ความคิดเห็นที่ 1 ใช้เงินเป็นอุปกรณ์สำคัญ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:39:33

ความคิดเห็นที่ 2 รวดเร็วทันใจ ใช้เงินเบิกทาง จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:40:02

ความคิดเห็นที่ 3 กระตุ้นการบริโภค...สำนักวัดพระธรรมกาย เป็นตัวอย่าง... แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 55 08:41:38 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:40:54

ความคิดเห็นที่ 4 ดูดทรัพย์ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:42:12

ความคิดเห็นที่ 5 บริโภคนิยมแฝงตัว จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:43:01

ความคิดเห็นที่ 6 พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา (นี้คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีสำนักที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา สามารถไปตั้งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้คำแฝงว่าเป็นมหาวิทยาลัยของพระพุทธศาสนา โดยกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมบริโภคนิยมได้อย่างง่ายดาย -จขกท) แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 55 09:53:06 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:45:21

ความคิดเห็นที่ 7 คุณหมอประเวศ เขียนถึงหนังสือพุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต  โดย พระไพศาล วิสาโล จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:46:26

ความคิดเห็นที่ 8 หน้าปกแบบที่1 หนังสือ พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต  โดย พระไพศาล วิสาโล จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:47:47

ความคิดเห็นที่ 9 หน้าปกแบบที่2 หนังสือ พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต  โดย พระไพศาล วิสาโล (ดูเลขอ้างอิง isbn ใช้ค้นในห้องสมุดได้ครับ) จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:49:01

ความคิดเห็นที่ 10 จบตอนที่ 2..... ---------------------------- ทบทวนเล็กน้อยสาระสำัคัญตอนที่ 1 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 08:50:44

ความคิดเห็นที่ 11 คนที่เขาทำบุญนอกจากจะปราถนาความมั่งคั่งร่ำรวยรวยแล้ว ยังปราถณา หลุดพ้นจากความลำบากของความจนด้วย เมื่อคนมีโภคทรัพย์สมบัติในการนำมาใช้สร้างบารมี ความลำบากจากความยากจนก็จะหายไปด้วย แล้วขอคำอธิบายคำว่า " ทาน " ซึ่งเ็ป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบุญบารมีของพระพุทธองค์ซึ่ง เป็นหนึ่งในบารมี 10 ทัศ ของอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยครับ ต่างจากการทำทานการสอนเรื่องทำทานของวัดพระธรรมกายแล้ววัดอื่นส่วนใหญ่สอนต่างวัดพระธรรมกายยังไงยังไง โดยเฉพาะเรื่องพระเวชสันดรชาดก คุณ ต่อmcu ใส่สีตีไข่ก็ต้องอธิบายได้ด้วยครับ "จะป้ายสีลงพื้นขาวกระดาษซักแผ่น ก็ต้องอธิบายได้ครับ ว่าจะสื่อถึงศิลปะชิ้นนั้นยังไง ไม่งั้นมูลค่าของงาน ก็ไม่มีมูลค่าอะไรเลย เท่ากับกระดาษขาวเปื้อนๆผืนเดียวเท่านั้น" ตอบดีๆนะครับไม่ต้องรีบครับ ไม่งั้นงานศิลปะที่นำมาแสดงจะ ไม่มีมูลค่านะครับ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 14:28:26

ความคิดเห็นที่ 12 ดูเจตนาครับ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ลองมองหลายๆมุม ผมไม่เอนเอียงครับ บางอย่างผมชื่นชมทางวัด ขณะที่บางอย่างควรแก้ไข จากคุณ : via iPhone (นักเป่าขลุ่ย) เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 15:05:23

ความคิดเห็นที่ 13 เรียนคุณพัดลมเย็นๆ นี้เป็นหนึ่งในลักษณะการอ้างการสร้างบารมีที่ผิดวิธี... พระพุทธศาสนาไม่สอนเฉพาะเรื่องทานครับ (หากสำนักใดสอนเฉพาะเรื่องทาน ก็ไม่ต่างอะไรกับสำนักที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา และสมัยก่อนพุทธกาลก็สอนเรื่่องทานอยู่แล้ว) อย่าลืมครับ  ...พระเวสสันดรคือ พระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งตอนนั้นท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์(และขณะนั้นก็ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย )  พระองค์ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ และ พระองค์ทราบวาระดีว่าจะต้องทำบารมีชนิดใดจึงจะบำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยม  การให้ทานอย่างยิ่งยวดไม่ทุกคนที่จะทำในลักษณะนั้นได้ การให้ทานของพระโพธิสัตว์คือการสละออก ไม่ใช่เอาผลประโยชน์กับใคร      ..ไม่ควรอ้างการทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตา (ทั้งๆที่คำสอนจริงๆควรให้ทานอย่างมีสติ)แล้วอ้างว่าบำเพ็ญบารมีเยี่ยงพระโพธิสัตว์ เมื่อไหร่ก็ตามที่พระโพธิสัึตว์เกิดในยุคที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว   พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์จะไม่สอนสิ่งที่แตกต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น... ในยุคนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันประกาศสัจธรรมแล้ว ทรงสอนเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ครบทั้ง 3 ประการครับ  ฉะนั้น เราเป็นสาวกก็ต้องปฏิบัติตามท่าน ลองสังเกตดูครับ หากผู้ใดที่่อ้างธรรมผิด เผยแพร่ธรรมะผิดๆ ก็จะติดโลก และหลงโลก แสดงอัตตาตัวตนอันยิ่งใหญ่  (ซึ่งกลับกันกับคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ให้ลด ละ เลิก ยึดติดในตัวตนเล็กลง)..... ------------- ...อาการอยากใหญ่  "อยาก"เผยแพร่ไปมากๆ  ....ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา ...พระพุทธเจ้าสถาปนาพระพุทธศาสนา โดยที่พระองค์ไม่ต้่องการอยากยิ่งใหญ่ แต่เพื่อให้สาวก พากัน ลด ละ เลิก กิเลส ... (เพิ่มเติม-การให้ทานอย่างยิ่งยวด ,การให้ทานของพระโพธิสัตว์คือการสละออก ไม่ใช่เอาผลประโยชน์กับใคร) แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 55 13:29:48 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 55 13:28:57 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 13:36:54 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 13:28:39 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:27:45

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่มเติมลิงค์สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาอ่านใหม่ครับ Y10530971 พระวัดพระธรรมกายสอนอย่างนี้ รับไม่ได้จริงๆ [] http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/05/Y10530971/Y10530971.html Y10648660 คนอย่างนี้นะหรือ ที่เป็นใหญ่ที่สุดในภพสาม ? [] http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/06/Y10648660/Y10648660.html ---------------- พระอาจารย์พยอมพูดถึงธุดงค์.... สำหรับการเดินของสำนักวัดพระธรรมกายเป็น ลู่ดง ไม่ใช่ธุดงค์ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 14:18:16 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:32:11

ความคิดเห็นที่ 15 พระอาจารย์เกษม สฺญญโต พูดถึงธุดงค์ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:33:49

ความคิดเห็นที่ 16 อาจารย์ ส ศิวรักษ์ พูดถึงธรรมกาย ในการซึมเข้าไปในระบบการศึกษาในประเทศไทย.... แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 13:35:55 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:35:39

ความคิดเห็นที่ 17 ....ทำบุญ.....:)...ตกลงผมใส่ไข่ให้สำนักวัดพระธรรมกาย หรือ สำนักวัดพระธรรมกายใส่ไข่ในคำสอนของพระพุทธศาสนา...:)... แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 14:16:36 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 13:51:41 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:51:15

ความคิดเห็นที่ 18 ขออนุโมทนาคุณต่อ mcu และขอให้ความปราถนาของคุณต่อ ประสบผลสำเร็จในเร็ววัน อ่านความเห็นคุณพัดลมแล้ว เหมือนอ่านคำสารภาพผิดตามข้อกล่าวหา งานเขียนของท่านไพศาลนั้น พูดถึงสภาวะโดยรวมของวัดทั่วประเทศ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแต่วัดพระธรรมกาย แต่หลังจากอ่านแล้ว ( โดยบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ )ก็เกิดมโนภาพจานบินหัวนมลอยอยู่ ปุถุชนโดยทั่วไปนั้นทำบุญเพื่อหวังร่ำรวย และหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของคนที่ไม่มีความรู้เรื่องธรรมะ ดังนั้นวัด(ทุกวัดไม่เฉพาะแต่วัดธรรมกาย) ก็ควรจะแก้ไขให้ถูกต้องมิใช่หรือ แต่นี่กลับเห็น เป็นโอกาส เป็นช่องทาง แสวงหาลาภ ก็เลยสนับสนุนความเข้าใจผิดดังกล่าว ให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องไปเสีย การทำบุญหรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือการทำทานนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ กำจัดความโลภที่มีอยู่ในใจของผู้ที่ทำทาน ว่าให้รู้จัก " พอ " และแบ่งปันส่วนที่เกินจากความต้องการของตน ไปยังผู้ที่สมควรจะได้รับทานนั้นๆ เป็นต้นว่า คนที่ขาดแคลน เดือดร้อน.... แต่การที่วัดยุยงส่งเสริมให้คนทำบุญเพื่อหวังผลร่ำรวย ก็เหมือนกับสนับสนุนให้เกิดความ " โลภ " อันเป็นกิเลสที่ต้องกำจัด นี้จึงเป็นการบิดเบือนคำสอนเพื่อเป็นผลประโยชน์ของทางวัดโดยแท้ อีกทั้งยังเป็นการบั่นรอนพระศาสนาอีกด้วย ขอให้ลองนึกดูว่า ปุถุชน (ที่มีความโลภอยู่ในใจ)ต้องการอยากที่จะรวย แต่จะเป็นไปได้หรือ ที่ทุกคนจะรวยเสมอกันหมด เป็นไปได้หรือ ที่จะไม่มีคนยากจนอยู่ในสังคมโลกนี้เลย ในความเป็นจริง มันจะต้องมีทั้งคนจนและคนรวยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการส่งเสริมค่านิยม (ความโลภ)" ทำบุญเพื่อหวังรวย " ก็จะก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนกันเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ ในส่วนนี้ " ทาน " จึงมาทำหน้าที่แก้ปัญหาโดยการขจัดความ " โลภ " ทำให้เกิดการแบ่งปัน คนรวยก็แบ่งส่วนที่มากเกินให้คนจนที่ยังขาดอยู่ สังคมที่มีทั้งคนจน และคนรวย ก็อยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน อย่างนี้จึงจะถูกต้องและเป็นคำสอนที่ วัดทุกวัดมีหน้าที่เผยแผ่ แต่การที่วัดพระธรรมกาย กระทำการตรงกันข้าม สั่งสอนชาวบ้านว่า ทำบุญไปเพื่อจะได้ร่ำรวยหลุดพ้นจากความยากจน อุปมาดั่งเจ้ามือหวย ยุให้คนแทงหวย โดยเอาเงินรางวัล(ที่จะได้มากกว่าเงินลงทุนแทง)เป็นตัวล่อหลอก แต่โอกาสที่จะได้รางวัลมีน้อยมากเมื่อเทียบกับการสูญเสีย แต่จะว่าไปแล้วแม้จะมีโอกาสน้อย แต่ถ้าบังเอิญถูกก็ยังได้ผลตอบแทน ผิดกับผลตอบแทนแบบที่ทางวัดบอกว่าจะได้ " ชาติหน้า " อย่างนี้จึงเป็นการเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านอย่างเลวร้ายที่สุด เพราะทางวัดได้เงินไปเต็มๆในปัจจุบัน ส่วนผลบุญไว้ชาติหน้าละกัน หากจะตั้งความยากจน เป็นโจทย์ที่จะต้องแก้ไข ทางวัดก็ควรจะแสดงหลักธรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงอาทิเช่น ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ (ธรรมที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน) ซึ่งได้แก่ 1.อุฏฐานสัมปทา ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน 2.อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์ (ที่หามาได้) 3.กัลยาณมิตตตา คบคนดีไม่คบคนชั่ว 4.สมชีวิตา เป็นอยู่อย่างพอเพียง เชื่อว่าทางวัดก็ต้องรู้จักหลักธรรมพื้นๆนี้ แต่จะนำมาสอนญาติโยมหรือเปล่า อันนี้ยังสงสัย เพราะเดี๋ยวจะไปขัดกับนโยบายหลักของทางวัด ที่มุ่งเน้นให้ญาติโยมทำบุญกับทางวัดเยอะๆ ที่บรรยายมายืดยาวนี้มิใช่อะไร คือไม่ได้เสวนากับคุณพัดลมมาพักใหญ่ๆแล้ว พอสบโอกาสก็เลยคุยมากหน่อย.....  ก็แค่คิดถึง.....นะจ๊ะ จากคุณ : via iPad (ad law) เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 19:50:09

ความคิดเห็นที่ 19 ขออนุญาตแจม..ซักนิดน่ะท่านน่ะ...  ความคิดเห็นที่ 18 ..........การทำบุญหรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือการทำทานนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ กำจัดความโลภที่มีอยู่ในใจของผู้ที่ทำทาน......   ^^^^^ 1. ที่กล่าวว่า จุดประสงค์ของการทำทาน คือ เพื่อกำจัดกิเลส (โลภะ) คุณ ad low คิดว่า ผลหรืออานิสงส์แห่งทาน ดังกล่าว นอกจากนั้น มีอะไรอีกบ้าง และขึ้นอยู่กับ ผู้ให้ หรือผู้รับ หรือทั้งสองอย่าง เพราะอะไร..?? ( รบกวนแลกเปลี่ยนความเห็น...) จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 20:41:51

ความคิดเห็นที่ 20 ข้อความของเจ้าของกระทู้ "อย่าลืมครับ  ...พระเวสสันดรคือ พระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งตอนนั้นท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์(และขณะนั้นก็ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย )  พระองค์ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ และ พระองค์ทราบวาระดีว่าจะต้องทำบารมีชนิดใดจึงจะบำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยม    ไม่ทุกคนที่จะทำในลักษณะนั้นได้  ..ไม่ควรอ้างการทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตา (ทั้งๆที่คำสอนจริงๆควรให้ทานอย่างมีสติ)แล้วอ้างว่าบำเพ็ญบารมีเยี่ยงพระโพธิสัตว์ เมื่อไหร่ก็ตามที่พระโพธิสัึตว์เกิดในยุคที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว   พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์จะไม่สอนสิ่งที่แตกต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคนั้น..." ขอตอบนะครับ คุณคิดไปเองรึป่าวครับว่าไม่ทุกคนจะทำในลักษณะนั้นได้ ไม่เคยเห็นใครมายืนยันความเห็นนี้เลยสักคนเดียว หากเรื่องที่คุณกล่าวอ้างจริง แสดงว่าเรื่องพระเวสสันดร ชาดก สอนผิดใช่ไหม เพราะอ้างว่าทำทานแบบไม่ลืมหูลืมตา ให้ทั้งลูกทั้งเมีย กับชูชกอีกต่างหาก จริงแล้วที่พระพุทธองค์สอนเรื่อง ผลของอานิสงค์การทำทานอย่างยิ่ง แล้วในแต่ละชาติที่ทานสอน ผลของอานิสงค์ต่างกัน แต่เรื่องพระเวสสันดรเน้นเรื่อง อานิสงค์ของการทำทานเป็นหลัก เพราะบารมี10ทัศให้ผลต่างกัน (วัดส่วนมากมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรเกือบทุกวัด แต่วัดพระธรรมกายไม่ยักกะมี แปลกไหม อิอิ) ส่วน " ..อาการอยากใหญ่  "อยาก"เผยแพร่ไปมากๆ  ....ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา ...พระพุทธเจ้าสถาปนาพระพุทธศาสนา โดยที่พระองค์ไม่ต้่องการอยากยิ่งใหญ่ แต่เพื่อให้สาวก พากัน ลด ละ เลิก กิเลส " ส่วนอาการอยากเผยแผ่ไปมากๆ รบกวนคุณเจ้าของกระทู้ไปศึกษาเหตุของพระพุทธเจ้า ที่เลือกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดแคว้นหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีเมืองหลวงชื่อ กรุงราชคฤห์ หากท่านไม่ต้องการให้พระพุทธศาสนายิ่งใหญ่ไม่ต้องเดินทางไปไหนก็ได้ครับ และไปศึกษาวิธี การเข้าเมืองของท่านด้วยครับ ทั้งๆที่สมัยมีอีกศาสนาที่กำลังฮิตด้วยคือศาสนา เชน อีกด้วย ยิ่งใหญ่ยิ่งใหญ่ด้านไหนระบุด้วยครับ วัดพระธรรมกายยิ่งใหญ่ด้านฝึกจริยะธรรม สร้างสถาปัตยกรรมคู่พระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาคู่โลก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม สถานทีี่สะอาดตา ต้อนรับทุกคน  พร้อมให้ชาวพุทธ มาปฏิธรรมนับล้าน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนวัดพระธรรมกายจะสอนแบบไหน รับไม่ได้จริงๆอันนั้นเรื่องของคนๆนั้น ส่วนเรื่องคนอย่างนี้นะหรือ ที่เป็นใหญ่ที่สุดในภพสาม ? คำที่ว่านี้หมาเห่าใบตองแห้งสุดๆ เป็นการสร้างวาทะกรรม จอมปลอม ที่กระผมเข้าออกที่วัดพระธรรมกายนับสิบกว่าปี เป็นประจำ ก็ไม่เคยได้ยิน ก็ไม่รู้ไปเอาวาทะกรรมนี้มาจากไหน แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 00:02:05 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 23:59:52 จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 23:55:19

ความคิดเห็นที่ 21 ฝากให้ คุณ ad law "อ่านความเห็นคุณพัดลมแล้ว เหมือนอ่านคำสารภาพผิดตามข้อกล่าวหา งานเขียนของท่านไพศาลนั้น พูดถึงสภาวะโดยรวมของวัดทั่วประเทศ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแต่วัดพระธรรมกาย  แต่หลังจากอ่านแล้ว ( โดยบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ )ก็เกิดมโนภาพจานบินหัวนมลอยอยู่ " อาจารย์ ไพศาล เขาจะเจาะจงหรือไม่เจาะจงไม่รู้ครับ แต่อ่านนะครับหัวข้อกระทู้เขาว่ายังไง เบิ่งตาโตโต หากยังไม่เห็นอีกแสดงว่าอ่านหนังสือภาษาไทยไม่แตกฉาน **ติดอาวุธทางปัญญา** กรณีธรรมกาย ตอนพิเศษ 2 ศาสนาใหม่ แล้วอย่าลืมทำการบ้าน เรื่องอานิสงค์ของการทำทานด้วยนะครับ ที่คุณพี่(pa-o-toi-uan)ถามมา จะได้ไม่มามั่วอีกเหมือนกระทู้ที่ผ่านๆมา แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 00:53:59 จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 00:51:15

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบพระคุณ คุณพี่pa-o ที่กรุณาเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น ad low แต่ขอไม่รับนะ เพราะชอบชื่อเก่า ad law มากกว่า ต่อข้อถามของคุณพี่ ไม่แน่ใจว่าจะตอบถูกใจคุณ pa-o รึเปล่า คือตอนแรกกะว่าจะยกตำรามาตอบ แต่เห็นข้อความในวงเล็บแล้ว         ( รบกวนแลกเปลี่ยนความเห็น.... ) ก็เลยจะขอตอบตามความเห็นของตนโดยไม่อ้างอิงตำราใดๆ ในเรื่องของการทำบุญ ( ให้ทาน ) นั้น ส่วนตัวมองว่า ที่ควรต้องพิจารณามากที่สุดคือ " ผู้ให้ " ที่สำคัญมากที่สุดเลยคือผู้ให้จะต้องถึงพร้อมในทุกๆด้านของการให้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้มีอันจะกินหรือคนรวย " เท่านั้น " ส่วนคนที่ยังไม่พร้อม(คนจน) ควรจะนึกถึงตนเองก่อนผู้อื่นโดยเฉพาะวัด ซึ่งในส่วนนี้ก็จะไปสอดคล้องกับที่คุณ pa-o เคยตอบไว้ว่า บางคนที่เขาทำบุญกับวัด ก็ไม่ได้หวังรวยอะไรเพราะเขารวยอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงแสดงความเห็นคัดค้าน เมื่อคุณพัดลมบอกว่า " คนที่ทำบุญเขาก็ปราถนาจะหลุดพ้นจากความยากจน " คนที่ยากจนมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว ทางวัดก็ยังอุตส่าห์จะไปหลอกเขาอีก แทนที่จะบอกสอนเขาว่า ถ้ายังลำบากยากจนก็เก็บเงินไว้กับตัวดีกว่า หรือไม่ก็เอาไปฝากธนาคาร ถึงแม้จะได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย แต่ก็ได้แน่ๆในชาตินี้ ซึ่งน่าจะดีกว่าเอาไปทำบุญแล้วรอได้ผล " ชาติหน้า " ถึงได้นำไปเปรียบกับการซื้อหวยเถื่อน คือการเอารัดเอาเปรียบ หากินกับความหวังลมๆแล้งๆของคนยากจน ใจดำมากนะ ไม่ว่าจะเป็น วัด พระ หรือผู้นำบุญ ที่จะไปบอกคนจนๆว่า " ชาตินี้เกิดมาจน ต้องทำบุญมากๆ แล้วชาติหน้าจะเกิดมารวย " ถึงตรงนี้เลยอยากจะฝากไปถึงคุณพัดลมสักนิด ที่พวกเราเสวนากันในนี้ ก็แค่การโต้ตอบกันในโลกไซเบอร์ ก็ช่างมันเถอะ แต่อยากจะถามคุณพัดลม เอาเรื่องจริงๆเลยนะว่า คุณไปบอกคนจนๆว่า " ถ้าอยากรวยต้องทำบุญ " อย่างนี้จริงๆหรือ..... จากคุณ : via iPad (ad law) เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 09:58:36

ความคิดเห็นที่ 23 กราบขออภัยที่พิมพ์ชื่อ คุณ ad law ผิด..ไม่เจตนาจริงๆ (ความเห็น อ้างอิง)  ความคิดเห็นที่ 18 ..........การทำบุญหรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือการทำทานนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ กำจัดความโลภที่มีอยู่ในใจของผู้ที่ทำทาน......   ความคิดเห็นที่ 22 .......ส่วนตัวมองว่า ที่ควรต้องพิจารณามากที่สุดคือ " ผู้ให้ "........ ^^^^^^ เป็นอันแน่นอนว่า ในความเห็นท่าน มุ่งที่ตัวผู้ให้เป็นหลัก ถูกต้องไหม.? งั้นมาถึงคำถามที่ 2. สมมติว่า หากท่านจำเป็นต้อง เลือกทำทาน โดยให้เพียงครั้งเดียว  ระหว่างสุนัขที่กำลังจะอดตาย  กับพระอริยะ ผู้ทรงศีล กรณีข้อนี้ ท่าน ad law จะให้ทานใคร.? พร้อมช่วยอธิบายเหตุผลที่เลือกให้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 10:34:21 จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 10:29:33

ความคิดเห็นที่ 24 อนุโมทนาคุณ ad law คห 18 ครับ อ่านแล้วประเทืองปัญญาดีมากครับ ฝากถึงสาวกลัทธิธรรมกาย.......:)....ส่องกระจกที่เปอระเปื้อนสิ่งสกปรก  แล้วปากก็บอกว่าสิ่งต่างๆอีกฝั่งของกระจกมีแต่สิ่งสกปรก    ใครๆเตือนว่ากระจกท่านนั้นสกปรกก็ไม่เชืือ(อัตตาตัวตนใหญ่คับฟ้า)...เช็ดกระจกนะครับแล้วท่านจะเห็นความจริง ...นะจ๊ะ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลของสาวกลัทธิธรรมกายที่ลงไว้นะครับ(และท่านเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายท่านได้สร้างปัญญาบารมี ขันติบารมี อีกมากมาย)  ผู้อ่านจะได้พิจารณาตามสติปัญญาที่มี...นึกถึงคำโบราณท่านว่าไว้   "คนดีชอบแก้ไข  คน...ชอบแก้ตัว" พบกันใหม่ภาคพิเศษตอนต่อไป  ... ---------------    ขอบคุณสื่อมวลชนที่เริ่มมองเห็นปัญหาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนะครับ  อนุโมทนาบุญส่วนนี้ด้วย  ค่อยๆแก้กันไปครับ .............. ตัวอย่างตอนต่อไปที่เข้มข้น (สาวกลัทธิธรรมกายบอกว่าผมใส่ไข่  ถ้าเป็นไข่ก็คงเป็นไข่นกกระจอกเทศ ดีไหมจ๊ะ  คนดี ) หน้า (5) โดยอาจารย์ นิธิ  เอียวศรีวงศ์ ..............นโยบายสาธารณะทั้งหมดของสังคมไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานคติของพระพุทธศาสนา  ทั้งๆที่ในอดีตผู้ปกครองยึดถือ(หรืออ้างว่ายึดถือ)  อุดมคติของพุทธเป็นแกนหลักเสมอ  ในขณะเดียวกันผู้คนต่างหันไปยึดถือลัทธิพิธีมากกว่าซึ่งเกิดเป็นดอกเห็ด  ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับหลักพุทธธรรม   แม้ว่ายังแฝงตัวอยู่ในฉายาของพระพุทธศาสนาก็ตาม  วัดเสียอีกกลับดึงดูดผู้คนได้น้อย ยกเว้นการทำพิธีกรรม  โดยเฉพาะพิธีกรรรมที่มีการวางแผนการตลาดมาอย่างดี  คนหนุ่มคนสาวส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระศาสนา ยกเว้นการบวชเป็นพิธีกรรม  ฉะนั้นจึงปฏิเสธได้ยากว่า  พระพุทธศาสนาไทยกำลังเผชิญวิกฤตที่หนักมากทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่พอจะมองเห็นได้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 11:44:05 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 11:30:33 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 11:19:16 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 11:14:22 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 10:55:14

ความคิดเห็นที่ 25 ทำทานต้องมีปัญญากำกับ ต้องใช้สติพิจารณาเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบด้วยครับ จากคุณ : helzblueboy เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 12:37:08

ความคิดเห็นที่ 26 ลงข้อมูลอีกนิดหน่อย  ...แล้วเจอกันตอนหน้า (ภาคปรกติจะกลับมาหลังภาคพิเศษจบลงนะจ๊ะ) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 14:01:11 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 14:00:57

ความคิดเห็นที่ 27 คุณยังตอบไม่ตรงประเดนนะครับเรื่องอานิสงค์ของการทำทาน คุณ via iPad (ad law) คำถามคืออานิสงค์(ผลที่ได้จากการทำบุญ)ของการทำทานครับ นี่คือคำถาม "คนที่ยากจนมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว ทางวัดก็ยังอุตส่าห์จะไปหลอกเขาอีก" ข้อความนี้เข้าค่ายหมิ่นประมาททางวัดชัดเจนนะครับ หากคิดว่าทางวัดหรอกเงินคนมาจริงก็เชิญไปแจ้งความได้เลย อย่ามาแบบ อุทานลอยๆครับ เพราะคนที่เขาทำบุญเขาศรัทธาต่างหากครับไม่ได้บังคับหรือขู่เข็ญใครมาทำบุญ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 15:56:36

ความคิดเห็นที่ 28 คุณต่อmcu สิ่งที่คุณนำมาลงในโพส26 วนไปเวียนมาเรื่องเก่าคร่ำครึ พระลิขิต5ฉบับไม่ได้ระบุเน้นถึงวัดพระธรรมกายแต่หมายถึงวัดทั้งหมดในเถระสมาคมเพื่อมีการจัดระเบียบ แ้ล้วก็ไม่ได้เป็นคำพิพากศาหรือคำตัดสินใดๆ อย่าเอาพระลิตขิตมาบิดเบือนอีกเลยครับ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 16:00:10

ความคิดเห็นที่ 29 เรียนคุณพัดลมเย็นๆ คห  28 ...แล้วหมู่ใด สาระวน วนเวียนอยู่กับคำสอนเรื่อง ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาแล้วจะ "รวย"   ...ไม่เก่าไปหรอกครับ เพราะคนรุ่นหลัง หรือคนเพิ่งเข้ามาจะได้ทราบข้อมูลไว้  อันที่จริงผมก็นำมาจากเพื่อนๆในห้องศาสนาที่ลงไว้   ผมก็นำมาลงไว้อีก ข้อมูลจะได้อยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 3 .... อย่าเอาคำสอนของสำนักวัดพระธรรมกายมาบิดเบือนเรื่องการทำทานในพระพุทธศาสนานะครับ จริงๆ เรื่องทานได้ตอบไปแล้วใน คห 13 และ 17,18 (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คห 18 ที่คุณ ad law อธิบายก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว)  มีคำตอบอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่มีเพื่อนสมาชิกหลายท่าน ก็เคยอธิบายไว้หลายมิติ ลองกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆดูก็ได้ครับ      แต่หลายปี หลายกระทู้เหล่าสาวกลัทธิธรรมกายไม่อาจจะเข้าใจในความหมาย  ผมมองว่าเป็นเรื่องปรกติครับ เพราะท่านศรัทธาลัทธินี้เสียแล้ว หลักคำสอนต่างๆของลัทธิก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ท่านเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร (ผมไม่ได้อ้างลอยๆครับ ท่านลองค้นเอกสารของลัทธิท่านดู  ท่านลองนับ คำว่า รวยได้กี่คำ   วันก่อนผมไป รพ แห่งหนึ่ง  เจอหนังสือของสำนักนี้  มีคำกลอนเกี่ยวกับการทำบุญแล้วรวย มีคำว่า รวยหลายสิบคำ  เพียงแค่ทำบุญให้ทานเป็นเงิน)      อันที่จริง ผมจะไม่ตอบคำถามกับคุณพัดลมเย็นๆก็ได้  เพราะไม่มีประโยชน์ในการสนทนากับท่านให้ท่านได้ประโยชน์   แต่เป็นเพราะอาจจะมีประโยชน์กั้บท่านอื่นๆ   กระทู้นี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สามารถเข้าใจความหมายตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง  คนที่สั่งสมบารมีมากพอที่จะเข้าใจพุทธธรรมได้ -----------------    ค่อยคุยกันใหม่กระทู้หน้านะจ๊ะ พัดลมเย็นๆ  ใจเย็นๆนะจ๊ะ เจอแฟนพันธุ์แท้กระทู้ ติดอาวุธทางปัญญา กรณีธรรมกาย อีกคนแล้ว  ยินดีต้อนรั้บครับ ขอให้ติดตามทุกกระทู้นะครับ ท่านอาจจะได้ประโยชน์ (คนแรกที่ผมพูดคำนี้คือ คุณ pa-o ครับ เขาก็ติดตามตลอด ก็ "อาจจะได้ประโยชน์") แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 20:47:19 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 20:45:06 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 20:42:44

ความคิดเห็นที่ 30 ผมไม่เข้าใจว่าเจ้าของกระทู้พยายามเล่นมุขมึนหรือแกล้งโง่ครับ จึงไม่เข้าใจคำว่า อานิสงค์กับคำว่าวัตถุประสงค์ของการทำทาน ผมว่าเรื่องพระเวสสันดรคุณยังไม่รู้จักด้วยซ้ำทั้งที่เป็นชาติที่สร้างบารมีครั้งที่สำคัญ เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องบารมี10ทัศ นั้นเพื่อเหตุใด นั้นคืออานิสงค์ของการสร้างบารมี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในภายภาคหน้า เพราะอันที่จริงคุณทั้งสองก็ยังไม่ได้ตอบคำถามอะไรเลย ทั้งๆที่ีคำถามของ pa-o-toi-uan ง่ายนิดเดียว คนที่อ้างตัวว่าเป็นพุทธแท้น่าจะเข้าใจ อานิสงค์ของการทำทานคืออะไร ง่ายๆ ผมบอกแล้วงานศิลปะที่คุณนำมาแสดงคุณยังอธิบายไม่ได้เลยมันก็คือกระดาษขาวเปื้อนๆธรรมดา แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 22:32:40 จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 22:14:48

ความคิดเห็นที่ 31  แฟนพันธุ์แท้กระทู้ ติดอาวุธทางปัญญา กรณีธรรมกาย.... จากคุณ : ต่อmcu ^^^ ....หามิได้คุณต่อ... หากจะพูดเรื่องความยึดมั่น และตามติดวัดพระธรรมกายอย่างแท้จริง..เมื่อดูจากความเพียรในการพิมพ์เป็นร้อยบรรทัด ข้อมูลเท็จและความเห็นส่วนตัว ที่พยายามสอดแทรกมากมาย..ต้องยกนิ้ว แถมสายสะพาย ให้คุณต่อจะเหมาะที่จะเป็นแฟนวัดฯ มากกว่า.. ...เพียงแต่กระทู้คุณต่อ มีข้อดีคือ ถือเป็นช่องทาง ในการนำเสนอความจริงอีกมุมหนึ่งให้ผู้อื่นได้พิจารณาและตอบคำถามให้กับตนเองได้บ้าง เท่านั้นเอง... จากคุณ : ดีน่ะ (pa-o-toi-uan) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 09:41:27

ความคิดเห็นที่ 32 พัดลมโง่ๆ :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 23:27:47

ความคิดเห็นที่ 33 ^^^ผมโง่คุณก็ควายเรียกพ่อ^^^หละไม่เข้าใจของอานิสงค์ของการทำทานตอบกันไม่ได้ มาว่าคนอื่นโง่ซะงั้นน่าสมเพศนะ สมองก็คงมีเท่าใบไม้กำนั้นหละ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 01:21:23 จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 01:18:41

ความคิดเห็นที่ 34 ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์ ขอขอบคุณ ข้อคิดดีๆ จาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 02:00:43

ความคิดเห็นที่ 35 ต้องกราบขออภัยกับคุณต่อ mcu ที่ถือวิสาสะใช้พื้นที่กระทู้ของคุณต่อ สนทนากับคุณ pa-o แถมเรื่องที่สนทนาก็เริ่มที่จะทำท่าหันหัวเรือออกจากฝั่ง(กระทู้)...!!! ขออภัยคุณพี่ pa-o ที่ทำให้รอนาน (ไม่ทราบว่ายังรออยู่รึเปล่า) ที่ิเข้ามาตอบช้าก็สืบเนื่องมาจาก คห.27 ของคุณพัดลมที่ว่า " ข้อความนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาททางวัดชัดเจน " จึงได้นำความดังกล่าว เข้าหารือกับ ทีมงาน ที่ปรึกษา ฝ่ายกฎหมาย... ให้ช่วยกัน วิเคราะห์ วินิจฉัย เพื่อสรุปเป็นแนวทางในการดำเนินการ ทั้งคณะประกอบด้วย ทีมงานฝ่ายข้อมูลกฎหมายสามท่าน ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิเคราะห์ วินิจฉัย ข้อกฎหมาย สามท่าน ผลออกมามีดังนี้ ตามเนื้อหาการแสดงความเห็นที่ 22 นั้น ฝ่ายวินิจฉัยท่านแรกเห็นว่า อาจจะเข้าข่าย แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้เสียหายจะต้องนำสืบให้ได้ว่า ได้รับความอับอาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง...ฯลฯ ท่านที่สองเห็นว่า ไม่เป็นการหมิ่นประมาทแต่อย่างใด เพราะทางผู้เสียหายก็ถูกสังคมตั้งข้อสงสัยแบบนี้อยู่นานแล้ว ท่านที่สามบอกว่าแม้จะเข้าข่ายหมิ่นประมาท แต่ก็มีข้อยกเว้นในกรณีที่ เป็นการแสดงความเห็น โดยเจตนาบริสุทธิเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม จึงได้ส่งต่อฝ่ายข้อมูล ให้ไปค้นฎีกาดังกล่าวพร้อมคัดลอกเพื่อนำมา เป็นข้อมูลเทียบเคียงกับคดีนี้อีกครั้ง.... อย่างไรก็ดีองค์คณะทั้งหกท่านมีมติร่วมกันเป็นเอกฉันท์ ให้ดำเนินการต่อ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน เพื่อธำรงรักษาพระศาสนา แต่ก็มีท่านนึงแนะนำว่า เพื่อความไม่ประมาท และเพื่อเป็นหนทางสู้คดี ควรหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคู่กรณีโดยตรง ให้กล่าวโดยอ้อมแทนเช่น ธมก., ทำมาโกย ,ทำมะโกย ,ทำมะกลาย ,ทำม้ากาย...ฯลฯ... ส่วนอีกท่านให้กำลังใจว่า "ไม่เป็นไรดอก คุณเองก็อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่เคยต้องโทษคดีใดๆ" "เกิดพลาดท่าเสียทีเข้าจริง ก็น่าจะขอทุเลา รอลงอาญาได้...ฯ" อีกท่านเตือนว่า "คุณอย่าได้ประมาทไป เพราะคู่กรณีเป็นองค์กรใหญ่โต " "มีสรรพกำลังพรั่งพร้อมในทุกๆด้าน หากจะต่อกรด้วย ควรวางแผนให้รัดกุม...ฯ" ท่านสุดท้ายจะออกแนวฮาร์ดคอร์นิดๆ "เห้ยยยยย....อย่าไปกลัว ให้มันฟ้องมา เดี๋ยวจะทำคดีให้" "รู้ไม๊ พวกผู้พิพากษาหลายท่านไม่ชอบลัทธินี้ เผลอๆจะโดนยกฟ้อง..." ฟังแล้ว(ว่าที่)จำเลย มึนตึ้บ สมองเบลอ งงไปหมด ไม่รู้ว่าจะเชื่อท่านไหนดี เอาเป็นว่าก่อนที่จะเลยออกไปยังน่านน้ำสากล ควรที่จะกลับมาตอบคำถามพี่ pa-o เสียก่อน เอ๊ะถามว่าไงนะ...?!? อ๋อ...เรื่องสมมติว่าต้องเลือกให้ทาน แหม....พี่pa-o ก็ช่างสมมติสถานการณ์ที่ไกลจากความจริงเหลือเกิน อย่างน้องเนี่ยนะ หมาหลายๆตัว พระหลายรูปก็ยังอุปการะได้อยู่ แต่ถ้าเอาตามเงื่อนไขสมมติ คือต้องเลือกเพราะให้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าว่าตามตำรา ก็คงจะต้องเลือกให้กับพระ และนี่ก็เป็นพระอริยผู้ทรงศีลด้วย เมื่อก่อนตอนยังไม่รู้ประสา ก็มีไปปล่อยนกปล่อยเต่ากับเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเดรัจฉานเหล่านั้น ไม่มีวาระจิตที่จะโมทนารับรู้บุญกุศลใดๆ ถ้าจะต้องอุปการะช่วยเหลือสงเคราะห์ทำบุญกุศล จึงควรทำกับคนด้วยกัน ถ้ายิ่งเป็นคนดี(มีศีล)มากเท่าไร ก็จะยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้น แต่ในกรณีสมมติของพี่pa-o นี้ ตนเองจะขอเลือกให้กับหมา เพราะมองประโยชน์ในปัจจุบัน มากกว่าจะหวังอานิสงค์ภายภาคหน้า อีกประการที่สำคัญมากในการตัดสินใจเลือก คือวาระจิตของตนเอง คือมองว่าถ้าตัวเองจะต้องตายไป ณ ตอนนั้นจิตน่าจะเป็นสุขที่ได้ช่วยหมา แต่อาจจะเป็นทุกข์ ที่ปล่อยให้หมาตาย เพียงเพราะยึดมั่นถือมั่นในตำรา อย่างไรก็ดีเพื่อความไม่ประมาท หลังจากที่ให้หมาแล้วจะบอกพระว่า "กราบเรียนพระคุณเจ้าเนื่องจากตอนนี้โยมให้ได้เพียงครั้งเดียว จึงเลือกช่วยชีวิต" "แต่หากมีโอกาสถัดไปอีก โยมขอปวารณากับรูปว่าจากนี้ไปไม่ว่ารูปจะประสงค์สิ่งใด" "โยมจะจัดนำมาถวาย และขอปวารณาต่อเป็นนิจ" เพียงเท่านี้ก็เชื่อว่าจิตของตนน่าจะเป็นสุข ปล.ถึงคุณพัดลมเย็นๆ คุณไม่ต้องมาคาดคั้นจะต้องเอาคำตอบจากเราให้ได้หรอก คำตอบที่คุณต้องการคุณก็ทราบดีอยู่แล้ว เพราะเราต่างก็อ้างอิงตำราเล่มเดียวกัน ที่แตกต่างคือเรารู้ไว้เพื่อพิจารณา แต่ของคุณเอาคำตอบดังกล่าวไปหากิน อีกอย่างนะ เราก็เคยตั้งคำถามคุณมากมาย ที่ตอบก็มีแต่ที่หนีหน้าหายไปก็มาก เอาง่ายๆนะเราถามคุณก่อนที่คุณจะถามเราไว้ในคห.ที่22ว่า "คุณไปบอกคนจนๆว่า ถ้าอยากรวยต้องทำบุญ อย่างนี้จริงๆหรือ" คุณตอบเราแล้วรึยัง....!! จากคุณ : via iPad (ad law) เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 10:00:17

ความคิดเห็นที่ 36 ...:)...เข้ามาอนุโมทนาคุณ ad law ...คุณรู้ไหม ผมให้กิฟท์คุณก่อนอ่าน คห ของคุณ โดยที่ยังไม่ได้อ่าน คห ของคุณ(คห หลังๆ) เพราะผมทราบดีว่า เนื้อหาจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน..(โดยปรกติผมจะอ่านเนื้อหาก่อนให้กิฟท์) ------------ ว่าแล้วก็ลงข้อมูลเกี่ยวกับ การจัดสรรทรัพย์ตามหลักในพระไตรปิฎก เผื่อเป็นประโยชน์ (ตัวอย่าง...  เมื่อได้ทรัพย์มา บางส่วนจ่ายหนี้  บางส่วนต้องพิทักษ์รักษา ไม่ให้เสื่อมทรัพย์....) http://www.mattaiya.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=539194954 การจัดสรรเงิน [๑๙๗] ...เมื่อบุคคลออมโภคสมบัติอยู่เหมือนแมลงผึ้งผนวกรัง โภคสมบัติย่อมถึงความสั่งสมดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้แล้ว พึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็นสี่ส่วน          1) เขาย่อมสมานมิตรไว้ได้ พึงใช้สอยโภคสมบัติด้วยส่วนหนึ่ง          2) พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน          3) พึงเก็บส่วนที่สี่ไว้ด้วย หมายว่าจักมีไว้ในยามอันตราย ดังนี้ ฯ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  บรรทัดที่ ๔๐๙๘ - ๔๑๐๘.  หน้าที่  ๑๖๙. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=11&A=4098&Z=4108&pagebreak=0 ตัดตอนมาจาก สิงคาลกสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=3923&Z=4206&pagebreak=0 ---------------------    ขอขอบคุณและขอธรรมะคุ้มครองนะครับ คุณ ad law (ธรรมะจัดสรร ) แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:15:11 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:11:43 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:10:42 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:09:41 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:06:58 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 12:02:31 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 12:01:25

ความคิดเห็นที่ 37 รวย รวย รวย ! ! ! เอ้า !  ซ่า . . . . . . . . . . . .  ธุ จากคุณ : helzblueboy เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 12:25:19

ความคิดเห็นที่ 38 คุณตอบอานิสงค์ของการทำทานก่อนดีกว่า่มั้ง จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 12:36:47

ความคิดเห็นที่ 39 .....:)....ลงข้อมูลบางส่วนเผื่อมีประโยชน์ครับ วิธีการสร้างบุญบารมี (ทาน ศีล ภาวนา) http://www.fungdham.com/book/prasungkarad.html แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 14:26:28 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 14:08:27

ความคิดเห็นที่ 40 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 19:18:16 จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 18:52:29

ความคิดเห็นที่ 41 ความคิดเห็นที่ 35 แต่ถ้าเอาตามเงื่อนไขสมมติ คือต้องเลือกเพราะให้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าว่าตามตำรา ก็คงจะต้องเลือกให้กับพระ และนี่ก็เป็นพระอริยผู้ทรงศีลด้วย เมื่อก่อนตอนยังไม่รู้ประสา ก็มีไปปล่อยนกปล่อยเต่ากับเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเดรัจฉานเหล่านั้น ไม่มีวาระจิตที่จะโมทนารับรู้บุญกุศลใดๆ ถ้าจะต้องอุปการะช่วยเหลือสงเคราะห์ทำบุญกุศล จึงควรทำกับคนด้วยกัน ถ้ายิ่งเป็นคนดี(มีศีล)มากเท่าไร ก็จะยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้น จากคุณ : via iPad (ad law) ความคิดเห็นที่ 35 แต่ในกรณีสมมติของพี่pa-o นี้ ตนเองจะขอเลือกให้กับหมา เพราะมองประโยชน์ในปัจจุบัน มากกว่าจะหวังอานิสงค์ภายภาคหน้า อีกประการที่สำคัญมากในการตัดสินใจเลือก คือวาระจิตของตนเอง คือมองว่าถ้าตัวเองจะต้องตายไป ณ ตอนนั้นจิตน่าจะเป็นสุขที่ได้ช่วยหมา แต่อาจจะเป็นทุกข์ ที่ปล่อยให้หมาตาย เพียงเพราะยึดมั่นถือมั่นในตำรา จากคุณ : via iPad (ad law) (กลับมาที่ ความเห็นเดิม) ความคิดเห็นที่ 18 ..........การทำบุญหรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือการทำทานนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ กำจัดความโลภที่มีอยู่ในใจของผู้ที่ทำทาน...... จากคุณ : via iPad (ad law) ^^^^^^^^^ คำตอบของคุณในความเห็นที่ 35 เลือกผู้รับ เพราะเห็นแก่ อานิสงส์มากกว่า ( คุณใช้คำว่า "ตำรา" แทนคำว่า พระไตรปิฎก ถูกต้องไม๊) ถามว่า การเห็นแก่อานิสงส์ ที่มากกว่า ถือเป็นความโลภหรือไม่ ??   ต่อมา (ดูเหมือนคุณเริ่ม จินตนาการ เป็นแล้ว..) บอกว่า ไม่เอาและ..ให้สุนัขล่ะกัน.. (.แต่ในที่สุด ดูตรงนี้แล้วดูใจตนเองให้ดีๆ)>>>> "อย่างไรก็ดีเพื่อความไม่ประมาท หลังจากที่ให้หมาแล้วจะบอกพระว่า "กราบเรียนพระคุณเจ้าเนื่องจากตอนนี้โยมให้ได้เพียงครั้งเดียว จึงเลือกช่วยชีวิต" "แต่หากมีโอกาสถัดไปอีก โยมขอปวารณากับรูปว่าจากนี้ไปไม่ว่ารูปจะประสงค์สิ่งใด" "โยมจะจัดนำมาถวาย และขอปวารณาต่อเป็นนิจ" เพียงเท่านี้ก็เชื่อว่าจิตของตนน่าจะเป็นสุข จากคุณ : via iPad (ad law) ^^^^^ เห็นก้นบึ้งของ จิตท่านหรือไม่ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะอย่างไร ความปรารถนา ที่จะได้บุญ ก็มีอยู่ดี...ขนาดทำไปหมดแล้ว ยังหวังจะได้สร้างบุญกับพระอีก ถ้าท่านไปย้อนดูคำตอบแรก ตามความคิดท่าน แค่ตัดกิเลส ก็พอแล้ว มิใช่หรือ....... เหตุไฉนต้องหวัง หรือเลือกที่จะทำอีกเล่า......   ปล. ขึ้นชื่อว่า การให้ทาน นั้น....เมื่อทรัพย์นั้นหลุดจากเรา ความตระหนี่ ก็หลุดแล้ว .... ที่เหลือก็เป็นแค่การล้อมคอก ให้ผลแห่งทานนั้น มีหางเสือ บังคับบ้าง แค่นั้น...     แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 55 19:39:50 จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 19:15:38

ความคิดเห็นที่ 43 อุ๊ย ธรรมกายน๊อตหลุด ก็นั่นล่ะนะ ลัทธิไม่ได้สอนให้ควบคุมอารมณ์เป็นนี่นา :D เอ้า ชิตังเม รวย รวย รวย :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 22:28:18

ความคิดเห็นที่ 44 ูู^^^เข้าใจอะไรผิดป่าวครับ ผมตั้งใจบอกคุณด้วยความห่วงใยจริงๆนะครับ "ควายเรียกพ่อ"จริงๆนะ บอกให้เอาบุญนะครับ คุณสมองเท่าใบไม้กำนั้น ชิตังเม รวย คำว่ารวย แปลว่ามีอยู่มาก ไม่ได้แปลว่ารวยอย่างเดียวเท่านั้น รวยบุญ รวยบารมี รวยทรัพย์สมบัติ รวยปัญญา รวยชัยชนะ ทั้งหมดนี้ เป็นพัลวะปัจจัยในการสร้างบารมี ทำให้หลุดพ้น จากวัฏสงสารได้ไวขึ้น จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 00:07:20

ความคิดเห็นที่ 45 โถๆ ธรรมกายเอ๊ย ฮ่าฮ่า :D อุตสาห์อยากจะอธิบาย ความรู้ไส้ติ่งกบ ที่ได้เรียนรู้มาอีกต่างหาก ช่างเป็นประโยชน์ต่อสังคมล้นพ้นเหลือคณาฯ น่าเอ็นดู เอ้า อธิบายยาวไปตามชอบเลยนะจ๊ะๆ เพื่อประโยชน์ต่อผู้ที่ยังไม่เข้าใจธรรมกาย เอ้า ชิตังเมๆ รวย รวย รวย ศิษย์ธรรมกรวยจงรวยอย่างไม่คิดชีวิต \(^o^)/ จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 10:37:03

ความคิดเห็นที่ 46 ข้อมูลบางส่วน จากพระธรรมเทศนา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เรื่องทานวัตถุ-ฉากหลัง วันอังคารที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๙ "...ฯลฯ  ณ บัดนี้อาตมภาพจะได้แสดงธรรมิกถา เป็นจารีตประเพณีสืบมา แต่ไหนแต่ไรไป พระพุทธเจ้าจะอุบัติตรัสขึ้นในโลก ก็มีทานวัตถุการให้ซึ่งกันและกันอยู่ พระพุทธเจ้าจะไม่อุบัติเกิดขึ้นในโลก ทานวัตถุก็มีการให้กันอยู่ แต่ว่าทานบัญญัติไว้เป็นทานวัตถุ วัตถุ ๑๐ ประการ ทานการให้จำเป็นทีเดียว ต้องสงเคราะห์อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน โลกซึ่งเป็นอยู่ได้นี้เริ่มต้นทีเดียว ตระกูลต้องให้ทานในกันและกัน ถ้าไม่ให้ทานในกันและกันละก็ ตระกูลอยู่ไม่ได้ แม้แต่พระมหากษัตริย์ปกครองประเทศ ต้องให้ทานในกันและกัน ไม่ให้ทานในกันและกันละก็ ปกครองประเทศอยู่ไม่ได้ ยิ่งให้ต้องให้หนัก พระมหากษัตริย์ต้องให้หนัก  ให้ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ ต้องให้หนัก เพราะการปกครองใหญ่ กว้าง ต้องให้มากออกไป ผู้ปกครองตระกูลน้อย ตระกูลใหญ่ก็ต้องให้หนักขึ้นไป ตระกูลน้อยก็ต้องให้ไปตามส่วน  ถ้าให้มากเท่าไรตระกูลนั้นก็ต้องยิ่งใหญ่ขึ้นไป การให้เป็นข้อสำคัญนัก ไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้าย.....ฯลฯ..." จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 12:08:16

ความคิดเห็นที่ 47 (บางส่วน ต่อจาก คห.46) "ฯลฯ....ถ้ารู้จักทานการให้จะเป็นคนสูงคนใหญ่เพียงเท่าใด  ก็เป็นได้ อุตส่าห์ให้ อุตส่าห์บำรุงไป อุตส่าห์หล่อเลี้ยงไป ถ้าว่าคนไม่มีสติปัญญาหล่อเลี้ยงได้ไม่เท่าไรนัก  ให้เขาเป็นอยู่ของเขาไป ถ้าคนโง่ ต้องหนักหน่อยหนึ่ง นี้แหละการให้นี่เรียกว่าเป็นประเพณีของคนมีปัญญา ไม่ใช่เป็นประเพณีของคนโง่ คนมีปัญญาอยู่ในสถานที่ใด หญิงก็ดี ชายก็ดี เป็นใหญ่ในที่นั้น เพราะทานการให้ สงเคราะห์ อนุเคราะห์เขาอยู่เสมอไป  ใหญ่ในที่นั้นไม่ต้องสงสัยคนมีปัญญา ถ้าคนโง่ ไม่มีปัญญาอยู่ในที่ไหนจมมืดอยู่ในที่นั้น  ไม่ให้ใคร  มีอะไรให้ไม่ได้ กลัวจะหมดกลัวจะสิ้น กลัวจะเปลืองไป ให้เป็นหมดเป็นสิ้นเป็นเปลืองไป  ให้ไม่ได้ ให้ไปเล็กไปน้อย กลัวจะหมดจะสิ้นเปลืองไปเสียแล้ว หนักเข้าต้องอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีใครเยี่ยมไปเยียนเลย เพราะอะไร?  ไม่มีอามิสเครื่องล่อเลย  ไม่มีอาหารรางวัลอะไรสักนิ๊ดหนึ่ง  เขาไม่เยี่ยม  นี่คนโง่เป็นอย่างนี้ ฆ่าตัวเองทั้งเป็น คนฉลาดเลี้ยงตัวเอง สร้างตัวเองทั้งเป็น ส่งเสริมตัวเองทั้งเป็น นี่คนฉลาด เพราะฉะนั้น นักปราชญ์จึงได้วางตำรับตำราไว้ อนฺนํ ปานํ วตฺถํ ยานํ      มาลา คนฺธํ วิเลปนํ เสยฺยาวสฺถํ ปทีเปยฺยํ  ทานวตฺถู อิเม ทส ทานวตฺถู อันว่าทานวัตถุทั้งหลาย อิเมเหล่านี้ ทส ๑๐ ทานวัตถุทั้งหลายเหล่านี้ ๑๐ ประการ อันนัง                ให้ข้าว ปานัง                ให้น้ำ วัตถัง                 ให้ผ้าสำหรับนุ่งห่มใช้สอย ยานัง                 ให้เครื่องอุปการะแก่เครื่องไปมา ให้ยานให้ค่าโดยสาร ให้ยาน  ให้ค่าโดยสาร ตกรถ  ถ้ามีก็ให้  มีก็ให้ มาลา                ให้ระเบียบดอกไม้ คันธัง                ให้ของหอม วิเลปนัง             ให้เครื่องลูบไล้ ไสยยาวัสถัง       ให้ที่นอน และที่พักอาศัย ที่อยู่เป็นสุขเบิกบานสำราญใจ ปทีไปยยัง          ตามประทีปในที่มืด เพื่อให้เห็นหนทางสว่าง ๑๐ อย่างนี้เรียกว่า ทานวัตถุ.....ฯลฯ " จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 12:11:15

ความคิดเห็นที่ 48 มนาปทายี ลภเต มนาปํ มนาปทายี ลภเต มนาปํ ผู้ให้ของดี ผู้ให้ของชอบใจ  ย่อมได้ของชอบใจ   มนาปทายี ลภเต มนาปํ อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ ผู้ให้ของเลิศ ย่อมได้ของเลิศ  เลิศเพียงแค่ไหน ก็แล้วแต่วัตถุนั้นๆ แล้วกาละนั้นๆ แล้วแต่ประเทศนั้นๆ  ที่เขานิยมวัตถุกัน   เสฏฺฐนฺทโท เสฏฐมฺเปติ ฐานํ ให้ฐานะอันเลิศย่อมเข้าถึงซึ่งฐานะอันเลิศ     จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 12:21:13

ความคิดเห็นที่ 49 โถ......คุณ pa-o ผู้น่าสงสาร คงจะนึกดีใจที่หลอกให้เราแสดงความเห็นได้สำเร็จ ตอนแรกก็ยังสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆก็ชวนคุย ยังนึกว่าตนเองนี่ จะหวาดระแวงเกินไปแล้ว คุณ pa-o ก็บอกอยู่ว่า(รบกวนแลกเปลี่ยนความเห็น) คงไม่มีอะไรหรอก แต่แท้จริงแล้วก็มีเจตนาร้ายซ่อนอยู่ ก็คือต้องการให้เราแสดงความเห็น เพื่อที่จะจับผิด โถ.... เพียงเพราะ ad law ออกความเห็น ที่อาจจะส่งผลเสียต่อวัดทำมะกลาย คุณpa-oถึงกับคิดค้น ออกอุบายเพื่อโต้ตอบ คงกลัวว่าจะมีคนอ่าน แล้วเห็นด้วยกับความเห็นของ ad law แล้วเลิกให้เงินวัด จึงต้องหาทางให้ ad law แสดงความเห็นที่มีความโลภแฝงอยู่ออกมาให้จงได้ โถ... ประเด็นคือ ad law ชี้ว่าการที่วัดทำมะกลายหลอกชาวบ้านจนๆ ที่รู้ไม่ทันวัด ว่า"ถ้าอยากรวยต้องทำบุญ" นั้นเป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านเกิดความโลภ คุณ pa-o ก็เลยต้องชี้ให้เห็นว่า ad law เองก็มีความโลภอยากได้บุญเหมือนกัน เข้าใจผิดอย่างแรงเสียแล้วคุณ pa-o ความปราถนาของ ad law ที่มีในการทำทาน(ตามเรื่องสมมติของคุณ pa-o) คือการช่วยชีวิตหมาที่กำลังจะอดตาย เลยบอกว่า ad law เองก็โลภอยากได้บุญ แล้วเอาไปเปรียบเหมือนกับความโลภของการทำบุญที่วัดทำมะกลายสอนชาวบ้านจนๆ นี่ลงทุนถึงกับเอาวัดที่คุณ pa-o เคารพศรัทธามาหลายสิบปีไปเทียบว่าเป็น "หมาที่กำลังจะอดตาย" วัดทำมะกายเดือดร้อนหนักขนาดนั้นเชียวหรือ โถ... อย่างคุณ pa-o นี้ถ้าไม่ใช่ทาสผู้ซื่อสัตย์ ก็คงเป็นคนในวัดที่กลัวเสียผลประโยชน์ ถ้าความโลภบุญของ ad law เปรียบเหมือนกับ ความโลภของชาวบ้านที่อยากรวย เมื่อเป็นเช่นนั้น ad law จะบอกว่า"วัดทำมะกายคือหมาที่จะอดตาย"ก็ได้สิ ที่จริงเรื่องหมาตายกับวัดหลอกเงินชาวบ้าน ไม่น่าจะเอามาเปรียบกัน แต่ถ้าคุณ pa-o ต้องการจะยำรวมกันให้ได้ ตามแบบฉบับของวัดทำมะกาย เรื่องที่ต้องพิจารณาคือ ad law มีความสุขใจที่ได้ช่วยหมาให้รอดตาย จะเหมือนกันกับชาวบ้านที่ถูกวัดหลอกเอาเงิน มีความสุขใจที่ได้ทำบุญกับวัดหรือไม่ เนื่องจากวัดทำมะกายบอกว่า"ชาตินี้จน ก็จงทำบุญกับวัดแล้วชาติหน้าจะเกิดมารวย" ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ก็หลงดีใจว่า ชาติหน้าฉันจะรวยเพราะวัดทำมะกายบอก ขอให้ท่านที่ได้อ่านได้พิจารณาเอาเองเถิดว่า ความสุขใจของ ad law มันเหมือนกันกับความสุขใจของชาวบ้านที่ถูกหลอกหรือไม่ ความสุขที่เกิดขึ้นในใจของ ad law หลังจากที่ได้ช่วยหมานั้นน่ะเป็น"บุญ" แต่ความสุขของชาวบ้านที่เชื่อว่าชาติหน้าตนจะเกิดมารวยน่ะ เป็นบุญรึเปล่า ข้อแตกต่างอีกประการคือ ad law ได้ใช้ความรู้ของตนในการเลือกที่จะทำทาน แต่ชาวบ้านจนๆถูก " สอน " ความรู้ความเข้าใจที่ผิดๆจากวัดทำมะกายแล้วจึงทำทาน " บุญ "เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรา ทำทาน ถือศีล และปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าเราจะปราถนา " บุญ " หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าก้นบึ้งของจิตใจ ad law จะปราถนาอันใดก็ไม่มีผลประโยชน์ได้อะไรจากใครเลย แต่ก้นบึ้งจิตใจของคุณ pa-o นั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของวัดทำมะกายชัดเจน นึกไปถึงเรื่องที่คุณ pa-o ออกมาเสนอตัวแก้ไข เมื่อมีคนมาบอกว่าถูกกีดกันไม่ให้บวช ตอนนั้นนึกว่าคุณ pa-o เป็นห่วงคนที่อยากบวชแล้วไม่ได้บวช แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าคุณ pa-o เป็นห่วงวัดที่เหมือนหมาจะอดตาย กลัวว่าถ้าคนบวชน้อย เรื่องที่จะหลอกให้ชาวบ้านเอาเงินมาทำบุญโครงการบวชพระ ก็จะไม่สำเร็จตามเป้า อย่างนี้ถึงได้บอกว่า"ถ้าไม่ใช่ทาสผู้ซื่อสัตย์ก็จะต้องเป็นคนในที่กลัวจะเสียผลประโยชน์" จะว่าไปคุณพัดลมไม่ว่าแกจะเถียง จะด่า แกก็เถียงก็ด่าตรงๆ ซึ่งก็น่านับถือมากกว่า ผิดกับคุณ pa-o ที่ออกอุบายซับซ้อนหลอกให้แสดงความเห็นก่อนแล้วค่อยมาจับผิด คนอย่างคุณ pa-o นี่ น่ากลัวเหลือเกิน ไหน..ใครว่าคนวัดทำมะกายแม้จะเห็นผิดแต่โดยพื้นฐานแล้วก็มีจิตใจดีงาม ปล.ท่าทางกระทู้นี้ของคุณต่อจะยาวเสียแล้ว... จากคุณ : via iPad (ad law) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 12:50:45

ความคิดเห็นที่ 50 สันโดษ    พวกเราอย่าได้ทะเยอทะยาน อย่าโลภมาก ให้มีความสันโดษ มักน้อย ความโลภ ทำให้เป็นคนไม่ซื่อ พยายามรักษาใจให้สะอาด บริสุทธิ์มากๆ ถ้าเป็นบุญของเราแล้ว ต้องได้มาเอง ไม่ต้องคิดทะเยอทะยาน ถ้าโลภแบบดีๆ ไม่เป็นไร โลภสร้างความดี ไม่เป็นไร ให้สันโดษ มักน้อย ให้รู้จักใช้ของ จากหนังสือ คำสอนยาย นี่คืออีกหนึงคำสอนจากวัดพระธรรมกาย อธิฐานให้รวยเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องสร้างบารมีได้อย่างสะดวก อย่างนี้เค้าเรียกว่าโลภในทางที่ดี บางคนบอกว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ทางสายกลาง แล้วถ้า เป้าหมายเรา100 สายกลางคือ50 ส่วนคนที่มีเป้าหมาย10 จะบอกว่าคนที่มีเป้าหมาย100นั้นโอเวอร์เกินเหตุหรอ? เป้าหมายจะเป็นพระพุทธเจ้า สายกลางคือเป็น พระปัจเจกกพุทธเจ้า หรอ? แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 00:46:09 แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 00:36:39 จากคุณ : หมูน้อยแฮม เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 00:35:35

ความคิดเห็นที่ 51 ... คนใจบุญ เรารักประเทศไทย ... จากคุณ : อนูปวาโท อนูปฆาโต (เห็นตามใจ) เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 01:05:59

ความคิดเห็นที่ 52 จงเป็นใหญ่ด้วยบุญ   คนเราจะทำอะไร ต้องนึกถึงฐานะตัวเอง ดูบุญของตัวเอง ต้องดูทุนเก่าที่เราทำมา จะทำอะไร อย่าให้เกินฐานะ ทำให้พอเหมาะพอสมกันจึงจะควร ถ้าอยากเป็นใหญ่ ต้องใหญ่ด้วยบุญ อย่าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส ถ้าใหญ่ด้วยบุญจึงจะเป็นใหญ่ได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส จะต้องหกคะเมน ตกลงมา เสียท่าเสียทีไปเลย เรื่องนี้ก็เป็นกันมาก ดูอย่างพระเทวทัต เป็นต้น พอทำอะไรได้สักหน่อยหนึ่ง ก็อยากดัง อยากเด่น โดยไม่ดูพื้นฐานของตัวเอง ว่าสร้างพื้นฐาน ความดีมามากน้อยแค่ไหน มองดูแค่ปลายเหตุนิดเดียว เหมือนกับการสร้างบ้านที่พื้นฐานไม่ดี พื้นฐานทำไว้แค่นิดหน่อย แต่พอสร้างบ้านไปแล้ว อยากได้ใหญ่ๆ โตๆ ในที่สุดบ้านนั้นก็มีแต่พังอย่างเดียว จะเอาอย่างยายเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่ายายอดทนมามาก ทำความดีไว้ในอดีตมากมาย จนความดีเป็นภูเขา ที่ยายได้ดีมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ก็เพราะความดีที่สร้างไว้ในอดีต คุณค่าของเงิน    การใช้เงิน ต้องรู้จักคุณค่าของเงิน ไม่ ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นคนใจใหญ่ใจโต ไม่รู้จักเก็บ อย่างนี้ต้องเป็นคี่ค่าของเงินไปตลอด ชีวิต ต้องรู้จักคำนึงถึงเวลาหาเงินบ้างว่า กว่า จะได้มานั้นเหนื่อยยากแค่ไหน ยายหาเงินมาให้ใช้อย่างเพียงพอ ให้อยู่ อย่างสบาย หาทั้งหยาบทั้งละเอียด ต้อง เข้าที่ตามสมบัติอยู่ทุกวัน ถ้าหามาแล้ว บริวารได้กินอยู่อย่าง สบาย ได้สร้างบารมีสะดวก ยายก็สบายใจ ถ้าหาให้ครบตามที่กำหนดไว้เพียงพอ ก็ จะได้พักหลับตาบ้าง จะได้มีความสุขในธรรม มากขึ้น แต่ถ้าหามาแล้ว บริวารเอาไปใช้ไม่คุ้มค่า อย่างนี้หาเท่าไรก็ไม่พอ ต้องเหนื่อยใน การหาสมบัติไปจนตาย จะใช้เงินต้องดูอย่าง ยาย ใช้ให้คุ้มค่า เงินที่ยายหามาให้ใช้ ต้อง ใช้อย่างมีประโยชน์มากที่สุด ด้วยความที่ไปวัดพระธรรมกายตั้งแต่เด็กแล้วมาเจอว่า วัดนี้สอนให้คนโลภเลยไม่เข้าใจ คำสอนยายทนโท่ ติดทั้งในหน้ากระจก ตามบอร์ด ในห้องน้ำ สอนแบบนี้ให้โลภตรงไหน?  อย่างโบถส์ที่วัดเขาก็เน้นเอาความแข็งแรง ทนทาน เอาความประหยัด และเอาประโยชน์ของการใช้สอยเข้าไว้ ไม้ได้ทำลวดลายให้สิ้นเปลืองเลยนี่นา แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 14:38:18 แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 01:14:50 จากคุณ : หมูน้อยแฮม เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 01:07:21

ความคิดเห็นที่ 53   ความคิดเห็นที่ 49 คงจะนึกดีใจที่หลอกให้เราแสดงความเห็นได้สำเร็จ... แต่แท้จริงแล้วก็มีเจตนาร้ายซ่อนอยู่ ก็คือต้องการให้เราแสดงความเห็น เพื่อที่จะจับผิด โถ....ฯลฯ จากคุณ : via iPad (ad law ^^^^^ หามิได้....หามิได้จริงๆ... เอาว่า เมื่อคำถาม อาจไม่ถูกใจ...คำทาย อาจไม่ถูกจริต... ก็ต้องกราบขออภัยจริงๆ...ถือเสียว่าเป็นคำถาม จากคนโง่ ผู้ไม่รู้แล้วกัน.. ซึ่งอาจทำให้ท่าน เข้าใจผิดไป....ไม่ได้มีเจตนาร้าย ใดๆ เพราะไม่มีแม้ซักคำ ที่จะเป็นคำตำหนิ เสียดสี หรือการกว่าหาลอยๆ ไร้การพิสูจน์ อีกทั้งข้อสำคัญ เป็นการสนทนาระหว่าง เราท่าน ไม่มีการเหมารวมผู้อื่น...   ปล... 1. มีข้อความไหนในการสนทนากับท่าน ad law หรือ??  ที่สนับสนุนเรื่องการทำทานกับวัดพระธรรมกาย ไม่มีน่ะ ไม่มีแน่ แต่ที่มีแน่ๆคือความเห็นนี้ของท่าน ad law กระมังที่กล่าวไว้เอง.... ความเห็นที่ 22  ในเรื่องของการทำบุญ ( ให้ทาน ) นั้น ส่วนตัวมองว่า ที่ควรต้องพิจารณามากที่สุดคือ " ผู้ให้ " ที่สำคัญมากที่สุดเลยคือผู้ให้จะต้องถึงพร้อมในทุกๆด้านของการให้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้มีอันจะกินหรือคนรวย " เท่านั้น " ส่วนคนที่ยังไม่พร้อม(คนจน) ควรจะนึกถึงตนเองก่อนผู้อื่นโดยเฉพาะวัด ซึ่งในส่วนนี้ก็จะไปสอดคล้องกับที่คุณ pa-o เคยตอบไว้ว่า บางคนที่เขาทำบุญกับวัด ก็ไม่ได้หวังรวยอะไรเพราะเขารวยอยู่แล้ว   จากคุณ : via iPad (ad law) 2. คำถาม หรือบทสนทนาใดๆ ไร้ซึ่งการกระทบ เปรียบเทียบ จุดประสงค์ คือ แค่อยากทราบว่า สุดท้าย ท่าน ad law จะมีแนวทาง พิสุทธิ์ สะอาด เหมือนที่พยายามจะบอกหรือไม่...อันนี้ ตอนนี้ทราบแล้ว.. ย้ำว่า ไม่มีการกระทบ เปรียบเทียบ ไม่มาจะเป็นวัด หรือบุคคล อื่น ขอโทษท่าน ad law จริงๆ ที่ทำให้เข้าใจผิด.... 3. เรื่องของ "คนรวย" "คนจน" ...บอกตรงๆว่า ไม่สบายใจ หากจะไปแบ่งแยก เขาเรา วัดไหนๆ ไปสอนให้ทำทานเฉพาะคนรวย คนจนห้ามทำ คงไม่ถูกต้อง...หรือเขาจนแล้วไปบอกให้เขาทำหมดตัว ก็ไม่ถูกอีก... แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่เรามีความนับถือ ให้เกียรติ ในความมีสติปัญญา ในความเป็นมนุษย์ของตนเอง ฉันใดฉันนั้น เราก็น่าจะให้เกียรติ และนับถือ ความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นด้วย ฉันนั้น...   แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 19:44:30 จากคุณ : ไม่โกรธกันน่ะ... (pa-o-toi-uan) เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:26:27

ความคิดเห็นที่ 54 อนุโมทนาคุณ ad law คห 49 ครับ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 10:28:02

ความคิดเห็นที่ 55 ออกมายืนข้างนอกนี่ แล้วจะมองเห็นโลกกว้าง อยู่ข้างในจานบิน โดนครอบไว้ ไม่เห็นอะไรหรอก ถ้าไม่ชอบก็ค่อยกลับเข้ายานแม่ใหม่ได้ ไม่มีปัญหา แต่ที่เคยออกมาจากยานได้แล้ว ก็แขยง ไม่กลับไปอีก แต่ปัญหาหนักคือ จะช่วยแต่ละคนออกมาได้นี่ นับวันยิ่งยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน จากคุณ : helzblueboy เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:38:33

ความคิดเห็นที่ 56   "....โลกเป็นดาวเคราะห์ ใหญ่แค่อันดับ 5 ในระบบสุริยะ และเล็กกว่า พระอาทิตย์ ตั้ง 100 เท่า แม้กระนั้น ทั้งระบบสุริยะ ก็เป็นแค่เศษเสี้ยว ในภพ 3...."   แม้ออกไปนอกโลก ก็จะมองเห็นโลก หรืออย่างมากก็เศษของระบบสุริยะ แต่เมื่อ เข้าไปภายใน แล้ว "หยุด" เห็นได้ ทั้งภพ 3.......   จากคุณ : โลกใบจิ๋ว... (pa-o-toi-uan) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:31:05

ความคิดเห็นที่ 57 ณ วัดริมแม่น้ำป่าสัก มีอดีตพระพี่เลี้ยงวัดพระธรรมกายจากโครงการธรรมทายาท ได้รับการอบรมสั่งสอนจากหลวงตาแก่ ๆ เจ้าอาวาส ท่านเมตตาสอนกรรมฐานให้ใหม่ จึงเลิกฝึก"วิชา"ธรรมกาย แล้วหันมาเจริญสติ  ปฏิบัติวิปัสสนาตามปกติ ถือสันโดษ ลด ละ เลิก พิธีกรรมแปลกๆ ที่วัดเดิมปลูกฝังมา มีความเจริญก้าวหน้าในผลการปฏิบัติ จิตใจสงบ ร่มเย็น และได้นำพาพระที่บวชในโครงการดังกล่าว ปฏิบัติตาม ทำให้หลุดพ้นจากทิฏฐิเดิม ๆ วัดดังกล่าวก็ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนมากขึ้น และออกจากโครงการธรรมทายาทเด็ดขาด เป็นกำลังสำคัญให้พระบวรพุทธศาสนาต่อไป ถ้าใครได้สนทนาธรรมกับท่านแล้ว ก็ได้แต่อนุโมทนา อนุโมทนา และอนุโมทนาครับ จากคุณ : helzblueboy เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 17:37:09

ความคิดเห็นที่ 58 helzblueboy คุณจะไปฝึกอะไรกับใครก็ไปฝึกเถอะครับ แล้วไม่ต้องบอกอย่างนู้นดีกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ดีอย่างนั้นไม่ดี ไม่ใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรมครับ คนบนโลกนี้ชอบอะไรไม่เหมือนกันหรอกครับ จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 00:44:22

ความคิดเห็นที่ 59 ด้วยความสงสัย ในจุดประสงค์ จาก ความคิดเห็นที่ 57 ในประโยคที่ว่า " จึงเลิกฝึก"วิชา"ธรรมกาย แล้วหันมาเจริญสติ  ปฏิบัติวิปัสสนาตามปกติ...." แม้จะเป็นการยกตัวอย่างจากบุคคลที่สาม แต่ดูจะขัดแย้งกับ แนวทางใน  >> http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12295554/Y12295554.html     แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 11:20:25 จากคุณ : สงสัยเฉยๆไม่มีอะไร (pa-o-toi-uan) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 11:18:11