลายอวิชชา (ความไม่รู้ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ ที่สาวก ต้องกำหนดรู้ให้ตรงตาม) จักทำ วิชชา (อาสวักขยญาณ) ให้เกิดขึ้น จักกระทำ นิพพานให้แจ้ง นั่น เป็นฐานะที่จักมีได้ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:27:38

ความคิดเห็นที่ 6 เฒ่าเซน  ตั้งคำถามแบบนี้  ก็เหมือนกับตั้งคำถามว่า   ควายวัยรุ่น กับ ควาย  ต่างกันยังไง ?....   แล้วจะเอาคำตอบแบบไหนกัน ?? กิเลส แบ่งเป็น ๓ ชั้น  ชั้นกลางเรียกว่า อุปกิเลส ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 08:33:29

ความคิดเห็นที่ 7 คคห 6 คุณโขตาล  ตอบแบบนี้  สมกับ คำว่า --ปัญญา(ในพระพุทธศาสนา) รู้ได้ ด้วยการสนทนาธรรม --อย่างไร? การ อุปมา สัตว์ เดรัจฉาน  ว่า เนื่องกับ กิเลส -อุปกิเลส ของ "คนเรา"  หรือ "มนุษย์ สัตว์ ผู้ข้องอยู่กับขันธ์ทั้ง ๕  ที่มี ใจสูง  กว่า "ควายไม่ว่า ลูกควาย หรือพ่อควายแม่ควาย" --- สมกับ คำว่า --ปัญญา(ในพระพุทธศาสนา) รู้ได้ ด้วยการสนทนาธรรม -- แบบ ที่คุณโขตาน มีอยู่ แล้ว เสนอ หรืออย่างไรแน่ ---- ฯ **********************************************************      -ปัญญา(ในพระพุทธศาสนา) รู้ได้ ด้วยการสนทนาธรรม มีอาการ อย่างไร?หนอ **********************************************************                            อุปกิเลส กับ กิเลส เหมือน ต่างกัน หรือไม่?                            อนุสัย กับ กิเลส เหมือน ต่างกัน หรือไม่? ผม ขอยก หลักฐาน "ชั้นจากพระโอษฐ์"   อุปกิเลส คือ  (นิวรณ์ทั้ง ๕) ตาม อุปกิเลสสูตร ผม ขอยก หลักฐาน "ชั้นจากพระโอษฐ์"  กิเลส คือ สุตฺต  ขุ  ๒๕/๓๒๕/๒๙๔ ฯลฯ อนุสัยไรๆ ของผู้ใด ไม่มี เพราะถอนเสียซึ่งมูลรากอันเป็นอกุสลทั้งหลาย ผู้นั้น เป็นภิกษุ สลัดทิ้งเสียได้แล้วทั้งฝั่งในและฝั่งนอก เหมือนงูทิ้งคราบเก่าอันคราำคร่าไปแล้ว ฉะนั้น กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความกระวนกระวายไรๆ ของผู้ใด  ไม่มี  เพื่อปัจจัยแห่งการมาสู่ฝั่งใน ผู้นั้น เป็นภิกษุ สลัดทิ้งเสียได้แล้วทั้งฝั่งในและฝั่งนอก เหมือนงูทิ้งคราบเก่าอันคราำคร่าไปแล้ว ฉะนั้น คุณโขตาน  เทียบ อุปมา  ที่พระบรมศาสดาทรงกระทำ  กับ อุปมา ที่คุณโขตาน เสนอก็เหมือนกับตั้งคำถามว่า   ควายวัยรุ่น กับ ควาย  ต่างกันยังไง ?....) เห็น ความ เหมือน ความต่าง ตรงไหน  ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 10:00:55

ความคิดเห็นที่ 8 ต่อ สุตฺต  ขุ  ๒๕/๓๒๕/๒๙๔ กิเลส เป็นเหตุให้เกิดความรกทึบเพียงดังป่ารกไรๆ ของผู้ใด ไม่มี  เพื่อสำเร็จแก่ความ  เป็นเหตุแห่งภพ   อันเป็นเครื่องผูกพัน ผู้นั้น เป็นภิกษุ สลัดทิ้งเสียได้แล้วทั้งฝั่งในและฝั่งนอก เหมือนงูทิ้งคราบเก่าอันคราำคร่าไปแล้ว ฉะนั้น ผู้ใด ละ  นิวรณ์ทั้ง ๕ (อุปกิเลสสูตร) ไม่มีความคับแค้น ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากสิ่งเสียบแทงแห่งจิต ผู้นั้น เป็นภิกษุ สลัดทิ้งเสียได้แล้วทั้งฝั่งในและฝั่งนอก เหมือนงูทิ้งคราบเก่าอันคราำคร่าไปแล้ว ฉะนั้น ****************************************************** พระบาลีพุทธภาษิต  สุตฺต  ขุ  ๒๕/๓๒๕/๒๙๔  ข้างบน คุณโขตาน อ่าน สำนวนแปลนี้แล้ว จะตอบประเด็นกระทู้ อุปกิเลส กับ กิเลส เหมือน ต่างกัน หรือไม่?  ---- ******************************************************** หมายเหตุ ยังจะ ตอบเหมือน ที่เสนอว่า " ควายวัยรุ่น กับ ควาย  ต่างกันยังไง ?....   แล้วจะเอาคำตอบแบบไหนกัน ?? กิเลส แบ่งเป็น ๓ ชั้น  ชั้นกลางเรียกว่า อุปกิเลส ... อยู่อีกไหมครับ ถ้า ยัง ตอบเหมือนเดิม (๑) นิวรณ์ทั้ง ๕ (อุปกิเลสสูตร) ไม่มีความคับแค้น ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากสิ่งเสียบแทงแห่งจิต  -- อุปมา ดั่ง ควายวัยรุ่น  หรือ วัยไม่รุ่น ครับ (๒) กิเลส -- (ความสกปรกแห่งจิต) เป็นเหตุให้เกิดความรกทึบเพียงดังป่ารกไรๆ ของผู้ใด ไม่มี  เพื่อสำเร็จแก่ความ  เป็นเหตุแห่งภพ   อันเป็นเครื่องผูกพัน -- -- อุปมา ดั่ง ควายวัยรุ่น  หรือ วัยไม่รุ่น ครับ (๓) อนุสัย -- ไรๆ ของผู้ใด ไม่มี เพราะถอนเสียซึ่งมูลรากอันเป็นอกุสลทั้งหลาย -- อุปมา ดั่ง ควายวัยรุ่น  หรือ วัยไม่รุ่น ครับ หมายเหตุ คำว่า อุปมา ดั่ง ควายวัยรุ่น  หรือ วัยไม่รุ่น นั้น กำหนด ที่ควาย ตัวเดียวกันนั้น  กำหนดตั้งแต่ ออกจากท้องมารดา  จน ตาย  (ยังไม่ต้องเลยไปถึง หลังจากตายแล้ว) นะครับ  คุณโขตาน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 10:09:31

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อ พระพุทธภาษิตใด ตรัส กิเลส ออกเป็น ๓ ระดับ ตามข้อความที่คุณโขตาน เสนอว่า -- กิเลส แบ่งเป็น ๓ ชั้น  ชั้นกลางเรียกว่า อุปกิเลส ... ?                         ช่วยแสดงหลักฐานชั้น "จากพระโอษฐ์" ด้วย (๑) กิเลสชั้นต้น คือ ? --- "อุปมาดั่งควายละอ่อน"  ได้แก่ ------ (๒) กิเลสชั้นกลาง คือ อุปกิเลส "ตามอุปกิเลสสูตร"  คือ  นิวรณ์ทั้ง ๕ "อุปมาดั่งควายวัยรุ่น" ได้แก่ ------ (๓) กิเลสชั้นปลาย คือ ? ตามพระสูตรใด "อุปมาดั่งควาย" ได้แก่ ------ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 10:13:45

ความคิดเห็นที่ 10 อนุสัยไรๆ ของผู้ใด ไม่มี เพราะถอนเสียซึ่งมูลรากอันเป็นอกุสลทั้งหลาย กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความกระวนกระวายไรๆ ของผู้ใด  ไม่มี  เพื่อปัจจัยแห่งการมาสู่ฝั่งใน กิเลส เป็นเหตุให้เกิดความรกทึบเพียงดังป่ารกไรๆ ของผู้ใด ไม่มี  เพื่อสำเร็จแก่ความ  เป็นเหตุแห่งภพ   อันเป็นเครื่องผูกพัน ผู้ใด ละ  นิวรณ์ทั้ง ๕ (อุปกิเลสสูตร) ไม่มีความคับแค้น ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากสิ่งเสียบแทงแห่งจิต ^^^^ กำหนดที่ ควายตัวเดียว (ความ = กุมาร ตามมหาตัณหาสังขสยูตร)  "แต่ ต่างสมัยกัน"  --- ตามที่ตรัส "เหตุ (อาหาร) ๔" --- ที่เนื่องกับ ปฏิจจสมุปบาทสาย เกิด (สมุททัย) --- คือ เกิด อาการที่ ๑๑ ชาติ (ความเกิด)   ที่ ตามมาด้วย ทุกข์ คือ ชรามรณะ ตามที่ทรงปริวิตก ก่อนตรัสรู้ ฯ ********************************************************** อุปกิเลส (นิวรณ์ทั้ง ๕)  เหมือน ต่างกับ อนุสัย / เหมือนต่างจาก กิเลส  อย่างไร? เมื่อ พิจารณา พระพุทธภาษิต ที่ตรัส ตามสำนวนแปล ข้างบน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 10:21:01

ความคิดเห็นที่ 11 ท่านใด  จะ อ้้าง  คำของภิกษุสมัยนี้ ไม่ว่า คำของภิกษุ - พระป่า คำของ ภิกษุ - ดูจิต คำของ ภิกษุ - นิพพานเป็นสถานที่ ฯ คำของ ตนเอง  ผู้ปฏิบัติแบบใดนั้น  ฯ รวมทั้ง คำของ ภิกษุ อินเดียใต้ ที่แต่ง วิสุทธิมัคค์ คำของ ภิกษุ ลังกาสิงหล ที่แต่ง อภิธัมมัตถสังคหะ รวมทั้ง คำของ ฆราวาสสมัยนี้ ฯ                                          เสนอก็ได้ ว่า อุปกิเลส (นิวรณ์ทั้ง ๕)  เหมือน ต่างกับ อนุสัย / เหมือนต่างจาก กิเลส  อย่างไร? เมื่อ พิจารณา พระพุทธภาษิต ที่ตรัส ตามสำนวนแปล ข้างบน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 10:25:58

ความคิดเห็นที่ 12 กระทู้นี้ดีครับ  อนุโมทนาท่านเซน จากคุณ : นมสิการ เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 12:22:15

ความคิดเห็นที่ 13 คคห 12 ขอบคุณคุณนมสิการ ครับ   ที่ เข้าใจ เจตนาดี ที่ผม เสนอ "ป่า" (อุปกิเลส กับ กิเลส เหมือน ต่างกัน หรือไม่? )  + ต้นไม้ (พระสูตรแปลไทย) ทั้งนี้ เพื่อ สัมมาทิฏฐิ  ใน เรื่อง อุปกิเลส VS กิเลส (อนุสัย อาสวะ สังโยชน์) ว่า  เหมือน - ต่าง "ด้วย อาการ (ไม่ใช่ ลักษณะ) อย่างไร?)                      ***************************** หมายเหตุ ผมเสนอมุมมองว่า "เมื่อเข้าใจ"  อุปกิเลส ต่าง จาก กิเลส --ก็จะ เ้ข้าใจ พระพุทธภาษิตว่า>> ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ >> > > ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้บริสุทธิ์เป็นประภัสสรเปล่งปลั่ง>> แต่ว่าจิตนั้นอันอุปกิเลสเป็นแขกจรเข้ามาทำให้มัวหมอง>> เสียความบริสุทธิ์ไปเมื่อภายหลัง ดังนี้>> แล้ว มัคคภาวนา (ทำมรรคมีองค์ ๘ ให้เจริญ ด้วย สติในสมาธิที่ถูกต้องชอบ) ของ ชาวพุทธใดนั้น จะ  สอดคล้องกับ ที่ตรัสว่า ทิฏฐิตั้งไว้ถูกต้อง มัคคภาวนา ตั้งไว้ถูกต้อง ภิกษุนั้น จะทำลายอวิชชา (ความไม่รู้ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ ที่สาวก ต้องกำหนดรู้ให้ตรงตาม) จักทำ วิชชา (อาสวักขยญาณ) ให้เกิดขึ้น จักกระทำ นิพพานให้แจ้ง นั่น เป็นฐานะที่จักมีได้                               ************************* หมายเหตุ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12246240/Y12246240.html จะเนื่องกับ "สติในสมาธิที่ถูกต้องชอบ" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 16:50:25

ความคิดเห็นที่ 14 หลังไมค์ *************** ส่วนเรื่อง “อาการ > จิต/เจตสิก เป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป” นั้น ก็เห็นเช่นเดียวกับครู ที่ว่า "ยังมี จิตอนุเสติในสิ่งใด" ตั้งแต่แรกแล้ว ... แต่เผอิญมีโอกาสสนทนากับผู้ศึกษาธรรมมานาน ไปได้ข้อมูลใหม่มา เกิดความไม่แน่ใจ เลยเรียนถามครู ... ดีใจที่เห็นตรงกันกับครู ขอบพระคุณมากเลยที่ได้ยินคำตอบนี้จากครู ... ********************************************************** ประเด็น ... อุปกิเลส (นิวรณ์ทั้ง ๕) เหมือน ต่างกับ อนุสัย / เหมือนต่างจาก กิเลส อย่างไร? ขออนุญาตตอบตามความเข้าใจดังนี้ .... อุปกิเลส >> นิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นดุจดังอาคันตุกะ จรมาที่ จิตประภัสสรของปุถุชน อนุสัย ๓ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชานุสัย >> เกิดแต่ เวทนา ๓ ที่ผัสสะด้วยอวิชชา กิเลส คือ อนุสัย / อาสวะ / อวิชชา / สังโยชน์ >> มี นิวรณ์ทั้ง ๕ เป็น อาหาโร (เหตุ) (หญ้าปากคอก)              หากเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างไร รบกวนครูเมตตาอธิบายให้ด้วย                ***************************************                                สอบทานกับ พระสูตรนี้ ถ้า ลงกันได้ ตามที่ตรัส --คุณย่อม กำหนดความเข้าใจข้างบนได้ว่า ตรงหรือไม่ตรงกับ "ต้นไม้ คือ พระพุทธภาษิตของพระบรมศาสดา ทิฏฐิตั้งไว้ถูกต้อง มัคคภาวนา ตั้งไว้ถูกต้อง ภิกษุนั้น จะทำลายอวิชชา (ความไม่รู้ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์อริยสัจ ที่สาวก ต้องกำหนดรู้ให้ตรงตาม) จักทำ วิชชา (อาสวักขยญาณ) ให้เกิดขึ้น จักกระทำ นิพพานให้แจ้ง นั่น เป็นฐานะที่จักมีได้ แปลว่า เมื่อสามารถ มี สติในสมาธิ ที่มีคุณภาพ เพียงพอต่อ "กั้นอุปกิเลส  รวมทั้งความเคยชินแห่งอุปกิเลส" ได้ ตาม ลำดับแห่ง โพธิปักขิยธรรม   (ดู กระทู้นี้ประกอบ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12246240 /Y12246240.html ด้วย) ท่านเอง คือ --- ตัวไม้ สอนช่างไม้ ---  แล้วช่างไม้นั้น "มีพระบรมศาสดาอยู่ใน สติสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ เสมอ ฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 18:07:59

ความคิดเห็นที่ 15 เข้าใจว่า กิเลส  แปลว่าเครื่องเศร้าหมอง  แต่กิเลสจะไม่ปรากฎเป็นสิ่งเศร้าหมองถ้าไม่ไปตกอยุ่ในสิ่งที่สะอาด การที่กิเลสปรากฎเป็นสิ่งเศร้าหมองเพราะกิเลสตกลงไปในสิ่งสะอาดคือจิต จึงเรียกว่าอุปกิเลสเพราะปรากฎเป็นสิ่งเศร้าหมอง เศร้าหมอง เพราะ บาป   เศร้าหมองเพราะ  ไม่ละอายบาป เศร้าหมองเพราะ ไม่กลัวต่อบาป เศร้าหมองเพราะ ทำให้เกิดทุกข์ จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 22:29:00

ความคิดเห็นที่ 16 อุปกิเลส จัดอยู่ใน กิเลส ทั้งหมด --กำหนดแบบนี้ ไม่ผิด  แต่ มีประโยชน์ในด้าน "ปริยัติ ที่จะนำไปสู่ ปฏิบัติ เพื่อปฏิเวธ"  ได้ หรือไม่ ได้อย่างไร?  (สัมมาทิฏฐิว่าด้วย สุตมยปัญญา  อันจะ น้อมไปสู่ ภาวนามยปัญญา) คุณนายอิ่ม  มีมุมมอง อย่างไร? -เรียนท่านเซนฯ ดังนี้ครับ ประโยชน์ในการทราบถึงอุปกิเลสแต่ละชนิด  ย่อมสามารถเป็นไปเพื่อการกำหนดรู้ได้ เมื่อมีสัญญา ๆ เกิดขึ้นที่เป็นอุปกิเลส  ผู้ศึกษาจึงรู้ชัดแล้วว่าเป็นอกุศลธรรม  จากการที่ได้ศึกษาปริยัติ(อันคือปฏิเวธพระศาสดา) ซึ่งพระองค์ได้บอกทางเอาไว้  เขาย่อมสามารถนำสู่การปฏิบัติได้โดยตรง  คือ เมื่อรู้แล้วว่าเป็นอุปกิเลสชนิดใดที่จรมาด้วยสัญญาปริยัติ นั้น  ด้วยสัมมาสติเขาย่อมสามารถกำหนดรู้ได้  เมื่อเขากำหนดรู้ได้เขาย่อมสามารถเพียรละวังอกุศลธรรมนั้นได้  หรือสามารถ ละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้อันคือ อุปกิเลสใด ๆแต่ละประเภทที่จรมานั้น  เมื่อปฏิบัติดังนี้แล้วเขาย่อมได้รับผลคือ  จิตประภัสสร ดังเดิม ซึ่งอ่อนโยน ควรแก่การงานครับ มุมมองผมพิจารณาว่าการกำหนดสัญญาปริยัติ ที่จะนำไปสู่ ปฏิบัติ เพื่อปฏิเวธ ย่อมเป็นสัมมปทาน ๔ เป็นธรรมที่พระศาสดาตรัสสอนเราไว้ครับ ****************************************************** อุปาทาน  ตามที่ตรัสว่า "นันทิ ความเพลินใดในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์" ที่ เนื่องก้วย อนุสัยคืออวิชชา ก็ตาม เนื่องด้วยอาสวะคืออวิชชาก็ตาม ด้วยอวิชชา  มี เหตุ (อาหาโร) คือ อุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ---- เป็น ?  แน่? กำหนด ตาม ที่เพ่งพระพุทธภาษิตที่ตรัสเนื่องด้วย อุปาทาน โดยตรง คุณนายอิ่ม  มีมุมมอง อย่างไร? (มุมมอง --- ที่เนื่องด้วย เพ่งพระพุทธภาษิตที่ตรัสเนื่องด้วย อุปาทาน โดยตรง ) -จากที่ธรรมต่าง ๆ ที่แสดงมาเช่น -วิญญานอันตัณหาในอารมณ์อาศัยแล้ว วิญญานนั้นคือ อุปาทาน -อุปทาน คือ ความเพลิดเพลินในขันธ์ -อนุสัยคืออวิชชา -อุปกิเลสคือ นิวรณ์ทั้ง ๕ -ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย  ก็เป็นกิเลสที่นอนเนื่อง ...ฯลฯ.. เรียนเสนอท่านเซนฯว่า   พระองค์ตรัสสอนเรื่องเดียวกัน คือ ทุกข์ แต่ตรัสสอนในโอกาสต่าง ๆ กัน กับบุคคลต่าง ๆ กัน เหตุแวดล้อมต่างกัน   ทรงตรัสสอน และมองด้วยมิติต่าง ๆ  แง่มุมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการโยนิโสมนสิการของผู้น้้น อันนำไปสู่การกำหนดรู้ เพราะทุกครั้งที่ตรัสธรรมแต่ละเหตุการณ์ก็มีเหตุปัจจัยต่างกัน  ด้วยความทรงเป็นบรมครู  ย่อมรู่วิธีหรือแง่มุมที่จะยกมาตรัสสอนกับใคร  ๆ ด้วยความเหมาะสมกับโอกาส เหมาะสมกับฐานะของเขา จนเป็นผลสำเร็จคือปฏิเวธเข้าใจในธรรมที่พระศาสดาตรัสสอนได้ภายหลังเมื่อตรัส สอนจบแล้วครับ   หมายเหตุ.เดาดักทางไว้ก่อนว่าท่านเซนฯ ต้องหาว่าผมตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก  แต่ยินดีน้อมรับครับ(เพราะได้แค่นี้จริง ๆ) จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 05:54:58

ความคิดเห็นที่ 17 คคห 16 หมายเหตุ.เดาดักทางไว้ก่อนว่าท่านเซนฯ ต้องหาว่าผมตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก  แต่ยินดีน้อมรับครับ(เพราะได้แค่นี้จริง ๆ) ******************** ไม่มีใคร (ผมด้วย)  ไม่ผ่านด่าน  "ตอบแบบกำปั้นทุบดิน" + "เพราะได้แค่นี้จริง ๆ" เพียงแต่ว่า --- จะ เข้าด่าน แล้ว ออกจากด่าน --- เมื่อไหร่? เมื่อ ไม่ นันทิ ใน ความรู้ของตนเอง  (+ อัสสมิมานะ) ใช่หรือไม่? + รวมทั้ง ทิ้งอันอื่น  แล้ว ----- ถือ pass port และ visa  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ออกไว้ให้" ---เช่นนี้  น่าจะ  ออกจากด่าน นั้นได้ โดยไม่เนิ่นนานข้า ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 08:08:19

ความคิดเห็นที่ 18 คคห 15 อุป + กิเลส -- โดย ภาษา  แปลว่า ? กิเลส   -------  โดยภาษา  แปลว่า ? เมื่อกำหนดตาม นิยามของภาษา   อุปกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ (จูฬทุกขันธสูตร) ก็ดี  อุปกิเลสคือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ดี (อุปกิเลสสูตร  องค์ไหน = ราคะ / องค์ไหน = โทสะ / องค์ไหน = โมหะ (อันเป็นนิวรณ์  ไม่ใช่ สังโยชน์) กำหนดดูเอง) กับ  กิเลส คือ "ราคะ โทสะ โมหะ" (ตรัสไว้ในพระสูตรไหน?) เหมือน  ต่าง ยังไง? เมื่อตรัสอุปมาว่า  "ดุจอาคันตุกะ จรมา" ---- ดู จิตนี้เป็นประภัสสร จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 08:12:04

ความคิดเห็นที่ 19 อ่าน แล้ว งง ครับ เพราะ ตอนนี้ ผมอ่านแล้ว เหมือน งูกินหาง อย่างไร ไม่รู้ ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 19:52:57

ความคิดเห็นที่ 20 คคห 19 อ่าน แล้ว งง ครับ   <----> งง เพราะ โยนิโสมนสิการ แบบไหน? ละครับ  (ผล จึง งง) เช่น อุป + กิเลส -- โดย ภาษา  แปลว่า ? กิเลส   -------  โดยภาษา  แปลว่า ? งง ตรงไหนครับ ? (เปิด พจนานุกรม ฯ  หาย งงไหม?) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:43:05

ความคิดเห็นที่ 21 ที่งง ไม่ใช่ คห  18 ครับ งง ที่ คือ ตอนแรกที่อ่าน ไม่มี สมาธิ ครับ อ่านเท่าไหร่ ก็ไม่รุ้เรื่อง ครับ จับประเด็นไม่ได้สักที่ ตอนนี้ เข้าใจว่า อุปกิเลส อยุ่ นอก เข้ามากระทบจิต ดุจแขกมาเยือน ก็ ทำให้เกิด เป็น กิเลส เกิดขึ้น ที่ ภายใน จิต อุปกิเลส เป็น อะไร สัึกอย่าง ที่ มาเยื่ยม จิต แล้ว ทำให้ จิต มีอาการเป็น กิเลส ประมาณนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 16:21:13

ความคิดเห็นที่ 22 อุปกิเลส อยุ่ นอก เข้ามากระทบจิต ดุจแขกมาเยือน ก็ ทำให้เกิด เป็น กิเลส เกิดขึ้น ที่ ภายใน จิต ********************************************************** เมื่อ  จบกรณีนั้นๆ ไปแล้ว --- ยังมี จิต ไหมครับ ถ้ายังมี จิต (ไม่ว่าจะคือ อะไร) --กำหนด ตาม อัสสุตวตาสูตร นะครับ จิตนั้น มี แผลเป็น ไหมครับ แผลเป็น เป็นอุปมานะครับ หมายความ คือ ---มีความเคยชิน หรือ คาใจ หรือค้างใจ  --- ใน ผล ที่ แขกมาเยือน  ได้ กระทำไว้แก่ ---- จิตนี้ เป็นธรรมชาติประภัสสร  ตาม พุทธปัญญา                                               ดังนั้น                   แม้น ไม่มี "อุปกิเลส อยุ่ นอก เข้ามากระทบจิต" จิต ที่ จะ ส่งออกนอก (ผัสสะ) ก็ ย่อม ยังเนื่องกับ ความเคยสกปรก  ใช่ไหมครับ                                            สรุป อุปกิเลส เป็น อะไร สัึกอย่าง (อะไร ตรัสไว้ คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ ไงครับ ตามอุปกิเลสสูตร) ที่ มาเยื่ยม จิต (เดิมประภัสสร ต่อมา ไม่ประภัสสร)  แล้ว ทำให้ จิต มีอาการเป็น กิเลส (สกปรก  คือ ไม่อ่อนโยน รวนเร ไม่ควรแก่การงานทางจิต คือ --สมถะด้วย วิปัสสนาด้วย)                                             --------- ประมาณนี้หรือเปล่าครับ -------                                             ประมาณ นั้น ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 21:43:08

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบพระคุณท่าน a235 และท่านเซนฯ ที่ได้ทำให้ได้ปัญญาในเรื่องอุปกิเลสครับ ทั้งนี้ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ คคห.๒๑ และ ๒๒ พบว่า ท่านสมเด็จพระสังฆราชเจ้า  สกลมหาสังฆปริณายก ก็ได้กล่าวไว้ในแนวทางเดียวกัน ที่ท่านทั้งสองได้เสนอไว้ดังนี้ครับ ...ฯลฯ... ในขั้นต่อไปนี้จะได้แสดงถึงชั้นธรรม เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจถึงภูมิธรรมที่พึงบรรลุ ในการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันผู้ปฏิบัติพึงบรรลุได้ การปฏิบัติธรรมนั้นเบื้องต้น ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า โดยตรงเพื่อขัดเกลากิเลสอันเรียกว่า "สัลเลขธรรม" ธรรมเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสในจิต หรือสัลเลขปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสในจิต จิตนี้สามารถปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกได้ เพราะว่าจิตเป็นธรรมชาติปภัสสรคือผุดผ่อง จิตเป็นวิญญาณธาตุ  คือธาตุรู้  คือรู้อะไรได้ แต่ว่าจิตนี้ถูกอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา  มาทำให้เศร้าหมองไป เครื่องเศร้าหมองของจิตนี้ เรียกกันเป็นคำกลาง ๆ ทั่วไปว่า กิเลส ที่แปลว่าเครื่องเศร้าหมอง หมายถึงเครื่องเศร้าหมองของจิตทุกอย่าง จะเป็นราคะ  โทสะ  โมหะ จะเป็นอวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน หรือจะเป็นกิเลสข้อใดข้อหนึ่งที่แสดงไว้ ก็รวมอยู่ในคำว่ากิเลส คือเครื่องเศร้าหมองทั้งนั้น และสำหรับในที่นี้ มีคำว่าอุปเติมหน้าเข้าไปว่า  อุปกิเลสนั้น ก็เพื่อจะชี้แจงแสดงว่า กิเลสนั้นเป็นเครื่องที่จรเข้ามาสู่จิต หรือจรเข้าไปในจิต อุปแปลว่าเข้ามาหรือแปลว่าเข้าไป คำนี้จึงบ่งความว่า กิเลสนั้นไม่ใช่เป็นเนื้อแท้ของจิต แต่เป็นสิ่งที่จรเข้ามาหรือจรเข้าไปสู่จิต เหมือนอย่างเป็นอาคันตุกะ คือเป็นแขกผู้จรมาอาศัยไม่ใช่เป็นเจ้าของบ้าน ถ้าหากว่ากิเลสเป็นเนื้อแท้ของจิต หรือเป็นตัวเจ้าของบ้าน ก็ไม่อาจจะขัดเกลาหรือชำระล้างได้ แต่เพราะเป็นอุปกิเลส  เป็นเครื่องที่จรเข้ามา ดั่งนั้นจึงชำระล้างได้  ขัดเกลาได้ ต้องการแสดงความหมายดั่งนี้ จึงเติมคำว่าอุปเข้าไป สำหรับในพระพุทธภาษิต ซึ่งแสดงถึง ความที่กิเลสเป็นเครื่องจรเข้ามานั้น และกิเลสที่จรเข้ามานี้ เมื่อมานอนหมักหมมอยู่ในจิต จนเรียกว่า เป็นเครื่องหมักหมมมีชื่อว่าอาสวะ เป็นเครื่องนอนจมมีชื่อว่าอนุสัย ...ฯลฯ... ขออนุโมทนาธรรมทานที่ได้เกิดขึ้นมาจากท่านแล้วครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 10:27:36

ความคิดเห็นที่ 24 พระนิพนธ์ใน "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า  สกลมหาสังฆปริณายก ฯ" ที่คุณนายอิ่ม อ้างอิง โปรด อ้าง ที่มาด้วย ได้ไหมครับ  เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลหลักฐาน ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 17:53:19

ความคิดเห็นที่ 25 ธรรมกถาในการอบรมกรรมฐาน-หน้า ๑๘๐-๑๘๒ พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า  สกลมหาสังฆปริณายก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=446264 มีท่านผู้ใจบุญชื่อว่า อักษราภรณ์ นำมาลงไว้ครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 55 06:33:57