ความคิดเห็นที่ 1 ธรรม (ชาติ) คนเราย่อมอยากมีคู่เป็น ธรรม (ดา) นี่แหละ ธรรม จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 20:56:05

ความคิดเห็นที่ 2 แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 14:21:10 จากคุณ : หก (Ant-san) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:12:39

ความคิดเห็นที่ 3 การปฎิบัติธรรมทำได้ตลอดเวลา ทุกสถานะ ไม่ว่าหญิงหรือชาย โสดหรือสมรส เราว่าล้วนสามารถเข้าถึงการปฎิบัติได้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรยืนยันว่าคนโสดปฎิบัติธรรมได้ก้าวหน้ากว่าคนมีครอบครัว ไม่มีอะไรยืนยันว่าพระปฎิบัติธรรมได้ดีกว่าฆราวาส เพียงแต่สถานะความเป็นโสด ความเป็นพระ จะเอื้อต่อการปฎิบัติธรรม แต่ก็มิได้หมายความว่าเมื่อสถานะเอื้อแล้ว เขา/ท่าน จะทำได้ดี หาก จขกท. คิดจะมีครอบครัว ก็ไม่แปลกอะไร เพียงแต่พิจารณาผู้ที่มีศีลเสมอกัน มีใจใฝ่ธรรม ส่งเสริมกันปฎิบัติธรรม ในห้องนี้มีหลายคู่นะคะ ที่เราประทับใจ ก็คู่ของพี่จักรแก้ว และ คุณปันน้ำใจ และ...นางวิสาขาซึ่งบรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ก็ยังมีครอบครัวค่ะ   แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 55 21:43:33 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:35:12

ความคิดเห็นที่ 4 จะบอกคห 1 ว่า ถ้าใช้ความ "อยาก" เป็นตัวตั้งในการมีคู่ นั่นไม่ใช่ธรรม ...เป็นแค่กลไกของสิ่งมีชีวิต จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 21:50:53

ความคิดเห็นที่ 5 กรรมจะเป็นตัวชักนำให้มาเป็นคู่เป็นครอบครัวกัน  อาจจะเป็นวิบากกรรม หรือกรรมดีก็ได้ที่ชักนำ เราไม่อาจรู้ได้หรอกว่าจะเจออะไร  การมีครอบครัวนั้นจะทำให้การปฎิบัติธรรมเนิ่นช้าแน่นอนครับ เพราะภาระหน้าที่ของภรรยา ต่อสามี ต่อลูก ต่อพ่อแม่พี่น้องของสามี ทุกอย่างอาจจะดีหรือไม่ดี อาจเจอปัญหาครอบครัว หย่าร้าง หรืออาจมีความสุข แต่ก็นั้นแหละทุกอย่างมิใช่จะลงตัวได้ง่ายๆ ถ้ามีลูกก็ต้องมีภาระเลี้ยงลูก จนกว่าจะโต เวลาในการปฎิบัติธรรมก็คงเหลือน้อยลงเพราะภาระหน้าที่ ฉนั้นแล้วสำหรับผู้ปฎิบัติธรรม นั้นย่อมเห็นว่าการอยู่เป็นโสดมันสบายกว่ากันเย๊อะครับ ภาระที่มีก็คือ การมุ่งพัฒนาตนเองไปสู่การเป็น อริยะชน แนวทางนี้ยิ่งปฎิบัติยิ่งได้...แต่ถ้ามีครอบครัวก็มีทั้งสุข และทุกข์ และก็รอวันสูญเสียเพราะการพลัดพรากจากกันมันเป็นปกติของมนุษย์ทุกคนครับ..... จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 55 23:07:58

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าเลือกแล้วก็จงอย่าเสียดาย แม้จะรู้ว่าเลือกผิดไปก็ตาม จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 00:09:12

ความคิดเห็นที่ 7 มีคู่ก็ชวนคู่ไปปฏิบัติธรรม  กำไรสองต่อนะครับ จากคุณ : RB-25 เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 02:35:55

ความคิดเห็นที่ 8 พิจารณาที่ศีล ศรัทธา และปัญญา ว่าใกล้เคียงกันไหม ถ้าไปด้วยกันได้ในทางธรรม ก็แต่งงานได้ แต่หากมีลูก ก็จะยิ่งเพิ่มภาระ เพิ่มบ่วงผูกคอขึ้นมาอีก จากคุณ : ปิยาจาโร เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 07:13:02

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่มีดีที่สุดครับ จะบอกว่าคนเราต้องอยู่เป็นคู่นั้นก็ไม่ถูกนัก มีให้เห็นหลายรายแล้วที่คิดว่าแต่งงานแล้วชีวิตจะดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ถูกฉุดให้ออกนอกเส้นทางธรรมอยู่ดี. จากคุณ : via iPhone (นักเป่าขลุ่ย) เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 08:59:25

ความคิดเห็นที่ 10 อยู่ที่ ต้องการเร็วหรือช้า      เอาทางเดียวสำเร็จเร็วเช่นแบบพระพุทธเจ้าออกบวชตลอดชีวิต      เอาทางโลกด้วยทางธรรมด้วย ก็ต้องเวียนวนขึ้นลงในสังสารวัฏฏ์ ใช้กรรมเก่า สร้างกรรมใหม่ จนกว่าถึงชาติที่เอาทางเดียว จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 09:04:16

ความคิดเห็นที่ 11 ดีคนละอย่าง แต่ละอย่างมีดีมีเสีย จะเอาดีหมดมันไม่ได้อ่ะค่ะ ถ้าเลือกจะมีคู่ ก็ต้องยอมรับว่าดีในบางแง่ และเสียในบางด้านค่ะ แต่จะเสียมากกว่าดี ถ้าเลือกแล้วมาลังเล สงสัย พิจารณาดูเถอะ มันมีโลภะเป็นฐาน แบบว่าอยากจะปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ แต่ก็อยากจะมีชีวิตคู่กับเขาบ้าง เมื่อเจออันนี้ ต้องรู้ให้ทัน นี่แหละกิเลสล่ะ เอาแค่มีดีมีเสีย แล้วสบายใจ ยอมรับในสิ่งที่เป็นผลพวงของชีวิตคู่ แล้วก็พากันปฏิบัติไป ไม่ย้อนกลับไปคิดถึงอดีต อยู่กับปัจจุบัน แก้ไขจากปัจจุบัน อนาคตก็ดีไปเอง อันนี้สิ.. ถึงว่า ที่ฝึกมา เรานำมาใช้ได้จริง จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 09:33:03

ความคิดเห็นที่ 12 ขออนุญาตแนะนำค่ะ  เคยอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อหลาย ๆ ท่านที่ท่านเป็น อริยสงฆ์ หลายครั้งที่ท่านต้องผจญกับคำว่า "มาร" ค่ะ มีหลายแบบที่มาลอง ใจลองธรรม ในการปฎิบัติว่าท่านมุ่งมั่นในการละ กิเลส แค่ไหน ดังนั้นคิด "อยาก"  ก็เป็นกิเลสที่ผู้ปฎิบัติต้องพบค่ะ แต่ก็ขออนุโมทนาที่คุณ มีสติรู้ว่า มีกิเลสเกิดแล้ว แต่ยังคงห่วงธรรมอยู่ ให้ไตร่ตรองค่ะ ว่าปฎิบัติธรรมเพื่ออะไร เพื่อไม่อยากเวียนว่ายใน วัฎฎะ หรือ เพื่อความสุขในการดำรงชีวิต เป็นกำลังใจให้นะคะ   .มารไม่มีบารมีไม่เกิด. จากคุณ : terquila เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 10:13:40

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าตั้งเป้าพระนิพพาน  ตั้งใจว่าจะบวช  แบบนี้เขาเรียกมารผจญคะ มุมมองเราต่างจากน้องยิ้ม เพราะนางวิสาขาได้พระโสดาบันจากบารมีที่สะสมมาเต็มเปี่ยมแล้ว ฟังธรรมแล้วได้เลย ไม่ใช่อย่างเราๆท่านๆ ที่ทำความเพียรกันเหลือเกิน หวังจะได้เห็นพระนิพพานสัก1ขณะจิต(ได้พระโสดาบัน)ในชาตินี้ และนางวิสาขาก็ไม่ได้อยากรีบไปพระนิพพาน เป็น พระอรหันต์ในปัจจุบันชาติด้วย ดูจากทั้งชาติที่ท่านเป็นพระโสดาบัน ไม่มีประวัติใดปรากฎว่าท่าน ปฎิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำกายาคตาสติ ทำฌานสมาบัติ  ทำความเพียรเพื่อพ้นโลกนะคะ   ท่านเลือกทำทาน ก่อบุญกุศลเป็นเสบียงบุญของท่านมากกว่ากับพระศาสนา สำหรับคนที่ขยันทำบุญมากๆ ทำแบบยิ่งยวด ส่วนมากยังอยากอยู่รอเสวยผลบุญที่ทำไว้ในชาติต่อๆไปทั้งนั้น มักไม่เร่งทำความเพียร เขาอธิษฐานพระนิพพานเพื่อเป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่ชาติไหนๆข้างหน้าก็ไม่รู้  ไม่ใช่ขอจบในปัจจุบันชาตินี้ ดังนั้นอย่างนางวิสาขา   ก็ไม่แปลกหรอกคะ ที่ท่านเลือกจะมีคู่ครอง หลังจากได้พระโสดาบันแล้ว เพราะดูเหมือนว่า ท่านตั้งใจจะอยู่ในเพศฆราวาสในชาตินั้นๆ (ข้างบนนี่เราวิเคาระห์ในมุมมองของเราเอง ไม่ตรงใจใครก็ขออภัยนะคะ) ส่วนเรื่องของคุณ คุณต้องตรองพิจารณาให้ดีๆ ว่าคุณมีเป้าหมายอะไร   สามารถตกลงกับฝ่ายชายให้เรียบร้อย ว่าแต่งแล้ว จะออกบวชในวันข้างหน้า  แบบคู่แม่ชุอุไร กับลพ มนตรี ได้ไหม อันนี้ก็แล้วแต่คุณ แต่บางคนดูดีเหมือนจะเป็นคู่บุญ แต่งกันไป ดันเป็นคู่ที่ทำให้ต้องหยุดการภาวนาไปเลยก็มี  ดังนั้น เลือกดีๆแล้วกันคะ ยิ่ง เป็นผู้หญิงนี่ พอมีลูกอ่อน ก็ลืมไปเลยว่าจะภาวนาได้ดีในช่วงลูกเล็กเด็กแดง เอาเวลาไปเลี้ยงลูกหมด  เวลาทำพื้นฐานเดินจงกรม นั่งสมาธิแทบไม่มี จิตไม่ตั้งมั่น แล้วจะเอากำลังที่ไหนมาเจริญสติ ถ้าคุณอายุไม่มาก ไม่ได้ทำมรณานุสติ  เห็นว่าพอลูกโต ยังมีเวลากลับมาภาวนาเยอะๆไหว อันนี้ก็แล้วแต่คุณพิจารณา ถ้าหวังจะจบในชาตินี้  เพราะเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนจนจบในชาตินี้ได้ ก็อย่าไปมีคู่เลย กิเลส ราคะทั้งนั้นที่ดิ้นไหว กระพือเป็นไฟเผาใจ เห็นทัน ว่ามันเป็นราคะ ด้วยกำลังของปัญญา มันก็ดับได้นะ คราวนี้ละที่รักๆซู่ซ่าๆมา  มันจืดสนิทเป็นน้ำเปล่าในทันทีเลยละ ครูบาอาจารย์  เราไม่ได้เจอท่านทุกชาติ   จบชาตินี้ ก็ไม่ได้เจอท่านแล้ว ถ้าเห็นได้แบบนี้ จะไม่ประมาท ไม่ไปเสียเวลาออกนอกเส้นทาง ไม่โดนกิเลสมันลวงเอาง่ายๆหรอกคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 11:26:35

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องใช้พระคาถาอริยะสัจจสี่เข้ามาแก้ไข มองกายมองจิตตนให้ทะลุ ออกมาจากกายและจิตนั้น หาเหตุแห่งทุกข์ ปุจฉา อยากได้คู่เพราะเหตุใด 1.เพื่อสนองความปราถนาแห่งอารมณ์พิศวาส อยากสัมผัสถึงความรู้สึกร่วมกับเพศตรงข้าม ตามโปรแกรมการแพร่พันธ์ของมนุษย์พืชสัตว์ 2.มีเพื่อนร่วมชีวิตเพื่อแก้เหงาใจ มีลูกไว้เชยชม ได้เป็นครอบครัวมีสุข ได้ดูแลกันยามเจ็บไข้ได้ป่วยแก่เฒ่า อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าเข้าโลงอย่างมีสุขทุกทิวาราตรี .......................................................... ก็ต้องวิสัจชนาให้แตก ว่าสองข้อนี้ดีจริงหรือเป็นไปตามที่เราจินตนาการหรือไม่ บนโลกที่อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ ก็คงยากที่จะเป็นไป ชีวิตทางโลกมีแต่การเกิด ชีวิตทางธรรมมีแต่การตาย ถ้าคิดตกว่าการเกิดเป็นสุข ก็เลือกทางโลกนำชีวิตที่เหลือ ให้ทางธรรมตามมาช่วยคิด แต่ถ้าคิดว่าการเกิดเป็นทุกข์ ก็เลือกทางธรรมนำชีวิต ค่อยๆทิ้งทางโลกจนสิ้น ชีวิตเรา เกิดคนเดียว ตายคนเดียว อยู่กับตัวเองยังขัดใจตัวเอง อยู่กับคนอื่นย่อมต้องมีความขัดแย้งกัน ยิ่งคนมากยิ่งขัดแย้งมาก ไม่มีสุขใดเท่าสันโดษ จิตอยู่กับกาย สติเป็นเพื่อนรู้ ที่ประเสริฐที่สุดแล้ว.. แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 55 12:29:58 จากคุณ : ตาลโตน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 12:29:39

ความคิดเห็นที่ 15 สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมครับ หากมีครอบครัวก็เหมือนมีเชือกมาผูกแขนขาเพิ่มพันธนาการขึ้นไปอีก ส่วนที่ว่ามีความเห็นทิฐิเสมอกันนั้น เอาเข้าจริงก็ยากเหมือนกันนะครับที่เขาจะเห็นตรงกับเรา ทุกประการ และหากมีลูกอีกก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงให้เติบโตจะดีจะชั่วก็ต้องลุ้นกันต่อ ส่วนสามีถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตมีหญิงใหม่ ก็มีเรื่องให้คิดอีกร้อยแปดพันประการ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ถ้ายังมีโอกาสเลือกก็ลองพิจารณาดูครับ จากคุณ : mainea เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 13:05:57

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เสียดาย เพราะมีคู่ก็พากันปฏิบัติธรรมได้ จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 13:37:50

ความคิดเห็นที่ 17 ยากมากครับ ตอนวัยรุ่น ปฏิบัติแนวสมถะได้ดี เห็นผลชัดเจน ตอนบวช ปฏิบัติแนววิปัสสนาได้ดี  เห็นผลชัดเจน พอคิดแต่งงาน... สารพัดเรื่องเข้ามายุ่งครับ....  และเรื่องส่วนใหญ่ไม่ใช่ส่วนตัว  เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับสังคมภายนอกแทบทั้งนั้น พอเริ่มคิด สังคมก็คาดหวัง .. เมื่อคนจำนวนมากมีความคาดหวัง..ต่างๆกันไป.. แต่มาลงที่เรา ....... จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 14:19:11

ความคิดเห็นที่ 18 พระโสดาบันยังแต่งงานเลย จขกท ยม่เห็นต้องกังวล จากคุณ : สะพานหัน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 17:11:49

ความคิดเห็นที่ 19 พอเพิ่มอะไรขึ้นมา เวลาวางยากมาก ขนาดดูจิตดูใจจนเหมือนไม่ยึดแล้ว   มันก็ยังมีซ่อนอยู่ตลอด  ส่วนใหญ่ก็กิเลสทั้งนั้น จากคุณ : moomanow2 เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 18:23:11

ความคิดเห็นที่ 20 สาธุ อนุโมทนากับทุกความเห็นเลยค่ะ  ทำให้เราตอนแรกเหมือนคิดอะไรไม่ออก  สับสนในจิตใจสุดๆ  มองไม่เห็นวิธีพิจารณาเลย  ในใจมีแต่ความยุ่งเหยิง  ตอนนี้เริ่มมองเห็นบ้างแล้ว  สาธุกับทุกๆคนที่มาช่วยแนะนำค่ะ  ขอบพระคุณมากค่ะ  __/\__ จากคุณ : คุณหนูขาวมณี เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:11:55

ความคิดเห็นที่ 21 พูดกันตรง ๆ ถ้าแต่งงานแล้ว ที่จะมาทำแบบเดิมทำไม่ได้อีกแล้ว มันไม่ง่ายเหมือนเดิม ภาระที่เพิ่มมาไม่ใช่แค่พอไหว แต่มันหนักหน่วง เราอาจจะพอทำชีวิตให้มีสุขและบำรุงศาสนาได้ แต่ที่จะมีความเจริญทางธรรม เทียบกับคนโสดแล้ว ต้องบอกว่าเทียบกันไม่ติด เปรียบเหมือนคนที่เอาเชือกมาผูกขาติดกันไว้ ทำอะไรก็ต้องประคองกัน ถ้าไปไม่พร้อมกันก็เรื่องใหญ่ คนหนึ่งเจ็บ คนหนึ่งสบายมันไม่ได้ คนหนึ่งล้ม อีกคนจะวิ่งก็ไม่ไหว ไม่เหมือนตัวคนเดียวไม่มีใครมาผูก วิ่งฉิวสบาย อันนี้เตือนไว้ว่าถ้าจะแต่งงานให้ทำใจแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ทีหลัง เพราะถ้าแต่งไปแล้วเกิดทุกอย่างไม่เป็นดังหวังจะทำให้ชีวิตคู่มีปัญหา ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากให้เกิด ฉะนั้น ตัดสินใจให้ดีและปลงเสียให้เรียบร้อย เพราะจะไม่มีอะไรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:29:26

ความคิดเห็นที่ 22 ระหว่างไปปฏิบัติธรรมคนเดียว กับพาเพื่อนไปปฏิบัติธรรมด้วย แค่นี้ก็มีความแตกต่างกันแล้ว การมีคู่ เรื่องทาน เรื่องศีล ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่พอถึงขั้นภาวนาแล้วยังไงก็เป็นปัญหา ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ทำอสุภะกรรมฐานไปเรื่อยๆ ต่อไปจะมีเพศสัมพันธุ์ได้เหรอ อาจเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ ถ้าจะแต่งงานก็ขอให้รู้ว่า กิเลสยังหนาอยู่ อย่าไปเห็นดีเห็นงาม ให้คิดเสมอว่าบริโภคกามไม่ดี แต่เรายังตัดไม่ขาด ก็บริโภคอย่างระมัดระวัง จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 19:43:14

ความคิดเห็นที่ 23 สมัยแต่งงานใหม่ๆ (ผ่านมา 20 ปีแล้ว) แฟนมีญาติเยอะ  ก็จะมีงานแต่ง งานศพ  งานทำบุญที่บ้านญาติประจำ นับได้ปีหนึ่ง 20 กว่าครั้ง ปีหนึ่ง 52 สัปดาห์  วันหยุดต้องไปงาน(เฉพาะของแฟน) 20 กว่าสัปดาห์ สมัยนั้น ทำงาน จันทร์ถึงเสาร์ ตกลงมีเวลาของตัวเอง  ปีละไม่กี่สัปดาห์ เล่ามาเป็นข้อสังเกตให้ จขกท __________________________ อยากมีคู่  อาจห้ามใจยาก แต่ แต่งงานแล้วไม่ต้องมีลูก อาจวางแผนได้ ก็จะทำให้ภาระ ลดลงได้มากทีเดียว ___________________________ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 55 23:31:34

ความคิดเห็นที่ 24 ความวุ่นวายที่เพิ่มขึ้นของจำนวนคนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรามันก็เป็นสิ่งที่ฝึกฝนขัดเกลาเราได้เช่นกัน การมีคู่ อาจจะทำให้ท่านเสียความคล่องตัวในการปฏิบัติไปบ้าง แต่ถ้าท่านเลือกเอามันมาพิจารณาเพื่อให้เห็นธรรมแล้ว มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซักทีเดียว ถ้าท่าน จขกท มีเวลาว่างลองหาหนังสือท่าน ป.อ. ปยุตโต อ่านดูแล้วท่านอาจจะได้คำตอบ (จำชื่อหนังสือไม่ได้ อยู่ที่ร้าน SE-ED ราคาเล่มละ 50 บาท) จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 05:55:10

ความคิดเห็นที่ 25 มาบอกว่า มีคนเกรียนๆเอากระทู้นี้ไปป่วน http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X12347447/X12347447.html จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 08:33:47

ความคิดเห็นที่ 26 ^  อย่ามองว่าป่วนเลยครับ คนเราหลากหลายความคิดและมุมมอง ถ้าใจกว้างพอ ควรจะรับความเห็นที่ต่างได้ จากคุณ : สันปันน้ำ เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 09:36:10

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่เป็นไรค่ะ  ไปขอบคุณความเห็นห้องนู้นมาแล้ว จากคุณ : คุณหนูขาวมณี เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 10:10:28

ความคิดเห็นที่ 28 เยี่ยมครับ สมเป็นคนห้องศาสนา จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:17:51

ความคิดเห็นที่ 29 *****ความคิดเห็นที่ 25     มาบอกว่า มีคนเกรียนๆเอากระทู้นี้ไปป่วน**** เพิ่งรู้นะว่า... พวกชอบปฎิบัติธรรมบางคน รับไม่ได้กับความเห็นที่ต่างจากตน อย่างงี้เรียกว่ากิเลสครอบงำหรือเปล่า ? เสียเวลาปฎิบัติธรรมจริงๆ(เพราะเข้าไม่ถึง) สู้เอาเวลานั้นไปกวาดขยะในที่สาธารณะยังดีกว่า จงระลึกเสมอว่า การไปปฎิบัติธรรมคือการเข้าถึงธรรม ไม่ใช่จะอวดให้คนอื่นเห็นว่าตนวิเศษกว่า เป็นคนธรรมะธัมโม จากคุณ : Mikoyan เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 55 11:26:35

ความคิดเห็นที่ 30 เราว่ากระทู้ในห้องหว้ากอ ก็ได้มุมมองที่แตกต่างนะคะ ที่สะท้อนให้เห็นธรรมชาติทั่วไปของผู้คน เขาก็มองว่า ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา นั้นสอดคล้องกัน ส่วน จขกท. หากมีวัตถุประสงค์เพื่อจะ "นิพพานในชาตินี้" แน่นอนว่าเราก็จะแนะนำว่าให้ครองตนเป็นโสด อย่ามีคู่ แต่จากข้อความที่ต้นกระทู้ ไม่เห็นว่า จขกท. เน้นเรื่องเข้าสู่พระนิพานในชาตินี้ และว่าก็ว่าเถิดค่ะ เรามีความเชื่อว่าผู้ที่ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเขาในวัฎสังสาร เขา/เธอจะมีสัญญาณที่แรง ส่อแววมาแต่เด็ก ไม่ค่อยปกติเหมือนคนทั่วๆ ไปหรอกค่ะ นิพพานนั้น สำหรับชาวพุทธผู้ใฝ่ธรรมก็ย่อมจะใฝ่หา อยากไปถึงด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ต้องดูด้วยว่า อะไรเป็นอะไร คคห. ๓ จึงนำเสนอด้วยมุมมองที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงในชีวิตของผู้คนโดยรวมค่ะ หากจะมองว่า การมีคู่ ขวางทางธรรม อีกหน่อยก็อาจต้องมาตำหนิ รู้สึกแย่กับตนเองที่เกิดเป็นหญิง เด่วก็มีเมนส์ เด่วก็ฮอร์โมนเปลี่ยน อารมณ์แปรปรวน เด่วก็อ่อนแอ โลเล อ่อนไหว ไม่อดทน ฯลฯ ก็ขอแย้งด้วยมุมต่างไว้เพียงเท่านี้ค่ะ ^^   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 01:56:48

ความคิดเห็นที่ 31 ค่ะ  ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งค่ะ  __/\__ จากคุณ : คุณหนูขาวมณี เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 12:07:52