ความคิดเห็นที่ 1 คัมภีร์เก่า มีการรวบรวมเรื่อยมาครับ เช่นบัญญัติ10ประการก็มีขึ้นสมัยโมเสส ดังนั้น สมัยอับราฮัมจึงไม่มี อิสเมล เป็นลูกคนแรกของอับราฮัม แต่เป็นลูกเมียน้อย อิสอัคเป็นลูกคนที่สองแต่เป็นลูกเมียหลวง ในแนวคิดของยิว อิสอัคถือเป็นผู้สืบทอดของอับราฮัม ไม่ใช่อิสเมล เอาตามจริงอิสลามนั้นให้ความสำคัญเฉพาะ ช่วงตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงอับราฮัมเท่านั้น เพราะประวัติศาสตร์ของสายอิสอัคมาจนถึงสมัยพระเยซูไม่ใช่เผ่าพันธ์ของอิสเมล จุดสังเกตในสามศาสนา มีเพียงศาสนาคริสต์ ที่มีแนวคิดเรื่องพระเจ้าเป็นแนวคิดมนุษยนิยมเพียงศาสนาเดียวตามแบบกรีกและโรมัน จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 55 21:16:10

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณครับ คุณยองฯเป็นคริสเตียนหรือมุสลิม? จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 00:24:58

ความคิดเห็นที่ 3 ผมเป็น พุทธ เถรวาท ครับ ................. จากคห.1 เดี๋ยวเผื่อมีคนมาแย้ง คำว่าไม่ให้ความสำคัญ กับไม่กล่าวถึงนั้นไม่เหมือนกันนะ คือทางอิสลามอาจจะกล่าวถึงในเชิงอ้างอิงแต่ แรวคิดหลังสมัยอับราฮัมมาทางสายของอิสอัคนั้นไม่มีเลย เช่นปัสกา เริ่มมีตั้งแต่สมัยโมเสส และคริสต์ก็รับแนวคิดนี้มา แต่ผมเข้าใจว่าไม่พบในอิสลาม แนวคิดเรื่องพระเยซูที่เรารู้ในปัจจุบันนั้น ผ่านจากทางโรมันครับ ดังนั้น ไม่มีการยืนยันว่าว่าแนวคิดช่วงคริสตกาลของคริสตชนในยุคนั้นเป็นอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าพระเยซูก็เป็นยิว ดังนั้นการตีความเรื่องปัสกา ในสมัยคริสตกาลก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับศาสนาคริสตในปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 01:07:36 แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 01:02:32 จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 00:47:28

ความคิดเห็นที่ 4 แนวคิดเรื่องพระเยซูที่เรารู้ในปัจจุบันนั้น ผ่านจากทางโรมันครับ ดังนั้น ไม่มีการยืนยันว่าว่าแนวคิดช่วงคริสตกาลของคริสตชนในยุคนั้นเป็นอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าพระเยซูก็เป็นยิว ดังนั้นการตีความเรื่องปัสกา ในสมัยคริสตกาลก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับศาสนาคริสตในปัจจุบัน ------------------------------------------------------------------------- ส่วนของ New Testament ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบ  เก่ากว่าก่อนที่โรมันจะยอมรับศาสนาคริสต์ครับ  ซึ่งช่วงนั้นใครเป็นคริสต์ต้องโดนลงโทษ  ถ้าจะบอกว่าโรมันแก้Bible โรมันจะย้อนเวลาไปแก้ก่อนที่เขาจะยอมรับได้เลยหรือครับ จากคุณ : Metalloids เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 01:51:18

ความคิดเห็นที่ 5 ผิด แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 02:27:23 จากคุณ : Metalloids เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 02:26:54

ความคิดเห็นที่ 6 ต้องขออภัย โรมันไม่ได้มีการแก้ไบเบิล ในสมัยโรมันครับ ต้องบอกว่ามีการรวบรวมไบเบิลอย่างจริงจังในสมัยที่โรมันเป็นคริสต์แล้วต่างหาก อีกอย่างผู้ที่เขียน ในคัมภีร์ใหม่ส่วนใหญ่ ตั้งแต่กิจการ ไปจนถึงก่อนวิวรณ์ เป็นผลงานของอาจารย์เปาโล ซึ่งตรงจุดนี้เชื่อได้ว่าได้แนวคิดมนุษยนิยมของกรีกมาพอสมควร ส่วนสาวกท่านอื่น ทั้ง มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เป็นไปในส่วนของพระกิติคุณ เข้าใจว่าท่านเขียนขึ้นโดยการเล่ามาจากพระเยซูหรือประสบการณ์ที่พบด้วยตัวเอง ภายใต้การทรงนำองพระเจ้า อีกอย่างตอนผมเรียน อาจารย์บอกว่าต้นฉบับของคัมภีร์ใหม่เป็นภาษากรีก นั้นตีไปได้2แนวทางคือ คัมภีร์ทั้งเล่มเขียนเป็นภาษากรีกอยู่แล้ว หรือ คนรวบรวมคัมภีร์ต้นฉบับ มีการถอดแล้วแปลเป็นภาษากรีก หากเป็นไปในแนวทางที่2 ระหว่างการถอดความอาจจะมีการเพิ่มแนวคิดแบบกรีก-โรมันลงไปก็น่าจะเป็นไปได้ ความจริง แนวคิดว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า แนวคิดตรีเอกานุภาพ อาจจะไม่ได้รับอิทธิพลของโรมันก็ได้ เพราะพระเยซูทรงมีฐานะแบบนั้นจริง แต่อย่าลืมว่า ยิวยังมีความเชื่อพระเจ้าในลักษณะของนามธรรม แม้แต่อิสลามก็ยังมีแนวคิดเรื่องพระเจ้าในเชิงนามธรรมเช่นกัน นั้นหมายความว่าพระเจ้าทรงมีลักษณะเหนือพื้นฐานของมนุษย์ เช่นพระเจ้าไม่มีบุตร พระเจ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ยำเกรงและเคารพสูงสุด แต่ในทรรศนะของคริสเตียน จะต่างออกไป แม้พระเจ้าจะสูงส่ง แต่มนุษย์ก็ถูกสร้างตามฉายาของพระองค์ นั้นหมายถึงพระเจ้าทรงมีรูปร่างแบบมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ต่ำกว่าพระเจ้าหน่อยเดียว นั้นหมายความว่ามนุษย์นั้นใกล้ชิดพระเจ้ากว่าแนวคิดที่พระเจ้าเป็นที่เคารพสูงสุด อับราฮัม ในทรรศนะของคริสเตียนมองว่าเป็นเพื่อนกับพระเจ้า มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน อับราฮัมบูชาพระเจ้า พระเจ้าก็สัญญาว่าจะแพร่เผ่าพันธ์ของอับราฮัม พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า และมนุษย์ก็เป็นบตรของพระเจ้า อาดัมถูกพระเจ้าสร้างขึ้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า นั้นหมายความว่าคริสเตียนมองพระเจ้าในบริบทของมนุษย์ มีพระเจ้าเป็นเพื่อน เป็นพ่อ มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพยำเกรงสูงสุด ป.ล.แนวคิดทางศาสนาคริสต์ของผมมาจากนิกายโปรเตสแตนท์ ดังนั้น แนวคิดของคาธอลิกเป็นยังไงผมไม่รู้มากนัก แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 03:32:56 จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 03:06:56

ความคิดเห็นที่ 7 ท่าน ยองเจียงใหม่ เข้าใจถูกแล้วครับ คต. เรื่องมองพระเจ้า เป็นพระบิด และ เป็นจอมเจ้านายแห่งชีวิดด้วย คำว่า บุตรของพระเจ้านี้ เราต้องตีความหมายให้ดี ดุจาก โยบ. 2:1 / ปฐก. 6:2 ประกอบ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:29:28

ความคิดเห็นที่ 8 ผมขอตอบ ท่าน Surawish ในมุมของอิสลาม ตามที่ผมได้เรียนมา จากกระทู้ต้นของคุณแมทท์ที่ว่าด้วยเรื่องพระเจ้าของชาวอรับที่รับช่วงต่อเนื่องจากท่านศาสดามูฮัมมัด......ขอเรียนถามเพิ่มเติมว่าก่อนท่านศาสดามูฮัมมัด ชาวอรับทั้งหลายที่มีชีวิตย้อนหลังกลับไปถึงสมัยของอับราฮามนั้น  ชาวอรับยุคก่อนมูฮัมมัดก็ยังเชื่อพระเจ้า และเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่อัมราฮามเชื่อ เป็นทั้งพระเจ้าองค์เดียวกับทางยิวและคริสเตียนเชื่อ   ดังนั้นชาวอรับยุคนั้นได้ยึดถือและเชื่อคัมภีร์เก่าที่คริสเตียนและยิวใช้หรือไม่ครับ ใช่ ครับ ยึดถือตามคัมภีร์เก่า เตาร้อด  อินญีล และให้ความเคารพ ในตัวท่านศาสดา มูซา อีซา ในแต่ละยุคศาสดา ด้วยครับ   แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 55 08:50:22 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 08:49:45

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนในบริบทต่อมาผมไม่สามารถสันนิษฐานได้ แต่จากการเรียนรู้ มุสลิม ให้ความเคารพ นบี ทุกพระองค์ ไม่ว่าจะสาย นบี อิสฮัค หรือสายนบีอิสมาแอล นบี มูฮำหมัด มีทั้งหมด 25 นบี และแยกย่อย เป็น 5 ศาสดา ครับ มุสลิม กำชับ ในข้อบังคับ หลักศรัทธา ให้ความเคารพและศรัทธาต่อบรรดารอซู้ลของพระองค์ ทุกพระองค์ และมีท่านนบีมูฮำหมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย คลิปที่นำเสนอมา มี 13 ตอนครบ 25 ศาสดา ผมขอนำมาสักสามตอน นะครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 17:03:23 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:00:49

ความคิดเห็นที่ 10 2/13 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:01:49

ความคิดเห็นที่ 11 3/13 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:05:38

ความคิดเห็นที่ 12 เพลงเพราะดีไม่ได้ฟังนานแล้ว ขอแถมอีก สักหน่อยนะครับ 4/13 ท่อนนี้เรื่องนบีอิบรอฮีม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:13:22

ความคิดเห็นที่ 13 5/13 เรื่องการสร้างกะอ์บะห์ โดยท่านบีอิบรอฮีม จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:18:54

ความคิดเห็นที่ 14 6/13 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:23:07

ความคิดเห็นที่ 15 ที่เหลือ ตามคลิ้กฟังกันนะครับ ประวัติ 25 ศาสดาของอิสลาม โดยสังเขป จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:23:59

ความคิดเห็นที่ 16 ศาสดาของศาสนาอิสลาม ศาสดาศาสนาอิสลาม 25ศาสดา ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต มุสลิมเชื่อว่าศรัทธา โลกมนุษย์ในแต่ละยุคที่ผ่านมานับจากยุคแรก คือ อาดัมนั้นต้องมีศาสดาหรือ ศาสนทูต เป็นผู้รับบทบัญญัติของพระเจ้ามาประกาศเพื่อเผยแผ่โองการของพระเจ้า ซึ่งศาสนทูตนั้นมีจำนวนมากมาย ลักษณะคำประกาศของแต่ละศาสดาย่อมผิดแปลกไปตามยุคสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกศาสดาประกาศออกมาเหมือนกัน คือ ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกันและห้ามกราบไหว้บูชาวัตถุโดยสิ้นเชิง บรรดาศาสดาที่รับโองการพระเจ้ามาเผยแผ่เท่าที่มีปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานมีทั้งสิ้น 25 ท่าน คือ 1. นบีอาดัม (อ.ล.)                            14. นบีอีซา (อ.ล.) 2. นบีอิบรอฮีม (อ.ล.)                       15. นบีอินยาส (อ.ล.) 3. นบีอิสฮากร (อ.ล.)                        16. นบีอิสมาอีล (อ.ล.) 4. นบียากูฟ (อ.ล.)                            17. นบีอัลย่าซะอ์ (อ.ล.) 5. นบีนัวฮ์ (อ.ล.)                              18. นบียูนุส (อ.ล.) 6. นบีดาลูด (อ.ล.)                           19. นบีลูด (อ.ล.) 7. นบีสุไลมาน (อ.ล.)                       20. นบีอิดรีส (อ.ล.) 8. นบีไอยูบ (อ.ล.)                            21. นบีฮูด (อ.ล.) 9. นบียูซูบ (อ.ล.)                              22. นบีซู่ไอบ (อ.ล.) 10. นบีมูซา (อ.ล.)                            23. นบีซอและซ์ (อ.ล.) 11. นบีฮารูน (อ.ล.)                          24. นบีซุลกิฟลี่ (อ.ล.) 12. นบีซาการียา (อ.ล.)                    25. นบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) 13. นบียะห์ยา (อ.ล.)   คุณสมบัติของศาสนทูตมี 4 ประการคือ 1.ศิดกุน คือ วาจาสัตย์ ไม่พูดเท็จ 2.อะมานะฮ์ คือ ไว้วางใจได้ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำความชั่วฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮ์ 3.ตับลิค คือ นำศาสนามาเผยแผ่แก่มนุษย์โดยทั่วถึงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย 4.ฟะตอนะฮ์ คือ เฉลียวฉลาด บรรดาศาสดาทุกท่าน เป็นมนุษย์ธรรมดานี่เอง จึงดำรงชีวิตแบบสามัญชนทั่วไป มีการกินอยู่หลับนอน แต่งงานและประกอบอาชีพ สาเหตุที่พระเจ้าเลือกคนธรรมดาขึ้นมาเป็นศาสดา ก็เพราะความเป็นศาสดา หมายถึง การเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตามคำสอนของตัวเองที่ได้รับมาจากพระเจ้า หากศาสดาไม่ใช่คนสามัญชนธรรมดาแบบเดียวกับประชาชนทั่วไป คำสอนก็จะขาดการนำไปปฏิบัติ ซึ่งในที่สุดคำสอนก็จะหมดความหมาย และแน่นอนก็จะไม่มีใครพร้อมที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศาสดาสอนผู้อื่น ท่านก็ปฏิบัติเช่นนั้นด้วย คำสอนที่ท่านสอนออกไปจึงเป็นกฎหมายที่ท่านต้องปฏิบัติตาม เพราะสิ่งที่ท่านสอนก็คือ บทบัญญัติที่พระเจ้าทรงดำรัสผ่านมาทางท่านนั่นเอง ศาสนาอิสลามจำแนกพระศาสนทูตหรือผู้แทนของพระอัลเลาะห์หรือผู้รับโองการจากพระเจ้าให้นำบัญญัติของพระองค์มาสั่งสอน ชี้แนะแก่มวลมนุษย์ด้วยกัน ในแต่ละยุคแต่ละสมัยออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามบทบัญญัติของพระเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ศาสนทูตประเภทนี้เรียกว่า "นบี" 2. ผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามบทบัญญัติของพระเจ้าทำการเผยแผ่บทบัญญัตินั้นแก่มวลมนุษย์ชาติทั่วไปด้วย ศาสนทูตประเภทนี้เรียกว่า "ซูล" หรือ "เราะซูล" ส่วนพระศาสดามุฮัมมัด ชาวมุสลิมเชื่อกันว่า พระองค์เป็นทั้งนบีและเราะซูล เพราะพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีตามบทบัญญัติของพระอัลเลาะห์และทรงเป็นผู้เผยแผ่บทบัญญัตินั้นแก่มวลมนุษยชาติอีกด้วย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 09:29:44

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่มเติมให้ต่อจากบังจิม รายนามท่านศาสดา ในแบบที่อิสลามเรียกและชาวคัมภีร์เรียก (ในวงเล็บ) 1 Adam 2 Idris (Enoch) 3 Nuh (Noah) 4 Hud 5 Saleh 6 Ibrahim (Abraham) 7 Isma'il (Ishmael) 8 Ishaq (Isaac) 9 Lut (Lot) 10 Ya'qub (Jacob) 11 Yousef (Joseph) 12 Shu'aib 13 Ayyub (Job) 14 Musa (Moses) 15 Harun (Aaron) 16 Dhu'l-kifl (Ezekiel) 17 Dawud (David) 18 Sulaiman (Solomon) 19 Ilias (Elias) 20 Al-Yasa (Elisha) 21 Yunus (Jonah) 22 Zakariyya (Zechariah) 23 Yahya (John) 24 Isa (Jesus) 25 Muhammad จากคุณ : SalaDin (A.TheRipper94) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 12:27:45

ความคิดเห็นที่ 18 ตามทรรศนะคริสเตียน จะใช้คำว่าศาสดา เฉพาะกับพระเยซูเท่านั้น แต่ไม่แน่ใจว่ายิวจะมีแนวคิดเกี่ยวกับศาสดาแบบไหน ตาม คห.16-17 หากไม่นับท่านนบีมุฮัมหมัด และตัดพระเยซูออกไป ท่านอื่นถือเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่คำว่าผู้เผยพระวจนะ ก็ใช้ไม่ได้กับทุกคนตาม คห.16-17 คือผู้เผยพระวจนะ ต้องรับวจนะจากพระเจ้าแล้วนำมาประกาศในกรณีจะไม่นับตั้งแต่อดัมเป็นต้นมา มีโมเสสเเป็นผู้เผยวจนะคนแรก และไม่นับดาวิด กับโซโลมอนด้วย สำหรับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา เป็นผู้เผยพระวจนะแต่การเผยพระวจนะนั้นเป็นไปเพื่อเตรียมมรรคาแห่งพระบุตรของพระเจ้า นั้นคือการเริ่มเปลี่ยนทรรศนะคติของอิสราเอลเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า เพราะในสมัยนั้นยิวเชื่อว่ามีเพียงชนชาติยิวเท่านั้นที่จะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า แต่ยอห์นบอกว่า ไม่เพียงแค่ยิวที่จะรอด แต่ต้องได้รับบัพติศมา (สื่อให้เห็นว่าทางสวรรค์นั้นไม่จำกัดเฉพาะอิสราเอล ตามความเชื่อของยิวในยุคนั้น) จากนั้นก็การมาบังเกิดของพระเยซู คำสอนของพระเยซูในยุคนั้นทำลายขนบดั้งเดิมของยิวในยุคนั้นมากมาย เช่นการบวงทรวงในพระวิหาร และเรื่องวันสะบาโต พร้อมกับการสื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นบุคคลตามคำทำลายของผู้เผยพระวจนะในอดีต ในคำสอนของพระเยซุเป็นครั้งแรกที่ปรากฏเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นในคราแรกยอห์นไม่ประกอบบัพติศมาให้พระเยซู แต่สุดท้ายก็ทำให้ทำให้ปรากฏพระวิญญาณบริสุทธิ์มาประทับกับพระเยซู นั้นหมายถึงการรับบัพติศมาด้วยไฟ ตั้งแต่นั้นมาอาจถือได้ว่าการเข้ารีตคริสเตียนคือพิธีรับบัพติศมา แต่ในขณะที่ยิวและอิสลามยังเป็นพิธีสุนัต เหมือนกัน(อาจต่างตรงรายละเอียด) (เดี๋ยวกลับบ้านจะมาเล่าต่อ) จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 15:18:02

ความคิดเห็นที่ 19 หากยิวหรืออิสลามมีคนบอกว่า เป็นเพื่อนของพระเจ้าหรือเป็นลูกของพระเจ้า จะต้องถูกหาว่าบ้าแน่ๆ เผลอๆอาจจะโดนข้อหาลบหลู่พระเจ้าด้วยซ้ำ อันที่จริงมีนิมิต(ถ้าจำไม่ผิด เกิดแก่อาจารย์เปาโล) เรื่องกินอาหารที่ต้องห้ามของยิว ซึ่งจากนิมิตนั้นสื่อถึงการแผ่พระกิติคุณไปในหมู่ชนต่างชาติ (ชาวโรมันกินหมู) ซึ่งจะสอดคล้องกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา นั้นคือ ไม่ใช่ยิวที่จะรอดแต่ต้องได้รับบัพติศมา(นั้นคือใครที่รับบัพติศมานั้นจะรอด) นิมิต กินหมู ทำให้ศาสนาคริสต์แผ่ไปสู่ชาวต่างชาติ (เข้าใจว่าช่วงแรกจริงๆศาสนาคริสต์ยังอยู่ในหมู่ชาวยิว) และการรับเชื่อนั้นแสดงโดยบัพติศมา ซึ่งง่ายกว่าการรับเชื่อเป็นยิวหรืออิสลามที่ต้องเข้าสุนัต ยุคหนึ่งการรับบัพติศมานั้นแสดงถึงการรับเชื่อและทางรอดของวิญญาณ พวกคริสเตียนไล่ต้อนพวกอนารยชนให้หนีลงแม่น้ำ แล้วให้นักบวชประกอบบัพติศมา พวกที่จมน้ำตายก็ถือว่ารอดได้เข้าไปในแผ่นดินสวรรค์แล้ว เพราะรับบัพติศมา พวกที่ว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งก็โศกเศร้า ที่ตัวเองรับเชื่อเสียแล้ว จากนั้นคนเหล่านั้นก็กลายเป็นคริสเตียน จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 55 18:35:08