เพื่อจะเดินต่อไปจากจุดนี้ ในมุมมองของคนที่ดำเนินความสงบไม่เก่งนะครับ
ผมพอจะมองเห็นเส้นทางไปได้อยู่ 2 ใหญ่ๆ
1. ต้องอาศัยการที่เคยได้ยินได้ฟังเส้นทางดำเนินที่ถูก
แล้วต้องได้ใคร่ครวญ ทำความเข้าใจเส้นทางที่ถูกตรงนั้นไว้ให้ดีแล้วก่อน
จากนั้นจึงไปแยบคาย แยกแยก ดูบ่อยๆกับสภาวะจริงๆ บ่อยๆ
จนมองออกว่า ในสภาวะนั้นๆ "พุทโธ" ตัวจริงคืออะไร
แยกแยะออก ระหว่าง ใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กับเหตุการณ์แวดล้อมในขณะนั้นๆได้
พวกเจริญสติตรงๆ จะดำเนินแบบนี้
แต่สำหรับคุณเอง ก็นำไปประกอบใช้ด้วยกันได้
คือให้ฟังให้ดี เอาแล้วไปแยบคายดูในชีวิตประจำวันให้ดี
ถ้าระหว่างใช้ชีวิตประจำวันสามารถจำแนกได้แล้วว่า ใจรู้ คืออะไร
เวลาจะทำฌาน เราย่อมจะสังเกตออก บอกตนเองได้ทันที
ว่าตอนนี้กำลังทำฌานแบบพุทธ คือมีใจรู้อยู่ หรือกำลังทำฌานแบบไม่มีผู้รู้
ถ้ามีผู้รู้อยู่ ก็เป็นอันว่ายังมาถูกทาง
แต่ถ้าผู้รู้หาย หรือยังไม่รู้จัก อันนี้ก็ยังสามารถคลาดเคลื่อนไปได้ตลอดทาง
2. ดำเนินความสงบต่อไป แล้วพิจารณากาย
โดยอาศัย "นิมิตสัญญา" ของความเป็นปฏิกูล/อสุภะ
(ปล. ข้อนี้แล้วแต่วาสนาบารมี หากกาลก่อนเคยพิจารณาเช่นนี้มาจะทำได้ง่าย หากไม่เคยทำเลยจะได้ยาก เป็นเส้นทางจำเพาะจิตจำเพาะบุคคล ทำไม่ได้ไม่ต้องไปฝืน)
อาศัยกำลังของความสงบก่อนิมิตอสุภะสัญญา
เห็นร่างกายเน่าเปื่อยสลายไปเรื่อยๆ
ถ้าทำแล้วนิมิตปรากฏไม่ชัด ก็ถอยกลับมาสร้างสมกำลังความสงบใหม่ แล้วกลับไปพิจารณาต่อ
ทำอย่างนี้ เห็นอย่างนี้มากเข้าๆ ไปจนถึงนวสีวถิกาสุดท้าย
คือกายสลายหมด กระดูกแตกป่นหาย สลายไปหมดแล้ว
ไม่มีแล้วสุภะ ไม่มีแล้วอสุภะ เพราะสลายหายไปหมดแล้ว
ด้วยกำลังขนาดนั้น
มองเข้ามาที่กายตน กายตนก็ดับหาย
มองไปกายผู้อื่น กายอื่นก็ดับหาย
มองดูโลกธาตุ โลกธาตุก็ดับหาย
เมื่อมองอะไรก็ดับสูญไปหมดแล้ว
จึงค่อยเห็นว่า มันยังมีสิ่งหนึ่งเหลืออยู่เว้ย!
สิ่งหนึ่ง ที่ไม่ได้ดับหายไปกับนิมิตด้วย สิ่งนั่นคือใจรู้
เป็นใจรู้ ที่ทำให้รู้เรื่องราวทั้งหมดได้
เป็นใจรู้ ที่ยังปรากฏอยู่ ไม่เคยดับหายไปไหน
เป็นใจรู้ ที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา ปรากฏมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเห็น
เพิ่งมาเห็นเอาป่านนี้ ว่าใจรู้มีอยู่ เพราะอาศัยนิมิต ไปลบกายและโลกลงทั้งหมดแล้ว จึงค่อยเห็น
(พิมพ์ข้อ 2. นี้มาซะยืดยาว ถึงตรงนี้จึงค่อยคุยเรื่อง "ใจรู้" กับคนดำเนินมาด้วย ข้อ 1. รู้เรื่อง)
เมื่อเจอใจผู้รู้แล้ว ก็ให้อยู่กับใจผู้รู้
การทำฌานที่ถูกต้อง จะเริ่มจำแนกใจผู้รู้ได้ตั้งแต่ฌาน 2
คือถ้าดำเนินมาอย่างถูกต้อง ตัวเอกัคคตารมณ์ นั่นแหละ ใจผู้รู้
ที่ว่าอย่างนี้ เพราะใจรู้ มันมีอาการเดียวคือแค่รู้กับเห็น
ไม่ใช่หมายเอาการแช่นิ่งอยู่กับอารมณ์อันใด
วิตกวิจารณ์ไม่ใช่ใจรู้ ใจรู้ไม่เคยวิตกวิจารณ์ ใจรู้เห็นเฉยๆว่ามีวิตกวิจารณ์อยู่ (วิตกวิจารณ์ดับไป)
ปีติไม่ใช่ใจรู้ ใจรู้ไม่ีเคยปีติ ใจรู้รู้เห็นเฉยๆว่ามีปีตีอยู่ (ปีติดับไป)
สุขไม่ใช่ใจรู้ ใจรู้ไม่เคยสุข ใจรู้รู้เห็นเฉยๆว่ามีสุขอยู่ (สุขดับไป)
มีเพียงใจรู้อยู่ เป็นเอกัคคตารมณ์ รุ้อยู่เห็นอยู่ สิ่งที่ถูกรู้อื่นๆดับไป
จึงเป็นภาวะแห่งสติที่ทรงกำลังอย่างใหญ่ ดำรงตั้งมั่นบริบูรณ์อยู่
และแม้จะออกจากฌานแล้ว ใจรู้จะดำรงตั้งมั่นชัดอยู่ได้อีกระยะใหญ่ๆด้วยกำลังของฌาน
ต่อจากนั้นปัญญาจะแยบคายต่อไปอีก
คือเมื่อเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีใจรู้ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ต่างหากไม่เกี่ยวอะไรด้วย จำทำให้ความยึดมั่นสำคัญผิดจะค่อยๆเบาบางไปเอง เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าใจรู้ เป็นเพียงไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ก็ให้เห็นอยู่อย่างนี้ไปจนมากพอแล้วมันก็จะกลับมาแยบคายที่ตัวใจรู้ "เอง" ได้ในที่สุด
สัมมาสมาธิ ก็ใจรู้นี่แหละ เพราะมันตั้งมั่นรู้อยู่ ไม่ไหลออกไปสู่อารมณ์ไหน
ชื่อของศาสนาพุทธ ก็เริ่มมาจากใจรู้นี่แหละ
แต่ใจรู้ของพวกเรานี่มันยังโง่อยู่ เพราะอวิชชามันยังครอบอยู่
ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ให้อยู่กับใจรู้ให้ได้ก่อน เพราะกว่าจะมองใจรู้ออกนี่ก็ไม่ใช่ง่ายๆแล้ว