ความคิดเห็นที่ 1 ได้ยินแต่ศาสนาอื่น ว่าถ้าย้าย จะบาป แต่ของพุทธ เราไม่เคยมีใครบอกว่าบาปนะ จากคุณ : แฟนพันธุ์ทาง (อาจารย์ไข่) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 19:46:50

ความคิดเห็นที่ 2 ตามหลักพุทธผมว่าไม่บาปหรอก แต่คนพุทธทั่วไปที่อยู่รอบข้างน่ะเขาจะมองยังไง จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 19:51:26

ความคิดเห็นที่ 3 ในแง่ของศาสนาพุทธ... พระพุืทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ศาสนาไหนมีมรรคมีองค์ 8 ศาสนานั้นย่อมนำไปสู่ความพ้นทุกข์ วิถีของพุทธก็ไม่ใช่ศาสนาเสียทีเดียว แต่คือแนวทางการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ หลุดจากกิเลส ไม่ว่าจะเป็นศาสนา หน่วยงาน องค์กรณ์ใดๆก็ตามหากมีมรรคมีองค์ 8 ครบสมบูรณ์ จะเปลี่ยนไปสู่สิ่งนั้นย่อมไม่บาป แต่ปัญหาคือ ตอนนี้เราจะเห็นว่ามีศาสนาเดียวที่มีมรรคมีองค์ 8 ครบถ้วนในคำสอน ที่ว่าบาปไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของคนที่ยึดติดกับศาสนามากกว่า จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 19:52:52

ความคิดเห็นที่ 5 บาปไม่บาปอยู่ที่ใจครับ คนๆหนึ่งเปลี่ยนศาสนาแต่ยังกินเหล้า ยังโกหก เจตนายังเหมือนเดิม นิสัยยังเหมือนเดิม บาปก็จะมีแต่ทวี จากคุณ : via iPhone (นักเป่าขลุ่ย) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 20:18:07

ความคิดเห็นที่ 6 ^^ จากคุณ : shame_of_sins เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 20:20:58

ความคิดเห็นที่ 7 ^^ ต่ออีกหน่อย ศาสนานู่น นี้ นั้น อาจจะบอกว่าบาปไม่เชื่อในพระเจ้า ลบหลู่ อะไรก็ว่าไป แต่ในความเป็น(จริง) ความเชื่อก็ย่อมเป็นแค่ความเชื่อ และบาปก็ไม่เคยตกอยู่แค่เจตนาอันเป็นแค่ความเคลือบเเคลง ^^ สรุปคือไม่บาป เพราะศรัทธาเปลียนเเปลงได้เสมอ จากคุณ : via iPhone (นักเป่าขลุ่ย) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 20:21:38

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าคุณรู้ถึงเหตุผล ที่มาที่ไปของการกระทำ และได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างแน่วแน่แล้วว่ามันสมควรที่สุด สามารถอธิบายได้ทุกขั้นตอนของระบบความคิดที่ตัดสินในกระทำ แก่ทุกเสียงกังขาที่ติฉินหรือถามไถ่ สิ่งที่คุณทำมันก็ไม่บาปหรอกครับ เพราะคุณมั่นใจว่าคุณไม่ได้"ทำผิด"หรือ"รู้สึกผิด" จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 20:26:20

ความคิดเห็นที่ 9 ศาสนาพุทธ ไม่ได้ระบุ ว่า เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นแล้วบาป ศาสนาอื่น ไม่ทราบเหมือนกันว่าอย่างไร จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 20:51:52

ความคิดเห็นที่ 10 อภิฐาน ๖ [ฐานะอย่างหนัก] ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน ๖. อัญญสัตถุทเทส ถือศาสดาอื่น. องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๔๘๖. อธิบาย: ชนผู้ฆ่ามารดาบิดาของตนเองได้แล้ว จักไม่ฆ่าคนอื่นในเมื่อตนขัดใจขึ้นมาเป็นอันไม่มี และชื่อว่าล้างผลาญสกุลของตนด้วย. คนฆ่าพระอรหันต์ผู้ประพฤติกาย วาจา ใจ บริสุทธ์ไม่ได้คิดร้ายทำร้ายผู้ใดผู้หนึ่งเลย และเป็นที่นับถือของมหาชน จักไม่ฆ่าคนอื่นผู้ยังไม่สงบถึงนั้น ผู้ไม่เป็นที่นับถือถึงนั้นเป็นอันไม่มี และชื่อว่าล้างผลาญที่นับถือของมหาชนด้วย. คนผู้ทำร้ายพระศาสดาของตนเองได้แล้ว เป็นหมดหลักในทางพระสาสนา ดุจเดียวกับคนคิดกบฏทำร้ายพระเจ้าแผ่นดินของตน. ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกเป็นพรรคพวก แต่คณะของตนยังทำลายได้แล้ว จักไม่คิดทำลายคณะอื่นเป็นอันไม่มี เช่นเดียวกับคนยุแหย่ทำความแตกสามัคคีในชาติของตน. ๕ นี้เรียกอนันตริยกรรม แปลว่ากรรมให้ผลในลำดับไป จัดเป็นครุกรรมคือกรรมหนักในฝ่ายบาป. บทหลังข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ทั้งยังเป็นภิกษุ ที่เรียกว่า "ติตฺถิยปกฺกนฺตโก" ที่ห้ามอุปสมบทอีก. ภิกษุเห็นปานนี้เป็นผู้แตกจากคณะของตนไปเข้าคณะอื่น แต่ไม่ได้ทำลายคณะเดิมของตน เหมือนภิกษุผู้ทำสังฆเภท ดุจเดียวกับคนโจทก์เจ้าที่เขาเรียกว่า "ภักดีต่อไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดน" เพราะอย่างนี้ ฐานะ ๖ นี้ แต่ละอย่าง ๆ จึงจัดเป็นอภิฐานที่แปลว่าฐานะอันหนัก ผู้ถือพระศาสนาอย่างเคร่งครัดเพียงพระโสดาบันย่อมไม่ทำเลย.     จริงๆแล้วก็ไม่หนักเท่าไรหรอกครับเพียงแตเดินทางผิดคือจะไม่มีทางที่จะเข้าถึงโลกุตตระธรรมได้เลยเ๖้มที่ก้แค่สวรรค์หรือชั้นพรหมที่ยังไม่ใช่อริยะนั่นเองเพราะฉะนั้นการนับถือศาสนาอื่นก็ไม่ได้ผิดบาปแต่อย่างใดเพียงแต่จะไม่มีทางเข้าถึงอริยะบุคคลได้ก็แค่นั้น จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 21:10:49

ความคิดเห็นที่ 11 #2  เท่าที่เคยเห็น พุทธเปลี่ยนเป็นคริสต์ไม่เคยเห็นใครถูกมองว่าเป็นคนบาปนะ แต่อาจถูกคนรอบตัวมองว่า ต้องการที่พึ่งทางใจ ในช่วงนั้นๆ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 21:38:33

ความคิดเห็นที่ 12 ความเป็นจริง สัจธรรม นี่เรื่องหนึ่ง อันนี้ ดูตามข้อเท็จจริงจากคัมภีร์แต่ละศาสนาเอาได้เลย อ้างอิงตามนั้น คน(ไม่ต้องอ้างอิงศาสนาครับ)มองนี่อีกเรื่องหนึ่ง คนละเรื่องกัน จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 21:44:09

ความคิดเห็นที่ 13 ความเชื่อของศาสนาอื่นถึงจะทราบแต่ . . ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงความคิดเห็นครับ ส่วนศาสนาพุทธการเปลี่ยนศาสนาไม่เกี่ยวกับความบาป เพราะบาปหรือไม่ขึ้นอยู่กับ กาย วาจา ใจ ของคนๆนั้น จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 22:13:56

ความคิดเห็นที่ 14 คนที่ยังยึดในชื่อ ก็เปลี่ยนศาสนา ไปตามการจำแนกของมนุษย์ที่ยึดกันไปครับ... ศาสนาก็คือสิ่งยึดเหนี่ยวครับ จะเปลี่ยนไปศาสนาไหน ก็แค่ทำให้ถึงตามหลักศาสนาให้ได้ แต่คนเราน้อยคนที่เข้าถึงแก่นศาสนาจริง ๆ   ........ แต่เมื่อถึงแก่นศาสนาจริง ๆ ....   เรื่องของศาสนาก็จะหลุดออกไปครับ ใครจะคุณถือศาสนาไหน ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ   เพราะตัวคุณเองย่อมรู้ว่า แม้ศาสนาก็ถูกคนภายหลัง มาจำแนกกันทีหลังเอาเอง  เพราะหลักแก่น ความจริงนั่นมีอยู่ก่อนแล้ว... จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 22:46:30

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นไปได้ไหม ที่คนนับถือคริสต์ จะตกนรกพุทธ แล้วคนที่นับถือพุทธ จะตกนรกคริสต์ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 55 23:00:57

ความคิดเห็นที่ 16 บาปในความหมายของ ท่านเจ้าของกระทู้ มันเป็นยังไงหรือครับ จากคุณ : แล้วทำไม12 เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 03:07:56

ความคิดเห็นที่ 17 จขกท.. อยากได้คำตอบ ตามหลักศาสนาไหนล่ะ ? ถ้าตามหลักชาวพุทธ ก็ไม่บาป เพราะ ศาสนาพุทธเป็นอิสระ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ กับคนที่นับถือศาสนานี้ ไม่มีการมัดมือชก ใครนับถือก็ได้ ไม่นับถือก็ได้ พระพุทธองค์ก็แค่สอนไปตามหลักสัจธรรม คนที่เขารุ้ เขาเข้าใจ เขามีปัญญาพิจารณาไปตามธรรมคำสอนนั้น เขาจะนับถือศาสนาพุทธเอง ไม่ต้องไปบังคับเขา และถ้าเขาเบื่อพุทธด้วยประการใดก็ตาม เขาก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นได้ ไม่มีบาปอะไร ไม่มีศีลข้อไหนห้ามเกี่ยวกับการเปลี่ยนศาสนาแล้วบาป (ยกเว้นนักบวช เช่น พระภิกษุที่เปลี่ยนไปนับถือสาสนาอื่นในขณะที่ปวารณาตัวเป้นนักบวชอยู่ อย่างนั้นบาป บาปหนักด้วย เรียกว่า อัญญสัตถุทเทส เหมือนดั่งข้อ 6  ของ คห..ที่ 10 ) แต่ถ้าเป็นฆราวาสทั่ว ๆ ไป ก็ไม่บาปอะไร.. ถ้าตามหลักศาสนาอื่น ก็รอให้คนศาสนาอื่นมาตอบต่อไป ว่าจะบาปหรือไม่ ? จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 08:28:06

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเอาตัวผมสบายใจอะครับ นับถือศาสนาไหนแล้วสบายใจ ผมก็นับถือต่อไป หรือจะเปลี่ยน ก็ไม่เคยมานั่งคิดแคลงใจ ว่า จะบาปหรือไม่ .. เพราะ ถ้านับถือแล้วเกิดความไม่สบายใจ ผมจะันับถือไปทำไมครับ? จากคุณ : tothza_one เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 11:08:34

ความคิดเห็นที่ 19 ตามแต่จริต และปัญญาเฉพาะบุคคลครับ จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 12:51:13

ความคิดเห็นที่ 20 ผมมาเป็นคริสต์  ถ้ามันบาป  แต่พระเยซูรับบาปให้ครับ จากคุณ : เคราติน เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 14:27:47

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเปลี่ยนศาสนาแล้วเป็นตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ก็ถือซะว่า"ซวย"เอง ที่เลือกเกิดไม่ได้นะครับ จากคุณ : helzblueboy เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 16:12:16

ความคิดเห็นที่ 22 ผมเป็นคริสต์นะครับ การเปลี่ยนจากคริสต์ไปเป็นพุทธก็ไม่ใช่ว่าบาปนะครับ เพราะไม่ได้มุ่งไปสู่ความชั่วร้าย การไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ก็ไม่ใช่ความบาป แต่เป็นการปฏิเสทความรอดจากพระเจ้า ดังนั้นความบาปในศาสนาพุทธกับคริสต์นั้น ก็คงเป็นเรื่องเดียวกัน คือข้อห้ามต่างๆที่ไม่ควรทำ ส่วนความบาปของศาสนาพุทธที่ชาวคริสต์มองกันคือ " การกราบไหว้รูปเคารพ " ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวคริสต์เราห้ามไม่ให้กระทำ ก็เนื่องจากเป็นการทำให้สิ่งอื่นมาอยู่เหนือพระเจ้า ตามหลักศาสนาพุทธแล้ว การไหว้พระก็คือการเคารพใน 3 สิ่งคือ พระพุืทธ พระธรรม พระสงฆ์ กลายเป็นว่าหัวใจของการไหว้พระพุทธรูป กลับไม่ได้ขัดต่อวัตถุประสงค์ทางคริสต์ แต่มนุษย์เอง กลับนำพระมาขอพร บูชา ยกว่าเป็นสิ่งศักดิ์ศิษย์ สร้างซะอลังการใหญ่้โตเพื่อแค่ต้องการกราบไหว้บูชา เพื่อให้คนมาศรัทธา สิ่งนี่แหละที่ทางคริสต์มองว่าเป็นความบาป จากคุณ : Tailogy เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 18:05:52

ความคิดเห็นที่ 23 32 ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ 33 และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย (มัทธิว 10:32-33) การเปลี่ยนศาสนา คือ การทิ้งพระเจ้า ทิ้งความรอดของตนเอง ในชีวิตหนึ่ง เราอาจจะทำอะไรผิดพลาดได้มากมาย แต่เราก็ยังมีโอกาสแก้ตัวเสมอ แต่ถ้าเราปฏิเสธพระเจ้าแล้ว เราก็กำลังเดินในทางตรงข้ามกับพระเจ้า ใครจะช่วยเราได้ เป็นบาปไหม บาปแน่นอน เป็นบาปหนักขนาดต้องตกนรกนิรันดร เลยทีเดียว จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 21:37:59

ความคิดเห็นที่ 24 เราคิดว่า การเปลี่ยนศาสนาเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือ เข้า ๆ ออก ๆ เหมือนเรียนเลขสลับกับเรียนสังคมหรือ ศาสนาพุทธเอง พระพุทธเจ้า ก็เห็นว่า ใครทิ้งทางของพระองค์ ก็ฉิปหายเสียแล้ว ถ้าการพลาดจากทางรอด นับเป็นบาปอย่างหนึ่ง การทิ้งศาสนาก็เป็นบาปมหันต์ ขนาดที่พระพุทธเจ้ายังอุทานเลย ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ "..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงต้องการให้คนอื่นมีความสุขด้วย ทรงนึกว่าใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่พระองค์บรรลุแล้วได้ ก็ทรงหวนนึกขึ้นมาได้ว่าท่านอาจารย์ทั้งสองคือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแผล็บเดียวก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ" หมายความว่า ๑) ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้ ๒) ถ้าเขาพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้ ๓) มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์ด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่าจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไรท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ ทรงใช้ทิพย์จักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะคือไม่มีเครื่องรับ ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี แต่นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า "โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิปหายจากความดีเสียแล้ว" แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 55 21:52:19 จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 55 21:51:23

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ขออนุญาตปรับทัศนคติ เกี่ยวกับสิ่งที่ท่าน FOB ยกมาซักนิดนึงนะครับ มุมมองกับคำกล่าวที่ว่า "ฉิปหายจากความดี" มาจาก พุทธองค์ทรงค้นพบ "มรรค-ผล"-"ทางสู่ความดับทุกข์" (ขึ้นชื่อว่า ความดีหนึ่ง) อยากสนองบุญคุณครูบาอาจารย์เดิม เลยตามหาเพื่อแสดงธรรมให้ประจักษ์ (เป็นรุ่นหลังต้องปฏิบัติแล้วจึงประจักษ์) ทรงอยากให้ 2 อ.ใช้กำลังสมาธิ(สมาบัติ8)ขั้นสูง ใช้เพื่อหลุดออกจากจักรภพแห่งรัก โลภ โกรธ หลง อวิชชา เวียนว่ายตายเกิดนี้ หาก 2 อ.กลับมาเกิดใหม่ ยากที่จะหาคนมีกำลังปัญญาบารมี แสดงธรรมให้ อ.ทั้ง2บรรลุธรรมสูงสุดได้อีก ฉะนั้น "ฉิปหายจากความดี" เป็นเพียงคำอุทาน เสียมากกว่าครับ ไม่ใช่คำกล่าวตำหนิเป็นบัญยัติ เพื่อเป้าหมายอันเคร่งครัดในศาสนาว่า ว่า "ออกจากศาสนา" แล้ว "เปลี่ยนศาสนา" สำหรับพุทธ "เป็นบาป" เหตุสนับสนุนอื่น เพราะ ในหลักศาสนาพุทธมี "ธรรมวินัย" ที่เรียกว่า "ปัพพาชนียกรรม" คือ การขับไล่ อยู่ ใช้กับ ผู้บวชที่ประพฤติเลวทรามเป็นอาจิณ อนาจาร ฯลฯ ถ้าทรงศีล 227 ข้อไม่ได้ ออกไปเสียเถอะ จะออกไปลดเหลือ ศีล 5 ศีล 10  ก็ไม่ใช่ตกนรก หมกไหม้ อะไรนักหนา อยากมากก็วนเวียน กลับไป-กลับมา อยู่ในจักรภพแห่งรัก อวิชชา ตัณหา แห่งนี้ แม้นวันนี้นับถือศาสนาพุทธ พรุ่งนี้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ หลักความดีของพุทธที่เคารพ และให้เกียรติบุคคลทุกหมู่เหล่า ที่วางไว้กลางๆ คือ "ทำดี ละชั่ว" "ทำประโยชน์ในตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่น" ยังเล็งในประเด็นดังว่า แม้อยู่ศาสนาใด ถ้าได้ปฏิบัติด้านบน ก็ขึ้นสวรรค์ทั้งนั้น (เสวยภพภูมิที่ดีกว่า) รวมความถึง บุคคลผู้ไม่มีศาสนาในหัวใจ ไม่นับถือสิ่งใดด้วยครับ หลักธรรมของพุทธพร้อมยกย่องบุคคลที่ทำดี ว่า "ดีกว่าพุทธในทะเบียนบ้าน ที่ทำตัวเหลวไหลเสียอีกครับ" จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 19:12:58

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ คุณ Zim-MorLuth เรื่องนี้ คงเป็นเรื่องใกล้เคียงที่สุด เท่าที่ผมรู้จักแล้ว ผมเข้าใจว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีเจตนาให้พ้นจากทุกข์ของวัฎฎสงสาร การทิ้งศาสนา คือการตัดขาดจากความดีที่พึงได้จากการปฏิบัติตามศาสนานั้น ๆ การทิ้งศาสนาพุทธ ทำให้หนทางที่จะออกจากทุกข์ไกลออกไปอีก เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีทางอื่นนอกจากทางสายนี้ (มหาสติปัฎฏฐานสี่) ถ้าหากการได้พบและปฏิบัติกรรมฐานเป็นบุญอันประเสรฺฐ มีอานิสงฆ์ ให้พ้นทุกข์แห่งการเกิดได้แล้ว การละทิ้งศาสนา ก็เป็นบาปในความหมายที่ว่า ทำให้ห่างไกลจากทางนั้นออกไปทุกที ผมเองก็เป็นคนบาปของศาสนาพุทธ ถึงผมปรารถนาให้ทุกคนได้รับความรอดจากพระเจ้า แต่ผมก้ไม่อยากให้ คนพุทธคิดว่า การทิ้งศาสนาไม่ผิดอะไร น่าจะลองเปลี่ยนมานับถือพระเจ้าดู สำหรับคนที่จะหาความรอดด้วยตนเอง การที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่หาได้ยากแล้ว น่าจะรักและศรัทธาในศาสนาให้มาก ๆ อย่าเพียงคิดว่า ศาสนาอื่นดีกว่า น่าจะลองดูบ้าง พอไม่ดีกว่าก็กลับมา ผมอาจจะจริงจังกับชีวิตมากเกินไป แต่ผมคิดว่า แค่ตั้งความเพียร ให้บรรลุธรรมในชาติเดียวยังยากเลย การเลือกปฏิบัติกิจศาสนานั้นบ้าง ศาสนานี้บ้าง เพื่อเลือกว่าสิ้่งใดถูกกับจริตของตน เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เวลาที่เสียไปกับค้นหานั้น เช่นเดียวกับหลายคนที่เลือก จะหาทางบรรลุธรรมด้วยตนเอง ก็ทำให้ต้องวนเวียนในสังสารวัฏนานเกินควร แต่ผมก็เห็นด้วยกับคุณ Zim-MorLuth ครับ คนมีศาสนา คนที่ปฏิบัติตามศาสนา ยังไงก็ดีกว่า คนที่ไม่มีหลักธรรมใด ๆ ยึดเหนี่ยว ผมมิได้คิดว่า คนทิ้งศาสนาเป็นชั่ว หรือจิตใจต่ำ แต่ผมหมายถึง เขาห่างไกลจากความดีครับ (ความดี ในที่นี้ของผมคือความหลุดพ้น) จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 20:26:18

ความคิดเห็นที่ 27 เรียนท่าน FOB ความดีหนึ่ง คือ มรรค-ผล ความดีหนึ่ง คือ ปัญญา ความดีหนึ่ง คือ สมาธิ ความดีอีกหนึ่ง คือ ศีล ความดีอื่นๆ คือ บุญกิริยาวัตถุ 10 -ทานต่างๆ ความดีประกอบ คือ พรหมวิหาร4 จากตัวอย่างท่าน Fob#24 กำลังสมาธิ อ.ดาบสทั้งสอง อยู่ในระดับเอกอุแล้วละครับ จัดว่า มีความดีอยู่แล้ว (แต่ยังเป็นคติแบบพราหมณ์อยู่) ลูกศิษย์ย่อมต้องอยากให้ อ.ได้ลองศึกษาความดีสูงสุดที่ทรงค้นพบ ลองปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ร่วมกัน ในพุทธมีการทรงระดับความดีตั้งแต่ คนถือศีล5ไม่ครบ(ปุถุชน) จนถึงตัดกิเลส ดับภพดับชาติ(อริยบุคคล) การทำบาป คือ ละเมิดศีลธรรม จริยธรรมสังคม โดยทั่วไปซึ่งเราเข้าใจตรงกันนะครับ และ ศาสนาท่าน Fob นับรวมการย้ายศาสนา จัดเป็น 1 บาป ซึ่งรับผลแห่งบาป คือ นรกไว้ด้วย (ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ ไม่ปฏิบัติตามทางสว่างย่อมลงสู่ความมืด เป็นคติที่ถูกตามตรรกะท่าน) จะขยายความทางพุทธ ว่าทำไมไม่บาป เพราะพุทธสอนเรื่องจริต6 ไว้ครับ สอนและให้เข้าใจในสุภาษิต "ลางเนื้อ ชอบลางยา" คนเราย่อมเกิดมาไม่เหมือนกัน จริตต่างกัน ความแตกต่างหลากหลายตรงนี้ พุทธจึงไม่บัญยัติ"บาป"ให้ผู้ต่างศรัทธา หรือเปลี่ยนศรัทธาครับ แม้ไม่นับถือพุทธ ถ้าไม่ละเมิดศีลธรรม จริยธรรม ย่อมได้รับการยกย่องจากหลักธรรมพุทธ จนกว่าเขาผู้นั้นจะประพฤติผิดศีลธรรม จริยธรรม อันนั้นคงเห็นตรงกันเรื่อง บาป(จากกรรม) มีเส้นคั่นอยู่ตรงนี้ครับ แค่"ย้ายศาสนา" ไม่บาป แต่ถ้า "ย้ายแล้วประพฤติผิดศีลธรรม จริยธรรม" ต่อให้ย้ายมานับถือพุทธ ก็บาปครับ ส่วนเรื่อง "เป้าหมายพุทธ คือ เรื่องพ้นวัฏฏะ" ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ทำกันได้ เท่าที่ต้องใช้ คือ ความดีพื้นๆ(ด้านบน)ที่ยกตัวอย่างไป ประกอบขึ้นเป็น "บารมี" ให้จิตมีกำลังอย่างยิ่ง ซึ่งระดับชาวพุทธทั่วไป ทำได้ยาก ถึงยากที่สุด เกิดใหม่ก็ลืมหมด ต้องฝึกจิตให้มีกำลังเป็น"บารมี"เสียก่อน ดังนั้น ความจริงที่เน้นกัน เฉพาะคนปรกติเดินดินกินข้าวแกง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยทำประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จ เรื่องทั่วๆไปนั้นละครับ อยากย้ายไปนับถือคริสต์ นับถือพราหมณ์ เป็นสิทธิ์ในศรัทธาจริตของทุกคน ไม่ห้ามไม่มีโทษไม่เป็นบาปครับ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 55 21:54:39 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 21:49:08

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเข้าใจแล้วครับ ในศาสนาพุทธ บาปมาจาก การกระทำ และต้องเป็นการกระทำที่ห้ามไว้ ขอบคุณสำหรับคำอธิบายครับ คุณ Zim-MorLuth จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 55 23:40:32