สัมพันธิ์กันจนแยกไม่ออกครับ
ใจหาย จนจิตตก(บางครั้งถ้าไม่ติดในบัญญัติเกินไปจนทะเลาะกันก็ จะว่า จิตหาย ก็ได้ ใจตกก็ได้)
เสียใจ จน จิตหด
จิตมีสุข จน ใจมีเมตตา(สังเกตเวลาทำสมาธิ แล้วใจจะเกิดความไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียนไหม)
ใจเป็นผุ้รับรู้ จิตเป็นผู้รับผลก็มี
จิตเป็นผู้รับรู้ ใจเป็นผุ้รับผลก็มี
จิตไม่ดี ใจ ก็ไม่ดี
ธรรมชาติ ของจิต เบา กลับกลอกง่าย(เหมือนลิง)
แต่ถ้านำมาฝึกด้วยใจ(เชือก)มีสติเป็นแรงดึงแล้วก็จะ นำสุขมาให้
พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
ผู้ละโลก(ตาหูจมูกลิ้นกายใจ)นี้ไปในขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติสำหรับผู้นั้น เป็นอันหวังได้
ผู้ละโลกนี้ไปในขณะที่จิตผ่องใส สุขคติสำหรับผู้นั้น เป็นอันหวังได้
หรืออาจเปรียบการฝึกจิต เหมือนการทำนาของพระพุทธเจ้าก็ได้ครับ
พุทธพจน์
"ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้าด้วยคำสัตย์ เราทำการงานให้เสร็จด้วยโสรัจจะ ความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ ไปไม่ถอยหลัง ยังที่ซึ้งบุคคลไปแล้วไม่โศกเศร้า
เราทำนาอย่างนี้ที่เราทำนั้นมีผลเป็นอมตะบุคคล บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้"
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 55 14:36:07
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 55 14:32:31
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 55 14:15:07
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 55 14:10:36
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 55 14:05:23