ความคิดเห็นที่ 1 คุณถามต่อว่า "เทพสูงสุดผู้สร้างโลกคือพระพรหม ผู้มีความรักไม่มีประมาณ ผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ ผู้สร้างโลกธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นผู้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง บันดาลได้ทุกอย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนว่าพระพรหมนั้นมีจริง และได้ลงมากราบไหว้พระพุทธเจ้าในหลายๆครั้ง" แล้วพระพรหม จะมากราบ สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมาทำไมครับ? ขอเหตุผลหน่อย เพราะนั่นเป็นความเชื่อของฮินดูสมัยนั้น และเป็นความเชื่อของตัวพระพรหมเอง ซึ่งเป็นความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเพื่อทำลายความเห็นผิดเหล่านั้นทั้งหมด เช่น พระพรหมเป็นอมตะไม่มีวันตาย แท้จริงแล้วพระพรหมมีอายุขัยเพียงแต่นานๆๆๆๆๆๆมาก หรือพระพรหมมีอำนาจสูงสุด พระพุทธเจ้าก็เสด็จขึ้นไปพรหมโลกแล้วแสดงอิทธฤทธิ์เพื่อแก้ความเห็นผิดให้กับพระพรหมเหล่านั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพรหมโลกแตกตื่นกันเลยทีเดียวเชียวล่ะ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 18:58:05

ความคิดเห็นที่ 2 คำถามต่อมาของคุณ 1. ข้อมูลจากพวกคุณเองไม่ใช่หรือที่ว่า พระพรหมในความเชื่อฮินดูเป็นเทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และ พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่ามีจริง  แต่เสริมว่าพระพรหมนั้นแหละที่มากราบพระองค์หลายๆครั้ง คนที่นับถือพุทธศาสนาตอนนี้แบ่งเป็น 2 แบบ คือไม่เชื่อเรื่องนรกใต้ดิน-สวรรค์บนฟ้า แต่เชื่อเรื่องสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ซึ่งพวกนี้จะปฏิเสธเทวดาพรหมโดยสิ้นเชิง ซึ่งพวกนี้จะปฏิเสธคุณได้เต็ม 100% ว่าอเทวนิยม เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง (Exist) ส่วนอีกแบบคือเชื่อตามพระไตรปิฎกแบบคำต่อคำ พระพุทธเจ้าสอนว่ามีนรก มีนายนิรยบาล มีการทรมานประการต่างๆ มีกะทะทองแดง มีผีเปรต มีเทวดา มีวิมาน ฯลฯ แต่ถึงยังไงเขาก็จะนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะสูงสุดอยู่ดี จึงเรียกว่ามนุษย์นิยมครับ ไม่ใช่เทวะนิยม 2. แต่คุณมาแย้งว่า พระพรหม เทพสูงสุดผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ กลับ ต้องมาจากมนุษย์เสียเอง ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เขาเรียกว่า งูกินหาง หรือ ตัวแปรวนลูปครับ ถ้าเขียนโปรแกรมผิดลักษณะนี้จะฟ้องผิดตรรกะทันทีเมื่อกด Enter และที่สำคัญจะค้านกับ พรหมติดใจรสชาติง้วนดิน จนมาสร้างมนุษย์ คนแรก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่ารอบไหน พระพุทธเจ้าก็คงไม่ใช่มนุษย์คนแรกอยู่ดี ลำดับเหตุการณ์ให้ดีครับ ตอบอีกครั้งนะครับว่านั่นคือความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ)ของพราหมณ์เหล่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธโดยสิ้นเชิงโดยสอนว่ามนุษย์ทั้งหลายไม่ได้เกิดจากพรหมแต่เกิดจากองค์กำเนิดหญิงต่างหากเล่า เอาล่ะครับจุดกำเนิดแรกของสรรพสิ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แบบนี้ครับ แรกเริ่มเดิมทีทุกสิ่งว่างเปล่า เพราะเหตุปัจจัยจากการเคลื่อนไหวของความว่างเปล่าทำให้เกิดพลังงาน พลังงานที่เกิดจากความว่างเปล่านั้นจึงออกมาเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด หนาแน่นมากขึ้น ขยายตัวมากขึ้นจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง พลังงานที่สมบูรณ์จะเป็นพรหม, บ้างก็ตกสะเก็ดเป็นดวงดาว พรหมคือสิ่งมีชีวิตลอยไปลอยมา กินปิติเป็นอาหาร มีรัศมีเรืองรอง เวลาผ่านไป ดวงดาวที่สมบูรณ์ก็เป็นโลก เกิดง้วนดินขึ้นบนโลก ส่งกลิ่นหอมขึ้นไปพรหมโลก พรหมจึงลงมากินง้วนดิน รัศมีหายไป ธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ปรากฎ ติดอยู่กับโลก วนอยู่ในภพทั้ง 3 1. กามภพ มนุษย์-นรก-สวรรค์  (ทำดี-ทำชั่ว) 2. รูปภพ พรหมมีรูป (เจริญพรหมวิหาร, ฌาน ได้ถึงขั้นก็กลับไปเป็นพรหมใหม่) 3. อรูปภพ พรหมไม่มีรูป (เจริญพรหมวิหาร, ฌาณ ได้ถึงขั้นก็กลับไปเป็นพรหมใหม่) และวนอยู่ในภพทั้ง 3 นี้ตลอดมาเรียกว่า สงสารวัฏฏ บางครั้งโลกถูกทำลายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม แต่โลกก็ไม่ได้กระจัดกระจายสลายไป บางครั้งดวงอาทิตย์มาโคจรใกล้โลกถึง 3 ดวง ทำให้โลกมีลักษณะเหมือนเนยเหลว แต่เมื่อดวงอาทิตย์โคจรออกไป โลกกลับมาเหมือนเดิม ง้วนดินส่งกลิ่นหอมขึ้นไปบนพรหมโลก ลงมาใหม่วนไปวนมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นบนโลกแล้วทรงตรัสรู้ ว่าเราติดอยู่กับโลกเพราะความอยาก, ความทะยานอยาก, ตัณหา จึงถอนตัณหาตัวเอง และในที่สุดก็หลุดพ้นไปจากโลก 3. และไม่ว่าจะมาจากไหน หากพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และสรรพสิ่งก็ไม่มีเหตุผลที่จะมากราบผู้ถูกสร้างอย่างที่กล่าวไปแล้ว เป็นความเห็นผิดของพระพรหม และของพราหมณ์ยุคนั้นจนถึงยุคนี้ น่าจะเข้าใจได้แล้ว 4. เสริมว่าหากพระพรหมเป็นมนุษย์ที่สำเร็จฌานจริง ก็แสดงว่า เคยมีมนุษย์ที่ได้ฌานมาก่อนมีพระพุทธเจ้าแล้ว  เพราะพระพรหมณ์ไม่ได้มาจากสาวกพระพุทธเจ้าที่ตายก่อน ถ้าเป็นเช่นนนั้นก็แสดงว่ามีคนบรรลุฌานก่อนพระพุทธเจ้าสิครับ การที่มีพรหมมาก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว แสดงว่าเคยมีคนที่หลุดจากวงโคจรมนุษย์แล้วโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า   ถูกต้องครับ การเจริญสมาธิของพราหมณ์นั้นคือการเจริญฌาน ฌานมีมาก่อนพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าเจริญฌานจนถึงที่สุดของพราหมณ์ยุคนั้นแล้วนั่นคือเนวะสัญญานาสัญญายตนะฌาน โดยอาจารย์ที่สอนฌานนี้ให้คือท่านอุทกดาบส ซึ่งการเป็นพรหมนั้นไม่ได้เรียกว่าหลุดพ้นจากวงโคจรมนุษย์ครับ เพราะพรหมยังมีเสื่อมถึงนานมากแต่ก็ยังเสื่อม พระพุทธเจ้ายังบอกไว้ด้วยว่าพรหมส่วนใหญ่เมื่อเสื่อมแล้วจะเกิดใหม่ที่นรกเป็นส่วนใหญ่ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 19:20:07

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นว่ามีรายละเอียดการสร้างเยอะดีในเวบนี้เอามาให้อ่านครับ ไม่ทราบว่านี่เป็นความเชื่อคนพุทธด้วยหรือไม่? http://www.somjate.com/buddhadays01.html เป็นตำนานที่ไม่มีในพระพุทธศาสนาครับ ถ้าจะนับเป็นความเชื่อของพุทธต้องมีปรากฎในพระไตรปิฎกเถรวาทครับถึงจะเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกยอมรับกัน จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 19:22:05

ความคิดเห็นที่ 4 ในอัคคัญญสูตรนี้อยู่ในพุทธศาสน์เถรวาทครับ เป็นความเชื่อพุทธ นี่ด้วย .... ในอัคคัญญสูตรกล่าวถึงการกำเนิดโลกและจักรวาลไว้ว่า แรกเริ่มจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า นานแสนนาน ต่อมาก็เริ่มมีฝนตกจนท่วมไปหมด ด้านล่างมีลมพยุงไว้ ด้านข้างก็มีลมพยุงไว้ ต่อมาน้ำนั้นก็ค่อยๆ งวดแห้งลงเรื่อยๆ ช่วงนี้เองก็มีพระพรหมที่หมดอายุขัยพอดีจุติจากพรหมโลก มาอุบัติเป็นสัตว์โลกรูปร่างสวยคล้ายพรหม ลอยไปลอยมาในอากาศ อิ่มทิพย์ มีแสงสว่างในตัว อยู่ไปนานๆ เข้าก็เบื่อเพราะมีอยู่คนเดียว ก็เลยรำพึงในใจว่าอยากมีเพื่อน คิดได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีพรหมอีกองค์จุติมาอุบัติ พรหมองค์แรกก็เข้าใจว่าตัวเองเนรมิตขึ้น พรหมองค์ใหม่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เข้าใจว่าพรหมองค์แรกเนรมิตขึ้นมาจริงๆ ต่อมาก็ช่วยกันคิดช่วยกันนึก ก็มีพรหมองค์อื่นๆ มาอุบัติเพิ่มเรื่อยๆ เลยหลงเชื่อกันไปใหญ่ว่าตัวเองเป็นผู้สร้าง ต่อมาผืนน้ำเบื้องล่างแห้งงวดเข้าไปอีก ผิวหน้าเริ่มเกาะกันเป็นแผ่น (เหมือนไขมันที่เริ่มแห้ง) เรียกว่าง้วนดิน สัตว์โลกตนหนึ่งลองเอานิ้วจิ้มใส่ปากชิมดู ปรากฏว่าอร่อยก็เลยกอบกินกันใหญ่ แสงสว่างที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไป ที่เคยอิ่มทิพย์ก็ไม่อิ่มทิพย์แล้ว แต่ต้องมากินง้วนดินแทน ตอนนี้น้ำงวดแห้งลงมาก ปรากฏเขาสิเนรุอยู่ตรงกลาง มีพระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรอยู่รอบๆ สัตว์โลกเหล่านั้นก็เลิกลอยไปลอยมา แต่ลงมาเดินบนพื้นดินกลายเป็นมนุษย์เดินดิน ต่อมาง้วนดินก็หมด เปลี่ยนเป็นเครือดิน อร่อยน้อยกว่า ต่อมาก็เป็นกระบิดินอร่อยน้อยลงไปอีก ในที่สุดก็เป็นดินกินไม่ได้ ถึงเวลานี้ก็มีข้าวสาลีเม็ดโตเกิดขึ้นเอง ไม่มีเปลือกไม่มีรำ หยิบกินได้เลย พอเริ่มกินข้าวสาลีที่เป็นอาหารหยาบ ความเป็นทิพย์ก็หมดสิ้น ความเป็นเพศเริ่มปรากฏ เกิดเพศหญิงและเพศชาย เพ่งกันไปมองกันมากก็เกิดกำหนัด จับคู่เสพเมถุนกัน พวกที่รังเกียจก็ขับไล่ เอาน้ำราด เอาฝุ่นโปรย เอาก้อนดินก้อนหินขว้างใส่ พวกนี้ก็เลยเริ่มสร้างที่กำบังเกิดเป็นบ้านเรือนเพื่อแอบไปเสพเมถุนกันในที่ลับตา กลายเป็นมนุษย์เดินดินกิเลสหนาโดยสมบูรณ์ แต่ความเชื่อเรื่องพระพรหมสร้างโลกก็ยังติดมาด้วยความเข้าใจผิด จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 19:23:25

ความคิดเห็นที่ 5 คห #28 ตกลง อะไรคือความชัดเจนครับ? จะไม่เรียกเรื่องราวเหล่านี้ ว่าหฤหรรณ์ พัลวัน และตรรกะวิบัติ คงไม่ได้ อย่างที่บอกพุทธตอนนี้มีคนเชื่อ 2 แนว แล้วแต่คุณจะไปเจอกับพุทธแนวไหน แนว 1 เชื่อว่านรกบนดิน สวรรค์บนฟ้าไม่มีจริง แนว 2 เชื่อว่านรกบนดิน สวรรค์บนฟ้ามีจริง ซึ่งพุทธแนว 1 นั้นอเทวนิยมแน่นอน เพราะเขาไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่พุทธแนว 2 เชื่อว่านรก สวรรค์ เทพ เทวามีจริง แต่สรณะสูงสุดก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า เอาง่ายๆ ถ้าคุณเห็นหิ้งพระเขาก็จะเข้าใจว่าเทพต่างๆ จะตั้งไว้ให้ต่ำกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เขาไหว้เทพ เทวานั้น ก็เพื่ออุปถัมค้ำชูกันเหมือนญาติมิตร เหมือนผีปู่ย่าตายาย ซึ่งไม่ใช่สรณะสูงสุด การไหว้เทพเทวาก็อุปมาเหมือนไหว้พ่อไหว้แม่ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 19:28:02

ความคิดเห็นที่ 6 ดีครับ อนุโมทนาที่ให้ความเห็นได้ชัดเจน แจ่มแจ้งในส่วนของพระพุทธศาสนาครับ ส่วนผู้ใดจะรับแล้วเข้าใจ หรือไม่ ก็สุดแต่วาสนาบารมีครับ คนเราไม่เหมือนกัน จะให้เข้าใจสิ่งเดียวกันให้เหมือนกันทุกคน คงยากครับ ท่านจึงตรัสเรื่องมนุษย์เหมือนบัว ๔ เหล่าครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 55 20:41:42

ความคิดเห็นที่ 7 คุณ     : โอ่อี๊โอ (oiooo) ส่วนที่คนรุ่นหลังมาไหว้ผี เข้าองค์ ทรงเจ้า ไหว้พระพรหม บูชาเทวดานั้น ก็ไหว้ไปเหมือนญาติผู้ใหญ่ เช่นไหว้ผีคุณยาย ผีคุณตา เป็นธรรมดาลูกหลาน ต้องแสดงความเคารพญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ------------------------------------------------------------------------------ ไหว้ผีคนตาย  อันนี้ไม่น่าจะใช่ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หรือครับ คนตาย ไปเป็นผี ให้ไหว้  ตายไปเกิดภพไหน ก็เป็นบุคคลใหม่ในทันที  การไหว้ผีสาง ไหว้เทพ    มันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนแถบนี้อยู่แล้ว .... จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 01:29:49

ความคิดเห็นที่ 8 คุณโอ่อี๊โอ (oiooo) เนื่องจากผมมีความสนใจในเรื่องนี้อยู่มากแต่ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะคุยเรื่อง นี้กับผู้ใดได้ในห้องศาสนานี้, เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อยากเรียนถามคุณว่า, ตามที่ คุณกล่าวว่า "แรกเริ่มเดิมทีทุกสิ่งว่างเปล่า เพราะเหตุปัจจัยจากการเคลื่อนไหวของความว่าง เปล่าทำให้เกิดพลังงานพลังงานที่เกิดจากความว่างเปล่านั้นจึงออกมาเรื่อยๆไม่ มีที่สิ้นสุด" คำถามของผมคือ.. 1. อะไรคือปัจจัยแห่งความเคลื่อนไหวในสภาวะที่ว่างเปล่า ซึ่งอาจจะหมาย  ถึง "สูญญากาศ( vacuum)" หรือ อาจจะหมายถึง "สภาวะที่ สายตามนุษย์  มองไม่เห็น(non vacuum) แต่มีความมีอยู่จริง" 2. "สภาวะที่ สายตามนุษย์มองไม่เห็น (non vacuum)" หมายถึงมีปัจจัยอยู่จริง แต่มนุษย์ไม่อาจจะสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ได้ จะเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องหรือ ไม่?  ถ้าปัจจัยนั้นคือพลังงานคงไม่ใช่พลังงานทาง "กายภาพ" (Physics) เนื่องจาก    พลังงานทางกายภาพ สามารถสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ได้, ดังนั้นพลังานหรือ  ปัจจัย ที่ขับเคลื่อนความว่างเปล่า จะต้องเป็น พลัง (POWER ) ทาง "จิต  วิญญาณ"  คุณคิดว่าอย่างไร?      หวังว่าคงไม่คิดว่าผมล่วงเกิน ละลาบละล้วงในการตั้งคำถามเช่นนี้ เพราะผม สับสนจริงๆ  โดยเฉพาะเมื่อรวมเรื่องความว่างเปล่านี้ กับเรื่อง ไกลวัลย์ธรรมแล้ว   ทำให้ความคิดผมสับสนมากในการเข้าใจ พระพุทธธรรมที่ถูกต้อง  ปล.     หรือท่านผู้ใดจะช่วยอธิบายร่วมด้วยจะเป็นพระคุณต่อผม เป็นอย่างยิ่ง แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 02:17:12 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 01:50:07 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 01:48:55

ความคิดเห็นที่ 9 เรียนลุงแมทท์ ผมเอง ก็สนใจในคำสอนของพุทธศาสนาในแนวปรัชญา มีหลายๆเรื่อง ที่ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญในพระพุทธศาสนา จะไม่มีทางรู้มาก่อน แต่เราก็ไม่ค่อยกล้าถาม เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการจับผิด หรืออะไรต่างๆนาๆ (ครั้งก่อน เข้าไปแจมในกระทู้ลุงแมทท์ถาม ยังโดนว่าเลย หุหุ) และคำถามเหล่านี้ เมื่อมีผู้กรุณามาตอบ เราก็ต้องใช้เวลาใคร่ครวญคำตอบอีกพอสมควร หรืออย่างของอิสลามเช่นกัน บางครั้งผมก็อยากถามหลักข้อเชื่อพื้นฐาน แต่ที่ห้องศาสนานี้ ก็ไม่กล้าถาม เพราะกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งไป เช่น มี clip ต่างๆของ มุสลิมที่เป็นหนังนั้น ผมก็อยากรู้ว่า อันนันตรงกับคำสอนของอิสลามมากน้อยเพียงใด เพราะถ้ามันบิดเบือนมาก เราก็ไม่อยากเสียเวลาดู ดูแล้วเข้าใจผิดก็ไม่อยากดู ผมคิดว่าเราควรมีเวลาศึกษาความแตกต่างรวมกัน เพื่อจะได้เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ขอบคุณครับ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 07:32:56

ความคิดเห็นที่ 10 แรกเริ่มจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า นานแสนนาน ต่อมาก็เริ่มมีฝนตกจนท่วมไปหมด... อนุญาตโต้แ้ย้งประโยคนี้นะครับ เพราะถ้าเป็นวิชาปรัชญา ถือว่าสอบตกทันที คือ บอกว่ามีความว่างเปล่า แล้วบอกต่อมามีฝน แต่ผมมองอีกมุมในมุมของผู้บันทึกว่า ผู้บันทึกเขียนจากสิ่งที่เห็น และผู้บันทึกอยู่บนโลก แบบนี้ ถือว่าอธิบายได้ เพราะผู้บันทึกบันทึกสิ่งที่เห็น อันนี้คือมุมมองของผมนะครับ ถ้าล่วงเกินประการใดขออภัยด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 07:46:13 จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 07:44:00

ความคิดเห็นที่ 11 คุณ เกลือจืด   การถามในเรื่องปรัชญาหรือตรรกะ ทางศาสนา ผมเชื่อว่าถามได้สำหรับผมไม่ว่า  เรื่องอะไรก็ตาม, แต่สำหรับผมจะไม่มีการเปรียบเทียบ ใน Degree ต่างๆ  ไม่ว่า จะ ดีกว่า หรือ ดีที่สุด หรือถามย้อนในสิ่งที่เรารู้แล้ว  ในกรณีนี้เป็นเรื่อง  ที่น่าสนใจ มาก เพราะคำตอบอาจจะ ตรงตามทฤษฏีของผมเองหรือไม่เท่านั้น ซึ่ง  ไม่เกี่ยวกับผู้ใด     เช่น คัมภีร์อัลกุรอานถ้าอ่านด้วยความเข้าใจของเราเองแล้ว จะเข้าใจง่ายมาก อย่าง   ที่มีบัญญติบอกไว้   แต่ถ้าเอาความคิดผู้รู้ต่างๆมาอธิบายแล้ว นั่งเถียงกันอย่างไม่สุด   สิ้น โดยเฉพาะเรื่อง  ผ้าคลุมหัว  และเรื่อง STONING และเรื่อง "แอลกอฮอล์" ทั้งนี่้   เพราะว่า ผู้ที่มีอาชีพทางหากินกับศาสนาจะสงวนความรู้ไว้เพื่อความสำคัญในการหา   กิน    "พระเจ้าบัญญัติว่า อัลกุรอานประทานให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับทุกๆผู้ทุกๆนาม ทุกๆหน      ทุกๆแห่งที่คัมภีร์สามารถไปถึง" แต่ มนุษย์กลับบอกว่า  อ่านเข้าใจยาก  อ่านเท่าใด      ก็ไม่มีทางเข้าใจ"  ผมไม่มีปัญหาในการเข้าใจเลย           พอชาวอรับที่รู้ภาษาอรับอธฺิบายไม่ตรงกับที่ครูเขาสอนมา ชาวอรับผู้นั้นก็        กลายเป็นผู้ทำลายศาสนาไปเสียฉิบ     ถ้าคุณเกลือจืดจะถามเกี่ยวกับอิสลามผมยินดีตอบตามแนวทางที่ผมเข้าใจซึ่งอาจ     จะไม่ตรงกับผู้ใดในที่นี้ แต่อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะ ส่วนตัวผมแล้ว ชีอะต์     มุสลิมก็คือมุสลิมเช่นเดียวกับมุสลิมทั่วๆไป  แม้แต่ รัฐบาลซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็น "วะ     ฮาบีย์ 100%  ยังยอมรับ ให้เข้าพิธี "ฮัจจฺที่กรุงเมกกะได้   เพราะถ้าไม่ใช่มุสลิมไม่      มีสิทธิเข้าไปร่วมพิธีได้เลย จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 08:37:36

ความคิดเห็นที่ 12 ขออนุญาตคุยในกรอบที่จขกท.เสวนากับผมนะครับ  เรื่อง stoning คุณคุยกับท่าน carroth มาเป็นสิบๆกระทู้แล้ว หากจะคุยใหม่ก็ตั้งกระทู้ใหม่ได้ครับแต่อย่าหนีกลางกระทู้เหมือนที่ผ่านมา หากจะคุยเรื่อง "แอลกอฮอล์" ก็ไปคุยให้จบในกระทู้ที่หนีมานี้ครับ   http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12180744/Y12180744.html หรือ จะพิสูจน์ชีอะฮ์ว่าเป็นอิสลามหรือไม่ ล่าสุดก็ กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12246947/Y12246947.html#18 คุณแมทท์สมควรรู้กาละเทศะ ไม่ฉวยโอกาสนำเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวกันกับประเด็นเสวนา มาสอดแทรกสร้างภาพบิดเบือนศาสนาอิสลามแบบผลุบๆโผล่ๆนะครับ หวังว่าคงให้ความร่วมมือ   จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 09:09:58

ความคิดเห็นที่ 13 คุณlaliklalee เขาตอบคำถามแล้วคุณก็ควรจะรับทราบกับ จขกท เขาซิครับ ผมก็ใช้สิทธิของผม เช่นเดียวกับผู้อื่น รวมทั้งคุณด้วยถ้าเจ้าของกระทู้เขา ไม่ต้องการให้ผมมาเกี่ยวข้อง ก็ให้เขาบอกเอง อย่างที่ผม แจ้งลบ คห. ของคุณในกระทู้ผม,  ผมกำลังคุยกับคุณ เกลือจืด ซึ่ง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย  คุณมีส่วนตอบโต้กับ จขกทเขา ไม่ใช่กับผม ส่วนคำถามของผม จขกท เขาจะตอบ หรือไม่ เป็นสิทธิของเขาไม่ใช่ของคุณ เราควรเคารพสิทธิของกันและกัน   เรื่อง "แอลกอฮอฮ์ ผมยังเขียนไม่จบ แต่ได้ บอก และยืนยันกับคุณไปแล้วตามที่คุณต้อง  การ คือ  แอลกอฮอล์ ไม่ใช่ของ ฮะรอม  หรือของต้องห้ามตามอัลกุรอาน ส่วนคำ  อธิบายจะตามมา  หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ  คราวหน้าคราวหลังระวังเรื่องนี้สักหน่อย แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 09:30:38 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 09:28:00

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณ คุณ  โอ่อี๊โอ (oiooo) มากครับที่พยายามตอบด้วยเหตุผล สรุปว่า คุณพยายามแก้ต่างว่า พุทธศาสนา ไม่ใช่ "สหเทวนิยม" ด้วยเหตุผล 1. ความเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ รูปปั้น เครื่องราง ของขลัง เทพเจ้า ต่างๆ ที่ชาวพุทธจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าปลุกเสก มีพิธีกรรม สักการะบูชาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นความเชื่อของศาสนาก่อนหน้าศาสนาพุทธ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อยใช่ไหมครับ?     ถ้าใช่ ผู้ที่ยังเชื่อในแนวทางนี้กำลังนับถือศาสนาไหนครับ? แสดงว่าชาวพุทธที่ไม่สังฆกรรมพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น มีเหลือน้อยมาก ปล. สังเกตุว่าคำอธิบายในข้อ 1. นี้เป็นการปฏิเสธการเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง  ต่างกับ อีก 2 ข้อ ที่ตามมา ที่พยายามอธิบายเหตุผล อะลุ้มอะล่วยว่า ยังเป็นพุทธศาสนาอยู่ 2. คุณพยายามอธิบายว่า ยังมีชาวพุทธบางส่วนที่แม้จะกราบไหว้ภูติผี พรหมณ์ อิศวร  หรือเทพ ก็เป็นเพียง กราบไหว้เสมือน ผีพ่อ ผีแม่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย เพื่อแสดงความเคารพเท่านั้น ซึ่งก็คงอ้างว่า ไม่นับถือ สหเทวะนิยม ไม่ได้อยู่ดี เพราะ เคารพ กราบไหว้ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็เป็นเพียงการอ้างความชอบธรรมในการสักการะบูชาใช่หรือไม่ การกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้า หรือ เทพองค์ต่างๆ เพื่อแสดงความเคารพนั้นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ เอกเทวนิยม หรือ สหเทวนิยมใช้เช่นเดียวกัน 3. ทฤษฎีต่อมา คุณพยายามแบ่งพุทธศาสนิกชนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ    3.1 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่ในใจ"  ซึงคุณ บอกว่า พวกนี้ปฏิเสธความเชื่อต่างๆที่ระบุในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับรายละเอียดพ้นญานวิสัยต่างๆของนรก สวรรค์ บรรดาภพภูมิ ผีสาง เทวดา สัตว์ประหลาด ทั้งหมด โดยเชื่อในหลักธรรม และหลักปฏิบัติบางข้อของพุทธศาสนาเท่านั้น    คำถามก็คือ 3.1.1 คนเหล่านี้ จะถือเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่หรือไม่? เพราะปฏิเสธความเชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสมา โดยมองว่าเป็น "อุบาย" หรือ "นิทาน" เสีย                    3.1.2 คนเหล่านี้ตายแล้ว วิญญานไปนรก สวรรค์ จริง อีกหรือไม่? เวียนว่ายตายเกิดอีก? หรือว่าตายแล้วสูญ? หรือ ไม่มีคำอธิบาย???                    3.1.3 แม้คนเหล่านี้ไม่กราบไหว้บรรดาเทพ บรรดาภูติผี หรือ สิ่งของต่างๆ แต่ก็ยังกราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม อยู่ดี แสดงว่า ยังเป็น สหเทวนิยม อยู่ดี ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลรองรับการกราบไหว้ สักการะมนุษย์ ( มนุษย์นิยม ) หรือวิญญานของมนุษย์  หรือคุณความดี คำสอนดีๆของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม    3.2 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่บนฟ้า"  ซึงคุณ บอกว่า เขาเชื่อตามพระไตรปิฎกแบบคำต่อคำ 100% และ นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะสูงสุดอยู่ดี จึงเรียกว่า "มนุษย์นิยม"      ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะเลี่ยง "สหเทวนิยม" ไปได้อย่างไร? เพราะนอกจากจะเชื่อ และกราบไหว้ บรรดาเทพ เทวดา ผีสาง ตามที่เห็นกันโดยทั่วไปแล้วในข้อ 2. ยังกราบไว้มนุษย์ด้วยกันเองตามที่กล่าวไปแล้วในข้อ 3.1.3  โดยผู้มีพลัง อำนาจสูงสุดอาจไม่ใช่พรหม แต่เป็นพระพุทธเจ้าแทนเท่านั้นเอง พรหมจึงต้องกราบพระพุทธเจ้าตามที่อ้างมา 4. ใน คห.4 ของคุณ ยอมรับว่า กระบวนการต่างๆที่ให้กำเนิด จักรวาล โลก มนุษย์ และสิ่งต่างๆอยู่ในความเชื่อ พุทธศาสนา เถรวาท แสดงว่า เป็นการปฏิเสธสมมติฐานในข้อ 1. และข้อ 3.1 ของคุณเองนะครับ  คนที่ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจถือว่านับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เป็นการปฏิเสธความเชื่อที่ระบุใน คัมภีร์อัคคัญญสูตร ของตนเองอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ากระบวนการที่เล่ามาตรงกับที่รับรู้กันหรือไม่นั้น คงทราบกันดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ลงลึกอะไร เพราะถือว่าอยู่นอกเหนือประเด็นเสวนาครับ ส่วนผู้ใดจะรับแล้วเข้าใจ หรือไม่ ก็สุดแต่สติปัญญาครับ คงไม่ใช่วาสนาบารมีตามที่เชื่อกัน เห็นพ้องว่าคนเราไม่เหมือนกัน จะให้เข้าใจสิ่งเดียวกันให้เหมือนกันทุกคน ก็คงยาก นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหลือเกิน ยินดีที่ได้เสวนาร่วมนะครับ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 10:10:29

ความคิดเห็นที่ 15 คห.13 คุณแมทท์ พวกเรายังคุยกันในประเด็น จขกท. นะครับ  โปรดอ่านเนื้อหาให้แตก และ ระมัดระวังพฤติกรรม อย่างที่เตือนสติไปแล้วด้วย อย่าดึงดันฉกฉวยโอกาสทำให้ประเด็นกระทู้เบี่ยงเบนไปเลย จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 10:14:30

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ laliklalee    ใจเย็นได้เลยครับกระทู้นี้จะมีผู้สนใจอย่างเต็มที่   ถ้าคุณมัวมาสนใจโต้ตอบกับผม เดี๋ยวผมผู้ชมก็จะ  ไม่เข้าใจ เนื้อหาที่เป็นประโยชน์  ต่อสมาชิกทุกๆ   ท่านที่กำลังสนใจ คำอธิบายจากคุณ ผมกำลังตาม   อ่านอยู่ด้วยความสนใจเช่นกัน  เชิญตามสบาย จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 10:30:40

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับที่เข้าใจ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 10:32:55

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ     : โอ่อี๊โอ (oiooo) ส่วนที่คนรุ่นหลังมาไหว้ผี เข้าองค์ ทรงเจ้า ไหว้พระพรหม บูชาเทวดานั้น ก็ไหว้ไปเหมือนญาติผู้ใหญ่ เช่นไหว้ผีคุณยาย ผีคุณตา เป็นธรรมดาลูกหลาน ต้องแสดงความเคารพญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ------------------------------------------------------------------------------ ไหว้ผีคนตาย  อันนี้ไม่น่าจะใช่ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หรือครับ คนตาย ไปเป็นผี ให้ไหว้  ตายไปเกิดภพไหน ก็เป็นบุคคลใหม่ในทันที  การไหว้ผีสาง ไหว้เทพ    มันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนแถบนี้อยู่แล้ว .... ********************************************** ผมถึงพยายามเน้นบอกว่าการไหว้ผี เข้าทรง ไหว้เทพ เทวา ไหว้พระพรหม เขาไหว้กันเหมือนไหว้พ่อแม่ ไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพ แต่ถ้าเดินเข้าไปถามทุกคนจะตอบเหมือนกันหมดคือพระพุทธเจ้าอยู่สูงที่สุด ไม่มีใครสูงเกินไปกว่าพระพุทธเจ้า คราวนี้ถ้าถามเรื่่องวิถีพุทธ ถ้าเป็นพระสงฆ์ต้องอยู่ในกรอบของวินัย ซึ่งพระภิกษุสงฆ์จะไม่กราบไหว้เทพเทวา ผีปู่ย่าตายาย หรือคนทรงเจ้าที่เคารพอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นชาวบ้าน...มันไม่มีวินัยชาวบ้าน พระพุทธเจ้าไม่เคยออกคำสั่งบังคับชาวบ้านอยู่กันแบบบ้านๆ ตามวิถีชาวบ้าน เขาเคารพพ่อแม่ก็กราบไหว้พ่อแม่ แต่พอบวชเป็นภิกษุแล้วก็ไม่ไหว้พ่อแม่แล้ว เขาเคารพเจ้าเข้าทรง ก็กราบไหว้เจ้าเข้าทรง แต่พอบวชเป็นภิกษุแล้วก็ไม่ไหว้เจ้าเข้าทรงแล้ว เขาเคารพเทพเทวา ก็กราบไหว้เทพเทวา แต่พอบวชเป็นภิกษุแล้วก็ไม่ไหว้เทพเทวาแล้ว เคยมีชาวบ้านเข้าไปหาพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับแล้วถามว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธเจ้า ท่านตอบว่า "ให้มีศีล 5" แค่นั้นเองนะครับ เคยมีชาวบ้านเข้าไปหาพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับแล้วถามว่าทำงานอะไรให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธเจ้า ท่านตอบว่า "ไม่ค้าศัตรา, อาวุธ, ชีวิต, น้ำเมา" ส่วนไหว้ หรือไม่ไหว้ ท่านไม่เคยสั่งเคยสอนไว้นี่ครับ ถ้าถามผมว่าวิถีพุทธของชาวบ้านคืออะไร ต่อให้ไหว้ต้นไม้ หรือไหว้กระโหลกผีอยู่เป็นนิตย์ แต่บุคคลนั้นมีศีล 5 ไม่ค้าศรัตรา อาวุธ ชีวิต น้ำเมา แล้วใส่บาตรอยู่ ผมก็ยกย่องบุคคลนั้นว่าเป็นวิถีพุทธ แต่ถ้าบุคคลนั้นเป็นภิกษุแล้วไหว้ต้นไม้ หรือไหว้ผี บุคคลนั้นก็ไม่เรียกว่าวิถีพุทธ คุณนบนอบพูดถูกเป๋งเลยว่ามมันเป็นความเชื่อของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไหว้ผีคนตายแต่ท่านสอนให้กรวดน้ำแผ่เมตตากับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว อิทังโวญาตีนังโหตุ สุขิตาโหนตุญาตะโย เตจะตัตถะสะมาคันตะวาญาติเปตาสะมาคะตา ทานนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด และพวกญาติผู้ละโลกนี้ไปแล้วเหล่านั้นพร้อมกันมาประชุมในสถานที่ให้ทานนั้น ธรรมบทยัสมิงปะเทเสฯนี้หลงตาผมสวดหลังฉันอาหารเพลในบางครั้ง ยัสมิงปะเทเสกัปเปติวาสังปัณฑิตะชาติโย บัณฑิตอยู่ประเทศใดก็ตาม สีละวันเตตถุโภเชตวาสัญญะเตพรัมมะจารีโน ควรเลี้ยงดูท่านผู้มีศีลสำรวมระวังในพรหมจรรย์ ยาตัตถุเทวะตาอาสุงตาสัง ทักขินะมาทิเส ควรบูชาเทพเทวาที่อยู่ณ.ที่นั้นด้วย ตาปูชิตาปูชะยันติมานิตามานะยันตินัง เทพเทวาเมื่อเขาบูชาแล้วย่อมบูชาตอบ เมื่อเขานับถือแล้วย่อมนับถือตอบ ตะโตนังอนุกัมปันติมาตา ปุตตังวะโอระสัง ท่านย่อมคุ้มครองดูแลเหมือนมารดาปกครองบุตร เทวะตานุกัมปิโต โปโส สะทาพัทรานิปัสสะติ บุคคลเมื่อเทพยดาจุนเจือแล้วย่อมประสบแต่สิ่งอันเจริญ ยังไงซะความเชื่อของชาวบ้านไหว้ผี ไหว้เทพเทวานี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับวิถีพุทธนี่ครับเพราะสรณะสูงสุดคือพระพุทธเจ้าเท่านั้นอยู่แล้ว ซึ่งคนที่ต้องเคร่งครัดจะเป็นภิกษุสงฆ์กับสามเณรเขาก็ดูแลกันดีอยู่ตอนผมบวชมีน้องเณรเป็นเจ้าเข้าทรงเก่ามาบวช พอตื่นเช้ากลับจากบิณฑบาตรน้องเณรจะจุดธูปไหว้ศาลปะลกๆ พระก็ช่วยกันเตือนให้น้องเณรหยุดการกระทำนั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรน้องเณรเขาก็เข้าใจว่าเป็นพระภิกษุแล้วไหว้ได้เฉพาะพระภิกษุผู้ใหญ่เท่านั้น จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 12:27:07

ความคิดเห็นที่ 19 คุณโอ่อี๊โอ (oiooo) เนื่องจากผมมีความสนใจในเรื่องนี้อยู่มากแต่ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะคุยเรื่อง นี้กับผู้ใดได้ในห้องศาสนานี้, เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อยากเรียนถามคุณว่า, ตามที่ คุณกล่าวว่า "แรกเริ่มเดิมทีทุกสิ่งว่างเปล่า เพราะเหตุปัจจัยจากการเคลื่อนไหวของความว่าง เปล่าทำให้เกิดพลังงานพลังงานที่เกิดจากความว่างเปล่านั้นจึงออกมาเรื่อยๆไม่ มีที่สิ้นสุด" คำถามของผมคือ.. 1. อะไรคือปัจจัยแห่งความเคลื่อนไหวในสภาวะที่ว่างเปล่า ซึ่งอาจจะหมาย ถึง "สูญญากาศ( vacuum)" หรือ อาจจะหมายถึง "สภาวะที่ สายตามนุษย์ มองไม่เห็น(non vacuum) แต่มีความมีอยู่จริง" **************************************************** ต้องขออภัยด้วย ผมไม่ทราบครับและพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แค่นั้น หรืออาจสอนไว้แต่ผมยังอ่านไม่ถึง โดยพระพุทธเจ้าตรัสสอนสาวกเรื่องอจินไตย 4 อย่าง 1. กรรมวิสัย 2.โลกวิสัย 3.ฌานวิสัย 4.พุทธวิสัย ท่านสอนว่าอย่าไปตามดูตามรู้หาเหตุผล จะทะเลาะกันไปเปล่า เสียเวลาเปล่า เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่มีประโยชน์คือ อริยสัจ 4, อริยมรรคมีองค์ 8, ไตรลักษณ์, ขันธ์ 5, อุปปาทานขันธ์ สำหรับผมท่านสอนอย่างไรผมเชื่ออย่างงั้นเพราะผมมีศรัทธาในพระคัมภีร์ ผมนับถือพระไตรปิฎกเป็นสรณะ ส่วนความว่างเปล่าเคลื่อนที่ได้อย่างไรคงต้องไปรอถาม Cern ผมก็รอคำตอบจาก Cern เหมือนกัน ส่วนตัวผมเชื่อว่าเขาทำได้แน่ๆเพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น ***************************************** 2. "สภาวะที่ สายตามนุษย์มองไม่เห็น (non vacuum)" หมายถึงมีปัจจัยอยู่จริง แต่มนุษย์ไม่อาจจะสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ได้ จะเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องหรือ ไม่? ถ้าปัจจัยนั้นคือพลังงานคงไม่ใช่พลังงานทาง "กายภาพ" (Physics) เนื่องจาก   พลังงานทางกายภาพ สามารถสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ได้, ดังนั้นพลังานหรือ ปัจจัย ที่ขับเคลื่อนความว่างเปล่า จะต้องเป็น พลัง (POWER ) ทาง "จิต วิญญาณ"  คุณคิดว่าอย่างไร?     หวังว่าคงไม่คิดว่าผมล่วงเกิน ละลาบละล้วงในการตั้งคำถามเช่นนี้ เพราะผม สับสนจริงๆ  โดยเฉพาะเมื่อรวมเรื่องความว่างเปล่านี้ กับเรื่อง ไกลวัลย์ธรรมแล้ว   ทำให้ความคิดผมสับสนมากในการเข้าใจ พระพุทธธรรมที่ถูกต้อง ปล.    หรือท่านผู้ใดจะช่วยอธิบายร่วมด้วยจะเป็นพระคุณต่อผม เป็นอย่างยิ่ง ***************************************************** ไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรคือคำว่า non vaccum แต่สิ่งที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัส 5 นั้นมีอยู่จริงครับ ในทางพุทธศาสนามีอยู่เยอะมากด้วยเช่นนรก-สวรรค์ เทพเทวา หรือไม่ต้องพึ่งเทพเทวาก็ใช้ใจสัมผัสครับเรียกว่ามโนวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ทางใจ บุคคลทั่วไปจะนึกว่าความสุขนั้นเกิดมาจากประสาทสัมผัส 5 เท่านั้น คือรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสเท่านั้น บุคคลในโลกนี้ท่องเที่ยวไปแค่นั้น พยายามเสพความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสที่น่าพึงใจ น่าใคร่ น่าปรารถนา แต่มีความสุขที่ละเอียดไปกว่านั้น เป็นความสุขที่เกิดได้โดยไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส เป็นความสุขที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยเงิน และทอง เป็นความสุขที่ละเอียดกว่า ปราณีตกว่า เพียงแค่นั่งคู้บัลลังค์ ตั้งตัวตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ท่านอาจจะพบกับความสุขที่เกิดจากความสงบอันไม่อาศัยประสาทสัมผัส 5 นั่นหมายความว่าคนพิการ 5 อย่างก็สามารถเสพความสุขนี้ได้ อย่างนี้ผมเรียกว่าปัจจัยที่มีอยู่จริงแต่ไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัส 5 ในการสัมผัส ส่วนคำถามเรื่องพลังงานที่เกิดขึ้นในต้นกำเนิดจักรวาลนั้น พลังงานที่เกิดขึ้นบ้างก็เป็น Power ไม่มีชีวิต เป็นดวงดาว บ้างก็เป็น พรหมมีชีวิตทันที จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 12:57:19

ความคิดเห็นที่ 20 เรียบเรียงเน้นหัวข้อใหม่ เพื่อให้ จขกท. ไม่สับสนประเด็นนะครับ ++++++++++++++ ขอบคุณ คุณ โอ่อี๊โอ (oiooo) มากครับที่พยายามตอบด้วยเหตุผล สรุปว่า คุณพยายามแก้ต่างว่า พุทธศาสนา ไม่ใช่ "สหเทวนิยม" ด้วยเหตุผล 1. ความเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ รูปปั้น เครื่องราง ของขลัง เทพเจ้า ต่างๆ ที่ชาวพุทธจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าปลุกเสก มีพิธีกรรม สักการะบูชาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นความเชื่อของศาสนาก่อนหน้าศาสนาพุทธ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อยใช่ไหมครับ? ถ้าใช่ ผู้ที่ยังเชื่อในแนวทางนี้กำลังนับถือศาสนาไหนครับ? แสดงว่าชาวพุทธที่ไม่สังฆกรรมพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น มีเหลือน้อยมาก ปล. สังเกตุว่าคำอธิบายในข้อ 1. นี้เป็นการปฏิเสธการเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ต่างกับ อีก 2 ข้อ ที่ตามมา ที่พยายามอธิบายเหตุผล อะลุ้มอะล่วยว่า ยังเป็นพุทธศาสนาอยู่ 2. คุณพยายามอธิบายว่า ยังมีชาวพุทธบางส่วนที่แม้จะกราบไหว้ภูติผี พรหมณ์ อิศวร หรือเทพ ก็เป็นเพียง กราบไหว้เสมือน ผีพ่อ ผีแม่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย เพื่อแสดงความเคารพเท่านั้น ซึ่งก็คงอ้างว่า ไม่นับถือ สหเทวะนิยม ไม่ได้อยู่ดี เพราะ เคารพ กราบไหว้ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็เป็นเพียงการอ้างความชอบธรรมในการสักการะบูชาใช่หรือไม่ การกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้า หรือ เทพองค์ต่างๆ เพื่อแสดงความเคารพนั้นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ เอกเทวนิยม หรือ สหเทวนิยมใช้เช่นเดียวกัน 3. ทฤษฎีต่อมา คุณพยายามแบ่งพุทธศาสนิกชนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 3.1 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่ในใจ" ซึงคุณ บอกว่า พวกนี้ปฏิเสธความเชื่อต่างๆที่ระบุในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับรายละเอียดพ้นญานวิสัยต่างๆของนรก สวรรค์ บรรดาภพภูมิ ผีสาง เทวดา สัตว์ประหลาด ทั้งหมด โดยเชื่อในหลักธรรม และหลักปฏิบัติบางข้อของพุทธศาสนาเท่านั้น คำถามก็คือ 3.1.1 คนเหล่านี้ จะถือเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่หรือไม่? เพราะปฏิเสธความเชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสมา โดยมองว่าเป็น "อุบาย" หรือ "นิทาน" เสีย 3.1.2 คนเหล่านี้ตายแล้ว วิญญานไปนรก สวรรค์ จริง อีกหรือไม่? เวียนว่ายตายเกิดอีก? หรือว่าตายแล้วสูญ? หรือ ไม่มีคำอธิบาย??? 3.1.3 แม้คนเหล่านี้ไม่กราบไหว้บรรดาเทพ บรรดาภูติผี หรือ สิ่งของต่างๆ แต่ก็ยังกราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม อยู่ดี แสดงว่า ยังเป็น สหเทวนิยม อยู่ดี ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลรองรับการกราบไหว้ สักการะมนุษย์ ( มนุษย์นิยม ) หรือวิญญานของมนุษย์ หรือคุณความดี คำสอนดีๆของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม 3.2 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่บนฟ้า" ซึงคุณ บอกว่า เขาเชื่อตามพระไตรปิฎกแบบคำต่อคำ 100% และ นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะสูงสุดอยู่ดี จึงเรียกว่า "มนุษย์นิยม" ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะเลี่ยง "สหเทวนิยม" ไปได้อย่างไร? เพราะนอกจากจะเชื่อ และกราบไหว้ บรรดาเทพ เทวดา ผีสาง ตามที่เห็นกันโดยทั่วไปแล้วในข้อ 2. ยังกราบไว้มนุษย์ด้วยกันเองตามที่กล่าวไปแล้วในข้อ 3.1.3 โดยผู้มีพลัง อำนาจสูงสุดอาจไม่ใช่พรหม แต่เป็นพระพุทธเจ้าแทนเท่านั้นเอง พรหมจึงต้องกราบพระพุทธเจ้าตามที่อ้างมา 4. ใน คห.4 ของคุณ ยอมรับว่า กระบวนการต่างๆที่ให้กำเนิด จักรวาล โลก มนุษย์ และสิ่งต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่รับรู้ในปัจจุบัน  อยู่ในความเชื่อ พุทธศาสนา เถรวาท แสดงว่า เป็นการปฏิเสธสมมติฐานในข้อ 1. และข้อ 3.1 ของคุณเองนะครับ คนที่ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจถือว่านับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เป็นการปฏิเสธความเชื่อที่ระบุใน คัมภีร์อัคคัญญสูตร ของตนเองอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ากระบวนการที่เล่ามาตรงกับที่รับรู้กันหรือไม่นั้น คงทราบกันดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ลงลึกอะไร เพราะถือว่าอยู่นอกเหนือประเด็นเสวนาครับ ส่วนผู้ใดจะรับแล้วเข้าใจ หรือไม่ ก็สุดแต่สติปัญญาครับ คงไม่ใช่วาสนาบารมีตามที่เชื่อกัน เห็นพ้องว่าคนเราไม่เหมือนกัน จะให้เข้าใจสิ่งเดียวกันให้เหมือนกันทุกคน ก็คงยาก นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหลือเกิน หวังที่จะมีเหตุผลโต้ตอบที่พยายามให้ชัดเจนในแต่ละประเด็นเหมือนที่ผ่านมา  จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 13:29:59

ความคิดเห็นที่ 21 #14 ขอบคุณ คุณ  โอ่อี๊โอ (oiooo) มากครับที่พยายามตอบด้วยเหตุผล สรุปว่า คุณพยายามแก้ต่างว่า พุทธศาสนา ไม่ใช่ "สหเทวนิยม" ด้วยเหตุผล 1. ความเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ รูปปั้น เครื่องราง ของขลัง เทพเจ้า ต่างๆ ที่ชาวพุทธจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าปลุกเสก มีพิธีกรรม สักการะบูชาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นความเชื่อของศาสนาก่อนหน้าศาสนาพุทธ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อยใช่ไหมครับ?    ถ้าใช่ ผู้ที่ยังเชื่อในแนวทางนี้กำลังนับถือศาสนาไหนครับ? แสดงว่าชาวพุทธที่ไม่สังฆกรรมพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น มีเหลือน้อยมาก ปล. สังเกตุว่าคำอธิบายในข้อ 1. นี้เป็นการปฏิเสธการเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง  ต่างกับ อีก 2 ข้อ ที่ตามมา ที่พยายามอธิบายเหตุผล อะลุ้มอะล่วยว่า ยังเป็นพุทธศาสนาอยู่ *************************************************** ตอบว่าใช่ครับ และผู้ที่เชื่อในแนวทางนี้กำลังนับถือพุทธอยู่ครับ และพุทธกำลังเสื่อมไปเรื่อยๆ ผมยึดตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเลยนะครับ ท่านสอนว่าถ้าภิกษุยังไม่ปาราชิกก็ให้ถือว่าเป็นภิกษุอยู่ นั่นหมายความว่าต่อให้ภิกษุทรงเจ้า เข้าผีเอง ก็ยังถือว่าเป็นภิกษุอยู่ตราบเท่าที่ไม่ได้ปาราชิก ....เสื่อมแล้วก็ยอมรับครับว่าเสื่อม เป็นไปดังพุทธทำนายครับว่าพุทธศาสนาจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ก่อนถึงยุคมิคสัญญี พระภิกษุจะมีเพียงสัญลักษณ์ผ้าสีเหลืองแปะไว้ที่ใบหูเท่านั้นเอง ปัจจุบันนี้ผมยอมรับว่าชาวพุทธที่ยังพยายามดำรงพระสัทธรรมไว้เหลือน้อยจริงๆ ผมเป็นนักแสวงบุญ เที่ยวเสาะหาไปเรื่อยและก็พบไปเรื่อยเหมือนกันครับ ที่เห็นง่ายๆก็ตรงพุทธมณฑลสาย 4 หลงตาปยุตท่านยังรักษาไว้อย่างน่าชื่นชมครับ โชคดีที่ยังมีพระไตรปิฎกเถรวาทให้ศึกษาให้ปฏิบัติตาม และยังมีสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรักษาไว้ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกครับเพราะศาสนาพุทธก็ยังอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป *************************************************** 2. คุณพยายามอธิบายว่า ยังมีชาวพุทธบางส่วนที่แม้จะกราบไหว้ภูติผี พรหมณ์ อิศวร  หรือเทพ ก็เป็นเพียง กราบไหว้เสมือน ผีพ่อ ผีแม่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย เพื่อแสดงความเคารพเท่านั้น ซึ่งก็คงอ้างว่า ไม่นับถือ สหเทวะนิยม ไม่ได้อยู่ดี เพราะ เคารพ กราบไหว้ สรรพสิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็เป็นเพียงการอ้างความชอบธรรมในการสักการะบูชาใช่หรือไม่ การกราบไหว้พระผู้เป็นเจ้า หรือ เทพองค์ต่างๆ เพื่อแสดงความเคารพนั้นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ เอกเทวนิยม หรือ สหเทวนิยมใช้เช่นเดียวกัน *************************************************** ถ้าตามที่คุณยกมา ไหว้ผีปู่ย่าตายายเมื่อไหร่เป็นสหเทวนิยมหมดสินะครับ แต่นั่นคือวิถีชาวบ้านนะครับ ชาวบ้านที่บอกว่าตัวเองเป็นพุทธโดยที่ไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่วิถีพุทธ ถ้าจะถามว่าอะไรคือวิถีพุทธต้องดูที่พระภิกษุครับ พระภิกษุจะไม่ไหว้ผีปู่ย่าตายาย ไม่ไหว้พรหมเทพเทวา ไม่ไหว้สิ่งศักสิทธิ์ ไหว้เฉพาะพระพรรษาแก่กว่าเท่านั้น มีกรอบ มีกฎระเบียบ มีข้อบังคับไว้ชัดเจน ถ้าคุณจะแอบเข้าไปบวชแล้วไหว้เทพเทวา แล้วมาตะโกนว่านี่ไงฉันเป็นภิกษุไหว้เทพเทวาอยู่ ดังนั้นพุทธไม่ใช่อเทวนิยม อย่างนี้ไม่ได้นะครับ ถือว่าบวชเข้าไปแล้วทำผิดวิถีพุทธ พุทธศาสนาจึงเรียกว่าอเทวนิยมครับ เพราะภิกษุ สามเณร เว้นขาดจากการไหว้เทพ เทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ************************************************** 3. ทฤษฎีต่อมา คุณพยายามแบ่งพุทธศาสนิกชนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ   3.1 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่ในใจ"  ซึงคุณ บอกว่า พวกนี้ปฏิเสธความเชื่อต่างๆที่ระบุในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับรายละเอียดพ้นญานวิสัยต่างๆของนรก สวรรค์ บรรดาภพภูมิ ผีสาง เทวดา สัตว์ประหลาด ทั้งหมด โดยเชื่อในหลักธรรม และหลักปฏิบัติบางข้อของพุทธศาสนาเท่านั้น   คำถามก็คือ 3.1.1 คนเหล่านี้ จะถือเป็นพุทธศาสนิกชนอยู่หรือไม่? เพราะปฏิเสธความเชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสมา โดยมองว่าเป็น "อุบาย" หรือ "นิทาน" เสีย ******************************************************* อ๋าววววววววววว พุทธศาสนิกชน คือผู้นับถือศาสนาพุทธ ผมจะไปแยกเขาได้ไงว่าเขานับถือหรือเปล่า??????? ต้องไปถามเจ้าตัวเขาสิครับ ว่าเขานับถือพุทธหรือเปล่า แต่ถ้าบวชเป็นภิกษุแล้วอันนี้นับถือพุทธแน่นอนครับ *******************************************************                   3.1.2 คนเหล่านี้ตายแล้ว วิญญานไปนรก สวรรค์ จริง อีกหรือไม่? เวียนว่ายตายเกิดอีก? หรือว่าตายแล้วสูญ? หรือ ไม่มีคำอธิบาย??? ****************************************************** คนเหล่านี้เมื่อตายไปแล้วจะตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ???? อธิบายได้ดังนี้ครับ ผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ย่อมวนเวียนในวัฏฏะภพ 3 คือ 1. กามภพ (นรก-สวรรค์) 2.รูปภพ (พรหมมีรูป) 3. อรูปภพ (พรหมไม่มีรูป) ผู้ที่หมดความยึดมั่นแล้วจะพ้นไปจากภพ 3 ******************************************************                   3.1.3 แม้คนเหล่านี้ไม่กราบไหว้บรรดาเทพ บรรดาภูติผี หรือ สิ่งของต่างๆ แต่ก็ยังกราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งรูปธรรม และ นามธรรม อยู่ดี แสดงว่า ยังเป็น สหเทวนิยม อยู่ดี ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลรองรับการกราบไหว้ สักการะมนุษย์ ( มนุษย์นิยม ) หรือวิญญานของมนุษย์  หรือคุณความดี คำสอนดีๆของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ******************************************************* สงสัยจริงๆว่าสหเทวนิยมคืออะไรเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า ลองไป search ใน google แล้วไม่พบ พบแต่คำว่า อเทวนิยม...... ก็ไม่ทราบว่าคุณไปเอาคำนี้มาจากไหน ออ เข้าใจแล้วครับถ้าคำจำกัดความของสหเทวนิยมคือที่คุณเขียนมาตาม 3.1.3 นั่น พุทธก็จัดเป็นสหเทวนิยมครับ ผมผิดเองเข้าใจคำว่าสหเทวนิยมของคุณผิดไปตั้งแต่แรก *******************************************************   3.2 กลุ่มที่เชื่อว่า "นรก สวรรค์ อยู่บนฟ้า"  ซึงคุณ บอกว่า เขาเชื่อตามพระไตรปิฎกแบบคำต่อคำ 100% และ นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะสูงสุดอยู่ดี จึงเรียกว่า "มนุษย์นิยม"     ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะเลี่ยง "สหเทวนิยม" ไปได้อย่างไร? เพราะนอกจากจะเชื่อ และกราบไหว้ บรรดาเทพ เทวดา ผีสาง ตามที่เห็นกันโดยทั่วไปแล้วในข้อ 2. ยังกราบไว้มนุษย์ด้วยกันเองตามที่กล่าวไปแล้วในข้อ 3.1.3  โดยผู้มีพลัง อำนาจสูงสุดอาจไม่ใช่พรหม แต่เป็นพระพุทธเจ้าแทนเท่านั้นเอง พรหมจึงต้องกราบพระพุทธเจ้าตามที่อ้างมา ***************************************************** คำตอบเหมือนข้อ 3.1.3 ครับจะได้ไม่ไปไกล   สหเทวนิยม... ***************************************************** 4. ใน คห.4 ของคุณ ยอมรับว่า กระบวนการต่างๆที่ให้กำเนิด จักรวาล โลก มนุษย์ และสิ่งต่างๆอยู่ในความเชื่อ พุทธศาสนา เถรวาท แสดงว่า เป็นการปฏิเสธสมมติฐานในข้อ 1. และข้อ 3.1 ของคุณเองนะครับ  คนที่ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจถือว่านับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เป็นการปฏิเสธความเชื่อที่ระบุใน คัมภีร์อัคคัญญสูตร ของตนเองอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ากระบวนการที่เล่ามาตรงกับที่รับรู้กันหรือไม่นั้น คงทราบกันดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ลงลึกอะไร เพราะถือว่าอยู่นอกเหนือประเด็นเสวนาครับ ****************************************************** เอ่อ...ตามไม่ทันจริงๆ ยังไงหว่า ****************************************************** ส่วนผู้ใดจะรับแล้วเข้าใจ หรือไม่ ก็สุดแต่สติปัญญาครับ คงไม่ใช่วาสนาบารมีตามที่เชื่อกัน เห็นพ้องว่าคนเราไม่เหมือนกัน จะให้เข้าใจสิ่งเดียวกันให้เหมือนกันทุกคน ก็คงยาก นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหลือเกิน ยินดีที่ได้เสวนาร่วมนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 13:44:43 จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 13:37:45

ความคิดเห็นที่ 22 ******************************************************* สงสัยจริงๆว่าสหเทวนิยมคืออะไรเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า ลองไป search ใน google แล้วไม่พบ พบแต่คำว่า อเทวนิยม...... ก็ไม่ทราบว่าคุณไปเอาคำนี้มาจากไหน ออ เข้าใจแล้วครับถ้าคำจำกัดความของสหเทวนิยมคือที่คุณเขียนมาตาม 3.1.3 นั่น พุทธก็จัดเป็นสหเทวนิยมครับ ผมผิดเองเข้าใจคำว่าสหเทวนิยมของคุณผิดไปตั้งแต่แรก ******************************************************* จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 13:44:54

ความคิดเห็นที่ 23 ท่าน โอ่อี๊โอ (oiooo) ผมต้องขออนุญาต เพราะปกติผมจะไม่ยุ่งในเรื่องคำสอนหรือตัวบททางศาสนาของผู้อื่นใด และต้องขออภัยด้วย นะครับ ตามวัด ต่างจังหวัด ผมก็ยังเห็นพระภิกษุ ที่ยังเชื่อเรื่องผีสาง ผีปู่ย่าตายายกัน อยู่เป็นจำนวนมาก ตามวัดหลายวัดบางวัดก้มีรูปปั้นพญาครุฑ บ้างละ ตามความเชื่อของพรหามณ์ ฮินดุ อยู่ก็มาก พระภิกษุหลายรูปเมื่อ ลาสิกขาบทมา ไม่ทันข้ามวัน ก็ดื่มเหล้า ก่อนดื่มก็เท เหล้าลงพื้นดินสัดนิด หน่อยก่อนดื่ม บอกว่าให้ผีปู่่า ตายายดื่ม ด้วยประการดังนี้จึงทำให้เกิดการสับสน ว่า จริงแล้วพุทธ แท้ๆบริสุทธ์นั้น ยืนตรงจุดใด ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ผมถาม และเมือได้คำตอบ จะรับได้หรือไม่ผมจะไม่ถามต่อ เพื่อประดับความรู้ไว้อีก 1 ข้อมุลครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 13:55:17

ความคิดเห็นที่ 25 ผมขอเสริมเนื้อหาของท่าน โอ่อี๋โอ ตามที่แนบมาครับ ------------ อันนี้เป็นเหตุการณ์ขณะที่มีอาภัสสรพรหมตนแรกอุบัติขึ้นในชั้นพรหม แล้วจึงเข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้าง (พระเจ้าที่เป็นตัวตน ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าในความหมายที่ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน พระเจ้าองค์นี้มีความรู้สึก นึกคิด มีความต้องการ ไม่ต้องการเหมือนเป็นบุคคล พูดคุยได้) กำเนิดพระเจ้า หรือมหาพรหม กถาว่าด้วยมหาพรหมเป็นต้น ....เธอทั้งหลาย   บรรดาสัตว์จำพวกนั้น   ผู้ใดเกิดก่อน  ผู้นั้นมีความ คิดเห็นอย่างนี้วา   เราเป็นพรหม   เป็นมหาพรหม  เป็นใหญ่ไม่มีใครข่ม ได้  เห็นถ่องแท้เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิศวร   เป็นผู้สร้าง  เป็นผู้เนรมิต  เป็น ผู้ประเสริฐ   เป็นผู้บงการ  เป็นผู้ทรงอำนาจ  เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น  สัตว์เหล่านี้   เราเนรมิตขึ้น.... http palungjit.com/tripitaka/default.php? cat=1500008 --------- น่าสังเกตว่าเมื่อมีกิเลสเพิ่มขึ้น โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นอยู่ลำบากมากขึ้น วิวัฒนาการการกำเนิดชีวิตและจักรวาล ตามแนวพระพุทธศาสนา http dharma-gateway.com/misc/misc-90.htm --------- เมื่อโลกถึงกาลแตกดับ จะแตกดับตั้งแต่นรก โลกมนุษย์ รวมถึงสวรรค์ สัตว์ต่างๆ จะจุติ(ตาย) ไปอยู่ชั้นอาภัสสรพรหม แล้วเริ่มเกิดโลกใหม่ วันเวียนไปอย่างนี้หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ โลกสลาย สวรรค์ล่ม พรหมพินาศ กาลพินาศต้องเกิดกับทุกภพภูมิ ยกเว้น อาภัสสรพรหม และอรูปพรหม www madchima.org/forum/index.php? topic=879.0;wap2 --------- มีหลักฐานพบมีน้ำมากมาย อาจพอใช้อ้างอิงได้ ย้อนอดีตไปมีอายุประมาณ 12,000 ล้านปี (ดูจากกล้องจะเป็นภาพในอดีตเมื่อ 12,000 ล้านปี ปัจจุบันที่ตำแหน่งนั้นอาจจะไม่มีน้ำเหลืออยู่แล้ว) ใกล้เคียงกับอายุเอกภพที่ประมาณ 13,000 ล้านปี นักดาราศาสตร์ค้นพบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในอวกาศ www narit.or.th/index.php? option=com_content&view=article&id=254:water&cat id=1:astronomy-news&Itemid=4 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 20:30:50 จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 16:49:11

ความคิดเห็นที่ 26 #23 พี่จิม ขออนุญาตตอบ ความประพฤตินอกลู่นอกทาง เป็นการตัดสินใจและเป็นความประพฤติส่วนตัว ว่าจะเอาชนะใจตนเองได้มากน้อยเพียงใดจากแนวทางที่ถูกต้องครับ เมื่อมีความแก้กล้าในกำลังใจและความเข้าใจมากขึ้น ก็จะเดินได้ตรงทางมากขึ้น : ) จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 16:53:58

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณครับ คุณMahasati Neo ว่างเรามีนัดปุจฉากันนะครับ ผมชอบแนวสร้างสันติ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 17:40:17

ความคิดเห็นที่ 28 ด้วยความยินดีครับพี่จิม จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 19:57:37

ความคิดเห็นที่ 29 ครับ ขอบคุณครับที่ยอมรับความเป็น สหเทวนิยม ด้วยเหตุผลที่เราเข้าใจตรงกัน จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 20:08:15

ความคิดเห็นที่ 30 คุณโอ่อี๊โอ (oiooo) ผมเข้าใจว่าการสนทนาของคุณกับคุณ laliklalee คงจะจบแล้วนะครับ ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณ คำอธิบายของคุณที่ตอบคำถามผม อย่างตรงไปตรงมา ในเรื่อง "พลังงานจากความว่างเปล่า"  ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ผมขอคุยต่อกับคุณตามหัวข้อกระทู้เรื่อง ที่เกี่ยวกับ "สหเทวนิยม" การเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ รูปปั้น เครื่องราง ของขลัง เทพเจ้า  ไม่มีความสำคัญที่จะใช้ เรียกว่าอะไร?  แต่เท่าที่ผมทราบ ความศรัทธามีอยู่สองอย่าง คือ เทวนิยม และ อเทวนิยม ศาสนาพุทธเท่าที่ทราบแล้ว เป็นศาสนาที่ มีหลักการตามคำสอนของพระพุทธองค์ตามข้อความข้างล่างนี้ และเป็น "อเทวนิยม" คือ ไม่มี... "ความเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ รูปปั้น เครื่องราง ของขลัง เทพเจ้า ต่างๆ ที่ชาวพุทธจำนวนมากรวมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าปลุกเสก มีพิธีกรรม สักการะบูชาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นความเชื่อของศาสนาก่อนหน้าศาสนาพุทธ ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อย" และผมเห็นด้วยกับคำตอบของคุณในเรื่องนี้ เพราะว่าตรงกับคำกล่าวของพระพุทธองค์ดังนี้  Quotation by Siddhãrtha Gautama (Buddha): 1.Do not believe in anything simply because you have heard it. 2.Do not believe in anything simply because it is spoken and rumored by many. 3.Do not believe in anything simply because it is found written in your religious books. 4. Do not believe in anything merely on the authority of your teachers and elders. 5.Do not believe in traditions simply because they have been handed down for many generations. But 6. after observation and analysis, when you find that anything agrees with reason and is conducive to the good and benefit of one and all, then accept it and live up to it."    ซึ่ง คำสอนทั้ง 6 ข้อนี้ตรงกับ คำสอนในศาสนาอิสลามซึ่ง อัลกุรอานได้รับมาหลังจาก คำสอนนี้ประมาณ 1000 กว่าปี  ซึ่งเมื่อสรุป คำสอนทั้ง 6 ข้อ แล้วก็คือ وَلَا تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ ۚ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولَٰئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْئُولًا {36} And follow not that of which you have not the knowledge; surely the hearing and the sight and the heart, all of these, shall be questioned about that. [Shakir 17:36] อย่าเชื่อสิ่งใดที่เราปราศจากความรู้ความเข้าใจ จนกว่าเรา จะเข้าใจ ด้วยการฟัง, ใช้สายตาพิจารณา และใช้สติปัญญาไตร่ตรองจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยเหตุผลแล้วจึงเชื่อและยึดถือปฏิบัติ   แม้กระนั้นมุสลิมส่วนมากก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำสอนในอัลกุรอาน, ไม่ยอมศึกษาและเข้าใจอัลกุรอานด้วยตนเอง อาศัยความคิดเห็นและฟังจากคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องราวการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาและความศรัทธา ซึ่งไม่ต่างจาก พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ ที่ปฏิบัติกันตาม คำอธิบายของคุณคุณโอ่อี๊โอ (oiooo) มีการประดิษฐ์และต่อเติมศาสนา บิดเบือนคำสอน  เชื่อใน ผีสาง, ญิน และการเข้าทรง, การไล่ผี   ซึ่งไม่ต่างกันเลย กับในสังคมมุสลิมโดยทั่วๆไป   ซึ่งมีการสวดขอพรผ่านคนตาย หรือ ที่เรียกว่านักบุญ,  ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ในชีวิตของเรา ก็คือ ศาลเจ้าโต๊ะตะเกี่ย ที่ จังหวัดอยุทธยา ซึ่งถ้ามุสลิมหยุดการกระทำ นอกลู่นอกทางเสียแต่เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว มันก็คงเป็น หลุมฝังศพธรรมดา, ศาลเจ้าพ่อโต๊ะแซะที่จังหวัดภูเก็ต, การตีอกชกตัวของมุสลิมชีอะต์, การจูบกอดร่ำไห้ต่อหินดำที่เมกกะ,ปาเสาหิน,กำแพงหินไล่ผี ในพิธีฮัจจฺ, การโกนผมไฟและฆ่าสัตว์พลีในพิธีโกนผมไฟ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขัดต่อการศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียวตามหลักการของอิสลามทั้งนั้น ไม่ว่าจะอธิบายแก้ตัวในรูปแบบใดก็ตาม   การเปรียบเทียบนี้ แสดงให้เห็นว่า การกระทำต่อเติมศาสนาไปจากหลักสำคัญของศาสนาระหว่าง ศาสนาพุทตามที่คุณโอ่อี๊โอ (oiooo) อธิบายนั้น ไม่ต่างไปจากการกระทำของมุสลิมส่วนใหญ่ในศาสนาอิสลาม  ถ้าการกระทำดังกล่าวเป็นสัญญาณบอกของการเสื่อม ของพุทธศาสนาแล้ว การกระทำดังกล่าวของมุสลิมส่วนใหญ่ ก็เป็นเครื่องแสดงของการเสื่อมของอิสลามเช่นกัน ที่การปฏิบัติของมุสลิมส่วนใหญ่ห่างไกลไปจากหลักการที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานมากขึ้นทุกๆวัน  ด้วยเหตุนี้ผมจึงเขียนเตือนอยู่เสมอว่า ก่อนที่มุสลิมจะไปตำหนิเฉพาะส่วนหนึ่ง, กลุ่มหนึ่ง หรือนิกายหนึ่งนิกายใดของศาสนาอื่นๆ   นั้น มุสลิมควรจะพิจารณา การปฏิบัติของมุสลิมในสังคมมุสลิมโดยทั่วๆไปเสียก่อน ดูการปฺบัติของนิกาย และมัสหับต่างๆในสังคม ของมุสลิม ว่า มีการกระทำที่คล้ายคลึงกับ ศาสนาอื่นหรือไม่ ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ มุสลิมทำออกนอกลู่นอกทางของอิสลาม  ด้วยเหตุนี้ผมจึงจำเป็นต้องชี้ให้ทั้งสมาชิกมุสลิมและพุทธสมาชิกเข้าใจ ว่า หลักการสอนของศาสนานั้นดีทุกๆศาสนาตามความศรัทธาของผู้ศรัทธาในศาสนานั้นๆ, แต่ผู้ปฏิบัติต่างหากที่นำศาสนามาต่อเติม นำเอาความงมงายเข้ามายึดถือแทน และไม่ยอมที่จะศึกษาหาความแท้จริงของหลักการศาสนาของตน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 22:17:56

ความคิดเห็นที่ 31 มุสลิมกลุ่มที่หลงทาง ก็เพราะทำตามๆกันมา ตามเพียงบรรพบุรุษตนเองเล่าว่า  อาจารย์ตนเองสอนว่า  หรือ ทึกทักตามความเข้าใจที่แกนๆของตนเองเท่านั้น ประหนึ่งถ่ายสำเนาก๊อปกันไป ก๊อปกันมา โดยไม่ได้รู้จักเปรียบเทียบกับต้นฉบับงัยครับ  อิสลามที่ไม่เสื่อม เพราะยังมีต้นฉบับทั้ง "กุรอาน" และ "ฮาดีษ" ที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความดั้งเดิม โดยไม่เคยถูกสังคายนา หรือ ต่อเติมแต่อย่างใด   ที่เสื่อมจึงเป็นเพียงมุสลิมบางกลุ่มเพียงเท่านั้น  ที่ไม่รู้ตนเองเสียที จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 22:37:09

ความคิดเห็นที่ 32 คุณlaliklalee  อิสลามที่ไม่เสื่อม เพราะยังมีต้นฉบับทั้ง "กุรอาน" ถูกต้องครับ  ผมไม่ได้บอกว่าอิสลามเสื่อม "อ่านให้เข้าใจ"  มุสลิมเสื่อมต่าง  หาก  ที่กล่าวนั้นเป็นการเปรียบเทียบ  และผมหมายถึงสังคม  มุสลิมทั่โลก ไม่ได้จำกัดอยู่ใน ประเทศไทย, เพื่อเปรียบเทียบ  ให้เห็นอย่างยุติธรรม ในการคุยกับผู้ต่างศาสนา ต้องให้และ  รับในส่วนที่ถูกต้องของเขาด้วยไม่ว่าศาสนาใดๆก็ตาม  มีหลักจรรยาธรรมและคุณธรรมที่ดีในศาสนาอิสลามที่ตรงกับ  ในศาสนาอื่นๆ ซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้  และในทำนองเดียวกันใน  แต่ละศาสนาก็มีทั้งคนดีคนเลว ผมเขียนไว้เพื่อให้สมาชิกได้เห็น ความแตกต่างระหว่าง หลักการของศาสนากับผู้ปฏิบัตในศาสนา นั้นๆ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 55 22:53:01 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 22:52:27

ความคิดเห็นที่ 33 ก็ดีแล้วครับที่คุณแมทท์ ไม่เข้าใจไปตามที่ตนเองพูดออกมา "ถ้าการกระทำดังกล่าวเป็นสัญญาณบอกของการเสื่อม ของพุทธศาสนาแล้ว การกระทำดังกล่าวของมุสลิมส่วนใหญ่ ก็เป็นเครื่องแสดงของการเสื่อมของอิสลามเช่นกัน" เพราะผม และมุสลิมหลายคนก็เคยชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มุสลิมมีที่กลับไปสู่ของเดิมเช่นไร เพราะเหตุใด คงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก ณ ที่นี้ จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 23:00:01

ความคิดเห็นที่ 34 คุณlaliklalee แล้วแต่คุณจะเข้าใจก็แล้วกันนะครับ เพราะในกระทู้นี้ก็มีกล่าวหลาย ครั้งเกี่ยวกับความเข้าใจที่ต่างกันแม้แต่คนในศาสนาเดียวกันก็ตาม ไม่เช่นนั้น คงจะไม่เกิดนิกายต่างๆขึ้นมาได้ ถ้าทุกคนเข้าใจเหมือนกัน  ในศาสนาอิสลามมีตัวอย่างให้มุสลิมเห็นอยู่มากในอดีตและปัจจุบัน  และผมเห็นว่าเป็นการดีถ้ามุสลิมเราใช้เหตุผลเข้าคุยกัน อย่างที่คุณ  และผมทำอยู่ในขณะนี้ โดยที่นับถือในความคิดของกันและกัน ซึ่งจะ  เกิดประโยชน์ ในการมองดูตัวเองทั้งสองฝ่าย ว่า เราห่างไกลไปจาก  หลักความจริงมากน้อยเท่าใด จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 18 มิ.ย. 55 23:24:01

ความคิดเห็นที่ 35 #23 ------------------------------------------ ท่าน โอ่อี๊โอ (oiooo) ผมต้องขออนุญาต เพราะปกติผมจะไม่ยุ่งในเรื่องคำสอนหรือตัวบททางศาสนาของผู้อื่นใด และต้องขออภัยด้วย นะครับ ตามวัด ต่างจังหวัด ผมก็ยังเห็นพระภิกษุ ที่ยังเชื่อเรื่องผีสาง ผีปู่ย่าตายายกัน อยู่เป็นจำนวนมาก ตามวัดหลายวัดบางวัดก้มีรูปปั้นพญาครุฑ บ้างละ ตามความเชื่อของพรหามณ์ ฮินดุ อยู่ก็มาก พระภิกษุหลายรูปเมื่อ ลาสิกขาบทมา ไม่ทันข้ามวัน ก็ดื่มเหล้า ก่อนดื่มก็เท เหล้าลงพื้นดินสัดนิด หน่อยก่อนดื่ม บอกว่าให้ผีปู่่า ตายายดื่ม ด้วยประการดังนี้จึงทำให้เกิดการสับสน ว่า จริงแล้วพุทธ แท้ๆบริสุทธ์นั้น ยืนตรงจุดใด ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่ผมถาม และเมือได้คำตอบ จะรับได้หรือไม่ผมจะไม่ถามต่อ เพื่อประดับความรู้ไว้อีก 1 ข้อมุลครับ ------------------------------------- เอ... ทั้งชีวิตผมไปมาหลายวัดแล้วนะครับ ถึงจะเห็นรูปปั้น อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ครุฑในวัดเต็มไปหมด ก็ยังไม่เคยเห็นวัดไหนที่ให้พระภิกษุไหว้เทพเทวาเหล่านั้นนะครับ รูปปั้นพญาครุฑ พญานาคมีหลายวัดเต็มไปหมด แต่ว่านั่นเป็นความเชื่อของพุทธเหมือนกันครับ ในคัมภีร์มีคำสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องครุฑ เรื่องนาคนะครับ มีพญานาคปลอมตัวมาบวชเป็นภิกษุนับถือพุทธศาสนาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่เมื่อหลงลืมสติ งูบริวารเืลื้อยเข้ามาเต็มวัดเลย พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งให้พญานาคลาสิขาเสีย พุทธเราจึงเชื่อว่ามีพญานาคอยู่จริง มีครุฑอยู่จริงๆ ทำให้บางคนจึงเกิดความเลื่อมใส นับถือที่พญานาค อุตส่าห์ปลอมตัวมาบวช เคร่งครัดในศีล ในวินัย เมื่อเลื่อมใส นับถือแล้วจึงกราบไหว้บูชา ***** แต่ก็ไม่ได้กราบไหว้บูชาในฐานะสูงสุด เพราะสรณะสูงสุดคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเหนือสิ่งอื่นใดในขณะนี้ยังไม่มีภิกษุรูปไหน หรือหมู่ไหนไหว้รูปปั้นเหล่านั้น แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ครับ เพราะพุทธศาสนาเสื่อมลงเรื่อยๆ******* เรื่องของภิกษุที่ยังมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) นั้น มีอยู่มากเหลือเกิน สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือภิกษุบวชเข้ามาแล้วไม่ได้ศึกษา บางคนบวชเพราะพ่อแม่บังคับให้บวช ซื้อทีวีให้ลูกหลานดูในกุฏิก็มี ส่งผลให้พุทธเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ความเชื่อที่ว่าเทเหล้าลงพื้นดินให้ผีปู่ย่าตายายดื่มนั้นไม่มีในคำสั่งสอนครับ ถ้าถามถึงพุทธบริสุทธิ์นั้น จะหมายถึงพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีล สำรวมในปาฏิโมกข์ (วินัยสงฆ์) ภิกษุที่มีศีลคืออย่างไร ศีล 3 ประการ  1 จูฬศีล 2 มัชฌิมศีล 3 มหาศีล 1. จูฬศีล เว้นขาดจากการกระทำ 26 อย่างคือ ๑)งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ไม่ใช้อาวุธ มีความละอาย เอ็นดู ทั้งเกื้อกูลสรรพสัตว์ ๒)งดเว้นจากการขโมย รับเอาแต่ของที่เจ้าของให้เท่านั้น ๓)งดเว้นจากการเสพเมถุนธรรม (การร่วมเพศ) ประพฤติพรหมจรรย์ ๔)งดเว้นจากการพูดเท็จ ไม่หลอกลวงชาวโลก ๕)งดเว้นจากการพูดส่อเสียดทำให้แตกแยก พูดแต่ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี ๖)งดเว้นจากการพูดคำหยาบ พูดแต่คำไม่มีโทษไพเราะน่ารัก ๗)งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไร้ค่า พูดแต่คำสัตย์คำจริงถูกเวลา มีประโยชน์ ๘)งดเว้นจากการพรากทำลายพีชคามและภูตคาม คือพืชพรรณต่าง ๆ ๙)งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ๑๐)งดเว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรีและดูมหรสพ ๑๑) งดเว้นจากการทัดทรง ประดับดอกไม้ และตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับต่างๆ ๑๒)งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ ๑๓)งดเว้นจากการรับเงิน รับทอง ๑๔)งดเว้นจากการรับธัญญาหารดิบ ๑๕)งดเว้นจากการรับเนื้อดิบ ๑๖)งดเว้นจากการรับเลี้ยงสตรีและเด็กหญิง ๑๗)งดเว้นจากการรับทาส ชาย หญิง ๑๘)งดเว้นจากการรับแพะ และแกะ ๑๙)งดเว้นจากการรับไก่ และสุกร ๒๐)งดเว้นจากการรับช้าง โค ม้า และลา ๒๑)งดเว้นจากการรับเรือกสวน ไร่นา และที่ดิน ๒๒)งดเว้นจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและสื่อสาร ๒๓)งดเว้นจากการซื้อขาย ๒๔)งดเว้นจากการโกงด้วยเครื่องมือ ชั่ง ตวง วัด ๒๕)งดเว้นจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง ๒๖)งดเว้นจากการตัดทำลายอวัยวะ การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้น การขู่กรรโชก 2. มัชฌิมศีล เว้นขาดจากการกระทำ 10 อย่างคือ ๑) งดเว้นจากการพรากทำลายพีชคามและภูตคาม คือพืชพรรณต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากเหง้า ลำต้น ตา ยอด หรือเมล็ด ๒)งดเว้นจากการบริโภคของที่สะสมไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำ ผ้า ยาน ที่นอน เครื่องประทินผิว ของหอม และเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ๓)งดเว้นจากการดูการเล่นทุกอย่าง เช่น การฟ้อนรำ ขับร้อง ฯลฯ ตลอดจนการตรวจพลสวนสนาม การจัดกระบวนทัพ การตรวจกองทัพ ๔)งดเว้นจากการพนัน เครื่องเล่น และของเล่นต่างๆ ๕)งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงชนิดต่างๆ๑ ที.สี. แปล. ฉบับ มจร. ๒๕๓๙, ๗/๓-๒๗/๑๐ ๖)งดเว้นจากการประดับ และตบแต่งร่างกายทุกชนิด ๗) งดเว้นจากเดรัจฉานกถา คือเรื่องราวที่ขัดขวางทางสวรรค์นิพพาน เช่นเรื่องการรบ เรื่องการเมือง ฯลฯ ๘)งดเว้นจากการทุ่มเถียงแก่งแย่งอันเป็นเหตุให้เกิดวิวาทบาดหมาง ๙)งดเว้นจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทน และสื่อสาร แก่คนทุกระดับ ๑๐)งดเว้นจากการพูดหลอกลวง และเลียบเคียง น่าสังเกตว่า มัชฌิมศีลนี้ขยายความจากจูฬศีลบางข้อ เช่น มัชฌิมศีล ข้อ ๑ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๘ มัชฌิมศีล ข้อ ๓ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๐ มัชฌิมศีล ข้อ ๕ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๒ มัชฌิมศีล ข้อ ๖ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๑๑ มัชฌิมศีล ข้อ ๙ ขยายความจาก จูฬศีล ข้อ ๒๒ 3. มหาศีล  เว้นขาดจากการกระทำ 6 อย่างคือ ๑)วิชาทำนายต่างๆ และพิธีกรรมหลากหลายชนิด ๒)วิชาทำนายลักษณะสิ่งของศัตราวุธ และสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น ๓)วิชาดูฤกษ์ยามต่าง ๆ ๔)การพยากรณ์จันทรคราส สุริยคราส ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ฯลฯ ๕)การพยากรณ์ฝนฟ้า ภิกษาหาร เป็นต้น ๖)พิธีบนบานแก้บน ไล่ผี ตั้งศาลพระภูมิ ฯลฯ เภสัชกรรม และเวชกรรมต่างๆ สำรวมในปาฏิโมกข์ (วินัยสงฆ์) เป็นอย่างไร ปาราชิก 4 (เมื่อกระทำ 4 อย่างนี้แล้วจะถือว่าพ่ายแพ้ (Perish)) ปาราชิก  4   1.   เสพเมถุน   2.   ลักของเขา  3.   ฆ่ามนุษย์  4.   อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน สังฆาทิเสส ๕. ห้ามทำน้ำอสุจิ ให้เคลื่อนด้วยความจงใจ (ยกเว้นฝัน) ๖ . ห้ามถูกต้องเคล้าคลึงกายหญิงด้วยความจงใจ ๗ . ห้ามพูดสอนความพูดพาดพิงถึงทวารหนักทวารเบาแก่สตรี ๘. ห้ามพูดล่อหญิงให้บำเรอตนด้วยเมถุนธรรม ๙. ห้ามเป็นพ่อสื่อให้คนแต่งงานกัน ๑๐.ภิกษุขอให้สร้างกุฎิแก่ตนต้องมีขนาดกว้าง ๗ คืบยาว ๑๒ คืบด้วยคืบของพระพุทธเจ้า ๑๑.ห้ามสร้างวิหารใหญ่โดยสงฆ์มิได้กำหนดที่ ๑๒.ห้ามโจทอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ๑๓.ห้ามอ้างเลสโจทอาบัติปาราชิก ๑๔.ทำสังฆ์ให้แตกกัน(สงฆเภท) ๑๕.ห้ามเป็นพรรคพวกของผู้ทำสงฆ์ให้แตกกัน ๑๖.ห้ามเป็นคนว่ายากสอนยาก ๑๗.ห้ามเป็นผู้มีความประพฤติเลวทรามและประจบ คฤหัสถ์อนิยตะ ๑๘. ห้ามนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง(อาบัติ ปาราชิก, สงฆาทิเสส,หรือปาจิตตีย์ ) ๑๙ ห้ามนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง (อาบัติ สังฆาทิเสส , หรือปาจิตตีย์นิสสัคคีย์ ๒๐. ห้ามเก็บจีวรเกินจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน (ยกเว้นทำเป็น สองเจ้าของ) ๒๑.ห้ามอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้คืนหนึ่ง(ยกเว้น ภิกษุ(ได้รับสมมติ) ๒๒.ห้ามเก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกิน ๑ เดือน(ยกเว้นทำเป็นสองเจ้าของ) ๒๓.ห้ามใช้นางภิกษุณีชักจีวรเก่า(จีวรที่ใช้แล้ว) ๒๔.ห้ามรับจีวรจากมือของภิกษุณี ๒๕.ห้ามขอจีวรต่อคฤหัสถ์ที่มิใช่ญาติ(ยกเว้นขอต่อคนปวารณา) ๒๖.ห้ามรับจีวรเกินกำหนดเมื่อจีวรถูกชิงหรือ หายไป ๒๗.ห้ามพูดให้เขาซื้อจีวรที่ดีกว่าเขากำหนดไว้เดิมถวาย ๒๘.ห้ามไปพูดให้เขารวมกันซื้อจีวรที่ดีถวาย ๒๙.ห้ามทวงจีวรเอาแก่คนที่รับฝากผู้อื่นเพื่อซื้อ จีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง ๓๐.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งพรมเจือด้วยไหม ๓๑.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม(ขนสัตว์) ดำล้วน ๓๒.ห้ามใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน๔ส่วนเมื่อหล่อเครื่องปูนั่ง ๓๓.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งให้ตัดของเก่าปนลงใน ของใหม่ ๓๔.ห้ามการทำเครื่องปูนั่งให้ตัดของเก่าปนลงในของใหม่ ๓๕.ห้ามนำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ ๓๖.ห้ามใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติทำการซักย้อมซึ่งขนเจียม ๓๗.ห้ามรับทองเงิน( ชาตะ รูปรชตะ) ๓๘.ห้ามทำการซื้อขายของด้วยเงินทอง ๓๙.ห้ามซื้อขายโดยใช้ของแลก ๔๐.ห้ามเก็บบาตรเกิน ๑ ลูกไว้เกิน ๓๐ วัน ๔๑.ห้ามขอบาตรเมื่อบาตรเป็นแผลงไม่เกิน ๕ แห่ง ๔๒.ห้ามเก็บเภสัช ๕(เนยใส, เนยข้น,น้ำมัน, น้ำผึ้ง ,น้ำอ้อย)เกิน ๗ วัน ๔๓.ห้ามแสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนเกินกำหนด ๔๔.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วห้ามชิงคืนในภายหลัง ๔๕.ห้ามขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร ๔๖.ห้ามไปกำหนดให้ช่างหูกทอจีวรให้ดีขึ้นเพื่อตน (ยกเว้นขอต่อคนปวารณา) ๔๗.ห้ามเก็บผ้าจำนำพรรษาไว้เกินกำหนด ๔๘.ห้ามภิกษุอยู่ป่าเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน (ยกเว้นภิกษุได้รับสมมุติ) ๔๙.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อตน ปาจิตตีย์ ๕๐.ห้ามพูดปด(มุสาวาท) ๕๑.ห้ามด่า(ผรุสวาท) ๕๒.ห้ามพูดส่อเสียด(ปิสุณาวาท) ๕๓.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ เช่นภิกษุณีสามเณรเป็นต้น)ในขณะสอน) ๕๔.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๓ คืน ๕๕.ห้ามนอนร่วมกับหญิง ๕๖ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิงเกิน๖คำ(ยกเว้นเมื่อมีผู้ชายที่รู้เรียงสาอยู่ด้วย) ๕๗.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ๕๘.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน ๕๙.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด ๖๐.ห้ามทำลายต้นไม้ ๖๑.ห้ามพูดไฉไลหรือทำให้ยุ่งยากเมื่อถูกสอบสวน ๖๒.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์ไว้กลางแจ้ง ๖๓.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง ๖๔.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ไม่เก็บงำ ๖๕.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อนเพื่อทำให้ ภิกษุนั้นลุกหนีไป ๖๖.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์ เพราะ ขัดใจ(ยกเว้นภิกษุอลัชชี) ๖๗.ห้ามนั่งนอนบนเตียงหรือตั่งโดยแรงที่อยู่ชั้นบน ซึ่งมีผู้นอนอยู่ชั้นล่าง(เป็นเตียง ๒ ชั้น) ๖๘.ห้ามโบกฉาบวิหารใหญ่เกิน ๓ ชั้น ๖๙.ห้ามเอาน้ำมีตัวสัตว์รดหญ้าหรือดิน ๗๐.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมายจากสงฆ์ ๗๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว ๗๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่ ๗๓.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ๗๔.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ แต่ให้แลก เปลี่ยนจีวรกันได้ ๗๕.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๗๖.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี เว้นไว้แต่หนทาง ที่จะไปมีอันตราย ๗๗.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน เว้นไว้แต่โดยสารหรือข้ามฟาก ๗๘.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย ๗๙.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับนางภิกษุณี ๘๐.ห้ามฉันอาหารในที่ทานเกิน ๑ มื้อ(ยกเว้นแต่ป่วย) ๘๑.ห้ามขออาหารชาวบ้านเพื่อมาฉันรวมมกลุ่มกับพวกของตน ๘๒.ห้ามนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น ๘๓.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร ๘๔.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว ๘๕.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันอีกเพื่อจับผิด ๘๖.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล(วิกาลโภชนา) ๘๗.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ๘๘.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง(ยกเว้นขอต่อผู้ปวารณา) ๘๙.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน(ยกเว้นน้ำ) ๙๐.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่น ๙๑.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ ๙๒.ห้ามเข้าไปนั่งกีดขวางในห้องนอนของหญิงกับ ชายที่มีราคะ(เข้าไปขัดจังหวะชายหญิง) ๙๓.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับหญิง ๙๔.ห้ามนั่งในที่ลับหูสองต่อสองกับหญิง ๙๕.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ๙๖.ห้ามขอปัจจัยเภสัชเกินกำหนดชนิดและเวลาที่เขาปวารณาไว้ ๙๗..ห้ามไปดูกองทัพที่ยกออกไป ๙๘.ห้ามภิกษุมีกิจจำเป็นพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน ๙๙.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้นเมื่อมีกิจจำเป็นไปในกองทัพ ๑๐๐.ห้ามดื่มสุราเมรัย รวมของมึนเมาต่างๆ ๑๐๑.ห้ามจี้ภิกษุให้หัวเราะ ๑๐๒ห้ามว่ายน้ำเล่น ๑๐๓.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ขืนประพฤติอนาจารอยู่ ๑๐๔.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว(หรือตกใจ) ๑๐๕.ห้ามก่อกองไฟเพื่อผิง(ยกเว้นผิงถ่านไฟที่ปราศจากเปลวไฟ ) ๑๐๖.ห้ามอาบน้ำบ่อย เว้นแต่มีเหตุ ๑๐๗.ห้ามทำเครื่องหมายจีวรที่ได้มาใหม่ ๑๐๘.วิกัปจีวรไว้แล้วจะใช้ถอนก่อน ๑๐๙.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น ๑๑๐.ห้ามฆ่าสัตว์ ๑๑๑.ห้ามดื่มน้ำมีตัวสัตว์ ๑๑๒.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ตัดสินเป็นธรรมแล้ว ๑๑๓.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบ(อาบัติปาราชิก,อาบัติสังฆาทิเสส)ของภิกษุอื่น ๑๑๔.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี ๑๑๕.ห้ามเดินทางร่วมกับโจรหรือพ่อค้าผู้หนีภาษี ๑๑๖.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน ๑๑๗.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย ๑๑๘.ห้ามคบหากินอยู่ร่วมกับภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ๑๑๙.ห้ามคบหาให้อุปัฏฐากกินอยู่ร่วมกับสามเณร ผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ๑๒๐.ห้ามพูดเลี่ยงเพื่อหวังจะไม่ศึกษาในสิขาบท ๑๒๑.ห้ามกล่าวย่ำยีดูแคลนพระวินัย ๑๒๒.ห้ามพูดแก้ตัวว่าเพิ่งรู้ว่ามีในปาติโมกข์ ๑๒๓.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ ๑๒๔.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ ๑๒๕.ห้ามโจทอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑๒๖.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น ๑๒๗.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน ๑๒๘.มอบฉันทะให้ทำการแทนแล้วห้ามพูดติเตียน ๑๒๙.ในที่ประชุมสงฆ์ตั้งญัตติแล้วกำลังทำการวินิจฉัยห้ามลุกไปโดยไม่ให้ความยินยอมต่อสงฆ์(เว้นไปสุขา) ๑๓๐.ร่วมกับสงฆ์ห้จีวรแก่ภิกษุแล้วห้ามติเตียนภายหลัง ๑๓๑.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล ๑๓๒.ห้ามเข้าไปในพระราชฐานชั้นในโดยไม่ได้ รับราชานุญาต ๑๓๓.ห้ามเก็บของมีค่า(รัตนะ)ที่ตกอยู่(เว้นตกในวัดเก็บไว้คืน) ๑๓๔.ห้ามเข้าบ้านยามวิกาลต้องลาภิกษุก่อน(เว้นมีธุระด่วน) ๑๓๕.ห้ามทำหล่อมเข็มด้วย กระดูก,งา,เขาสัตว์ ๑๓๖.ห้ามใช้เตียงตั่งมีเท้าสูงกว่า ๘ นิ้ว ด้วยนิ้วสุคต ๑๓๗.ห้ามใช้เตียงตั่งหุ้มด้วยนุ่น ๑๓๘.ห้ามใช้ผ้าปูนั่งมีขนาดเกินกว่าขนาดยาว ๒ คืบกว้าง ๑ คืบ ชาย ๑ คืบด้วยคืบสุคต ๑๓๙.ห้ามใช้ผ้าปิดฝีมีขนาดเกินกว่าขนาดยาว ๔ คืบ กว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต ๑๔๐.ห้ามใช้ผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินกว่าขนาด ยาว ๖คืบ กว้าง ๒ คืบด้วยคืบสุคต ๑๔๑.ห้ามใช้จีวรมีขนาดเท่ากับขนาดยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คืบ ด้วยคืบสุคต ปาฎิเทสนียะ ๑๔๒.ห้ามรับของเคี้ยวของฉันจากมือนางภิกษุณี ๑๔๓.ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร ๑๔๔.ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ(ตระกูลที่ยากจน)นอกจากป่วยหรือเขานิมนต์แล้ว ๑๔๕..ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้บอกไว้ก่อนเมื่ออยู่ป่า ๑๕๙.เราจักไม่พูดเสียงดัง นั่งในบ้าน ๑๖๐.เราจักไม่เดินโคลงกาย ไปในบ้าน ๑๖๑.เราจักไม่นั่งโคลงกายในบ้าน ๑๖๒.เราจักไม่ไกวแขน ไปในบ้าน ๑๖๓.เราจักไม่ไกวแขน นั่งในบ้าน ๑๖๔.เราจักไม่สั่นศรีษะ ไปในบ้าน ๑๖๕.เราจักไม่สั่นศีรษะ นั่งในบ้าน ๑๖๖.เราจักไม่เอามือค้ำกาย ไปในบ้าน(เดินเท้าเอว) ๑๖๗.เราจักไม่เอามือค้ำกาย นั่งในบ้าน ๑๖๘.เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไปในบ้าน ๑๖๙.เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ นั่งในบ้าน ๑๗๐.เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในเท้า ๑๗๑.เราจักไม่นั่งรัดเข่า ในบ้าน(กอดเข่า) ๑๗๒เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ ๑๗๓.เราจักดูแลแต่ในบาตร รับบิณฑบาต ๑๗๔.เราจักรับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่รับมาก) ๑๔๖.เราจักนุ่งให้เป็นปริมณฑล(เบื้องล่างปิดเข่า เบื้องบนปิดสะดือไม่ห้อยไปข้างหน้าข้างหลัง) ๑๔๗.เราจักห่มให้เป็นปริมณฑล(ให้ชายผ้าเสมอกัน ไม่ห้อยไปข้างหน้าข้างหลัง) ๑๔๘.เราจักปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน ๑๔๙.เราจักปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๕๐.เราจักสำรวมด้วยดีไปในบ้าน (คือไม่คะนองมือคะนองเท้าหรือค้นหาอะไร) ๑๕๑.เราจักสำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน ๑๕๒.เราจักมีตาทอดลงไปในบ้าน(อินทรียสังวร) ๑๕๓.เราจักมีตาทอดลง นั่งในบ้าน(เพื่อป้องกันกิเลส) ๑๕๔.เราจักไม่เวิกผ้าไปในบ้าน ๑๕๕.เราจักไม่เวิกผ้า นั่งในบ้าน ๑๕๖.เราจักไม่หัวเราะดัง ไปในบ้าน ๑๕๗.เราจักไม่หัวเราะดัง นั่งในบ้าน ๑๕๘.เราจักไม่พูดเสียงดัง ไปในบ้าน ๑๗๕.เราจักรับบิณฑบาตพอเสมอขอบปากบาตร ๑๗๖.เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ ไม่รังเกียจ ๑๗๗.เราจักดูแต่ในบาตร เวลาฉัน(ถ้าฉันในบาตร) ๑๗๘.เราจักฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ(ไม่ขุดให้แหว่ง). ๑๗๙.เราจักฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่ฉันกับมากเกินไป) ๑๘๐.เราจักฉันบิณฑบาต ไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป ๑๘๑.เราจักไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยจะได้มาก ๑๘๒.เราไม่เจ็บไข้ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุกเพื่อ ประโยชน์แก่ตนมาฉัน ๑๘๓.เราจักไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะเพ่งโทษ ๑๘๔.เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป ๑๘๕.เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม ๑๘๖.เราจักไม่อ้าปากในเมื่อคำข้าวยังไม่มาถึง(อ้างค้าง) ๑๘๗.เราจักไม่เอานิ้วมือทั้งหมดใส่ปากในขณะฉัน ๑๘๘.เราจักไม่พูดทั้งที่ปากยังมีคำข้าว ๑๘๙.เราจักไม่ฉันโยนคำข้าวเข้าปาก ๑๙๐.เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว ๑๙๑.เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ๑๙๒.เราจักไม่ฉันพลางสลัดมือพลาง ๑๙๓.เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว(ทำข้าวเรี่ยราด) ๑๙๔.เราจักไม่ฉันแลบลิ้น ๑๙๕.เราจักไม่ฉันดังจับๆ(ไม่สำรวม) ๑๙๖.เราจักไม่ฉันดังซูดๆ(ไม่สำรวม) ๑๙๗.เราจักไม่ฉันเลียมือ ๑๙๘.เราจักไม่ฉันขอดบาตร(เว้นเหลือน้อยต้องขอด) ๑๙๙.เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก ๒๐๐.เราจักไม่เอามือเปื้อนจักภาชนะน้ำ ๒๐๑.เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงใน ละแวกบ้าน(ดูสกปรกเป็นรังเกียจ) ๒๐๒.เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ ๒๐๓.เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มี ไม้พลองในมือ ๒๑๘.เราไม่เป็นไข้จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ๒๑๙.เราไม่เป็นไข้จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือ บ้วนน้ำลายลงในของเขียว(พืชต้นไม้) ๒๒๐.เราไม่เป็นไข้จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือ บ้วนน้ำลายลงในน้ำ อธิกาณะ ๒๒๑.การระงับอธิกรณ์ในที่พร้อมหน้า(บุคคล,วัตถุ,ธรรม) ๒๒๒.การระงับอธิกรณ์ด้วยยกให้ว่าพระอรหันต์ เป็นผู้มีสติ) ๒๒๓.การระงับอธิกรณ์ด้วยยกประโยชน์ให้ ในขณะเป็นบ้า ๒๒๔.การระงับอธิกรณ์ด้วยถือตามคำรับของจำเลย ๒๒๕.การระงับอธิกรณ์ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ ๒๒๖.การระงับอธิกรณ์ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด ๒๒๗.การระงับอธิกรณ์ด้วยให้ประนีประนอมหรือ เลิกแล้วกันไป จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 01:58:43

ความคิดเห็นที่ 36 พุทธบริสุทธิ์ที่หายากในปัจจุบันนี้ แต่ประสบการณ์ตรงผมก็ยังพบเห็นอยู่ บุคคลที่เบื่อหน่ายในโลก ในกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จึงออกละทิ้งทรัพย์สมบัติน้อยใหญ่ ละทิ้งเหย้าเรือน มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วจึงออกบวช ใช้สอยเพียงผ้า 3 ผืน มีบาตรและจีวรเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในวินัยสงฆ์ (ปาฏิโมกข์) เช้าตื่นมาออกเดินบิณฑบาตร ได้อาหารมาอย่างดีอย่างปราณีตก็ทานอย่างดีอย่างปราณีต ได้อาหารมาอย่างเลวอย่างหยาบ ก็ทานอาหารอย่างเลวอย่างหยาบนั้น ทานอาหารวันละ 1 ครั้งก่อนเที่ยง เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ภิกษุบางรูปยังเพิ่มดีกรีกำจัดกิเลสเพิ่มเติมอีก เช่นสำเร็จการไม่นอน (คือหลังไม่แตะพื้น นั่งหลับเอา) เรียกเนสัชชิกังธุดงค์ ผมเคยสัมผัสภิกษุถือเนสัชชิกังธุดงค์ตลอด 3 เดือน (ช่วงเข้าพรรษา) แล้วพระภิกษุที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบล่ะ ให้ถือว่านอกรีตเลยหรือ?? คือถึงอย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนไว้ว่า "ถ้าภิกษุยังไม่ปาราชิก ยังให้ถือว่าเป็นภิกษุอยู่" ผมจึงกราบไหว้ภิกษุทุกรูปเหมือนกันหมด แค่รับรู้ว่าถึงพุทธจะเริ่มเสื่อมไปตามพุทธทำนายแต่โชคดีที่เรายังมีพระไตรปิฎกให้ศึกษา มีมรรค 8 ให้เจริญรอยตาม วัดในความเป็นพุทธบริสุทธิ์นั้น เป็นวัดที่ชาวบ้านเขาสร้างถวาย จะใหญ่โตสวยงาม หรือแค่พอซุกหัวนอนได้ภิกษุเมื่อรับแล้วก็ต้องใช้อาศัยอยู่ไปเพราะชาวบ้านเขาสร้างถวาย ภิกษุต้องเป็นผู้เลี้ยงง่าย แต่ในปัจจุบันชาวบ้านจะนิยมถวายที่ดินให้พระภิกษุ แ้ล้วพระภิกษุก็จะเรี่ยไรทอดผ้าป่าเพื่อหาเงินมาสร้างวัดมันผิดตั้งแต่รับเงินแล้ว ยังเอาเงินมาซื้อขายสร้างวัดอีกยิ่งผิดใหญ่ เสื่อมตั้งแต่สร้างแล้วครับ แต่ก็ยังมีวัดที่ยังรักษาพุทธเอาไว้ ภิกษุจะไม่ยุ่งเรื่องเงินทอง แต่ชาวบ้าน(ทายก) จะเป็นผู้จัดการเรื่องเงินทอง เรื่องก่อสร้างเกือบทั้งหมด ความเป็นพุทธศาสนานั้นแท้จริงไม่มีเทพเทวาให้ยึดเหนี่ยว ยึดมั่นเลยแม้แต่โบสถ์ ท่านสอนให้ใช้ก้อนหิน ก้อนดิน หรือกิ่งไม้มาทำเป็นเสมา แล้วสวดสมมติว่าเป็นเขตโบสถ์ด้วยซ้ำครับ เพราะอะไร? เพราะท่านสอนให้ละความยึดมั่นถือมั่นกับอะไรๆในโลก สิ่งทั้งปวงในโลกเมื่อยึดมั่นถือมั่นแล้วล้วนนำความทุกข์มาให้ ท่านแสดงธรรมอันเป็นอเนกโดยปริยายเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ยึดมั่น ไม่ใช่เพื่อความถือมั่น จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 02:22:19

ความคิดเห็นที่ 37 #25 ถ้าชอบเรื่องพวกนั้น ท่านสอนอีกด้วยนะครับว่า โลกเราเนี่ยะตอนแรกปกคลุมไปด้วยน้ำ แล้วเวลาต่อมาแผ่นดินมันงอกออกมาจากใต้น้ำ แต่เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แค่รู้แล้วผ่านไป ผมสนใจเรื่องอริยสัจ 4, มรรค 8, ไตรลักษณ์, อุปปาทานขันธ์มากกว่า จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 02:27:16

ความคิดเห็นที่ 38 #30 ขนาดใช้พระไตรปิฎกเถรวาทฉบับเดียวกันแท้ๆครับ ยังไปได้ 2 แบบ คิดดูแล้วกัน แบบที่ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ เขาก็ว่าของเขาไป มีเหตุผล มีตรรกะสารพัดฯ อ้างพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันก็ได้ด้วย สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เลยว่าอจินไตย 4 โลกวิสัย แ่ต่ถึงยังไงสุดท้ายก็ลงสู่ทางเดียวกันคือไม่ว่าจะแบบไหนทุกคนก็ยอมรับ มรรค 8 อริยสัจ 4 อุปปาทานขันธ์ 5 และไตรลักษณ์ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 02:54:39

ความคิดเห็นที่ 39 #37 สนใจครับ หากกรุณานำข้อความหรือ link มาแสดงก็จะขอบพระคุณมากครับ ท่าน OIOOO เห็นด้วยไหมครับว่า ถ้ามีการส่งเสริมให้ความรู้เรื่องการฝึกมหาสติ หรือสติปัฐฐาน 4 ให้กว้างขวาง ปฏิบัติกันสม่ำเสมอทุกวัด ทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา จะทำให้สังคมพุทธเป็นสังคมที่มีสติ และเดินได้ตรงทางมากขึ้น จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 08:14:54

ความคิดเห็นที่ 40 #39 ผมคิดว่าถ้าศึกษามรรค 8 ให้มาก พุทธจะเดินตรงทางกันมากขึ้นครับ มหาสติ เป็นส่วนหนึ่งของมรรค 8 คือ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ สติปัฏฐาน 4 เป็นส่วนหนึ่งของมรรค 8 คือสัมมาสติและสัมมาสมาธิ ครับ ส่วนข้อความจากพระไตรปิฎกนั้น ผมยังไม่มีเวลาหามาให้ครับ ช่วงนี้ง่วนๆกับอัดเสียงธรรมจากพระไตรปิฎกอยู่ สุตตันตะเล่ม 1 อัดเสร็จมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาอัพขึ้นเน็ตเลย งานยุ่งครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 55 13:01:56 จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 13:01:29

ความคิดเห็นที่ 41 ครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 14:27:34

ความคิดเห็นที่ 42 ขออนุญาตเพิ่มเติม คคห ของคุณ โอ่อี๊โอ (oiooo) จขกท ครับ เรื่องกำเนิดของจักวาฬ  หรือโลกธาตุหนึ่ง ๆ  ถ้าผมจำไม่ผิด  มีกล่าวไว้ในคำภีร์ ไตรโลกวิตถาร  หรืออาจจะมีกล่าวไว้ใน  อัคคัญญสูตร หรือ อรรถกถาของอัคคัญญสูตร อันนี้ไม่แน่ใจ โลกธาตุนี้ย่อมถูกทำลายด้วยน้ำ  ด้วยลม  และด้วยไฟ เมื่อถูกทำลายด้วยไฟ ประมาณ ๒๐ ครั้ง  จะถูกทำลายด้วยน้ำ  ครั้งหนึ่ง ถูกทำลายด้วยน้ำ ๒๐ ครั้ง จะถูกทำลายด้วยลม ครั้งหนึ่ง ใน กัป ใด ที่มนุษย์และสัตว์  มีกิเลสคือ โลภะและราคะมาก  โลกธาตุจะถูกทำลายด้วยไฟ ใน กัป ใด ที่มนุษย์และสัตว์  มีกิเลสคือ โทสะ คือความโกรธมาก  โลกธาตุจะถูกทำลายด้วยน้ำ ใน กัป ใด ที่มนุษย์และสัตว์  มีกิเลสคือ โมหะ คือความหลงมาก  โลกธาตุจะถูกทำลายด้วยลม ผมอาจจำสับสนได้  เพราะได้อ่านมานานยี่สิบกว่าปีแล้ว เมื่อโลกธาตุถูกทำลายด้วย ไฟ นั้น  โลกมนุษย์  ถูกทำลายก่อน  เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก  เบื้องบนไหม้ถึงพรหมโลกชั้นที่ ๕ ชั้น อัปปมาณาพรหม เมื่อโลกธาตุถูกทำลายด้วย น้ำ นั้น  เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก  เบื้องบน น้ำท่วม ถึงพรหมโลกชั้นที่ ๖ คือ อาภัสสรพรหม เมื่อโลกธาตุถูกทำลายด้วย ลม นั้น  เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก  เบื้องบน ลมพัดทำลาย ถึงพรหมโลกชั้นที่ ๙ คือ สุภกิณหกพรหม อันนี้ก็อาจจำมาผิดเช่นกัน บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลาย  จึงไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ในพรหมโลกชั้นที่ ไฟ น้ำ และ ลม  ทำลายไปไม่ถึง ส่วนสัตว์ที่รับกรรมอยู่ใน นรก เปรต อสุรกาย  ลมอันเกิดจาก กรรม ย่อมพัดพาสัตว์เหล่านั้น  ไปยัง โลกธาตุอื่น จักรวาฬอื่น  ที่ ไฟ น้ำ และ ลม ยังไม่ทำลาย ต้องเข้าใจด้วยว่า  ยังมีโลกอื่น  จักรวาฬอื่น  นอกเหนือไปจากโลก และจักวาฬ ที่เราอาศรัยกันอยู่ ที่เรียกกันว่า  แสนโกฏิจักรวาฬ หรือ หมื่นโลกธาตุ เรื่องนี้  พระบรมศาสดา เคยทรงตรัสไว้กับพระอานนท์ และเวลาที่ ไฟ น้ำ และ ลม ทำลายโลก และ จักรวาฬนั้น  ไม่ได้ทำลายพร้อมกันหมดทั้ง อนันตจักรวาฬ แต่ทำลายเป็นแห่ง ๆ ไป เมื่อไฟไหม้โลกแล้ว  โลกอันว่างเปล่านั้น คงเหลือแต่อากาศและควัน  ปกคลุมอยู่เป็นเวลานานอันจะประมาณด้วยเดือนและปีไม่ได้ ต่อมามี ฝน ตกลงมาจนน้ำท่วมขึ้นไปจนถึง พรหมโลก และน้ำจะท่วมอยู่จนประมาณเวลาไม่ได้อีก ต่อมาอีกจะมีลมพัดจนน้ำแห้ง ระเหยออกไป  คงเหลือแต่แผ่นดินและน้ำที่เป็นโลกมนุษย์  สวรรค์  และพรหมโลก ที่เคยถูกทำลายไปกับสิ่งที่เรียกว่า  ง้วนดิน เมื่อกลิ่นของ ง้วนดิน ลอยขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เทวดาและพรหมทั้งหลายที่แออัดยัดเยียดกันอยู่  ก็พากันลงมากินง้วนดิน  จนเกิดเป็น กายหยาบ ขึ้น จึงกล่าวว่า  มนุษย์  เกิดจากพรหมชั้น อาภัสสรพรหมที่ลงมากิน ง้วนดิน แต่ถ้าว่าตามนี้แล้ว  ก็ไม่ใช่พระพรหมทั้งหมด  เป็นเทวดาชั้นต่าง ๆ ที่อพยพขึ้นไปอยู่พรหมโลกด้วยก็มี เหล่านี้เขียนจากความจำที่เคยอ่าน  ไม่มีหนังสืออ้างอิง อยู่ใกล้ ๆ มือเลย หากผิดพลาดอย่างไร  ขอท่านที่มีข้อมูลช่วยทักท้วงด้วยครับ แถมท้าย เรื่องชาวพุทธไหว้ เทวดา ไหว้พรหม  ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในพระไตรปิำกก็มีกล่าวไว้ว่า  เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบในแต่ละครั้ง  มีพรหมและเทวดาได้บรรลุมรรคผลกันมาก แม้พระพรหม ชั้น ปัญจสุทธาวาส คือ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี  อกนิฏฐกา  อันเป็นพรหมโลก ๕ ชั้นสูงสุด ก็ล้วนแต่เป็นพระอริยสงฆ์  พระอริยบุคคลชั้น  พระอนาคามีไปเกิดเป็น พระพรหม กันทั้งนั้น ทั้งที่เป็นพระอนาคามีสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ และ สาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน พระเจ้าพิมพิสาร  เป็น พระโสดาบัน  ก็ไปเกิดเป็น ยักษ์ ในสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา  เป็นบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณ พระอินทร์  ก็เป็น พระโสดาบัน ในมหาสมัยสูตร  ก็กล่าวถึง พระยาครุฑ  มาไหว้พระพุทธเจ้าและพระสาวก ในอาฏานาฏิยสูตร  ก็กล่าวถึง เทวดา ยักษ์ นาค คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับถือพระพุทธเจ้า  พระธรรม พระสงฆ์ ก็มี ไม่นับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็มี พระสงฆ์  ก็มีทั้ง สมมติสงฆ์  คือพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนเต็มไปด้วยกิเลส กับ อริยสงฆ์  ที่เป็นผู้มีกิเลสเบาบาง ทั้งพระโสดาบัน  พระสกทาคามี พระอนาคามี และที่สิ้นกิเลสแล้ว คือ พระอรหันต์ ถึงเป็น ฆราวาส หรือ สามเณร  ไม่ได้บวชเป็น พระ ถ้าได้บรรลุ มรรคผล ขั้นใด ขั้นหนึ่ง ในสี่ขั้นนั้น ก็นับเป็น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า  เช่นกัน ไม่เห็นแปลกอะไรนี่ครับ หรือผมเข้าใจผิดอย่างไร ช่วยทักท้วงด้วยครับ จากคุณ : คอแก้ง เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 55 21:26:37

ความคิดเห็นที่ 43 #42 ผมก็คิดเห็นเหมือนคุณคอแก้งครับ ความเข้าใจในข้อเท็จจริงก็เหมือนกัน ถึงทุกวันนี้ตัวผมเองก็บูชาท่านเทวดาพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเทวดาอนาถบิณฑกเศรษฐี ท่านสนังกุมารพรหม ท่านท้าวมหาพรหม ก็ท่านเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในทางพุทธศาสนา ทั้งทำนุบำรุงพุทธศาสนา ทั้งอุ้มชูดูแลพุทธศาสนาทั้งนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจึงบูชาท่านผู้มีพระคุณต่อพุทธศาสนาครับ แต่ถึงจะนับถือยังไงพรหมเทพก็อยู่ใต้หิ้งพระอยู่ดี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต้องอยู่สูงที่สุด และเมื่อผมบรรพชาเป็นสามเณรหรืออุปสมบทก็ไม่เคยไหว้พรหมเทพเทวาแม้แต่ครั้งเดียว เพราะผิดหลักศาสนาแน่นอนเท่ากับนับถืออย่างอื่นนอกจากไตรสรณะคมณ์ เรื่องพรหมนี่พระไตรปิฎกบอกไว้ แค่เจริญฌานเข้าสู่รูปฌานที่ 1 พร้อมพรหมวิหาร 4 ก็เข้าสู่ภูมิของรูปพรหมแล้วครับ พอเข้าอรูปฌานที่ 1 ก็เริ่มเข้าภูมิของอรูปพรหม พรหมที่เป็นรุ่นพี่เราคือพรหมโลกุตตระ สามารถนิพพานได้ในที่นั้นเลย (สุทธาวาส) ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีทั้งรูปพรหม และอรูปพรหม นั่นแหล่ะครับ ส่วนพรหมที่ไม่ใช่รุ่นพี่เราก็คือพรหมโลกียะต้องกลับมาเกิดใหม่อีก เพราะฌานโลกียะยังถือใจอาลัยจิต คือพวกฤาษี โยคี ที่ไม่ได้สดับธรรมโลกุตตระของพระพุทธเจ้าน่ะครับ คนที่ไม่เคยศึกษาพระไตรปิฎกจะเข้าใจผิดไปเลยว่าพรหม เทพ พระอินทร์นี้เป็นของพราหมณ์ ยิ่งพอยกเนื้อความในพระไตรปิฎกมาแย้งเขาก็ขัดต่อว่าพราหมณ์ยัดเข้ามาในพระไตรปิฎกของพุทธ!!!?? เจองี้เข้าผมก็เลิกคุยเลย มันคุยกันต่อไม่รู้เรื่องแล้ว ที่เป็นเทพของพราหมณ์แล้วไม่มีในพระไตรปิฎกก็ พระอิศวร พระแม่อุมา พระพิฆเณศวร ฯ อันนั้นพราหมณ์ ฮินดูแท้ๆแน่ ซึ่งก็ยังพบเห็นในวัดได้ทั่วไป และเจ้าอาวาสที่เป็นภิกษุเองนั้นแหล่ะสั่งสร้างขึ้นมา บางวัดก็สร้างกันเป็นสวนสนุกไปเลย มีอีกาปูนปั้นตัวใหญ่ๆ มีผลไม้ปูนปั้นใหญ่ๆ มีนกมาคอว์  ผมเห็นก็เข้าใจในพระสัทธรรมที่ว่าศาสนาเสื่อมลงไปเรื่อยๆ จนถึงยุคมิคสัญญีพระธรรมจะหายไปจากโลก ส่วนเรื่องกำเนิดโลก ความพินาศของโลก ผมจำได้บางส่วนในที่คุณกล่าวมาแต่ก็ยอมรับจริงๆว่าไม่แม่น เพราะท่านสอนไว้เยอะเหลือเกินสอนไว้กระทั่งขนาดของตัวอสุจิที่อุปมาเหมือนน้ำเกาะขนจามรีแล้วเอาไปสะบัดซะหลายๆครั้ง อีกอย่างตอนที่เคยอ่านนั้นรู้สึกว่าจำไปก็ไร้สาระ เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 55 01:12:48