คำถามถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา?
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทางการไทยเคยกล่าวว่า พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศมากที่สุดในประเทศไทย ขณะที่เราบอกว่าพวกนี้ด้อยการศึกษา โดยวัดเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาชั้นสูงจากสถาบันในประเทศเท่านั้น ในขณะที่การสำเร็จการศึกษาในประเทศอาจทำให้พวกเขากลายเป็นบัณฑิตตกงาน
ทั้งๆ ที่ความจริงมีนักเรียนมุสลิมไม่มากนักที่สามารถเรียนจนสำเร็จเป็นบัณฑิตได้จริงๆ เนื่องจากต้องมาเจอกับสภาพสังคมของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยอบายมุขและค่าใช้จ่ายที่สูงมากเกินกว่าที่ผู้ปกครองสามารถส่งเสียได้ ทำให้เยาวชนชายหญิงมุสลิมจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมากกลายเป็นพวกที่ล้มเหลวทั้งสองทาง (double failure) ทำให้ปฏิเสธทั้ง เป้าหมาย (aims) และ วิธีไปสู่เป้าหมาย (means) จำนวนไม่น้อยที่กลายเป็นพวก ติดยาเสพติด และ ติดเซ็กส์
กระทั่งครั้งหนึ่งผู้บริหารการศึกษาระดับสูงของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรามคำแหงถึงกับบอกผู้เขียนว่า ช่วยฝากบอกผู้ปกครองเด็กจาก 3 จชต.ทีเถอะว่า อย่าส่งลูกหลานไปเรียนเลยที่กรุงเทพฯ เพราะไปแล้วจะเสียผู้เสียคนไปเลย (ความหมายคือ เรียนใกล้ๆ บ้านดีกว่า)
ตอกย้ำด้วยการให้สัมภาษณ์ของ อัมพร หมาดเด็น ผู้เขียนหนังสือ Sexual Culture Among Young Migrant Muslims In Bangkok ชื่อปกภาษาไทยแปลคร่าวๆ ได้ว่า วัฒนธรรมทางเพศของหนุ่มสาวมุสลิมย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ ใน Amana. Vol.I Issue 4, 2007 (สำนักพิมพ์ AMAN กรุงเทพฯ 2550) ซึ่งมาจากรายงานวิจัยของเธอเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของนักศึกษามุสลิมทั้งหญิงชายซึ่งจากบ้านเกิดเมืองนอนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาศึกษาต่อในส่วนกลางที่กรุงเทพฯ โดยกำหนดพื้นที่ศึกษารอบ ๆ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผลการศึกษาที่น่าสนใจพบว่า ค่านิยมและการปฏิบัติในเรื่องเพศของนักศึกษามุสลิมเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดและโดยมีนัยสำคัญ เธอยกกรณีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งสารภาพว่าเพิ่งทำแท้งครั้งที่ 2 มาได้หมาดๆ โดยยอมรับว่า เธอมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มเพื่อนนักศึกษาซึ่งอยู่กินฉันผัวเมียทั้งๆ ที่มิได้ผ่านการแต่งงานตามหลักการศาสนาอิสลาม
โดยทั่วไปความฟอนเฟะเช่นนี้ถ้าทราบกันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แม้ว่ากำนันระดับแหนบทองคำคนหนึ่งจากนราธิวาสเคยบอกกับผู้เขียนครั้งหนึ่งว่า เรื่องอย่างนี้ชาวบ้านเขาพูดว่า ถ้าหวังให้ลูก (สาว) เรียนสูงๆ ก็ต้องยอม...(ให้เสรีเรื่องเพศ) ไม่รู้จะว่ายังไง สังคมมันเปลี่ยนไปมากแล้ว อีกอย่างมันถึงวัยของเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม มีผู้แย้งว่าผู้หญิงที่เสียสาวก่อนแต่งงานกระทำตัวที่ ไม่ยุติธรรม ต่อสามีในอนาคต เพราะตามหลักการศาสนาอิสลามแล้ว ผู้ชายต้องจ่ายค่าสินสอดให้เจ้าสาวจำนวนไม่น้อย โดยปัจจุบันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าฝ่ายผู้หญิงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี พ่อแม่ฝ่ายหญิงอาจเรียกจากฝ่ายชาย 1.5-2 แสนบาทขึ้นไป
ส่วนในส่วนกลางค่าสินสอด (และอื่นๆ) อาจอยู่ระหว่าง 3 แสนบาทถึงกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชาย (สามี) จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครอบครัว (รวมทั้งค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าจ้างการดูแลบ้าน ฯลฯ) รวมทั้งบาปทางศาสนาทั้งหมดของภรรยาที่ละเมิดกฎศาสนา อาทิ ไม่คลุมฮิญาบเมื่อออกนอกบ้าน ฯลฯ
เมื่อสามีเสียชีวิตลงก็ต้องแบ่งทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้ภรรยา ขณะที่ฝ่ายสามีไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของภรรยาเลยไม่ว่าก่อนหรือหลังแต่งงาน ความรับผิดชอบของฝ่ายชาย (สามี) อย่างมากมายตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันซึ่งอาจถึงตลอดชีวิตเช่นนี้ จึงนับว่าไม่ยุติธรรมที่เขากลับได้ภรรยาที่เคยมอบหัวใจและ/หรือร่างกายให้ชายอื่น เชยชมแบบฟรีๆ มาแล้ว (แถมยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไร)