Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เมื่อมุสลิมกำลังถูกรุมกินโต๊ะ ติดต่อทีมงาน

ทำไมโลกมุสลิมจึงถูกรุมกินโต๊ะและถูกทำลาย

เขียนโดย มุคลิส บิน ยูซุฟ

สถานการณ์ที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทั่วโลก ประกาศสงครามกับกลุ่มประเทศซึ่งพวกเขาพยายามแต้มสีว่า เป็น อักษะปีศาจ และ สงครามกับกลุ่มก่อการร้าย เช่น อัฟกานิสถาน อีรัก อีหร่าน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราเปิดดูข้อมูลแล้ว จะเห็นว่าประเทศและขบวนการต่างๆล้วนอยู่ในโลกมุสลิมทั้งสิ้น ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า ทำไมจึงจ้องแต่โลกมุสลิมหรือองค์กรมุสลิม ทั้งๆที่กลุ่มก่อการร้ายมีกันอยู่ทั่วโลก???





แน่นอนมันเป็นคำถามที่ต้องมีการวิเคราะห์เจาะลึก ซึ่งแม้แต่มุสลิมเองก็อาจไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่สามารถจะตอบคำถามนี้ได้

ถ้า จะตอบแบบฟันธงและรวบรัดแล้ว มันก็เพราะโลกมุสลิมมีพลังและขุมทรัพย์อยู่มหาศาล ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถ้ามีการใช้อย่างมีแบบแผนและเฉลียวฉลาดแล้ว จะเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่และทรงพลังของมุสลิม ทำให้โลกมุสลิมกลับมามีอำนาจเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง ถ้าจะพิจารณาพลังอันมหาศาลในโลกมุสลิม มีดังต่อไปนี้

1.พลังของทรัพยากรมนุษย์
พลังสำคัญที่สุดของโลกมุสลิม ก็คือ พลังของจำนวนประชากรมุสลิมที่มีมหาศาล ประชากรมุสลิมทั่วโลกมีกว่า 1.25 พันล้านคน ประชาชาติเหล่านี้ศรัทธามั่นในหลักอากีดะห์เดียวกันและอาศัยอยู่กระจัด กระจายในหกทวีป

ใช่! บางคนอาจจะบอกว่า เราต้องการคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ปริมาณก็มีความสำคัญเช่นกัน เรามักจะได้ยินรายงานข่าวจากโลกตะวันตกเสมอ ที่เป็นห่วงต่อการขยายตัวเพิ่มขึ้นของประชาชาติอิสลามอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โลกตะวันตกเองกำลังประสบปัญหาขาดแคลนทายาทผู้สืบสกุลและชนรุ่นใหม่ มีแต่คนชรา

ความจริง การมีอุมมะห์หรือประชากรจำนวนมาก เป็นนิอมัต(ความโปรดปราน)อย่างหนึ่ง และเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอารยธรรม เราจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันได้มีความพยายามรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มประเทศหรือเขตเศรษฐกิจขึ้น มา แม้จะต่างภาษา วัฒนธรรม ศาสนาและภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ เพื่อครอบครองตลาดและผู้บริโภค

ในคัมภีร์อัล-กุรอาน ได้กล่าวถึงนิอมัต(ความโปรดปราน)ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้นี้ ความว่า

"…และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่านมีจำนวนน้อย แล้วพระองค์ทรงให้พวกท่านมีจำนวนมากขึ้น…" (ซูเราะห์ อัล-อะอรอฟ :86)

2.พลังทางเศรษฐกิจและทรัพยากรธรรมชาติ

พลังที่สองของโลกมุสลิม ก็คือ พลังทางเศรษฐกิจและทรัพยากรธรรมชาติ ที่โลกมุสลิมครอบครองอยู่ นั่นก็คือ ขุมทรัพย์ที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ดินและบนผืนดิน บนเขา ในแม่น้ำลำธาร ทะเลซึ่งมีอยู่มหาศาลมาก

เรามีพื้นดินที่แวดล้อมด้วยแม่น้ำลำธารและ แอ่งน้ำ มีแร่โลหะ และปิโตรเลียมซึ่งโลกต้องการ โลกมุสลิมเป็นแหล่งสำรองน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก สภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกมุสลิม ก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลกและอารยธรรม มันเป็นจุดบรรจบของบรรดาอารยธรรมและเป็นแหล่งอารยธรรมต่างๆ เป็นที่ลงมาของศาสนาใหญ่ๆแห่งฟากฟ้า นั่นก็คือ ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม

3. พลังทางจิตวิญญาณ

พลังที่สามของโลกมุสลิม ก็คือ พลังแห่งจิตวิญญาณและสาส์น(ริซาละห์)ที่พวกเขาครอบครอง และถูกเรียกร้องเชิญชวนให้เข้าสู่สาส์นนี้ และอุทิศชีวิตเพื่อสาส์นนี้ นั่นก็คือ สาส์นอิสลามอันนิรันดร์และสากลนั่นเอง ซึ่งเป็นสาส์นสุดท้ายสำหรับมวลมนุษยชาติ มันเป็นสาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้า มาจากพระผู้เป็นเจ้า เป้าหมายของสาส์นนี้ ก็คือ อัลลอฮ พระองค์ตรัสว่า

" จงกล่าวเถิด(มูฮัมหมัด)ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะห์ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น"(ซูเราะฮ อัล-อันอาม :162)

ประชาชาติอิสลามเพียงประชาชาติเดียวที่ได้รับการ ยืนยันและรับรองจากอัลลอฮ ถึงการมีสาส์นสุดท้ายของอัลลอฮที่อยู่ในการครอบครอง นั่นก็คือ อัลกุรอาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มนุษย์มีความปลอดภัยจากความไขว้เขว บิดเบือนและการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ในคัมภีร์อัล-กุรอานทั้งเล่มจะไม่มีข้อความซึ่งเป็นเท็จในสาส์นเล่มนี้จะ ประกอบด้วยทัศนะที่สมบูรณ์ครอบคลุมทุกด้าน อัลลอฮตรัสว่า

"…และเราได้ให้คัมภีร์แก่เจ้า เพื่อชี้แจงแก่ทุกสิ่ง…" (ซูเราะฮ อัน-นะหล : 89)

สาส์นอิสลามจะโน้มนำมนุษย์ไปสู่จริยธรรมและศีลธรรมอันงดงามและสูงส่ง ท่านศาสดามูฮัมมัด ศ็อลล็อลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม กล่าวว่า

"แท้จริงฉันถูกส่งมา เพื่อความสมบูรณ์ของจริยธรรมอันสูงส่ง"

รวมทั้งมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์และมีความเป็นสากล

"เรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใดนอกจาก เพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย" (ซูเราะห์ อัล-อัมบียาอ์ : 107)

อิสลามเป็นทัศนะที่มีลักษณะสมจริงและเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง บทบัญญัติของอิสลามถูกกำหนดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาที่จำเป็นและเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติ เพื่อขจัดความอ่อนแอที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ พร้อมกันนั้นยังได้บัญญัติสิ่งอนุโลมและยกเว้นไว้ด้วยในกรณีมีเหตุจำเป็น

อิสลามเป็นแนวทางสายกลาง หรือ ครรลองที่มีความพอดี ไม่สุดโต่งและเอนเอียง

"และดังนั้น เราได้ให้เจ้า(โอ้มูฮัมหมัด) เป็นประชาชาติสายกลาง" (ซูเราะห์ อัล-บากอเราะฮ : 143)

มันเป็นดุลยภาพหรือความพอดีระหว่างวัตถุและจิตวิญญาณ , สติปัญญากับจิตใจ , โลกนี้กับปรโลก ,สิทธิและหน้าที่ ,ปัจเจกบุคคลและสังคม โดยไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง

โลกกำลังต้องการสาส์นนี้ เพื่อปกป้องคุ้มครองโลกจากวัตถุนิยมที่เลยเถิดและการครอบงำของบริโภคนิยม และเพื่อปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากสภาวะอนาธิปไตย ความหวาดกลัวและความทุกข์ยาก สู่ยุคแห่งความมั่นคงปลอดภัย สันติภาพ ความสงบสุขและมีความหวังของมวลมนุษยชาติ

คำเตือนจากโลกภายนอกเกี่ยวกับขุมพลังอันมหาศาลของโลกมุสลิม

ประชาชาติอิสลามไม่ค่อยจะรู้และมองเห็นถึงพลังภายในที่ซุกซ่อนอยู่ในอิสลามและโลก มุสลิม แต่สำหรับคนภายนอกที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณลักษณะและขุมพลังภายในที่ซุก ซ่อนอยู่ของประชาชาติอิสลามแล้ว พวกเขาจะรู้ถึงพลังภายในอันยิ่งใหญ่ ที่มุสลิมมีและครอบครองอยู่ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก อีกทั้งเป็นห่วงและวิตกว่า สักวันหนึ่งพลังอันยิ่งใหญ่จะสำแดงฤทธิ์เดชออกมา

ศาสตราจารย์ Gibb ได้กล่าวในหนังสือชื่อ "โฉมหน้าของอิสลาม" ในตอนหนึ่ง ว่า

" แท้ที่จริงแล้ว ขบวนการฟื้นฟูอิสลามได้เติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว น่าทึ่งและมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก สามารถอุบัติขึ้นโดยทันทีทันใดโดยไม่มีสัญญาณเตือนบ่งบอกให้นักวิเคราะห์และ นักวิจัยได้สังเกตล่วงหน้า มันจึงเป็นสิ่งที่ยากจะวิเคราะห์วิจัย ขบวนการฟื้นฟูอิสลามขาดแคลนก็แต่พียงผู้นำเท่านั้น พวกเขายังไม่มีผู้นำสมัยใหม่เหมือนซอลาฮุดดีน แม่ทัพแห่งสงครามครูเสดในอดีต"

นักสำรวจชาวเยอรมัน ชื่อ พอล สมิทธ์ ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า " อิสลาม :พลังแห่งอนาคต" หนังสือเล่มนี้ ได้ตีพิมพ์ออกจำหน่ายเมื่อปี 1936 มีเนื้อหาโดยสรุป คือ

รากฐานและปัจจัยแห่งพลังความเข้มแข็งที่มีอยู่ในอิสลาม รวมอยู่ใน 3 ปัจจัย ดังนี้

1.พลังแห่งอิสลามในฐานะที่เป็นศาสนาหรือครรลองชีวิต, เป็นความเชื่อมั่นศรัทธา ,ระบบคุณค่าและภราดรภาพของชนทุกชาติ สีผิวและวัฒนธรรม

2. พลังแห่งขุมทรัพย์หรือทรัพยากรที่โลกอิสลามครอบครองอยู่ อาณาบริเวณจะกินพื้นที่ทอดยาวจากทางตะวันตกตั้งแต่พรมแดนมาราเกช ในมหาสมุทรแอตแลนติก จรดทางตะวันออก ที่อินโดนีเซีย ในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นพื้นที่ที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรในดินและในน้ำ ซึ่งสามารถสร้างความเข้มแข็งและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ถ้าหากว่า พวกเขามีความเป็นเอกภาพ มันจะทำให้โลกอิสลามสามารถพึ่งตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรจากยุโรปและอเมริกาอีกต่อไป

3.ความสมบูรณ์ของทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาก ทำให้โลกมุสลิมมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น


สมิทธ์ ได้กล่าวต่อว่า

" ถ้าหาก ทั้งสามปัจจัยนี้ได้ถูกนำมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประชาชาติอิสลามมีการรวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพภายใต้หลักอากีดะห์เดียวกัน และยึดมั่นในเตาฮีด(เอกภาพ)ของอัลลอฮ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมากมายถูกนำมาตอบสนองและเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประชากรมุสลิมที่มีมหาศาลนั้น การอุบัติขึ้นของอิสลามในลักษณะนี้ ก็จะกลายเป็นสัญญาณแห่งความวิบัติและล่มสลายของสหรัฐและยุโรป อิสลามก็จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลก ซึ่งโดยภูมิรัฐศาสตร์พวกเขาก็เป็นศูนย์กลางของโลกอยู่แล้ว"

พอล สมิทธ์ จึงได้นำเสนอหลังจากได้ศึกษาอย่างดีและประจักษ์ถึงพลังของโลกมุสลิม ว่า

" ให้มีขบวนการหรือองค์กรสำหรับคริสเตียน เพื่อรวบรวมชาวคริสต์ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อทำสงครามครูเสดในรูปแบบใหม่ที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกับยุคสมัย ปัจจุบัน ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพและแยบยลกว่า"

โรเบิร์ต เบิร์น ได้กล่าวในบทนำของหนังสือ ชื่อ "ดาบบริสุทธิ์" ว่า

" จงศึกษาและวิจัยชาวอาหรับ รวมทั้งเจาะลึกความคิดความอ่านของพวกเขา ซึ่งครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นผู้นำของโลก มีแนวโน้มที่เป็นไปได้ว่า พวกเขาจะกลับมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง แสงสว่างที่มูฮัมหมัดส่องนำทางกำลังส่องแสงอย่างเจิดจ้าไม่เสื่อมคลาย เมื่อถึงเวลาและวันนั้น พวกเขาจะเรียกร้องเชิญชวนไปสู่แสงสว่างนี้ชนิดไม่มีวันดับอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ถึงภูมิหลังของชาวอาหรับ ข้าพเจ้าตั้งชื่อหนังสือว่า "ดาบ"สองหน้าซึ่งมูฮัมหมัดใช้ในสงครามบาดัร เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่า พวกเขามีชัยชนะก็เพราะคมดาบ ซึ่งมันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการครองโลกของพวกเขา"

ถ้าเราตัดข้อความที่เกิดจากความคิดที่เอนเอียง เกลียดชังและอคติต่ออิสลามออกไป เบิร์น ได้บอกให้เราทราบว่า คนต่างศาสนิกโดยเฉพาะโลกตะวันตก ได้ตระหนักและรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของอิสลามเป็นอย่างดี

ในปัจจุบันนี้ สหรัฐฯและตะวันตกจึงขนานนามอิสลามว่า "ภัยเขียว" หลังจาก "ภัยแดง"ได้หมดไปเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลง และ "ภัยเหลือง" คือ จีน ได้พัฒนาไปสู่ความทันสมัยแบบตะวันตกไปแล้ว

ทั้งๆที่โดยแท้จริงแล้ว อิสลามนั้นเป็นภัยคุกคามก็แต่เฉพาะพวกนอกรีตที่ไม่มีศาสนาและพวกบ่อนทำลาย กดขี่ข่มเหงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น

เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม ขอยกตัวอย่างของพลังภายในที่มีอยู่ในโลกมุสลิม นั่นก็คือ ประเทศตุรกี

ตุรกี ภายใต้การนำของอาตาเติร์กและพรรคการเมืองของเขา พยายามขจัดวิถีชีวิตอิสลามทั้งในเรื่องการแต่งกาย จริยธรรม วัฒนธรรม กฎหมาย ภาษาและทุกๆสิ่งออกไปจากวิถีชีวิตของชาวตุรกี เขายอมดำเนินการถึงขนาดเผาทำลายฮีญาบทิ้ง ยกเลิกการเขียนด้วยอักษรอาหรับ หันไปใช้อักษรลาตินแทน ห้ามใช้ภาษาอาหรับแม้กระทั่งในการอาซานเพื่อเชิญชวนละหมาด อนุญาตให้สตรีมุสลิมแต่งงานกับคนยิวและคริสเตียน พยายามให้สตรีมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชายในเรื่องมรดก เขาได้นำกฎหมายตะวันตกมาใช้รวมถึงกฎหมายครอบครัว พร้อมกับขับไล่วัฒนธรรมอิสลามออกจากประเทศตุรกี มิหนำซ้ำ ยังได้ปราบปราม เข่นฆ่าและขับไล่นักการศาสนาเป็นจำนวนมาก คนทั่วไปคิดว่า ศาสนาอิสลามคงจะสาปสูญไปจากประเทศตุรกีเป็นแน่

เมื่อวันเวลาผ่านไป นานนับสิบๆปี อิสลามก็ยังคงสถิตย์อยู่ในดวงใจชาวตุรกีไม่เสื่อมคลาย เรากล่าวได้แต่เพียงว่า มันขุ่นมัว หรือหลับ หรือหยุดไปชั่วขณะ เมื่อมีโอกาส อิสลามก็จะลุกขึ้นมามีบทบาทอีกครั้งอย่างมีพลัง ไม่มีใครสามารถจะทัดทานได้

ณ วันนี้ เราได้ฟัง ได้อ่านและได้ชม การเติบโตและขยายตัวของอิสลามในตุรกี และความตกต่ำของพวกต่อต้านและปฏิเสธศาสนา เสียงของพวกต่อต้านอิสลามแผ่วเบาลงมาก ถึงแม้ว่า พวกเขายังมีพลังทางวัตถุ ทางทหาร และได้รับการการสนับสนุนจากอำนาจภายในและมหาอำนาจภายนอกประเทศก็ตาม แต่ในปัจจุบันมัสยิดถูกสร้างขึ้นมากมาย โรงเรียนสอนอัล-กุรอานจำนวนมากถูกเปิดสอนขึ้น หนังสือและนิตยสารอิสลามแพร่ขยายมากขึ้น เทรนด์อิสลามกำลังงอกเงย ได้รับความนิยมและมีบทบาทในสังคมและชีวิตของชาวตุรกีเป็นอย่างสูง

การเติบโตและขยายตัวของอิสลามในตุรกี ได้ส่งผลให้พรรคการเมืองอิสลาม ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด สามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนและจัดตั้งรัฐบาลได้

นี่คือ ประจักษ์พยาน พิสูจน์ถึง พลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในโลกมุสลิม มันเป็นพลังที่เข้มแข็ง มั่นคง เมื่อมันถูกคุกคามและรุกรานจากภายนอก หรือเมื่อมุสลิมถูกข่มเหงรังแก

สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตระหนักและ รู้ดีถึงพลังอันมหาศาลนี้ พวกเขาจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม คุมกำเนิดก่อนที่มันจะเติบโตและขยายตัว การรุมกินโต๊ะจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งของการสกัดกั้นอิสลาม ถ้าไม่เช่นนั้น มันหมายถึงการกลับมาใหม่ของอิสลาม มันก็จะถึงกาลอวสานของโลกตะวันตกนั่นเอง

ประกอบกับอยู่ในช่วงจังหวะที่ประชาชาติอิสลามมีความอ่อนแอและตกต่ำ เนื่องมาจากความขัดแย้งในหมู่มุสลิมด้วยกันเอง ในเรื่องเกี่ยวกับหลักการศาสนา การเมือง และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มุสลิมหันไปหลงใหลในลัทธิและวิถีชีวิตแบบอื่น เช่น ทุนนิยม บริโภคนิยม ตลอดจนมัวยุ่งและถกเถียงอยู่กับเรื่องกระพี้และปลีกย่อย อีกทั้งพวกจักรวรรดินิยมตะวันตกได้เพียรพยายามทำลายล้างผ่านสื่อ สถาบันการศึกษาและสถาบันทางวัฒนธรรม ทำให้ประชาชาติอิสลามเหินห่างจากจิตวิญญาณและแก่นแท้ของอิสลาม มัวแต่จมปลักอยู่กับเรื่องกระพี้ ละทิ้งหลักการอิสลามส่วนที่เป็นแก่นแท้และสาระสำคัญ

สภาวการณ์เช่นนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับสหรัฐและตะวันตก ในการที่จะรุกราน ทำลายล้างโลกมุสลิม ดังวจนะของท่านรอซูลุลลอฮ ศ็อลล็อลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ความว่า

"จากเซาบาน เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮ กล่าวว่า ไม่นานหรอกที่ประชาชาติต่างๆต่างกลุ้มรุมพวกท่าน ประหนึ่งแย่งอาหารในถาด ซอฮาบะฮ คนหนึ่งกล่าวว่า ในวันนั้นพวกเรามีจำนวนน้อยกระนั้นหรือ? ท่านรอซูลตอบว่า จริงๆแล้ว พวกท่านมีจำนวนมาก แต่มีสภาพเหมือนฟองน้ำที่ไหลไปตามน้ำ พระองค์ทรงขจัดความหวาดกลัวของศัตรูต่อพวกท่านออกไปจากหัวอกของศัตรูของพวก ท่าน แล้วพระองค์ทรงให้พวกท่านเกิดภาวะ "อัล-วะฮนู" ซอฮาบะฮ ถามอีกว่า อัล-วะฮนู คืออะไร? ท่านรอซูลตอบว่า คือ ความพิสมัย หลงโลกนี้ และกลัวความตาย" (หะดีษบันทึก โดย อบู ดาวูด)

http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1267.0

 
 

จากคุณ : laliklalee
เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 55 17:13:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com