อยากจะมีวิธีแก้ไขปิติที่มันฟูเกินไป เพื่อให้เจริญกรรมฐานต่อไปได้
หลังจากนั้นก็จับลมหายใจเข้าออก กับ คำภาวนาว่า พุทธโธ สัก 5 นาที จิตเริ่มทรงตัวก็นั่งจับลมหายใจ 3 ฐานคือ ปลายจมูก หน้าอก ฐานเหนือสะดือ ตรงนี้ผมยืนยันเวลาไม่ได้แต่เอาเป็นว่าไม่นานมาก คำว่าพุทธโธ ก็หายไปเหลือแต่จับลมหายใจ 3 ฐาน อีกสักพัก เรื่องลมหายใจก็คลายตัวไป รู้สึกแช่มชื่น วูบวาบ เกิดนิมิตพระพุทธรูปองใสที่เคยดูทุกวัน
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เข้ามาอ่านแล้วอยากจะขออนุญาตออกความเห็นครับ
เข้าใจว่าที่ผู้ปฎิบัติสมถะกรรมฐานด้วยอานาปาณสติ ได้เล่าวิธีไว้คือ
1.ตามลมหายใจสามฐาน ทั้งเข้าและออก
2. บริกรรม พุท-โธ
3.ไม่นับรวมถึงอารมณ์ภายนอกที่มากระทบอีกมากมายเช่นเสียง อาการปวดเมื่อย คัน ฯลฯ
ผมสังเกตุว่าอารมณ์(สิ่งที่จิตรู้)ที่ใช้ในการบริกรรมมากไปและที่สำคัญคือ
ไม่ได้เฝ้าดูอารมณ์ กลับไปวิ่งตามอารมณ์(ตามลมที่ไหลไปมา และคำบริกรรม)
ลักษณะนี้ก็เปรียบเหมือนการที่นักสะกดจิตให้เราดูตามลูกตุ้มที่แกว่งไปมาจนจิตคล้อยตามที่เขาสั่งได้ครับ
เข้าใจว่าเมื่อผู้ปฎิบัติเกืดอาการของปิติหรือเกิดเห็นภาพที่มาจากความจำแล้วจะหลงตามเข้าไปจับอารมณ์(ความรู้สึกหรือภาพนั้น)
และจะติดอยู่อย่างนั้น และที่เคยได้อ่านประสบการณ์จากท่านอื่นบางคนถึงกับหลงไปเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆนาๆ
จากที่เคยศึกษาจากพระสูตรหรือพระอภิธรรม จากกัลญานมิตร มาว่า
หลักการเจริญอานาปานสตินั้นท่านให้ มีสติ สัมปชัญญะ และโยนิโสมนสิการ
รู้ชัดถึงลมหายใจ เข้าและออกที่บริเวณเดียวคือที่ปลายจมูกหรือริมฝีปากเท่านั้น
ไม่ได้ให้ตามลมเลย เปรียบเหมือนการดูคนสองคนชักเลื่อยๆไม้ ท่านไม่ให้ตามดูเลื่อยที่ชักไปมา แต่ให้เฝ้าดูที่จุดที่ไม้ถูกเลื่อยตัด
เพราะว่าการจะทำให้จิตมีสมาธิได้ก็เมื่อรู้อารมณ์เดียว และจิตมีหน้าที่เฝ้าดูไม่ใช่ติดตาม
รายละเอียดควรหาอ่านจากตำราดูครับ
ผมเลยสรุปว่าที่ผู้ปฏิบัติติดในอารมณ์ก็เพราะไปหัดให้จิตเกาะติดตามการบริกรรม(คือทั้งลมและคำบริกรรม)
เมื่อมีอารมณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเริ่มมีสมาธิ (จิตสงบจากอารมณ์ภายนอก) เช่นปิติหรือภาพ ที่ผุดขึ้นมา จิตก็ตามอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ
ลองพิจารณาดูครับ เป็นเพียงความเห็นไม่ใช่คำแนะนำครับ
แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 55 17:00:12