วิญญาณในธาตุ ๖
แต่ว่าวิญญาณนี้เองก็ใช้เรียกหมายถึงจิตในที่หลายแห่งอีกเหมือนกัน เช่นในธาตุ ๖ ดังที่ได้กล่าวแล้ว วิญญาณธาตุ ธาตุที่ ๖ คือธาตุรู้ ก็หมายถึงจิต และในที่อื่นอีกหลายแห่งแสดงคำว่าวิญญาณซึ่งหมายถึงจิต แต่สำหรับวิญญาณในขันธ์ ๕ ซึ่งตรัสแสดงเป็นพื้นนั้น ให้มีความหมายดังที่กล่าวนี้
มโน ทวารของจิต
อีกคำหนึ่งคือ มโน คำว่ามโนนี้ก็แปลกันว่าใจเหมือนกัน และจิตก็แปลกันเป็นคำไทยว่าใจเหมือนกัน ในภาษาไทยจึงใช้คำแปลเป็นคำเดียวกัน เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาคำไหน คำอื่นมาใช้ให้ต่างกันไป คำว่าใจนั้นทุกคนก็มีความเข้าใจ แต่ว่ามโนที่แปลว่าใจนี้เป็นอายตนะภายในข้อที่ ๖
อายตนะภายในนั้นก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ ซึ่งทั้ง ๖ นี้เป็นทวารคือเป็นประตูที่จิตรับอารมณ์คือเรื่องของรูปเสียงเป็นต้น เพราะฉะนั้นฐานะของมโนจึงเป็นทวารของจิตเท่านั้น เหมือนอย่างจักขุ ตา เป็นต้นที่เป็นทวารของจิตเช่นเดียวกัน แต่มโนคือใจนี้จะต้องประกอบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ ข้อนี้ตลอดเวลาด้วย จึงจะให้สำเร็จการเห็นรูป การได้ยินเสียง การได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ ลำพังประสาทตา ประสาทหู อย่างเดียว ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย อย่างเดียว ไม่พอที่จะให้เกิดความรู้เห็นรูป รู้ได้ยินเสียง เป็นต้น ได้ ต้องมีมโนข้อที่ ๖ นี้เข้าประกอบอยู่ด้วย ซึ่งก็ได้กล่าวมาแล้วเหมือนกันตามที่พระพุทธเจ้า และพระอาจารย์ผู้อธิบาย
พระพุทธวัจนะเกี่ยวแก่เรื่องนี้ ได้แสดงอธิบายไว้ดั่งนี้ ก็ต้องกับความรู้ในปัจจุบัน ให้ไปดูห้องแสดงกรรมฐาน คือชั้น ๒ ที่ตึก ภปร. ที่แสดงระบบของมันสมอง อันเกี่ยวกับประสาททั้ง ๕ ตามความรู้ในปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ชัด เช่นแสดงถึงว่าการเห็นรูปนั้นต้องอาศัยอะไรบ้าง จะต้องอาศัยจักขุประสาท และจะต้องอาศัยมันสมองอีกส่วนหนึ่งที่เนื่องกับจักขุประสาทนั้น จึงจะให้สำเร็จการเห็นรูปได้ การได้ยินเสียงก็ต้องอาศัยประสาทหู และก็ต้องอาศัยมันสมองอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับประสาทหู จึงจะให้สำเร็จการได้ยินเสียงได้
เพราะฉะนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงได้ตรัสอธิบายไว้ว่า มโนซึ่งเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นี้ ก็เท่ากับเป็นมันสมองส่วนที่มีหน้าที่อันเกี่ยวแก่ประสาททั้ง ๕ ของบุคคลดังที่กล่าวนั้น แต่ว่าทางพุทธศาสนานั้นแสดงมโนในฐานะเป็นนามธรรมอันหนึ่ง ซึ่งสัมพันธ์กันอยู่กับรูปธรรม ๖ ส่วนประสาททั้ง ๕ นับเป็นอายตนะข้อที่ ๖ หรือเป็นประสาทภายในข้อที่ ๖ ก็คงจะได้
เพราะ ฉะนั้น จิต วิญญาณ และมโน ซึ่งใช้ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้มีความหมายดังที่แสดงมานี้