Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วันนี้ วันพระ เอาเรื่องดีๆเกี่ยวหลวงปู่มันมา แบ่งปัน ติดต่อทีมงาน

เปิดเผยความลึกลับ ของท่านอาจารย์มั่น : บันทึกส่วนตัวของ หลวงปู่ อุ่น ชาคโร

ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ รู้สึกว่าเสียใจมากที่ได้ไปอยู่ร่วมจำพรรษากับท่านอาจารย์มั่นเพียงปีเดียว ท่านก็มานิพานจาก แต่ก็ภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ไปฟังเทศน์อยู่ร่วมอุปัฏฐากท่านผู้มีจิตบริสุทธิ์ นึกว่าไม่เสียทีประการหนึ่ง  ครั้งสมัยนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ข้าพเจ้าอยู่วัดอรัญญวาสีท่าบ่อกับท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านได้พูดว่า

พระเณรรูปใดจะไปฟังเทศน์อาจารย์มั่น ก็ไปเสียเดี๋ยวจะไม่เห็นท่านเพราะท่านได้ทำนายชีวิตท่านไว้แล้วว่า อายุผมจะถึงเพียง ๘๐ ปีเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้อายุท่านก็ ๗๙ จะเข้ามาแล้วพวกคุณจะเสียดายในภายหลังว่า ไม่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์อย่างท่านอาจารย์

ครั้งนั้นก็ได้นมัสการลาท่านอาจารย์เทสก์ ท่านก็อนุญาตและส่งทางด้วย เมื่อเดินทางไปถึงวัดป่าบ้านหนองผือ ได้เข้าไปนมัสการท่าน ๆ  ก็ยินยอมรับอยู่ในสำนักท่าน นึกว่าบุญเรามากเหนือหัว แต่นั้นก็ตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเรื่อย ๆ มาตลอด ศึกษาเรื่องภายในจิตที่เป็นไปต่าง ๆ นานา

๑. ความลึกลับที่มีอยู่ภายในท่าน ก็ถูกเปิดเผยออกมา ที่จำได้คือ

ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านอาจารย์มั่นว่า กระผมขอโอกาสกราบเรียน การนิมิตเห็นดวงหฤทัย (หัวใจ) ของคน ตั้งปลายขึ้นข้างบนนั้น เป็นอะไร

ท่านเลยอธิบายไปว่า ที่จริงดวงหฤทัยของคนนั้น ก็ตั้งอยู่ธรรมดา ๆ นี้แหละ อันมันเป็นต่าง ๆ นานา ตามเรานิมิตเห็นนั้น มันเป็นนิมิตเทียบเคียงคือ ปฏิภาคนิมิตนั้นเอง ที่ท่านว่ามันตั้งชันขึ้นนั้น แสดงถึงจิตของคนนั้นมีกำลังทางสมาธิ ถ้าจิตนั้นตั้งขึ้นและปลายแหลม กกใหญ่คล้ายกับดอกบัวตูมกำลังจะเบ่งบานนั้น แสดงว่าจิตคนนั้นมีกำลังทางสมาธิและปัญญาแล้ว

ถ้าน้ำเลี้ยงดวงหฤทัยมีสีต่าง ๆ กันนั้น หมายถึงจิตของคน เช่น โทสจริตนั้นดวงหฤทัยแดง ถ้าราคะจริตน้ำเลี้ยงหฤทัยแดงเข้ม ๆ  ถ้าจิตของคนที่หลุดพ้นไปแล้วเป็น น้ำหฤทัยขาวสะอาดเลื่อมเป็นปภัสสรเหมือนทองหลอมแล้วอยู่ในเตา เลื่อมอย่างนั้นแหละ ถ้าดวงหฤทัยเหี่ยว ๆ  แห้ง ๆ  นั้นหมายถึง จิตของคนนั้นไม่มีกำลังทางจิตคือ ศรัทธาพลัง วิริยะพลัง สติพลัง สมาธิพลัง ปัญญาพลัง ถ้าธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้ไม่มีในจิตแล้ว ท่านว่าอบรมไม่ขึ้น ไม่เป็นไป จะสั่งสอนทรมานสักปานใด ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าดวงหฤทัยคนนั้นมีกกเบ่งบานเหมือนดอกบัว อบรมสั่งสอนไป ได้ผลตามคาดหมายจริง ๆ

ท่านว่า ผมเองเคยเพ่งดวงหฤทัยของผมเอง เห็นเลื่อมเป็นแสงเลยทีเดียว เพ่งไปเพ่งมาปรากฏแตกใส่ดวงตา นี้คำพูดของท่าน

ท่านจึงอธิบายว่า คนในประเทศไทยนี้ ดวงหฤทัยต่างหมู่อยู่สามองค์คือ ดวงหฤทัยปรากฏว่ามีจานหรือแท่นรองสวยงามดี พระสามองค์นี้ องค์หนึ่งคือ ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงค์ (ติสโส อ้วน) ท่านตายไปแล้ว ส่วนอีก ๒ องค์นั้นยังอยู่

ท่านอาจารย์มั่นพูดว่า บุญวาสนาบารมีพระสามองค์นี้แปลกๆ หมู่เพื่อนมาก

นี้นึกว่าท่านอาจารย์นี้ท่านดูคนไม่ใช่ดูแต่ หูชิ้นตาหนัง (หูเนื้อตาหนัง) เหมือนคนเรา ท่านสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาต้องดูด้วยตานอกตาในเสียก่อน ไม่เหมือนปุถุชนเรา อย่างพวกเรานี้มาเอาแต่กิเลสมาสั่งมาสอนบังคับ ไม่ว่าใครเป็นอย่างใด ฉะนั้นจึงเกิดสงครามกันบ่อย ๆ ระหว่าง อาจารย์กับลูกศิษย์ จึงวุ่นวายกันอยู่ทั่วโลก  ส่วนอาจารย์มั่นนั้น ท่านสั่งสอนไปมันก็ได้ผลจริง ๆ  อย่างว่า คนจริตไม่มีธรรม ๕ ข้อก็คือ คนอินทรีย์ไม่แก่กล้านั้นเอง อย่างนี้โดยมากท่านไม่รับเอาไว้ในสำนักของท่าน ท่านใช้อุบายว่า ควรไปอยู่แห่งนั้นแห่งนี้ หรือกับคนโน้นดีคนนี้ดี

๒. ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตั้งใจปรึกษาท่านด้วยจิตคือ กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างไกลกับกุฏิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เข้าสมาธิทำจิตให้สงบดิ่งลงถึงจิตที่เคยเป็นมา แล้วนึกถามท่านว่า จิตของข้าน้อยตั้งอยู่อย่างนี้แหละ ข้าน้อยขอกราบเรียนว่า จิตของข้าน้อยตั้งอยู่อย่างไร และเรียกว่าจิตอะไร จึงขอนิมนต์ครูบาอาจารย์จงได้เมตตาบอกข้าน้อยด้วย

นึกแล้วก็พยายามรักษาจิตอย่างนั้นไว้จนกว่าท่านอาจารย์มั่น เลิกเดินจงกรม เมื่อท่านเลิกเดินจงกรมแล้ว ท่านก็ขึ้นไปกุฏิ และลูกศิษย์ผู้เคยปฏิบัติอุปัฏฐากท่านคือ ท่านอาจารย์วัน ก็ขึ้นไปนั่งอยู่กับท่าน

ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปนมัสการท่านแล้วนั่งอยู่ โดยไม่ได้พูดอะไร ๆ กับท่านเลย

ท่านพูดเอ่ยมาว่า จิตของท่านอุ่นเป็นอย่างนั้น ๆ ตั้งอยู่อย่างนั้น ๆ เรียกว่าจิตอันนั้น ๆ ทีเดียว

ข้าพเจ้านั่งตัวแข็งเลย พูดอะไร  ๆ  ไม่ออก ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจและทั้งกลัวท่าน ละอายท่านถ้าจะกราบเรียนท่านอย่างอื่น ๆ ไปก็กลัวท่านจะเล่นงานเราอย่างหนัก แต่ทุกวันนี้คิดเสียดายเมื่อภายหลังว่า เรานี้มันโง่ถึงขนาดนี้จริง ๆ จะเรียนท่านว่า จิตเป็นอย่างนั้น แล้วข้าน้อยจะทำอย่างไรอีกจิตจึงเจริญหลุดพ้นไปได้ สมกับคำโบราณว่า อายครูบ่ฮู้ อายชู้บ่ดี คำนี้มันถูกเอาเสียจริง ๆ

๓. ครั้งสมัยท่านกำลังแสดงธรรมเรื่อง ความหลุดพ้นและอริยสัจธรรม ๔ ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ตรงหน้าตรงตาของท่าน ตั้งจิตสำรวม ส่งไปตามกระแสธรรมของท่านพร้อมทั้ง กำหนดพิจารณาไปด้วย จิตข้าพเจ้าเลยรวมลงพับเดียว ปรากฏว่า ดวงจิตของข้าพเจ้านี้คล้ายกับเครื่องนาฬิกา กำลังเดินหมุนเวียนอยู่ พอนิมิตแล้วจิตก็ถอนออกมาพอดี ถูกท่านเทศน์ใหญ่เลยว่า

จิตพระอรหัตต์ทั้งหลายนั้น จิตท่านไม่หมุนเวียนอีก ไม่หันต่อไปอีก จึงได้นามว่า อะระหัน  แปลว่า ไม่หัน ท่านเหล่านั้นจะเอา  อะ  ไปไส่แล้ว ไม่เหมือนเรา เรามีแต่หันอย่างเดียว ไม่หยุดไม่หย่อน พระอรหันต์นั้นท่านตัดกงหันได้แล้ว ท่านทำลายกงสังสารจักรขาดไปแล้วด้วย อรหัตตมรรค

ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่ครั้งนั้นจึงเกิดความมหัศจรรย์อย่างใหญ่หลวง ท่านอาจารย์มั่น นั้นไม่แสดงธรรมด้วยหูหนัง ตาหนัง เหมือนพวกเรา ท่านจก (ล้วง) เอาหัวใจผู้ฟังมาแสดงจริง ๆ  ธรรมของท่านที่แสดงจึงถึงจิตถึงใจของผู้ฟัง อย่างพวกเราแสดงให้กันฟังอยู่ทุกวันนี้ มีแต่คนตาบอด ผู้แสดงบอกผู้ฟังก็บอด บอดต่อบอดจูงกันไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน จะไปโดนเอาหลักเอาตอ ตกเหว ตกขุม ที่ไหนไม่ทราบกันเลย ผู้เทศน์ก็มีกิเลส ผู้ฟังก็มีกิเลสกันทั้งนั้น ผู้เทศน์เล่าก็หวังเอาแต่กัณฑ์เทศน์  ไม่เทศน์เอาคน มันจึงไกลกันแสนไกล สมกับพระพุทธเจ้าว่า  ธรรมของสัตตบุรุษกับธรรมของอสัตตบุรุษไกลกันเหมือนฟ้ากับแผ่นดิน คำหนึ่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าธรรมของเราตถาคตไปสิงในจิตของพระอรหันต์ผู้สิ้นจากกิเลสแล้ว ธรรมของเราก็เป็นธรรมแท้ไม่ปลอมแปลง ถ้าเมื่อใดธรรมของตถาคตนี้ไปสิงอยู่ในจิตปุถุชนผู้มีกิเลส ธรรมของเราก็กลายเป็นธรรมปฏิรูปคือ ธรรมปลอมแปลง

ถ้าผู้เขียนนี้เขียนไปมาก ๆ  ก็เหมือนดูว่าเทศน์ไปอีกแหละ มันเป็นการเอามะพร้าวมาขายสวนไปจึงขอเขียนเรื่องท่านอาจารย์มั่นต่อไป

๔. วันหนึ่งตอนเช้ากำลังฉันจังหัน พระเณรกำลังแจกอาหารลงใส่ในบาตร และพระผู้อุปัฏฐากท่านก็กำลังจัดอาหารหวานคาวลงใส่ในบาตรท่านอาจารย์มั่น ถ้าเป็นอาหารของแข็งหรือใหญ่ ต่างองค์ก็ต่างเอามีดหั่น หรือโขลกด้วยครก ต่างคนต่างกระทำด้วยความเคารพจริง

วันนั้นข้าพเจ้าได้มองไปเห็นพระท่านทำ ก็นึกเกิดปิติขึ้นมาด้วยความเลื่อมใสปล่อยใจเลื่อนลอยไปว่า

แหม…พระลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์นี้ตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยความเคารพเลื่อมใสจริง เอ๊ะ…ครั้งพุทธกาล โน้นบรรดาพระสาวกทั้งหลายนั้น จะมีสานุศิษย์ปฏิบัติอุปัฏฐากดี ๆ  อย่างนี้ไหมหนอ

คิดแล้วก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เราเป็นบ้า คิดเรื่องราวให้ไปกระทบกระทั่งจิตใจของท่าน

ครั้นต่อมาในวันหลัง บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายที่เคยปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน ก็เข้าไปจะปฏิบัติ ถูกท่านห้ามอย่างใหญ่ว่า หยุดอย่ามาทำนะ วันนั้น ท่านดุเอาจริง ๆ 

ครั้นต่อมาวันหลังอีก จะเข้าไปปฏิบัติ  ท่านเล่นงานอย่างใหญ่อีกว่า ทำไมห้ามไม่ฟัง เดี๋ยวถูกค้อนตีเอาแหละ แล้วท่านก็บ่นว่า มันมาดูถูกกัน การปฏิบัติอุปัฏฐากอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาลโน้นพระสาวกไม่มีดอก  วันนั้นไม่มีใครเข้าไปใกล้ท่านได้เลย การจัดสิ่งของลงในบาตร ท่านจัดเอง การอุปัฏฐากท่านนั้นจำเป็นต้องงดไปหลายวัน

ต่อมาท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสกว่าหมู่ พรรษาท่านขณะนั้นคงได้ในราว ๑๖ พรรษา จึงได้เรียกบรรดาสานุศิษย์รุ่นน้อย มีท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์เนตร อาจารย์คำพอง อาจารย์สุวัจน์ อาจารย์จันโสม บ้านนาสีดา และข้าพเจ้า พร้อมอีกหลาย ๆ รูป ไปประชุมกันที่กุฏิท่านอาจารย์มหาบัว ว่า

เรื่องนี้เป็นใครหนอ ได้นึกได้คิดอย่างว่านี้ เป็นเหตุให้ครูบาอาจารย์เดือดร้อน ผมเองว่าพิจารณาเห็นว่าคงไม่มีไครดอก เพราะว่าใคร  ๆ  ที่ได้มาอยู่ก็ได้มอบกายถวายชีวิตกับท่าน  แล้ว ต่างคนก็ต่างเคารพนับถือท่าน  ผมว่าจะเป็นอุบายท่านอาจารย์ทรมานพวกเราเฉย ๆ  ดอก ตามที่ผมได้อยู่กับท่านมาหลายปี ผมเองเคยถูกท่านทรมาน ดูว่าเรานี้จะปฏิบัติอุปัฏฐากท่านเอาจริง เอาจังไหม หรือสักแต่ว่าทำเพื่อแก้เก้อเฉย แต่นี้ไปพวกเราต้องเข้าไปทำปฏิบัติท่านเลย ท่านจะฆ่าจะแกงจะต้มอย่างไรเราก็ยอมเสียสละ

นี้ท่านอาจารย์มหาบัวแนะนำสานุศิษย์รุ่นเล็ก ๆ   ต่อมาก็เลยเข้าไปอุปัฏฐากท่าน ครั้งนี้ท่านไม่ว่าอะไร เพราะจะห้ามไว้ก็ไม่ฟัง เป็นหน้าที่ข้อวัตรของสานุศิษย์ผู้หวังดีจะทำกัน แต่นั้นมาก็ไม่มีใครปรารภเรื่องนี้อีก แม้แต่ท่านอาจารย์มั่น ก็ไม่ว่าอะไรตลอดถึงวันท่านนิพานของท่าน ยังปิดบังไว้

ครั้นต่อมาประมาณ ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าจึงมารำลึกถึงบุญคุณ ของท่านอาจารย์มั่นดู จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่ออยู่กับท่านอาจารย์มั่น ถูกท่านเทศน์กัณฑ์ใหญ่  สมัยนั้นเราผู้ที่ไม่มีสตินี้แหละ  เป็นเหตุ ทำให้หมู่เพื่อนครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ เดือดร้อนไปตามกัน เมื่อมานึกทวนจิตรู้มันก็สายเสียแล้ว จำทำอย่างไรดี จะไปขอขมาโทษคารวะท่าน ท่านก็ไม่อยู่ในโลกไหนภพไหน จึงนึกคิดขึ้นมาได้ว่าเหลืออยู่แต่โอวาทคำสอนของท่านนี้แหละให้เรา เราต้องขอขมาโทษเคารพนับถือธรรมของท่านที่ให้ไว้นี้แหละ นึกขึ้นได้แล้วก็เบาใจต่อมานี้แหละ

ท่านผู้อ่านทั้งหลาย คนเรานี้แม้แต่จิตของตัวเราเองนี้ นึกคิดไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าขณะนี้เราคิดเรื่องอะไร มันจะไปรู้จิตนึกคิดคนอื่นได้อย่างไร ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งปี ทั้งเดือน ผ่านไป ผ่านไป หมดไปเฉย ๆ  ไม่ได้ทบทวนตรวจดูการดูจิตของตนเลย  อย่างท่านอาจารย์มั่นนั้นท่านเคยพูดให้ได้ยินบ่อยว่า

ผมเองพิจารณาเห็นจิตห็นกายอยู่ทุก ๆ  เวลาเช่น เห็นกายเป็นร่างกระดูกอย่างนั้นแหละ เอาผ้ามาห่มมาคลุม ก็เห็นเอาผ้ามาคลุมร่างกระดูกอยู่อย่างนั้น 

ท่านอ่านเรื่องนี้แล้วจงระวัง อย่าให้เป็นดังจิตของข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เลย เรื่องนี้ข้าพเจ้าผู้ถูกมาเองจึงอดปิดบังไว้ไม่ได้  เป็นของอัศจรรย์ ข้อหนึ่งที่เคยประสบเหตุการณ์มากับท่านอาจารย์มั่น จริง ๆ

๕. วันหนึ่งตอนบ่ายท่านอาจารย์มั่นจะสรงน้ำ ตามธรรมดาเวลาสรงน้ำมีพระปฏิบัติท่านอาจารย์ในราวสัก ๓ รูปไม่ขาด ครั้งนั้น มีพระรูปหนึ่งท่านองค์ชอบหัวดื้อหน่อย และชอบทดลองสิ่งต่าง ๆ ด้วย พระองค์นั้นจึงคิดทดลองดูว่าท่านอาจารย์มั่นนี้จะรู้ไหม จึงคิดในขณะไปสีขาให้ท่านว่า กกขา (ต้นขา) นี้ขาวเหมือนขาผู้หญิงเลย พอนึกเท่านั้น ท่านอาจารย์มั่นจึงพูดขึ้นว่า เอ๊ะ ท่านนี้เป็นบ้าจริง ๆ เว้ย แล้วพระองค์นั้นก็ถอยออก จึงมานึกว่าเอ๊ะ….ท่านอาจารย์จะรู้จริง ๆ หรืออย่างไรหนอ  แกยังสงสัยอยู่  พอวันหลังก็มาปฏิบัติเวลาท่านอาบน้ำอีก พอสีเหงื่อไคลขาท่านก็ลองนึกดูอีก  ครั้งนี้ท่านดุเอาอย่างใหญ่เลยว่า  ท่านนี้ออกหนี อย่ามาทำเลย ไปหนี ๆ  ไล่ใหญ่

อันนี้ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้ไปปฏิบัติท่านอาจารย์ในเวลานั้นเหมือนกัน   อันนี้นึกว่าท่านอาจารย์มั่นนั้นท่านชำนาญทางปรจิตวิชาจริง ๆ จึงหาได้ยากอีกในโลกอันนี้

๖. สมัยหนึ่งเป็นเวลาออกพรรษาแล้วนายวัน และนางทองสุข ร้านศิริผล นครราชสีมา ได้มาถวายกฐิน ครั้งนั้นมีครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ นายวันนิมนต์มาด้วยมากองค์ เช่น ท่านอาจารย์สิงห์ใหญ่  อาจารย์ฝั้น อาจารย์สีโห วัดป่าสุมนามัย บ้านไผ่ ท่านอาจารย์องค์นี้ ไม่เคยมาและไม่เคยเห็นท่านอาจารย์มั่นเลย ได้ไปพักอยู่กุฏิเล็ก ๆ  ห่างจากกุฏิท่านอาจารย์มั่น ประมาณ ๔ เส้น ขณะนั้นท่านอาจารย์สีโหอาบน้ำ ข้าพเจ้าและพระอื่น ๆ มาปฏิบัติท่านขณะนั้น

ท่านอาจารย์สีโห จึงพูดกับข้าพเจ้าขึ้นเบา ๆ ว่า เอ๊ะ! ท่านอาจารย์มั่นนี้ รูปร่างหน้าตาเหมือนผมนิมิตเห็นท่านไม่ผิดเลย ว่าลักษณะท่านคน น้อย ๆ คางแบน ๆ  บัดนี้เราจะได้ฟังเทศน์ท่าน เรานี้อยากให้เทศน์จริง ๆ ว่า เรานี้มันคาอยู่อะไร ทำไมจึงไม่เห็นตนคา ว่าแล้วก็ผลัดเปลี่ยนผ้า ข้าพเจ้าก็เลยไปกุฏิ

พอตอนค่ำครูบาอาจารย์ต่างก็ไปชุมนุมที่กุฏิท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์สีโหก็อยู่นั่นแหละ ท่านอาจารย์มั่นก็ทักทายปราศรัยกับท่านอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ไป พอท่านมองไปเห็นท่านอาจารย์สีโห นั่งอยู่ ท่านเลยพูดขึ้นว่า ท่านสีโหนี้ ก็มีแต่ไปหากินข้าวต้มขนมเขาอยู่แต่ในเมืองนี่นา ทำไมไม่เห็นเข้าป่าไปภาวนาเล่า ว่าแล้วท่านหัวเราะ ใครก็หัวเราะกัน เพราะเป็นเรื่องขบขัน ผู้ฟังเพลินดูคล้ายกับว่าท่านพูดเล่น แต่ที่จริงท่านพูดตามเหตุที่ท่านรู้ทางจิต

๗. ครั้นต่อมาอีกเช้า เวลาฉันจังหัน ครั้งนั้นครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแขกติดตามมากับองค์กฐินนายวัน แม่ทองสุขเช่น อาจารย์สิงห์  อาจารย์สีโห  อาจารย์อ่อน   อาจารย์ฝั้น  และพระอื่น ๆ  อีกมาก ได้ไปรวมกันฉันที่ศาลาหลังใหญ่เพราะที่หอฉันที่ไม่เพียงพอ  จึงฉันอยู่ที่หอฉันก็มีแต่พระเณรเจ้าถิ่นเท่านั้น 

ครั้งนั้นบันดาอาหารหวานคาว พวกโยมทั้งหลายเลยเอาขึ้นไปแต่หอฉันที่อาจารย์มั่นอยู่ ไม่มีใครแบ่งไปศาลาใหญ่เลย พระผู้แจกอาหารเช่นอาจารย์วัน  อาจารย์ทองคำ  และข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ด้วย ก็บังเอิญลืมแบ่งไปจริง ๆ  พอฉันเสร็จแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรอีก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ฉันอยู่ศาลาหลังใหญ่ก็ฉันแต่อาหารที่ได้มาในบาตร ไม่มีใครพูดอะไร เพราะกลัวความกระทบกระเทือนจะไปถึงท่านอาจารย์ใหญ่

พอตื่นเช้าวันหลังเท่านั้นแหละ ท่านอาจารย์มั่นเลยว่าโยมชาวบ้านหนองผือเลยว่า พวกโยมทำอาหารมาให้พระฉันกันอย่างไร อาตมาได้ยินว่า ท่านอาจารย์สิงห์ บ่นว่าอาหารจาง อาหารจางอยู่ พระพวกภัตตุเทศที่แจกอาหารเลยสืบถามดูความจริงแล้ว ลืมแบ่งอาหารไปศาลาหลังใหญ่ ปล่อยให้ครูบาอาจารย์ฉันแต่ข้าวที่ไม่มีอะไร ๆ กันทั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ท่านอาจารย์มั่นรู้เรื่องราวโดยไม่มีไครบอก

อันนี้เป็นของอัศจรรย์ข้อหนึ่งตามข้าพเจ้าเคยผ่านเหตุการณ์มาในเรื่องท่านอาจารย์มั่น

๘. เรื่องอดีตชาติก่อน

ท่านอาจารย์มั่นพูดว่า สมัยพระโสณะกับพระอุตตระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภูมิ คือ นครปฐมเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์มั่นนี้ได้เป็นสามเณรน้อยมาด้วย ท่านว่า สมัยนั้นท่าน ข้องคาอยู่ในการปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงไม่ได้สำเร็จมรรคผลอะไร

ท่านกล่าวว่า สมัยนั้นน้ำทะเลขึ้นไปจรดกับจังหวัดสระบุรี หรือเขาวงพระจันทร์ ส่วนพระโสณะและพระอุตตระนั้นชอบใช้ไม้เท้าทางกก (ทางต้น) เป็น ๘ เหลื่อม ทางปลายนั้นเป็น ๑๖ เหลื่อม

ท่านว่า เมืองไทยเรานี้มีคนมีบุญวาสนามากมาเกิดบ่อย ๆ  และเป็นที่ชุมนุมของเทวดามเหศักดิ์ผู้มีฤทธิ์มาก ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น พระบรมสารีริกธาตุก็เสด็จมาอยู่ในเมืองไทย ประเทศอินเดียไม่ค่อยมี เพราะเมืองไทยเรามีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองกว่าประเทศอื่น ฉะนั้นเมืองไทยเรา จึงเป็นเมืองแสนสงบสุข อุดมสมบูรณ์เป็นเอกราชมานาน เพราะเป็นดินแดนที่เกิดของนักปราชญ์ทั้งหลาย

พูดถึงตอนนี้เป็นเหตุให้เราคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศภาคภูมิใจมาก และ ภาคภูมิใจที่ได้มาเกิดในเมืองไทย

ที่มีครูบาอาจารย์ผู้วิเศษมาโปรดนี้ได้ยินจาก ท่านพระครูสีลขันธ์สังวร (อาจารย์อ่อนสี) วัดพระงาม ท่าบ่อ พูดให้ฟัง เพราะอาจารย์องค์นี้ท่านได้อยู่กับท่านอาจารย์มั่นตั้ง ๖ ปี ท่านรู้ดีเรื่องอาจารย์มั่น ใครสนใจไปเรียนถามท่านก็ได้

๙. เรื่องเข้าสมาธิเวทยิตนิโรธสมาบัติ

ท่านอาจารย์อ่อนสี วัดพระงาม เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เรื่องเข้าเวยิตนิโรธนี้ เคยมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่กราบเรียนท่านอาจารย์มั่น ท่านตอบว่า พระอรหันต์จำพวกได้อภิญญา ๖ และ ปฏิสัมภิทา ๔ จิตถึงจตุตถญาณแล้วจึงเข้าได้ อย่างพระมหาสารีบุตร พระมหากัสสป ท่านเข้าได้ถึง ๗ - ๘ วันจำพวกพระอรหันต์สุกขวิปัสโก เตวิโช อันนี้เข้าไม่ได้

ท่านอาจารย์มั่นพูดว่า เอาน่า เชื่ออ้ายเฒ่าเถอะน่า และท่านเคยตื่นลูกศิษย์ว่า อย่าไปคิดมันเลยเรื่องนี้ ว่าแต่สิ้นกิเลสตัณหาก็พอ พวกเรานี้มันหมดยุคผู้มีบุญวาสนามากแล้ว วาสนาของสัตว์โลกนักวันแต่จะด้อยลงไปทุกที ยิ่งเลย ๒๕๐๐ ปี ไปแล้ว คนที่จะสำเร็จมรรคผลเพียงแค่แต่พระโสดาบันนี้ก็ยาก ท่านว่าดังนั้น อย่าอยากดีอยากดังเกินไป มันจะไม่พ้นทุกข์ นี้ท่านเตือนสานุศิษย์ 

อย่างท่านอาจารย์ลี วัดอโศการามก็เคยพูดบ่อย ๆ  ว่า เลย ๒๕๐๐ ไปแล้วคนจะทำความดีได้ยาก มีแต่คนชั่วเอาความชั่วมาทับถมกัน จริงอยู่ คำนี้ สมัยทุกวันนี้พระท่านถือธุดงค์ไปเจริญสมณธรรมอยู่ป่าอยู่เขา ไกลแสนไกล สูงแสนสูงเท่าใด คนยังไปรบกวนถามบัตรถามเบอร์ท่าน ไม่ถามเรื่องบุญเหมือนสมัยที่ท่านอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ ถามกันแต่เรื่องเบอร์ทั้งนั้น พระสมัยนี้ก็แสวงหาแต่อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ใครก็หาแค่มนุษย์สมบัติไม่หานิพพานสมบัติ พระท่านผู้หวังจะข้ามจากโลกก็พลอยลำบากไปด้วย เพราะโลกเขาไม่อยากให้ข้ามไปเลย

 
 

จากคุณ : กอบัวสวรรค์
เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 10:29:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com