ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อระลึกถึงธรรมะของพระองค์ท่าน เวลากราบไหว้จะได้ระลึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ปล. อันนี้ตามความเข้าใจส่วนตัว ถ้าผิดก็ขออภัย จากคุณ : sheibon เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 14:43:48

ความคิดเห็นที่ 2 นิพพาน ก็น่าจะหายแต่ส่วนที่ปรุงแต่ง ครับ ... คือในความจริงมีแค่2ส่วน คือ สังขตะธรรม เป็นส่วนที่ถูกปรุงแต่ง รูป  กับ อสังขตะธรรม ที่ไม่ปรุงแต่ง นิพพานก็ไปเป็น ธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง  ไม่เปลี่ยนแปลง   ไม่มีกาลเวลาเปรียบต่าง ส่วนพระพุทธรูป นั่น ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าครับ.. พระองค์ตรัสไว้ก่อนที่ คนกรีกจะอุตริปั้นขึ้นมาแล้วครับ   คนพุทธสมัยแรกก็ต่อว่าประนาม.. ปั้นจากหน้าเทพกรีก ส่วนคนยุคหลัง  บูชา โดยต้องมีรูปไว้ให้รำลึก...  บ้างก็บูชาหวังแบบเทพนิยม ที่จริงพระพุทธองค์สอนให้เรา นำพระธรรมมาปฏิบัติ นั่นแหละคือการบูชาแท้ครับ ส่วนพวกกราบหินวัตถุ  แต่ทำเลว หรือไม่ได้ปฏิบัติชอบยังไง... ก็ไม่ได้บูชาพระพุทธจริง จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 14:55:19

ความคิดเห็นที่ 3 คห ที่ 2 แปลว่าพระพุทธรูป สมัยแรก ๆ เป็นคนกรีกนำมาปั้นเหรอครับ จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:00:11

ความคิดเห็นที่ 4   หากจะถามตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องไปถามในห้องหว้ากอ  ...แต่ในเมื่อมาถามในห้องศาสนา ก็ต้องตอบตามแบบของชาวสมาชิกห้องศาสนา  แม้ว่าการตอบแบบศาสนานั้น อาจจะไปตรงกับหลักวิทยาศาสตร์บ้าง ก็ตาม..นั่นก็เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เอง ที่ดันมาตรงกันเข้ากับหลักศาสนาเข้า...ช่วยไม่ได้จริง ๆ แฮะ เอาเป็นข้อ ๆ ไปนะครับ ๑. เรื่องการบูชาพระพุทธเจ้า      การบูชาพระพุทธเจ้านั้น   หากยึดถือตามหลักศาสนาพุทธแล้ว ไม่ได้มีมติเดียวลงไปเลยว่า นิพพานคือ ดับสูญ สลายหายไป ไม่เหลือ   แต่ในศาสนาพุทธ มีแนวคิดออกเป็น ๒ นัย หรือเรียกกันว่า เป็น ๒ นิกาย ใหญ่ ๆ แห่งความเชื่อถือ (ดังนั้น การบูชา จึงแตกต่างกัน พอสมควร ในรายละเอียด)   - นิกายมหายาน หรือ อาจาริยวาท (พระจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ  ) ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ ในดินแดนใด ดินแดนหนึ่ง จะเรียกว่าแดนสวรรค์ หรือแดนนิพพาน ก็สุดแท้แต่     ..... แต่สรุปว่า ยังไม่ได้หายไปไหน  ยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง   - นิกายหินยาน หรือเถรวาท (ไทย ศรีลังกา พม่า  ฯลฯ)  เชื่อลงไปอย่างเด็ดขาดทีเดียวว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว นั่นย่อมหมายถึง ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ไม่ว่า ณ ที่ไหน ๆ ดินแดนไหน ๆ ก็ตาม....ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว  ดังนั้น การบูชาพระพุทธเจ้าผ่านรูปเคารพ สำหรับผู้ที่เชื่อในนิกายมหายาน พวกเขาก็ยังเชื่อกันว่า ได้บูชาตรงไปยังพระพุทธเจ้า ที่ยังคงมีอยู่จริง ๆ ในดินแดนอื่น นั่นเอง   ส่วน การบูชาผ่านรูปเคารพ ของผู้นับถือนิกายเถรวาท ก็อาจจะมีคติที่แตกต่างกัน ดังจะขอแสดงความเห็นในหัวข้อต่อไป ๒. เรื่องการบูชาผ่านพระพุทธรูป หมายความว่าอย่างไร?     ก็อย่างที่ได้แสดงความเห็นไปแล้วในข้อแรกว่า สำหรับนิกายมหายาน อาจจะเป็นการเข้าใจกันโดยทั่วไปว่า ได้บูชาเพื่อให้ถึงพระพุทธองค์ โดยตรง  เพราะเชื่อว่า พระพุทธองค์ ยังคงอยู่ ในดินแดนใด ดินแดนหนึ่ง (สวรรค์ หรือนิพพาน)    ส่วนที่เชื่อว่า ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าในดินแดนไหน ๆ นั้น แต่ยังกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปอยู่นั้น ก็มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น    ๒.๑. โดยส่วนใหญ่ กราบไหว้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทน พระพุทธองค์ เมื่อครั้งยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ คล้าย ๆ กับที่เรากราบไหว้รูปภาพบรรพบุรุษ    ๒.๒. ส่วนหนึ่งก็กราบไหว้ อย่างมีปัญญา หรือแฝงไปด้วยปริศนาธรรม เช่น กราบไว้เพื่อให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ หรือ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณ ที่พระพุทธองค์ทรงเคยมีแก่มนุษย์บนโลกนี้  (คือการระลึกหรือบูชาพระพุทธคุณอันประเสริฐนั้นเอง)    ๒.๓. ส่วนหนึ่งกราบไหว้ในลักษณะ ขอพร และเข้าใจไปเองว่า พระพุทธรูปนั้น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงอาศัยอยู่ในนั้นได้จริง และสามารถขอพรได้ (บางคนอาจจะคิดไปเองถึงขนาดว่า พระพุทธเจ้ายังมีวิญญาณสิงอยู่ในพระพุทธรูปก็มี  ส่วนใหญ่เด็ก ๆ หรือคนที่ปัญญาน้อย ก็อาจจะคิดเช่นนี้)   ๒.๔. ส่วนหนึ่งก็กราบในฐานะว่า พระพุทธรูปนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง เช่นหลวงพ่อโสธร หรือพระแก้วมรกต ฯลฯ  โดยเฉพาะหลวงพ่อ (พระพุทธรูป) องค์สำคัญ ๆ ทั่วทุกภูมิภาคนั้น ส่วนใหญ่ คนพุทธ ที่มีปัญญาในระดับหนึ่ง จะเชื่อว่า มีเทวดาคอยคุ้มครองอารักขาอยู่  ดังนั้น การได้ไปกราบพระพุทธรูป ก็ถือว่าได้สองต่อ คือ  ได้กราบพระพุทธรูปเป็นการรำลึกถึงพระพุทธคุณด้วย  และได้ทำการเคารพบูชาเทพ เทวดา ที่คอยอารักขาพระพุทธรูปองค์นั้นด้วย      โดยทั่วไปก็จะเชื่อกันว่า  เทวดา ที่อารักขาพระพุทธรูปนั่นแหล่ะ เป็นผู้อำนวยอวยพรให้โชคดี และให้โชคต่าง ๆ นานา...หาใช่พระพุทธเจ้าไม่  ยังมีเหตุผลอีกมากมามายครับ  แต่ตอนนี้ เอาแค่นี้ก่อน... แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 15:15:51 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:05:14

ความคิดเห็นที่ 5 นิพพาน คือ สูญจากกิเลส จิต ที่พ้นจากกิเลส ก็จะไปอยู่ ณ นิพพาน  ไม่ใช่ว่า หายไปไหน แต่ อยู่ ต่าง มิติกัน  คนก็ไม่เห็น (ปุถุชน และ ที่ปฏิบัติธรรมแบบสมถะ ก็ ไม่สามารถ เห็นได้ ) การเห็นได้ แบบ ไม่มี มาร ไม่มีกิเลส มา หลอก คือ ระดับ อรหันต์  ปุถุชน ที่ฝึก มโนมยิทธิ สามารถ ถูกหลอกได้ ว่า ที่เห็นนั่น คือ ของจริง  อย่างที่ หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ สอนไว้ ต้องเข้าใจว่า หลักปฏิบัติ ตามวิชา พระพุทธศาสนา แบ่งไว้  สาย สมถะ ไปนิพพานได้ แต่ไม่รู้ ไม่เห็น  ผีไม่เห็น เทวดา พรหม นิพพาน ไม่เห็น ไม่สามารถเห็นได้   สายวิชาสาม  สามารถเห็นได้ ล่วงรู้ อนาคต อดีตได้  ฝึกถึง อภิญญา   นั้น คนที่บอกว่า นิพพาน สูญ คือไม่มีอะไร เลยนั้น ถ้าพูดตามพระไตรปิฏก ตีได้ 2 อย่าง  คือ หายไปแล้ว  แต่จริงๆ คือ สูญจากกิเลส กิเลสหมด ไม่เหลือ พ้นจาก บุญ บาป ก็ไม่ต้องมาเกิด อีก  ไม่ใช่ว่า จิตมันจะหายไป  จิตของพระพุทธเจ้า ท่าน ก็ อยู่ ณ นิพพาน  ทุกพระองค์ แต่ มันยาก ที่เราจะเห็นได้ ต้องฝึก แบบ วิชาสาม อย่างลัด ก็ มโนมยิทธิ จากคุณ : phutakun เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:08:34

ความคิดเห็นที่ 6 ความคิดเห็นที่ 3 ใช่แล้วครับ  คนพุทธสมัยแรกไม่มีใครจะแม้แต่วาดเป็นรูปพระพุทธตามกำแพง ต้องblankว่าง ส่วนของพระพุทธเจ้าไว้ครับ  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ไม่ให้พุทธสาวก ยึดรูป คนกรีกตอนนั้นไปปกครองอินเดีย..  ไปหาข้อมูลดูนะครับ มิเลนเดอร์... แม่ทัพกรีก ซึ่งตอนแรกคนพุทธไม่ยอมรับนะครับ การสร้างรูปอย่างกับเทพกรีก ภายหลังโดน คนกรีกสอนให้ปั้น ก็เลยเออออ และเพื่อสร้างความนิยมไม่ให้โดนเทพพรามหณ์กลืนด้วย จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:12:03

ความคิดเห็นที่ 7   ใช่ครับ อย่างที่คุณ นบนอบ กล่าวไว้ถูกต้องครับ  คนที่ปั้นพระพุทธรูปคนแรก ไม่ใช่คนอินเดีย ไม่ใช่คนไทย  แต่เป็นฝรั่ง !!!     เป็นฝรั่งชนชาติกรีก ในยุคที่กรีกเรืองอำนาจ คือช่วงสมัยของอเล็กซานเดอร์มหาราช (อินเดียเรียกชื่อนี้ว่า  "อลิกสุนทร"  หรือแขกอินเดียจะออกเสียงว่า "อะลิกะซานทะระ"  ซึ่งก็คือ อเล็กซานเดอร์ นั่นเอง)        เมื่อ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ยึดครองอินเดียได้แล้ว (เมื่อสองพันปีก่อนโน้นนนน) ก็คิดถอยทัพ เพราะเบื่อการรบแล้ว แต่การถอยทัพตามหลักยุทธศาสตร์ ก็ต้องแต่งตั้ง มหาอุปราชครองเมืองนั้น ๆ แทนตนเอง ซึ่ง ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งผู้นั้น ก็คือ เมนันเดอร์ หรือ เมนานเดอร์  ขุนทัพคู่ใจ คนสนิท และเป็นอาจารย์สอนปรัชญาของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ นั่นเอง  (คนอินเดีย ออกเสียงเรียก เมนานเดอร์  แบบลิ้นภารตะ ว่า  เมลันดะระ หรือบ้างก็เรียก มิลินดะระ  ส่วนคนไทยก็เลยเรียกตามแขกอินเดียว่า "มิลินทร์")   มหาอุปราชมิลินทร์  หรือ พระยามิลินทร์ ภายหลัง หันมานับถือพุทธศาสนา (จากการได้โต้วาทะ ถามตอบ หลักปรัชญา-ศาสนา กับพระนาคเสน อยู่นานถึง 11 - 12 ปี) ก็ยอมจำนน และหันมาศรัทธาในพระรัตนตรัย     ก็เลยเป็นที่มาว่า ท่านน่าจะเป็นคนแรก ที่คิดทำหรือปั้น หรือแกะสลัก พระพุทธรูป  เพราะยังติดอยู่กับความเชื่อหรือรสนิยมเดิม ๆ ในเรื่องของงานศิลป์   ดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธรูปในยุคแรก ๆ นั้น ใบหน้า หรือพระพักตร์ จะค่อนข้างคล้าย ๆ ละม้ายไปทางเทพเจ้าอพอลโล่ ของกรีก ซะด้วยซ้ำ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 15:34:04 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 15:31:57 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:29:34

ความคิดเห็นที่ 8 นิพพาน   คืออาการ สมมุติ ให้ พ้นจาก การเกิดตาย  พ้นทุกข์แห่ง การหมุนวนในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องความเป็นจริงแห่งชีวิตนั้น  ห้ามเกิดตายไม่ได้ทั้งหมด                                 แม้ไม่มี        จักรวาล      แต่กาลก่อน                                ลองนึกย้อน    ไกลไป      ถึงในหาว                                ในความมืด     อวกาศ      ไร้ดวงดาว                                เมื่อถึงคราว    ก็เกิดคน     จนเต็มเมือง จากคุณ : boon-m1 เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 15:41:33

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วสิ่งเราบูชาอยู่ เราบูชาอะไร เพราะถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์จริง ๆ ถ้านิพพานมีจริง นั่นหมายความว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ---------------  ระลึกถึงพระคุณของท่าน ครับ  เมื่อระลึกแล้วจะได้ปฏิบัติตามพระธรรม เพื่อพ้นทุกข์ตามที่พระองค์ได้ทรงเทศนาไว้ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 16:56:22

ความคิดเห็นที่ 10 เราบูชา คุณพระพุทธ  เพราะหากไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้  เราจะรู้ไหมว่าทุกข์มี และเราจะรู้ไหมว่านิพพานที่ไม่มีทุกข์มีอยู่ เวลาพ่อแม่ เลี้ยงเรามา เรายังต้องรู้บุญคุณ ครูบาอาจารย์ให้ความรู้ เรายังต้องเคารพ และพระพุทธเจ้าท่านเป็นมากกว่าพ่อแม่ มากกว่าครูบาอาจารย์ เราจะไม่บูชาเลยได้่อย่างไร พระพุทธเจ้าแม้ทรงปรินิพพานแล้วก็จริง การบูชานั้นก็ต้องควรทำ  แม้แต่ชาวจีน บรรพบุรุษที่เสียไปแล้ว เค้าก็ยังมีการเคารพบูชา  เราจะไม่เคารพบูชาคนที่ช่วยชีวิตเราเลยหรืออย่างไรกัน สอง เราบูชาคุณพระธรรม ไม่มีพระธรรม หลาย ๆ คนบนโลก ฆ่าตัวตายไปนานแล้ว หลายคนที่เจอปัญหาชีวิต หรือเป็นคนเลวมาก่อน ได้พระธรรมช่วยเหลือชีวิตไว้ แม้แต่ครูบางท่าน ยังสอนว่า หนังสือเรียน ต้องเอาไว้ที่สูง ห้ามวางหนังสือเรียนกับพื้น พระธรรมท่านเป็นวิชาชั้นสูงกว่าหนังสือเรียนทุกเล่มบนโลก เราจะไม่บูชาพระธรรมเลยหรืออย่างไร สาม เราบูชาพระสงฆ์ ถ้าไม่มีพระสงฆ์ เราจะได้คำสอนของพระพุทธเจ้าจากใคร  เราจะเคารพใครที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  บ้านเมืองเราจะเป็นเมืองพุทธ  มีความสงบร่มเย็นกว่าหลายประเทศบนโลก ก็เพราะการสืบทอดและการปฏิบัติดีของพระสงฆ์  แม้พระมหากษัตริย์ในอดีตของไทยก็ยังกราบไหว้แม้แต่สามเณรบวชใหม่วันเดียว  เราคนตัวเล็ก ๆ จะมองไม่เห็นคุณของพระสงฆ์เลยหรืออย่างไร จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 17:08:02

ความคิดเห็นที่ 11 พระพุทธองค์เคยเป็นพราหมมาก่อนจึงรู้เรื่องอัตตาอาตมันอย่างดี พระพุทธทรงพบว่าอัตตาอมตะตามคติพราหมนั้นไม่มีความเป็นจริง แม้พระพรหมจะมีอายุยาวนานมากจนลืมไปว่าตนเป็นอะไรก่อนที่จะมาอุบัติเป็นพรหม ชีวิตอมตะเริ่มต้นที่การตรัสรู้อริยะสัจสี่ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าเรื่องของอัตตา ความยึดมั่นในอัตตาขันธ์ห้ายังคงมีอยู่ตราบเท่าที่ ยังไม่เห็นว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ที่จริงเรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากเลย อย่างน้ำนี่ไม่มีตัวตนที่จริงแท้นะ จะมีก็แต่H2Oเท่านั้นแต่เราก็ดื่มน้ำได้ใช่ไหม! ทำนองเดียวกันเราไม่มีตัวตนแท้จริงแต่ตัวเราก็มีอยู่ใช่ไหมกินเดินนั่งนอนได้อยู่นี่ แต่อัตตาขันธ์ห้าของเรานี้ไม่มีความเป็นอมตะจะกินยาอะไรเข้าไปมันก็เป็นอมตะไม่ได้ มีแต่หนทางเดียวที่จะทำให้มีชีวิตอมตะได้ก็คือการดับทุกข์ได้สนิทแล้วเท่านั้น ลัทธิไหนมาอ้างว่ามีสวรรค์อมตะให้อัตตาอยู่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 17:09:50

ความคิดเห็นที่ 12 เราว่าสมัยนี้คนไหว้พระพุทธรูปไม่ค่อยนึกถึงคำสอนกันหรอกคะ ขอหวยบ้าง ปรับทุกข์บ้าง การมีพระพุทธรูป พระเครื่องทำให้หลายคนถูกชักจูงให้ห่างจากคนสอนไปเรื่อยนะคะ มายึดติดกับวัตถุแทน ถึงได้มีไหว้พระเก้าวัด ที่จริงแล้วถ้าพระพุทธเจ้ามีองค์เดียว และเชื่อว่าพระองค์จะรับรู้ถึงการกราบไหว้ของเราจริง อันนี้ไหว้ที่บ้านก็พอแล้วนะคะ ไม่ต้องตระเวนสามจังหวัด แต่อย่างว่าคำสอนเดิม ๆ มัน marketing ไม่ดีเท่าตามวัดที่วัตถุนิยมมาก พุทธพาณิชย์มาก ก็เลยไม่อยู่ในกระแสนิยม  ส่วนตัวเราเองพอเรียนวิชาพุทธศาสนามาถึงเรื่องนิพพาน และคำสอนที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างวัตถุบูชา เราก็เลิกชาบูพระอิฐพระปูนแล้วล่ะ เพราะไม่เห็นประโยชน์ สำหรับเรารักษาศีล 5 ศีล 8 ได้ครบถ้วนก็ถือว่าได้เดินตามรอยทางของพระพุทธเจ้าแล้ว แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 18:33:03 จากคุณ : uyadas เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 18:31:41

ความคิดเห็นที่ 13 คหที่ 10 - ที่คนจีนกราบไหว้บรรพบรุษ ก็เพราะ เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบรุษยังคงมีอยู่และรับรู้ได้ต่างจากพระพุทธเจ้าซึ่งนิพพานไปแล้ว นั่นหมายถึง ท่านก็คงรับรู้ไม่ได้ - พระธรรม ก็คือหลักคำสอน ไม่ใช่พระพุทธ ซึ่งเป็นรูปปั้น วัตถุครับ บูชาพระธรรมก็คือสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมครับ -ส่วนเรื่องหนังสือเรียน ก็แล้วแต่ความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาไม่เกี่ยวกับ คำถามของผมครับคนละเรื่องครับ - บูชาพระสงฆ์ ตรงนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นาครับ ผมว่ามันก็ถูกเพราะมันสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว และพระสงฆ์ก็คือสิ่งมีชีวิต ยังรับรู้ได้ครับ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับคำถามของผมแต่อย่างใดนี่ อย่านำมารวมกันให้ดูกลมกลืนสิครับ จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 19:22:49

ความคิดเห็นที่ 14 คคห.5 เอาความเห็นแบบนี้มาจากไหนครับ ผิดเพี้ยนเหลือประมาณ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ เป็นคำสอนของพวกนอกรีต คิดเอาเอง มาแนวๆทำมะกลายเลย มาจากความคิดของฤาษีลูกครึ่งหรือครับ นอกลู่นอกทางจริงๆ เวรกรรม จากคุณ : ฤาษีเลี้ยงลิง (เตาฟืน) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 19:29:58

ความคิดเห็นที่ 15 จริงครับ สมควรยกเลิก เพราะนำไปสู่การกราบไหว้แบบผิดๆ และบูชารูปเคารพต่างๆ แบบผิดๆ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:09:22

ความคิดเห็นที่ 16 รูปปั้นพระพุทธเจ้า ทำขึ้นหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว หลายร้อยปี เริ่มจากที่อาณาเขตคันธารราฐ (Gandhara) สร้างตามศิลปอิทธิพลของกรีก รายละเอียด : http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=74 ================= การไหว้บูชาคุณความดีของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเผยแผ่ศาสนา เป็นศาสดาเอก ทรงเมตตาให้ความรู้บอกทางหนทางอริยสัจ๔ ให้ผู้คนในโลกเข้าถึงความดับทุกข์โดยสนิท นิพพาน ศรัทธาลักษณะนี้จะสามารถโน้มเข้าสู่คุณงามความดีภายในผู้ศรัทธา นำสู่การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติตามได้ . แต่หากการไหว้ขออ้อนวอนพระพุทธรูป เพื่อบางสิ่งบางอย่างให้สมหวังทางโลก จะทำให้พลาดเป้าหมายพุทธศาสนาออกไป ศรัทธาลักษณะอาจจะไปอยู่ในรูปแแบบศาสนาเทวนิยม คริสต์ พราห์ม-ฮินดู หลักการสำคัญของพุทธศาสนาที่ต้องพึงจับให้มั่น เพื่อบังเกิดผลสัมมาทิฏฐิ คือ ชีวิตที่มีร่างกายจิตวิญญาณ(ตามองค์ประกอบที่เรียกว่าขันธ์๕) ขันธ์๕ นี้ซึ่งเป็นสภาพปรุงแต่งมีความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ถาวรเป็นเพียงการประชุมรวมกันของธาตุขณะนึงๆ ณ ปัจจุบันขณะ ต่อเนื่องกันไป ขันธ์๕ นี้ซึ่งเป็นสภาพปรุงแต่งมีความเป็นทุกขัง ชำรุดเสื่อมสภาพ ไม่เสถียร ขันธ์๕ นี้ซึ่งเป็นสภาพปรุงแต่งมีความเป็นอนัตตา มีเพียงชั่วคราว มิได้เป็นตัวเราของเรา ขันธ์๕ นี้ซึ่งเป็นสภาพปรุงแต่งมีความเป็นสุญญตา ว่างเปล่าจากตนหรือจากของๆตน แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 21:32:40 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 21:31:17 จากคุณ : nataraja เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:29:20

ความคิดเห็นที่ 17 อ้างถึง การไม่มีตัวตนไม่ว่าจะโลกนี้ โลกไหน **************************************** ข้อความข้างต้น  ไม่ได้หมายความว่า  จิตจะดับสิ้นสูญสลายไปนะครับ... แต่หมายความว่า...จิตหมดการยึดมั่นถือมั่นในตัวของจิตเอง  โดยจิตไม่ได้ดับสูญสิ้นไป และธรรมะข้อนี้  ระดับพระโสดาบันก็เห็นแล้ว.... แต่ส่วนที่นิพพานแล้ว  จิตจะเป็นอย่างไรต่อไปอีกนั้น   ตรงนี้ต้องไปอ่านไปพระไตรปิฏกครับ จากคุณ : ฮูฮง เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:35:14

ความคิดเห็นที่ 18 ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง,     มงคลทั้งปวง, พึงเกิดขึ้น รักขันตุ สัพพะเทวะตา,   จิตสูงทั้งปวง, พึงรักษา สัพพะพุทธานุภาเวนะ,   ด้วยการตามภาวะ ของพุทธะทั้งปวง, ที่เกิดในตน สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ ความสวัสดี, พึงเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง,     มงคลทั้งปวง, พึงเกิดขึ้น รักขันตุ สัพพะเทวะตา,   จิตสูงทั้งปวง, พึงรักษา สัพพะธัมมานุภาเวนะ,     ด้วยการตามภาวะ ของธรรมะทั้งปวง, ที่เกิดในตน สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ ความสวัสดี, พึงเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อฯ ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง,   มงคลทั้งปวง, พึงเกิดขึ้น รักขันตุ สัพพะเทวะตา,   จิตสูงทั้งปวง, พึงรักษา สัพพะสังฆานุภาเวนะ,   ด้วยการตามภาวะ ของสังฆะทั้งปวง, ที่เกิดในตน สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ ความสวัสดี, พึงเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อฯ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:37:08

ความคิดเห็นที่ 19 แบบเดียวกับรูปพ่อแม่นั้นแหละ รูป ตัวรูปไม่ใช่พ่อใช่แม่เราแต่เป็นสื่อเพื่อระลึกถึงพ่อแม่ เหมือนกับพระพุทธรูป ซึ่งก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่เป็นสื่อเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง ประวัติการสร้างพระพุทธรูปองค์แรกของโลก อยู่ในสมัยพุทธกาลครับ ไปหาอ่านเรื่องพระแก่นจันทร์นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นตำนานหรือถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมั้ย เรื่องพระพุทธรูปผมชอบพระพุทธรูปศิลปะกรีกมากเพราะแสดงถึงความเป็นมนุย์ของพระพุทธเจ้าได้ดี แต่ศิลปะอื่นๆจะสื่อถึงความเป็นเทพมากเกินไป ซึ่งห่างจากหลักศาสนาอยู่ พระพุทธรูปจะมีเทวดารักษาทุกองค์ครับ ยิ่งพระสำคัญๆจะมีเทวดาที่มีบารมีมากรักษาอยู่ ต้องให้ผู้มีบารมีมากพอมาบูชาถึงจะได้ เช่นพระแก้วมรกต สมัยถึงเชียงหม่มีบารมีมากก็อยู่เชียงหใม่ พอเชียงใหม่อ่อนแอก็ไปลาว พอลาวอ่อนแอก็มากรุงเทพ เป็นต้น จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 23:38:46

ความคิดเห็นที่ 20 นิพพาน ไม่ได้ แปลว่า ไม่มีตัวตน นะ แต่จริง ๆ แปลว่า ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละ แบบสั้น ก็คือ ไม่ใช่ ตัวตน ต่างหาก หากนิพพาน แปลว่า ไม่มีตัวตน สูญสิ้น เราก็แค่ ไม่มีลูกมีหลานกัน ไร้การเกิด ก็คงจะนิพพาน กันหมด แล้ว ล่ะ เรื่องมันไม่ง่าย อย่างนั้น นะ ผมเพียรพยายามตีความเรื่องนี้ จากการอยู่ใน กระทู้แห่งนี้ มา ก็ จะสามปี แล้ว ตอนนี้ เชื่อแล้วว่า นิพพาน เป็นแดน ๆ หนึ่ง ที่ ๆ จิตที่นิพพาน จะไปอยู่กัน ณ แดนนั้น ๆ ดูจะมีเหตุผลมากกว่า  แบบสูญสิ้น ไปเลย น่ะ ... จะบอกว่า ตอนนี้ ยิ่งเชื่อ อย่างนั้น ใหญ่เลย เพราะมีคนรู้จักที่ไปนิพพาน แล้ว บอกว่า เป็น อย่างที่ผม พยายามเพียรหาคำตอบมาน่ะ จากคุณ : trialuck เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 01:43:41

ความคิดเห็นที่ 21 "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือ ฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึง ธรรมมีอุปมาด้วยแพที่เราแสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงอธรรมเล่า." http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=12&item=280&items=1&preline=0 สุดท้ายในเรื่องนิพพาน สูญญตาไม่ควรยึดไว้เป็น paradox สุดท้ายที่จะเอาไว้เกิดเชื้อ ด้วยไตรสิกขาใน ศีล สมาธิ และปัญญา ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ ไม่ควรกล่าวถึงการมีหรือไม่มี เพราะปล่อยวางความยึดมั่นลงเสียแล้ว พระอริยะบุคคล เช่น พระอรหันต์ที่เดินไปเดินมาให้ขวักไขว่ ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฏกนั่นก็นิพพาน ? จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 05:50:39

ความคิดเห็นที่ 22 ในพระไตรปิฎกมีคำว่า "นิพพานธาตุ" อยู่น่ะครับ   ถ้านิพพานคือ การสูญ   จะหานิพพานธาตุได้อย่างไร จากคุณ : bodymind เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 08:10:08

ความคิดเห็นที่ 23 ขออนุญาตค่ะ ในความเห็นของเรา คิดว่าอธิบายอย่างไรคุณก็ไม่ซาบซึ้ง หรอกค่ะ รู้ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุผล แต่ถ้าอยากรู้ เหตุผลที่ให้เข้าใจแท้แน่นอน ก็ขอแนะนำให้ปฎิบัติธรรมค่ะ  เพราะที่สงสัยเนี่ยะ ก็คงเห็นการปฎิบัติตาม ๆ กันมา ก็เลยสงสัย แต่ถ้าหากปฎิบัติธรรมแล้ว จะคลายสงสัยและซาบซึ้งจน กลั้นน้ำตาไม่อยู่แน่นอน  " สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ (ปฎิบัติธรรม ) " สาธุ จากคุณ : terquila เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 10:27:19

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาอ่าน จากคุณ : ย่าอ้วนแพน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 10:47:14

ความคิดเห็นที่ 25 พ่อแม่ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ร่างกายท่าน ไม่อยู่แล้ว เรายังบูชา กราบไหว้ รูปบ้าง กระดูกบ้าง สร้างเจดีย์เพื่อกราบไหว้ท่านบ้าง ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า ท่านตายแล้ว ท่านเป็นอย่างไร เพื่ออะไร ท่านเป็นผู้มีคุณแก่ลูก ลูกทำเพื่อระลึกถึงคุณท่าน และประการอื่นๆ แล้วแต่ใครจะตอบ พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระคุณ หากจะกราบไหว้ บูชา แล้วสงสัยในคุณของท่าน ก็ควรที่จะศึกษาว่า ท่านทำประโยชน์อะไร ทำไมถึงมีคนระลึกถึงท่านมากมาย จากคุณ : nokbin เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 11:32:57

ความคิดเห็นที่ 26 กราบบูชากิเลสตัณหาลามกในใจของตนไง... ทุกวันนี้คนกราบไหว้สิ่งที่ตนคิดว่าว่าศักดิ์สิทธิ ไม่ว่าจะเป็น รูปพระ รูปคน รูปผี ไหว้สัตว์ต้นไม้ ล้วนมุ่งหวังโชคลาภส้มหล่น ได้ทรัพเพิ่มพูล ขออยากให้ได้สมหวัง อย่างที่ตนปราถนา เป็นการกราบไหว้เพื่อให้ได้สมตามกิเลสตัณหา วนเวียนคลั่งไคล้ในกองทุกข์อย่างลืมตาย มิได้กราบไหว้เพื่อหวังนำตนพ้นทุกข์ พ้นจากทรัพสินกิเลสกองทุกข์ทั้งปวง มีไหมที่ใครจะกราบไหว้พระพุทธรูปพระพุทธเจ้า แล้วอธิฐาน ขอให้ทรัพสินเงินทอง ตำแหน่งบารมี ลูกเมียข้าทาสบริวาร ที่ตนมีอยู่อันตราทานหายว๊าบไปให้หมด เหลือเพียงผ้าพันกายผืนเดียว เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงทิ้งแม้สมบัติพระราชา เพื่อจะได้พ้นทุกข์เสียที   มีไหมที่อธิฐานขอให้หมดได้เหมือนพระองค์..ใครเคยขอแบบนี้บ้าง..ยกมือขึ้น... จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 11:58:58

ความคิดเห็นที่ 27 คหที่ 23 ให้ปฏิบัติอะไร แล้วลองอธิบายรึยัง แล้วตก คห คุณ มันตรงประเด็นกับที่ผมถามรึเปล่า จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 14:47:56

ความคิดเห็นที่ 28 ในหนองน้ำแห่งหนึ่ง  เต่าตัวหนึ่งสามารถขึ้นไปบนบกได้  ได้รู้ได้เห็นอะไรต่าง ๆ แล้วกลับลงมาหนองน้ำอีก  พวกปลาต่าง ๆ  ก็พากันซักถามว่าบนบกมีสภาพเป็นอย่างไรบ้้าง  เต่าก็พยายามอธิบายโดยเอาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในน้ำเป็นสิ่งเปรียบเทียบ  แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนบกได้ร้อยเปอร์เซนต์ ปลาได้ฟังจากการบอกเล่าแล้วก็ต่างถกเถียงกันยกใหญ่ว่าคงจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จากคุณ : fingo เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 15:40:04

ความคิดเห็นที่ 29 แวะมาดู ตาบอดคลำช้างแล้วมาคุยกัน.. จากคุณ : ปลาบึกอ้วน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 17:39:09

ความคิดเห็นที่ 30 ขอโทษค่ะ ที่อธิบายไม่มากพอ   ที่กราบไหว้บูชาองค์พระพุทธรูป ที่พ่อแม่สอนว่า รูปเสมือน พระพุทธเจ้า ให้ กราบ 3 ครั้งคือ กราบบูชา คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์  ตอนยังไม่ปฎิบัติธรรม ก็กราบสักแต่ว่ากราบ ไม่รู้เหตุ ไม่หาผล  แต่พอได้ปฎิบัติธรรมจึง รู้ว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ทรงเป็นผู้เสียสละความสุขทางโลก ที่ใคร ๆ ปรารถนา ทรงศึกษา วิชาแก้ทุกข์ และ เผยแพร่สั่งสอนให้ สัตว์โลกทั้งหลายที่ ปรารถนาพ้นทุกข์ ด้วยด้วยวิชา"แก้ทุกข์"  ที่ท่านสละชีพแลกมา ถ้าคุณลองได้ศึกษาด้วย ตนเอง และพอเพียงที่จะรู้ว่าวิชานี้ต้อง "ยอมตาย" เท่านั้นจึงจะได้มา และผู้ศึกษาธรรมของพระองค์ ให้แจ้ง ทุกคน ก็จะได้พบกับความสุขแท้จริง และ การกราบพระพุทธรูป ก็เพื่อระลึก ถึงพระมหากรุณาธิคุณของท่าน และ เราไม่มีวาสนาเกิดในขณะที่ท่านดำรงค์ ขันธ์อยู่ ก็ยังมีพระธรรมของท่านที่ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาภายหลังได้ศึกษา ข้อธรรมปฎิบัติ และ พระสงฆ์ที่ศึกษาธรรมจนรู้แจ้ง ก็จะได้สั่งสอนและเผยแพร่ วิชานี้ แก่สัตว์โลกต่อไป   การกราบครั้ง 2 ,3 คือ บูชาคุณพระธรรม และ คุณพระสงฆ์ "การปฎิบัติธรรม" คือ ทางสายเอกสายเดียวที่จะพบ และถ้าหากสงสัยว่าปฎิบัตธรรม คือ ปฎิบัติอย่างไร เบื้องต้น ลองถาม อากู๋ดูได้ค่ะ นอกเหนือจากนั้นให้ธรรมจัดสรรเอง สาธุ "คนเชื่อง่ายสอนยาก คนเชื่อยากสอนง่าย" (คำสอนของหลวงพ่อ)   ( กราบขอขมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดงดโทษแก่ลูกด้วยเทอญ) จากคุณ : terquila เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 20:11:58

ความคิดเห็นที่ 31 การละลึกถึงไม่จำเป็นต้องเป็นการกราบไหว้ รูปปั้นวัตถุอย่างเดียวนี่ครับ ถ้าแค่สวดมนต์ หรือปฏิบัติธรรมตามคำสอนแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ แต่ ก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็น ความเห็นส่วนตัวละกันครับ ว่าแต่ ประโยคตรงนี้ ( กราบขอขมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดงดโทษแก่ลูกด้วยเทอญ) เพื่ออะไรครับ ถ้าจะกราบขอขมาก็ทำไปสิครับ มีการต้องพิมพ์บอกให้คนอื่นรู้ด้วยเหรอครับ จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 20:56:57

ความคิดเห็นที่ 32 การถึงซึ่ง...พระรัตนตรัย http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10578 การถึงซึ่ง...พระรัตนตรัย (ตอนที่ ๒) http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10580 ความยากมีกี่ประการ อะไรบ้าง ความยากมี ๔ ประการ คือ ๑. การได้เกิดเป็นมนุษย์ ๒. การได้มีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ๓. การได้ฟังพระสัจธรรม ๔. การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ในเมื่อชาตินี้เรามีบุญได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเกิดได้ยากในประการที่ ๑ แล้ว และยังได้มีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ซึ่งเป็นความยากในประการที่ ๒ เราจึงควรรีบขวนขวายนำบุญนั้นมาสร้างบุญต่อไป ด้วยการฟังพระสัจธรรม อันเป็นความยากประการที่ ๓ เพื่อแสวงหาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสิ่งพระเสริฐที่เกิดได้ยากยิ่งในประการที่ ๔ การเรียนรู้และทำความเข้าใจในเรื่องของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า จะก่อให้เกิดความศรัทธา และความเลื่อมใส ยินดีที่จะปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงพระรัตนตรัย เพราะรู้ว่าการปฏิบัติตามทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้จะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นหมดจดจากกิเลส เป็นเหตุให้เกิดดวงตาธรรม นำชีวิตเข้าถึงพระปัญญาธิคุณอันทรงคุณค่าที่จะนำพาชีวิตให้หลุดพ้นรอดปลออดภัยไปพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10586 การขอถึงซึ่งพระพุทธ เป็นการขอถึงอะไร การขอถึงซึ่งพระพุทธ หมายถึงการขอถึงพระปัญญาธิคุณของพระองค์ อันเป็นปัญญาที่ตรัสรู้ในอริยสัจธรรม ๔ ประการ เมื่อเราขอถึงปัญญานี้ เราก็ต้องเป็นผู้เกิดรู้ด้วยปัญญา คือรู้ใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ต่างกันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง แต่บุคคลอื่นที่มีความยินดีปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และรู้ได้ในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้น ก็จะเป็นผู้รู้ตาม ซึ่งเรียกผู้นั้นว่า "อนุพุทธะ" ได้แก่พระอรหันต์สาวก เมื่อผู้ใดรู้ธรรมตามพระองค์ ก็ย่อมถึงซึ่งพระพุทธเจ้าตามที่กล่าวว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ" ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นย่อมถึงเราตถาคต" เหมือนดังที่พ่อแม่สั่งสอนว่า อย่าทำอย่างนี้นะ อย่าทำอย่างนั้นนะ ตั้งใจเรียนนะเพื่ออนาคต เราก็ฟัง แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าที่พ่อแม่สอนอย่างนี้ ดี หรือไม่ดี เพราะยังไม่เห็นอนาคตว่าอนาคตเป็นอย่างไร เช่นเดียวกันบางคนพ่อแม่สอนว่า อย่ามีเลยครอบครัว เพราะมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก อยู่คนเดียวดีแล้ว อยู่คนเดียวทำมาหากินเอง มีเวลาเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรม แต่เราก็ไม่เชื่อ เพราะยังไม่ประสบด้วยตนเอง พอออกเรือนเข้จริงๆ มีลูก มีภาระต้องรับผิดชอบมากเข้า มิน่าพ่อแม่รู้อย่างนี้มาก่อน จึงสอนเราให้ไม่ทำอย่างนี้ แต่ให้ทำอย่างโน้น ขณะนั้นเราจะนึกถึงคำสอนของพ่อแม่ได้ทันที เช่นนี้เป็นการถึงความรู้ของพ่อแม่ ถึงคำสอนของพ่อแม่อย่างแท้จริง เช่นเดียวกัน เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระปัญญาธิคุณ คือรู้อริยสัจธรรม ๔ ประการ การได้รู้ตามพระองค์ จึงเท่ากับถึงซึ่งพระพุทธองค์ไม่เช่นนั้นไม่มีทางถึง ทุกวันนี้ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจะถึงโดยการเรียน โดยการลองตาม แต่ไม่ใช่ไปถึงตาม นั่นคือได้แค่ สุตามยปัญญา จินตามยปัญญา แต่เมื่อใดปฏิบัติจนได้ ภาวนามยปัญญา อันเป็นวิปัสสนาปัญญาถึงขั้นอนุโลมให้เห็นอริยสัจธรรม เท่ากับว่าได้เดินทางไปถึงพระปัญญาธิคุณ อันเป็นปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้และนำมาสอนเรา นั่นคือ ทุกข์   พระพุทธองค์ทรงให้กำหนดรู้ บัดนี้เราได้รู้แล้ว สมุทัย  พระพุทธองค์ทรงให้ละ บัดนี้เราได้ละแล้ว นิโรธ   พระพุทธองค์ทรงให้แจ้ง บัดนี้เราได้แจ้งแล้ว มรรค   พระพุทธองค์ทรงให้ดำเนินตาม บัดนี้เราได้ดำเนินตามแล้ว ดังนี้จึงเป็นการเดินไปถึงแล้ว ถึงซึ่งพระพุทธะ เช่นเดียวกับที่ถึงคำสอนของพ่อและแม่ ดังตัวอย่างข้างต้น คุณของพระพุทธเจ้ามีอย่างไร ว่าโดยย่อ คุณของพระพุทธเจ้ามี ๒ ประการ คือ ๑. คุณในพระองค์เอง   โดยที่พระองค์เป็นผู้ทรงความประพฤติทางกาย วาจา ใจ ข้ามพ้นซึ่งโอฆะ สิ้นอาสวะทั้งปวงได้ จัดเป็นคุณสมบัติในพระพุทธองค์เอง ๒. คุณอันเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น   โดยที่พระพุทธองค์ทรงถึงพร้อมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ทรงประทานความอุ่นใจแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยการกล่าวพระวาจาอันเลิศเพื่อประโยชน์แก่การดับไฟทุกข์ คือ วานะ (เครื่องร้อยรัด) ทรงตรัสสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม โดยให้เว้นสิ่งที่ควรงดเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ จนบรรลุประโยชน์ ได้โดยโอนโคตรจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล บรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน ข้อนี้จัดเป็นคุณที่เกื้อกูล การถึงซึ่ง...พระรัตนตรัย (ตอนจบ) http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=10598 --------------------------------------------------------------- ความหมายของพระนิพพาน  จากพระไตรปิฏก อรรถกถา http://larndham.org/index.php?s=9702d346a8b6687f52e166b29a6eb7f2&showtopic=25999&st=7#entry362671 --------------------------------------------------- แล้วสิ่งเราบูชาอยู่ เราบูชาอะไร เพราะถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์จริง ๆ ถ้านิพพานมีจริง นั่นหมายความว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ----------------------------------------------------- คุณต้นครับ  แต่พระธรรม และหลักการปฏิบัติพ้นทุกข์ ยังอยู่ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 06:58:23

ความคิดเห็นที่ 33 คหที่ 32 ก็ถูกครับ แต่สมัยนี้เน้นไปที่การไหว้มากกว่า การปฏิบัติ ซึ่งผมว่าจริง ๆ การปฏิบัติธรรมน่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่า จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 09:59:51

ความคิดเห็นที่ 34 เฮอ......                    อโห....โอหนอ....เหล่าผู้อยู่ในนาวา....                    ลม ฝน ตั้งเค้าใหญ่มาแล้ว...                    ที่พึ่งของพวกเธอมีอยู่หรือไม่...                                        เธอผู้สละทิ้งนาวาเสียแล้ว..ในบัดนี้                    ฝั่งอันมีอยู่ในที่ไกลโพ้น...จักมีมาแต่ที่ไหน..                    ขึ้นชื่อว่า "สงสาร" นั้น ยาวไกล...                    ทางไป ย่อมไม่ปรากฏแก่ผู้หลงทาง..                    แสงสว่าง  ย่อมไม่ปรากฏแก่ผู้มืดบอด.... จากคุณ : นะโม (กลุ่มพุทธบุตร) เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:50:25

ความคิดเห็นที่ 35 นิพพานนั้นมีอยู่จริง อายตนะนิพพานก็มีอยู่จริง นิพพาน คือ ไม่เกิด(ในภพทั้ง3อีก) (ก็)ไม่ตาย และไม่ได้สูญ(หาย)ไปไหน ยังมีอยู่ ,พระนิพพาน ยังอยู่ ครับ --------------------------------- นิพพานไม่สูญ นะครับ การเข้าใจว่า พระเข้านิพพานแล้วสูญ(หายไปเลย) เป็นการเข้าใจผิดนะครับ ------------------------ แต่จะยังอยู่ในลักษณะใด ไม่ขออธิบาย (เดียวจะยาว) ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องก่อนก็แล้วกันว่า (พระเข้า)นิพพาน ไม่สูญ(หายไปไหน) นะครับ เมื่อเข้าใจได้แล้ว ก็สามารถอธิบายข้อสงสัยที่คุณ จขกท. ถามมาได้หมดแล้วนะครับ คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 14:34:03

ความคิดเห็นที่ 36 คหที่35 เรื่อง นิพพาน นี้ลองกลับ ไปอ่าน คหที่ 4 ดีกว่าครับ มันแล้วแต่คนเชื้อครับ เท่าที่อ่านมา อันดับรองจาก นิพพาน ต่างหากครับ หรือระดับที่พระอนาคามี ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว ที่ยังคงเหลือแต่ รูป แต่ไม่มีความรู้สึกครับ พออัพมาเป็นนิพพานก็คือหมดสิ้นทุกอย่างครับ จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 15:03:58

ความคิดเห็นที่ 37 เหมือนเราเป็นปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยขึ้นบก ฟัง กุ้ง ฟังหอย บอกว่าบนบกเป็นยังไง มันคงพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก จากคุณ : แล้วทำไม12 เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 14:51:44

ความคิดเห็นที่ 38 คหที่ 37 ผมตีความคุณเข้าใจนะ ว่าการนิพพานน่ะ จิง ๆ แล้วคืออะไรผลเป็นแบบไหนยังไม่รู้ได้ แต่ศาสนาพุทธให้เชื่อในเหตุและผล นั่นก็คือ ถ้าการ เวียน ว่าย ตาย เกิด นั่นคือการทำให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้นการที่่จะพ้นทุกข์เหล่านั้น ก็คือ ต้องหลุดพ้นจากการ เวียน ว่าย ตาย เกิด นั่นก็คือ การดับสูญไป หรือ การนิพพาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์คำสอนที่เราได้รู้กันมาก็จะแบ่งเป็น 2 สายคือ การนิพพานแล้วยังคงอยู่ กับ การนิพพานแล้วดับสูญ แล้วก็ลองคิดให้เป็นเหตุเป็นผลละกันว่าการนิพพานแบบไหนคือการหลุดพ้นทุกข์ได้ดีที่สุด จากคุณ : ต้นเอง01 เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 03:00:06