ความคิดเห็นที่ 1 จากงานเขียน ของคุณพิเชษฐ์ เมาลานนท์ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ตุลาการภิวัตน์ในมาเลเซีย (๑) ระบบกฎหมายมาเลเซีย {mosimage} สวัสดีครับ ท่านผู้อ่าน - - วันนี้ ผมขอนำเสนอ ?ตุลาการภิวัตน์? ในเอเชียชาติต่อไป ซึ่งได้แก่มาเลเซีย และขอปูพื้นด้วยเรื่องระบบกฎหมายของมาเลเซีย เป็นประการแรก โดยได้มาจาก Wikipedia เพราะเป็นข้อมูลล่าสุด ระบบกฎหมายของมาเลเซีย มีฐานมาจากระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษ เพราะเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเมื่อราวปี ๑๘๐๐ - ๑๙๖๐ กระนั้นก็ดี มาเลเซียก็มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายสูงสุด มาเลเซียมีระบบกฎหมายที่แยกระหว่าง Federal Laws (กฎหมายของสหพันธ์) ซึ่งออกโดยรัฐสภามาเลเซีย และใช้บังคับทั่วประเทศ กับ State Laws (กฎหมายของรัฐ) ซึ่งออกโดยรัฐสภาของแต่ละรัฐ และใช้บังคับเฉพาะกรณี นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีระบบกฎหมายพหุนิยม ได้แก่ Secular Laws (กฎหมายของฆราวาส) กับ Sharia Laws (กฎหมายศาสนาของอิสลาม) ซึ่งกฎหมายทั้ง ๒ ระบบนี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนและความไม่แน่นอนอยู่เสมอ {mosimage} ประวัติศาสตร์กฎหมาย: รัฐมาลายูได้รับอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรเมื่อปี ๑๙๕๗ ก่อนหน้านั้น มาลายูเขียนกฎหมายที่รับมาจากอังกฤษ หรือมิฉะนั้นก็รับ Case Laws คือคำตัดสินของศาลอังกฤษมาใช้โดยตรง นอกจากนี้ มาเลเซียยังรับกฎหมายมาจากเครือจักรภพ โดยเฉพาะจากออสเตรเลียและอินเดียด้วย กล่าวคือ กฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาของมาเลเซียนั้นรับมาจากอินเดียโดยตรง ส่วนกฎหมายสัญญาก็มีพื้นฐานมาจากกฎหมายอินเดีย และกฎหมายที่ดินใช้ระบบ Torrens System ของออสเตรเลีย ระบบกฎหมายพหุนิยม: รัฐธรรมนูญมาเลเซีย มาตรา 121(1A) กับมาตรา 3 บัญญัติให้กฎหมายอิสลามเป็นกฎหมายของรัฐ ยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายสหพันธ์ของมาเลเซีย (Federal Territories Laws of Malaysia) {mosimage} กฎหมายศาสนาอิสลามมีชื่อเรียกว่า Sharia Laws ซึ่งใช้บังคับโดย Sharia Courts แต่กฎหมายศาสนานี้ ก็มีบทบาทค่อนข้างน้อยภายในระบบกฎหมายทั้งหมดของมาเลเซีย เพราะ Sharia Laws ใช้บังคับเฉพาะต่อชาวมุสลิม และ Sharia Courts มีเขตอำนาจเหนือคดีแพ่งที่เกี่ยวกับการสมรส, การรับมรดก, และการเปลี่ยนศาสนาเท่านั้น ส่วนกฎหมายอาญาของศาสนาอิสลามที่เรียกว่า Sharia Criminal Law มีใช้เฉพาะในบางรัฐเท่านั้น เช่น ที่กลันตัน แต่ก็มีเขตอำนาจจำกัดเพียงโทษปรับไม่เกิน ๓,๐๐๐ ริงกิต หรือโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน กฎหมายพหุนิยม ๒ ระบบนี้ ได้ก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนและความไม่แน่นอนอยู่เสมอ เช่น ในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนา มีบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑ ของรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีคดีที่ Ms. Lina Joy เชื้อสายมาเลย์ได้ขอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ Federal Court of Malaysia ไม่รับฟ้อง เพราะศาลเห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของ Sharia Court ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 121(1A) กฎหมายของสหพันธ์กับกฎหมายของรัฐ: กฎหมายสหพันธ์ออกโดยรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาและวุฒิสภาของรัฐสภา มาเลเซีย (Parliament of Malaysia) และใช้บังคับทั่วประเทศ ส่วนกฎหมายของรัฐนั้นออกโดยรัฐสภาแห่งรัฐ (State Legislative Assembly หรือ Dewan Undangan Negeri) และใช้บังคับเฉพาะบางกรณีภายในรัฐนั้นเท่านั้น {mosimage} รัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๕ บัญญัติว่า กฎหมายของสหพันธ์ย่อมนำมาใช้บังคับในทุกกรณีที่กฎหมายของรัฐขัดแย้งกับ กฎหมายของสหพันธ์ ทั้งนี้ รวมถึงกรณีที่ Sharia Laws ขัดแย้งกับกฎหมายสหพันธ์ด้วย คอมมอนลอว์: กฎหมายมาเลเซียแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร กับกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นออกโดยรัฐสภา แต่กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นไม่มีเขียนอยู่ในตัวบทกฎหมาย และค้นพบได้ในคำพิพากษาของศาล ซึ่งเรียกโดยรวมว่า Common Law หรือ Case Law? ในกรณีไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับใช้กับคดี ศาลมาเลเซียก็จะใช้ Case Law มาปรับใช้ แต่ในกรณีที่ไม่มี Case Law ของมาเลเซีย ศาลก็จะนำ Case Law ของอังกฤษมาปรับใช้ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีหลายกรณีที่ศาลมาเลเซียอ้างอิง Case Law ของออสเตรเลีย, อินเดีย, และสิงคโปร์ในฐานะเป็นแหล่งข้อมูลที่มีพลังอ้างอิง {mosimage} การนำ Case Law ของอังกฤษมาปรับใช้ในกรณีที่ไม่มี Case Law ของมาเลเซียนั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ และกฎหมายแพ่ง มาตรา ๓ และมาตรา ๕ เรื่องนี้ ประธานศาลฎีกามาเลเซียได้ตั้งข้อสังเกตเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๐๐๗ ว่า ควรยกเลิกระบบนี้ได้ เพราะมาเลเซียได้รับอิสรภาพมาจากอังกฤษราว ๕๐ ปีแล้ว และได้เสนอให้ใช้กฎหมาย Sharia Laws แทนกฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษทั้งหมด แต่ Malaysian Bar Council (เนติบัณฑิตยสภาของมาเลเซีย) ไม่เห็นด้วย โดยแย้งว่า Common Law ของอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายมาเลเซีย และยังหาฐานอะไรไปลบล้างไม่ได้ อย่างไรก็ดี ควรตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้าปี ๑๙๘๕ มาเลเซียได้ใช้ระบบการอุทธรณ์คดีไปสู่องคมนตรีของอังกฤษ (Privy Council of England) แต่ระบบนี้ได้ถูกยกเลิกไปในปีนั้น กฎหมายจารีตประเพณี: นี่คือบ่อเกิดอีกประการหนึ่งของ กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะชาวชนเผ่าต่างๆ ในมาเลเซียจะมีกฎหมายจารีตประเพณีของตนเอง ซึ่งบางเรื่องมีผลบังคับในฐานะเป็นกฎหมายของรัฐ แต่บางเรื่องก็สิ้นผลบังคับไปแล้ว เพราะถูกทดแทนด้วยกฎหมายของรัฐ {mosimage} ชนเผ่าพื้นเมืองชาวมาเลย์ในคาบสมุทรมาเลเซียใช้ Adat Law เป็นกฎหมายจารีตประเพณีในด้านการถือครองที่ดินและการรับมรดก ใน East Malaysia (ซาบาห์และซาราวัค) ยังมีกฎหมายจารีตประเพณีใช้บังคับอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล ซึ่งบังคับใช้โดย Native Court เช่น ที่ซาบาห์ ศาลพื้นเมืองอาจสั่งให้ชำระค่าสินไหมทดแทนด้วยสัตว์เลี้ยงหรือพืชผล เป็นต้น นอกจากชาวมาเลย์แล้ว ชาวจีนและชาวฮินดูก็ยังมีกฎหมายจารีตประเพณีของตนเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ครอบครัว แต่ในปี ๑๙๗๖ รัฐสภาได้ออกกฎหมายมายกเลิกกฎหมายพื้นเมืองเหล่านี้ไปแล้วเป็นอันมาก ทั้งหมดนั้น คือระบบกฎหมายโดยย่นย่อของมาเลเซีย ซึ่งยุ่งยากซับซ้อนกว่าระบบกฎหมายไทยเป็นอันมาก จึงมีผลต่อการที่ศาลมาเลเซีย จะนำกฎหมายมาปรับใช้ ในการตัดสินคดีต่างๆ ด้วย - - สวัสดีครับ http://www.thaijusticereform.com/index.php?option=com_content&view=article&id=4:2009-12-23-06-42-01&catid=2:2009-12-23-06-07-01&Itemid=16 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 20:27:26 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 20:26:59

ความคิดเห็นที่ 2 ทะนี้เรามาทำความรู้จักกับประเทศมาเลเซียกัน ในด้านประวัติศาสตร์ ประวัติความเป็นมาและการก่อตั้งประเทศ จากข้อมูลประวัติศาสตร์ มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากทั้งอินเดียและจีน ศูนย์กลางแห่ง อารยธรรมเก่าแก่ทั้งสองตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันออก อิทธิพลนี้รุนแรงมากในบางยุคโดยเฉพาะ อิทธิพลจากอินเดีย มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากอินเดียมากในส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมสมัยต้นและศาสนา ของตน อิทธิพลจีนจะน้อยกว่า ดังที่เราจะเห็นว่าอิทธิพลของจักรวรรดิจีนส่วนใหญ่มักจะไม่มีในทางตรง นอกจากนี้ ที่ตั้งภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อมาเลเซียในประวัติศาสตร์สมัยต้น ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ที่มาเลเซียตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนเท่านั้น ปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์อื่น ๆ ยังช่วยเพิ่มพูนความสำคัญ ของที่ตั้งของมาเลเซียอีกด้วย ต่างจากประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศที่อยู่ครึ่งทางระหว่างอินเดียและจีน แต่น้อยประเทศที่มีข้อได้เปรียบเป็นพิเศษแบบมาเลเซีย มาเลเซียตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรที่ยื่นออกไปทางใต้จากผืนทวีปเอเชียและ ล้อมรอบด้วยทะเลเกือบหมด ถ้าต้องการแล่นเรือออกจากเมืองจีนไปยังอินเดียก็จะต้องแล่นเลียบฝั่ง มาเลเซียทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ถ้าหากว่าไม่ต้องการแล่นเรือไปตลอดทางคาบสมุทรมลายูซึ่ง แคบในตอนเหนือก็เป็นสถานที่ที่อำนวยความสะดวกที่สุดสำหรับการถ่ายเทสินค้าจากทะเลจีนไปยัง มหาสมุทรอินเดีย คาบสมุทรมลายูและชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียวก็มีบทบาท สำคัญในแผนการเดินทาง ทั้งนี้เพราะลมมรสุมเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ เนื่องจากมาเลเซียเป็นสถานที่ที่ลมมรสุมพัดมาบรรจบกัน แต่ในสมัยที่มีการเดินเรือ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ลมมรสุมเป็นลมที่พัดจากสองทิศทางตามเวลาต่างกันในรอบปี ลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้พัดข้ามมหาสมุทรอินเดียจากเส้นศูนย์สูตรระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม ส่วนลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดจากฝั่งทะเลจีนและข้ามทะเลจีนระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน กล่าวได้ว่าลมมรสุมทั้งสองนี้จะมาบรรจบกันที่คาบสมุทรมลายูหรือโดยทั่ว ๆ ไปก็ในบริเวณหมู่ เกาะมาเลเซีย เรือที่แล่นมาจากเมืองจีนก็จะแล่นลงมาทางใต้ตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนเรือ ที่มาจากอินเดียก็จะมาทางตะวันออกตามลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อลมมรสุมเปลี่ยน เรือก็สามารถ เดินทางกลับได้ ฉะนั้นคาบสมุทรมลายูและฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียวจึงอยู่ในที่ตั้งที่ได้เปรียบในการอำนวยที่จอดพักสำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยตลอดจากอินเดียไปยังจีน หรือสำหรับผู้ที่จะ รอคอยลมมรสุมเปลี่ยนหรือสำหรับผู้ที่จะเดินทางเพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่จะได้พบปะกับพวกพ่อค้า ด้วยกันณ “ที่พักครึ่งทาง” แห่งนี้ อาทิ พ่อค้าชาวจีนสามารถลงมาทางใต้ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน ทำธุรกิจของตนให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินทางกลับได้ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือน สิงหาคม ด้วยเหตุนี้ มาเลเซียจึงก้าวเข้ามามีความสำคัญในประวัติศาสตร์โลก เพราะมี ข้อได้เปรียบจากสภาพทางภูมิศาสตร์เอื้ออำนวย อันที่จริงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียนับว่าเป็นปัจจัย ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึง ถ้าเราต้องการจะเข้าใจอดีตและแม้แต่ปัจจุบันหรืออนาคตของมาเลเซีย ภูมิศาสตร์ได้ชักนำมาเลเซียให้เข้ามาสู่เวทีประวัติศาสตร์โลก และภูมิศาสตร์ที่ไม่มีประเทศอื่นขนาบแต่ เปิดโล่งให้แก่โลกภายนอก ดังนั้น มาเลเซียจึงได้สัมผัสกับอารยธรรมต่าง ๆ และคนชาติต่าง ๆ มาก ใน ประวัติศาสตร์สมัยแรก ๆ ของมาเลเซีย คนชาติต่าง ๆ เหล่านี้นำเอาวัฒนธรรมและอารยธรรม การค้าและ การพาณิชย์ ศาสนาต่าง ๆ และระบบการเมืองต่าง ๆ มาให้มาเลเซีย ต่อมาก็มีผู้คนจากอินเดียและจีนเขามา ตั้งถิ่นฐาน ในชั้นแรกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อแหล่งแร่และแหล่ง กสิกรรมของมาเลเซียถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว จึงมีผู้เข้ามาตั้งหลักแหล่งกันเป็น จำนวนมาก ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียยังทำให้มาเลเซียได้รับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ นับแต่ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่มีมาตรฐาน การครองชีพสูงที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียทุกวันนี้ การที่ที่ตั้งของมาเลเซียอยู่ใกล้เส้นทางการค้าระหว่าง ตะวันออกกับตะวันตก ย่อมหมายถึงว่ามาเลเซียได้เรียนรู้สิ่งประดิษฐ์ของยุโรปสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น จากสภาพภูมิศาสตร์จึงทำให้มาเลเซียมีพลเมืองหลายชาติหลายภาษา และกลายเป็น ประเทศที่เศรษฐกิจก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย หากย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองและประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย เราก็จะได้เห็นว่า เส้นทางการค้าและการเดินทางสำรวจมีอิทธิพลต่อฐานะของมาเลเซียในโลกอย่างไร เรา จะเห็นว่ามลายูและบรูไนรุ่งเรืองนับแต่ในสมัยที่มีสุลต่านปกครองมะละกาเมื่อการค้าระหว่างตะวันออก กับตะวันตกผ่านเข้ามาทางช่องแคบมะละกา และมะละกาเองก็เป็นเมืองท่าสำหรับหมู่เกาะทั้งหมดด้วย ต่อมาเมื่อการค้าของเขตนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮอลันดา เส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่าง ตะวันออกและตะวันตกได้ผ่านไปทางช่องแคบซุนดา ทำให้ปัตตาเวีย (จาการ์ตา) เจริญรุ่งเรืองขึ้น ส่วนมะ ละกาและบรูไนก็เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นต่อไปอีกเมื่อมลายูเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในทางการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออังกฤษรื้อฟื้นความสนใจของตนในมาเลเซียในตอนปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 18 การก่อตั้งถิ่นฐานในปีนังและสิงคโปร์ได้ทำให้การค้ากลับคืนสู่ช่องแคบมะละกามากขึ้น และในที่สุดก็ทำให้เกิดการพัฒนาสินแร่อันอุดมสมบูรณ์ของมาเลเซียสมัยใหม่ และในระยะเดียวกันนี้ ชาวอังกฤษได้เริ่มให้ความสนใจซาราวักและซาบาห์อันนำไปสู่การมีอิทธิพลของอังกฤษขึ้นที่นั่น เพราะฉะนั้น ฐานะของมาเลเซียในประวัติศาสตร์จึงขึ้น ๆ ลง ๆ ตามความสนใจของชาติมหาอำนาจและ การล่าอาณานิคมเมืองขึ้นจากโลกตะวันตก นอกจากนี้ การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามทำให้เกิดการก่อตั้งระบบสุลต่าน หรืออิทธิพล จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ซึ่งทำให้เกิดการก่อตั้งสเตรตส์ เซ็ตเติลเมนท์ (Straits settlements) อันเป็นการกำหนดท่าทีอย่างชัดเจนของอังกฤษต่อภูมิภาคส่วนนี้ยังผลให้เกิดอิทธิพลการคุ้มครองของ อังกฤษเหนือรัฐมลายู จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จีนจึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อมาเลเซียแต่ยังนับว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับอิทธิพลของอินเดีย และถึงแม้ว่ามาเลเซียจะตั้งอยู่ครึ่งทางระหว่างจีนกับ อินเดีย แต่ในระหว่างศตวรรษก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น อินเดียก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในคาบสมุทรและหมู่ เกาะของมาเลเซียมากกว่าจีนอยู่นั่นเอง http://www.baanjomyut.com/library_2/asean_community/malaysia/02.html จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 20:37:18

ความคิดเห็นที่ 3 ชื่อของประเทศมาเลเซียถูกตั้งขึ้นเมือ พ.ศ. 2506 โดยมีความหมายรวมเอาสหพันธรัฐมาลายา สิงค์โปร์ ซาบาห์ ซาราวัก และบรูไนเข้าด้วยกัน คำว่า มาเลเซียนี้เดิมเคยถูกใช้เป็นชื่อเรียกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เป็นหมู่เกาะมาก่อน ซึ่งปรากฏหลังฐานจากแผนที่ที่ตีพิมพ์ในชิคาโกเมื่อปีพ.ศ. 2457 ในการตั้งชื่อประเทศมาเลเซียนั้นมีการนำเสนอชื่ออื่นๆ มากมายก่อนที่จะได้ผลสรุปให้ใช้ชื่อมาเลเซีย ประวัติศาสตร์ ปรากฏความสัมพันธ์อย่างแน่นเฟ้นระหว่างหลายชนเผ่าพันธุ์และหลายวัฒนธรรมของประเทศ นอกจากชาวมาเลย์และ กลุ่มชนพื้นเมืองแล้ว ยังมีผู้อพยพมาจากจีน อินเดีย อินโดนีเซียและส่วนอื่นของโลก ซึ่งรวมเข้าเป็นพลเมืองของมาเลเซีย ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่าง น่า สนใจ อาจเนื่องมาจากการติดต่อสัมพันธ์นานปี กับภายนอกและการปกครองโดย ชาวโปรตุเกส ดัทช์ และ อังกฤษ ผลที่เกิดตามมาคือการวิวัฒน์ของประเทศจนเปลี่ยนรูปของวัฒนธรรมดังจะได้เห็นการผสมผสานได้อย่างวิเศษของ ศาสนา กิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีการแต่งกาย ภาษาและอาหาร ประเทศมาเลเซียได้รับเอกราชคืนจากอังกฤษมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ.1957เป็นสหพันธ์มาเลเซีย ต่อมาเมื่อรวมรัฐซาบาห์ และ รัฐซาราวัดเข้าด้วยแล้ว ประเทศมาเลเซียจึงได้ถือกำเนิดขึ้น การเมือง ในปัจจุบันประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐและปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีรูปแบบในการปกครองคล้ายอังกฤษกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประมุขแห่งรัฐมีตำแหน่งเป็นพระราชาธิบดี การแบ่งเขตการปกครอง มาเลเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 รัฐ (states - negeri-negeri) และ 3 ดินแดนสหพันธ์* (federal territories - wilayah-wilayah persekutuan) เป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางปกครอง เขตการปกครองต่าง ๆ และชื่อเมืองหลวง  ได้แก่ รัฐมาเลเซียตะวันตก (คาบสมุทรมลายู) กลันตัน (โกตาบารู) เคดะห์ (ไทรบุรี) (อลอร์สตาร์) ตรังกานู (กัวลาตรังกานู) เนกรีเซมบีลัน (สเรมบัน) ปะหัง (กวนตัน) ปะลิส (กางาร์) ปีนัง (จอร์จทาวน์) เประ (อีโปห์) มะละกา (มะละกา) ยะโฮร์ (ยะโฮร์บาห์รู) สลังงอร์ (ชาห์อาลัม) มาเลเซียตะวันออก (เกาะบอร์เนียวตอนเหนือ) ซาบาห์ (โกตากินะบะลู) ซาราวัก (กูจิง) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 20:46:56

ความคิดเห็นที่ 4 กินข้าวก่อน ครับเดวมา นำเสนอต่อ และสุดท้าย คือบทวิพากษ์ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 20:48:13

ความคิดเห็นที่ 5 แขกยังไงก็ต้องเข้าข้างแขกวันยังค่ำ เอาเสียงจริงของคนไทยในมาเลย์เลยดีกว่าว่าเค้าคิดไง กับการปกครองแบบแขกๆของมาเลย์ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:00:02

ความคิดเห็นที่ 6 แด่อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:03:43

ความคิดเห็นที่ 7 สังคม/ศาสนา/วัฒนธรรม มีสภาพคล้ายคลึงกับประเทศอินโดนีเซีย ชึ่งเป็นหมู่เกาะอิทธิพลของศาสนาอิสลามได้แพร่เข้ามาในแหลมมลายู ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม 55% นับถือศาสนาพุทธ 25% นับถือศาสนาคริสต์ 13% นับถือศาสนาฮินดู 7% และลัทธิศาสนาพื้นเมือง 4% จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:18:46

ความคิดเห็นที่ 8 MCE แหกตาดูสะ ว่าประเทศมาเลเซีย ประเทศแขกหรือไม่ ศาสนาอื่นๆนอกจากศาสนาอิสลาม 45 % ประเทศไทย ศาสนาพุทธ 95%  ศาสนาอื่นๆ 5 % หลับหูหลับตาเขียน หัดอ่านและใช้สมองบ้าง ประเด๊่ยวจะได้เห็นว่า คนต่างศาสนิกอยู่ที่นั่น นะ เค้ายากจนเข็ญใจหรือไม่ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:21:53

ความคิดเห็นที่ 9 ภาษา มาเลย์ (ภาษาราชการ) อังกฤษ จีนต่างๆ ภาษาทมิฬ และภาษาประจำเผ่าของชนชาวเผ่าส่วนน้อยในประเทศ เมืองหลวง กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองศูนย์กลางธุรกิจ อิโปห์ มะลักกา บูหารู คลาง ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ เมืองท่า Port Klang และปีนัง ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตย แบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริยเป็นองค์พระประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองประเทศแบบสหพันธ์รัฐ(Federation) แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 รัฐ คือ เปรัค ปาหัง สลังงอร์ ไทรบุรี เคดาห์ เนกรีเซมบิลัน ยะโฮร์ กลันตัน ตรังกานู ปีนัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัค รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภาซึ่งสมาชิกได้รับการแต่งตั้งโดยสมเด็จพระราชาธิบดีอีกส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยนิติบัญญัติในแต่ละรัฐ รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลผสม มีพรรคร่วมรัฐบาลที่เรียกว่า พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional-BN) ซึ่งมีพรรค UMNO (United Malays National Organisation) เป็นแกนนำ ประมุขของประเทศ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ตวนกู จาฟา อัลมารุม ตวนกู อับดุล ราห์มาน (Tuanku Ja'afar Almarhum Tuanku Abdul Rahman, Yang Di Pertuan Agong ) เป็นองค์พระประมุขของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเลือกตั้งจากสุลต่านผู้ปกครองรัฐ ซึ่งมีใน 9 รัฐ (ยกเว้นปีนัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัก) ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี นายกรัฐมนตรี Y.A.B. Dato' Seri Dr. Mahathir bin Mohammad ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2524 วันชาติ 31 สิงหาคม ทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันดิบ ก๊าสธรรมชาติ ดีบุก ไม้ ทองแดง เหล็ก บ็อกไซด์ ผลผลิตทางการเกษตร ยางพารา นำมันปาล์ม โกโก้ ข้าว พริกไทย สับปะรด อุตสาหกรรมหลัก เครื่องไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิกส์ สิ่งทอ ยางพารา รถยนต์ นำมัน ไม้ สินค้าเข้าสำคัญ ไม้แปรรูป เครื่องยนต์และอุปกรณ์ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช เครื่องใช้ไฟฟ้า สัตว์น้ำมีชีวิต ผัก ส่วนประกอบโครงรถและตัวถัง เครื่องจักรไฟฟ้าในการผลิตและส่วนประกอบ ไม้หมอนหนุนรางรถไฟ ดอกไม้สด อาหาร อุปกรณ์ขนส่ง เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก หนังดิบและหนังฟอก สินค้าออกสำคัญ นำมันปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยางพาราไม้แปรรูป สิ่งทอ ดีบุก แก๊สธรรมชาติ นำมันปาล์ม สัตว์น้ำมีชีวิต อาหารทะเลกระป๋องแปรรูป ผักสดผลไม้ ปลาป่น รถยนต์ ขนสัตว์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป สายเคเบิ้ล อิฐ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:24:19

ความคิดเห็นที่ 10 เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจ (2544) ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP-PPP) 147.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP 0.4 % รายได้ต่อหัว (PPP) 6,205 เหรียญสหรัฐฯ การส่งออก 87.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อิเล็คทรอนิกส์และเครื่องจักร 60.6 % ของมูลค่าการส่งออก ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ 6.7 % ของมูลค่าการส่งออก เคมีภัณฑ์ 3.9 % ของมูลค่าการส่งออก สิ่งทอ 2.7 % ของมูลค่าการส่งออก น้ำมันปาล์ม 2.6 % ของมูลค่าการส่งออก การนำเข้า 69.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ Intermediate Goods 60 % ของมูลค่าการส่งออก เครื่องจักร 11.8 % ของมูลค่าการส่งออก สินค้าอุปโภค 4.6 % ของมูลค่าการส่งออก สินค้านำเข้าเพื่อการสงออก 1.7 % ของมูลค่าการส่งออก อุปกรณ์ทางด้านคมนาคม 1.6 % ของมูลค่าการส่งออก ที่มา : The Economist, May 28 2002 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 21:26:53 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:25:56

ความคิดเห็นที่ 11 ศาสนาพุทธในประเทศมาเลเซีย อดีตประเทศมาเลเซียเคยได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดู-พุทธมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย แต่ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้เข้ามาแพร่หลายอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 ในรัชสมัยของพระเจ้าปรเมศวรเป็นต้นมาทำให้พุทธศาสนาหมดความสำคัญไป ในระยะเวลาหนึ่ง ประวัติ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่าพระพุทธศาสนาได้แผ่สู่มาเลเซียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 โดยนิกายเถรวาทซึ่งไม่แพร่หลายเท่าใดนัก ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 12 อิทธิพลของอาณาจักรศรีวิชัย จึงได้มีพุทธศาสนาแบบมหายาน แผ่ขยายมาถึงมาเลเซีย พ.ศ. 1837 ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งแผ่อำนาจลงทางคาบสมุทรมลายู และได้นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางอำนาจหัวเมืองมลายูทั้งหลาย แต่เนื่องจากประชาชนในแถบนี้ นับถือพุทธศาสนาแบบมหายานมาหลายร้อยปีแล้ว พุทธศาสนาแบบเถรวาทจึงไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเชื่อของคนบริเวณนี้มากนัก ซึ่งจะปรากฏแต่รูปพระโพธิสัตว์ หรือรูปเคารพตามแบบมหายานโดยมาก ความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในมาเลเซียเริ่มขึ้นได้ไม่นาน พระเจ้าปรเมศวร แห่งอาณาจักรมะละกา ทรงอภิเษกกับ เจ้าหญิงแห่งปาไซ ที่เป็นมุสลิม พระองค์จึงละทิ้งศาสนาฮินดู-พุทธ และเข้ารีตศาสนาอิสลาม ในขณะที่ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่ ต่อมาในรัชกาลของสุลต่านมัลโซร์ชาห์ ซึ่งทรงมีความเลื่อมใสในศาสนาอิสลาม ทำให้ราษฎรเข้ารีตศาสนาอิสลามตามพระองค์ (ในประเทศมาเลเซีย) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:33:43

ความคิดเห็นที่ 12 ชาวจีน และชาวไทยพุทธ แต่เนื่องจากมีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในสามรัฐทางภาคเหนือของมาเลเซีย ได้แก่ รัฐเกดะห์ รัฐกลันตัน และรัฐปะลิส เป็นเวลายาวนาน จนได้รับรองสถานะเทียบเท่าชาวมาเลย์ แต่ชนชาวไทย จะแสดงถึงความเป็นไทย คือ ความเป็นพุทธเถรวาท ซึ่งมีพิธีกรรม และสถาปัตยกรรมทางศาสนาเหมือนกันกับชาวพุทธในประเทศไทย โดยมีชาวจีนให้ความอุปถัมภ์วัดทางการเงิน และช่วยเหลืองานต่างๆ ช่วงเทศกาลงานบุญ แต่ชาวไทยพุทธมีบทบาทในการดูแลศาสนามากกว่า เช่น การบวชของชาวไทยจะยาวนานกว่าชาวจีน จนสามารถแยกได้ว่า กลุ่มใดเป็นกลุ่มชาวไทย และชาวจีนในมาเลเซีย ส่วนวัดวาอารามของชาวสยามจะอยู่แถบชนบท มีสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทย พิธีกรรมเป็นแบบชาวไทย คือเน้นการทำบุญเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่จะบริจาคให้วัดจะเป็นชาวจีนโดยมาก ดังนั้นวัดไทยหลายๆวัดที่มีชาวจีนอุปถัมภ์จะมีรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิม หรือเทพเจ้าจีน ไว้เพื่อยึดเหนี่ยวศรัทธาของชาวจีน ในแต่ละชุมชน จะมีสำนักสงฆ์ไว้ เพื่อให้เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ ที่หมุนเวียนกันมาจำพรรษาโปรดญาติโยม แต่ที่วัดใหญ่จะมีพระสงฆ์ไม่ต่ำกว่า 5 รูป โดยพระสงฆ์ที่บวชนานๆ และพระสงฆ์ที่บวชระยะสั้นๆอยู่จำพรรษาในวัดนั้นๆ ชาวจีนส่วนมาก จะให้ความนับถือพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ และสมุนไพร บางครั้งก็นิมนต์ไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านของตน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:35:23

ความคิดเห็นที่ 13 การปกครองคณะสงฆ์ การปกครองของคณะสงฆ์นั้น จะขึ้นกับคณะสงฆ์ไทยภายใต้พระสังฆราชองค์เดียวกัน โดยมีเจ้าคณะรัฐในประเทศมาเลเซียเป็นผู้ปกครอง แต่การแต่งตั้งผู้นำคณะสงฆ์จะผ่านการรับรองจากสุลต่านแห่งรัฐซึ่งถือว่า เป็นอัครศาสนูปถัมภก โดยมีฐานะเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการทางศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเข้มแข็ง ที่จะดำรงอยู่ท่ามกลางสังคมมุสลิมได้ และชาวมุสลิม ก็ต้องยอมรับการมีอยู่ชาวสยาม และวัดพุทธด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีพระสงฆ์ที่บวชระยะยาวมาเล่าเรียนในไทย และพระสงฆ์ไทย ก็เปิดการสอบนักธรรมในประเทศมาเลเซีย เพื่อเปิดโอกาส ให้พระที่ไม่มีโอกาสได้มาเรียนในไทยได้สอบปริยัติธรรมกันภายใต้มาตรฐานการดูแลของพระสงฆ์ไทย และวัดได้รับการยกเว้นการเสียภาษีที่ดิน พระสงฆ์ในมาเลเซียไม่มีนิตยภัตเหมือนอย่างพระไทย จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:37:20

ความคิดเห็นที่ 14 การเผยแผ่พระศาสนา การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็มีอุปสรรคอยู่ เพราะมีสภาการศาสนาชาวมุสลิม (Muslim Religious Council) คอยบริหาร และดูแลผลประโยชน์ของชาวมุสลิม ฉะนั้นการชักจูงชาวมาเลย์ที่ไม่ใช่ชาวจีนให้มานับถือพระพุทธศาสนา จะทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ทางลบจากอำนาจรัฐซึ่งเป็นมุสลิม มีความพยายามเรียกร้องให้แต่ละศาสนามีอำนาจปกครองบริหารตนเองเหมือนในประเทศไทยอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธจากทางภาครัฐ พระสงฆ์ในประเทศมาเลเซียไม่สามารถออกบิณฑบาตได้เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศกฏอัยการศึกเฉพาะกาลไว้ ทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรงจากศาสนิกชนอื่นๆที่ไม่ใช่อิสลาม ปัจจุบันนี้ คณะสงฆ์มาเลย์ยังขาดบุคลากรที่ต้องการบวชนาน ๆ ทำให้บางวัดต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีพระจำพรรษา และจะเปิดอีกครั้งเมื่อมีพระจำพรรษาเพียงพอ แต่ก็ได้พยายามแก้ปัญหาด้วยการแบ่งพระไปจำพรรษาสามเดือน ตามคำขอของชาวบ้านที่มีพระจำนวนน้อย พุทธศาสนาในปัจจุบัน ในปัจจุบัน การนับถือพระพุทธศาสนาในมาเลเซียมีอยู่เฉพาะในบรรดาผู้ที่รับเชื้อสายมาจาก ชาวจีน ลังกา พม่า และชาวไทยและมีวัดและสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ในบางแห่ง เช่น ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์และรัฐปีนัง มีวัดไทยตั้งอยู่และมีพระสงฆ์ไทยไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดไทยที่กัวลาลัมเปอร์สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2503 ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซีย เรียกชื่อว่า วัดเชตวัน สร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยสวยงาม วัดไทยที่ปีนัง ชื่อ วัดไชยมังคลาราม เป็นวัดไทยที่เก่าแก่ ยังไม่ทราบปีที่สร้างแน่นอน วัดนี้มีปูชนียสถานสำคัญ เช่น พระพุทธไสยาสน์ และวิหารพระพุทธเจดีย์ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในเกาะปีนัง และวัดบุปผาราม เป็นวัดไทย เบื้องต้นวัดนี้ถูกชาวบ้านยึดครองนานถึง 11 ปี 6 เดือน มีพระเถระสู้คดีจนได้กลับเป็นวัดไทยทุกวันนี้ วัดพม่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของเถรวาท คือสร้างมานานกว่า 120 ปี มีพระพม่าอยู่ประจำ มีวัดศรีลังกาอยู่ตรงข้าม เดิมเป็นวัดเดียวกัน ภายหลังถนนตัดแบ่งกลาง และวัดเกะก์ โละก์ ชี บนเขาอาเยร์ ฮิตัม เป็นวัดจีนแบบมหายาน ไม่ห่างจากเขาปีนังมาก มีธรรมชาติสวยงาม และเป็นที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากในปีนัง ส่วนพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ยาวที่สุดในประเทศมาเลเซียอยู่ที่ วัดโพธิวิหาร ในกลันตัน และยังมีวัดพุทธไทยอีกจำนวนมากระหว่างตุมปัตกับปาสิรมัส และบางหมู่บ้านก็จัดงานฉลองเทศกาลต่างๆของไทย เช่น วันสงกรานต์ และในรัฐกลันตันนี้ ชาวมาเลย์มุสลิม และชาวไทยพุทธก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แม้จะมีข่าวภาพการทำลายวัดพุทธซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารย์กันอย่างแพร่หลายตามอินเทอร์เน็ตในแง่ของความเหมาะสม http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 21:43:33 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:41:42

ความคิดเห็นที่ 15 1.2.2แผนพัฒนาเศรษฐกิจ มาเลเซีย ได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา  โดยกำหนดเป้าหมายไว้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1.แผนโครงร่างฉบับที่ 1 (The First Outline Perspective Plan – OPP1)  ประกอบด้วย   แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2 - 5  (ปี 2514 – 2533)  ดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy – NEP)  มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจน และการปรับโครงสร้างทางสังคม 2.แผนโครงร่างฉบับที่ 2 (The Second Outline Perspective Plan – OPP2)  ประกอบด้วย   แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 6 – 7   (ปี 2534 - 2543)  ดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายการพัฒนาแห่งชาติ (National Development Policy – NDP)  มุ่งสร้างความสมดุล ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และให้สิทธิแก่ภาคเอกชนมากขึ้น 3.แผนโครงร่างฉบับที่ 3 (The Third Outline Perspective Plan – OPP3)  ประกอบด้วย   แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 8  (ปี 2544 - 2548)  ดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายวิสัยทัศน์แห่งชาติ (National Vision Policy – NVP)  มุ่งกระตุ้นให้มีการเติบโตโดยใช้ฐานความรู้ (Knowledge – driven growth) การปรับโครงสร้างในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ (ภาคการผลิต ภาคบริการ)  การสร้างความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ  ตลอดจนการกระจายความมั่งคั่งให้เท่าเทียมกัน    โดยมีรายละเอียดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 8  ดังนี้ -ดำเนินการบริหารจัดการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค และสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายด้านงบประมาณและนโยบายด้านการเงิน  ควบคู่กับการส่งเสริมให้มีการพัฒนา ความรู้ขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ -ปรับปรุงและแก้ไขกลยุทธ์และแผนการจัดจำหน่ายให้ดีขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง -ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน โดยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ การทำงานของคนงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี -เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันและความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ  ทางด้านการเพิ่ม ประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และการสร้างมูลค่าเพิ่ม -ส่งเสริมให้มีการใช้ ICT อย่างกว้างขวาง -ส่งเสริมและพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรให้ดีขึ้น ทั้งด้านการเสริมสร้างความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงาน และระบบความคิด -นำแนวคิด หลักการทำงานในเชิงบูรณาการมาใช้บริหารจัดการทรัพยากร และ สิ่งแวดล้อม  เพื่อให้บรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน -พัฒนาคุณภาพชีวิตแบบยั่งยืน โดยการปรับปรุงระบบการบริการทางสังคมต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมสันทนาการ -สร้างความรู้ความเข้าใจ โดยให้การศึกษาและคุณค่าในแง่บวกแก่คนในชาติ ผ่านทางระบบการศึกษา องค์กรทางสังคม องค์กรศาสนา และสื่อต่างๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:48:45

ความคิดเห็นที่ 16 (1)ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax) ( 1.1)ชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในมาเลเซีย (Resident  Individual) คือ ชาวต่างชาติที่พักอยู่ในมาเลเซียมากกว่า 180 วันในหนึ่งปี  เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 0 – 28 ของเงินได้หลังจากหักเงินลดหย่อนภาษี (1.2)ชาวต่างชาติที่มิได้มีถิ่นพำนักในมาเลเซีย (Non-resident  Individual) คือ ชาว ต่างชาติที่พักอยู่ในมาเลเซียไม่ถึง 180 วันในหนึ่งปี  เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 28 ของเงินได้ โดยไม่มีเงินลดหย่อนภาษี (2)ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Company Tax) (2.1)(บริษัทที่ตั้งอยู่และมิได้ตั้งอยู่ในมาเลเซีย)  เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตราร้อยละ 28 ของเงินได้สุทธิ   (2.2)รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทมาเลเซีย จะได้รับการยกเว้นมาตรการทางภาษี (ไม่รวมกิจการการธนาคาร  การประกันภัย การขนส่งทางอากาศและทางทะเล) (3)ภาษีการค้า (Sales Tax) (3.1)สินค้าทั่วไป  เสียภาษีอัตราร้อยละ 10 (3.2)อาหารฟุ่มเฟือยและวัสดุก่อสร้าง  เสียภาษีอัตราร้อยละ 5  บุหรี่ ร้อยละ 25  และบรั่นดี/วิสกี้  ร้อยละ 20 (3.3)สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี  ได้แก่ (3.3.1) วัตถุดิบ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้า   (3.3.2)สินค้าพื้นฐาน  อาหารจำเป็น  วัสดุก่อสร้างพื้นฐาน  อุปกรณ์การเกษตร  เครื่องจักรหนักที่ใช้อุตสาหกรรมก่อสร้าง (3.3.3)ธุรกิจท่องเที่ยว  สินค้ากีฬา  หนังสือ  หนังสือพิมพ์  และสิ่งพิมพ์ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:54:04

ความคิดเห็นที่ 17 นี่คือข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งผมมีเป็นกระตั้ก ท่อนต่อไปแล้วเรามาวิเคราะห์กันว่า เค้าถูกกดขี่ข่มเหงริดรอนสิทธ์ จนลำบากมากมายเพียงใด ? ส่วนมีท่าน สมาชิกบางคน บอกว่า ให้ลองไปถามคนมาเลย์ดูสิ ข้ามชายแดนใต้ลงไปนิดเดียว ไม่ต้องถามใครถามผมนี่แหละ ผมค้าขายอยู่และมี MOU กันอยู่ ถ้าอยากดูจะเอารูปมาอวด ใครบางคนอย่าอิจฉาตาร้อนไข้ขึ้นละกัน หาว่าผมขี้โม้ ไม่เอามาอวด ก้ว่าเอ่ยอ้าง เอามาอวด ก็ว่าขี้โม้ ป้าด ไอ้ชาวบ้านปากเสีย ทำเป้นนิทาน อีสป พ่อลุกจูงลาไปได้ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 21:58:30 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 21:57:47

ความคิดเห็นที่ 18 คลิป คห. 6 การทำโทษแบบนั้น น่าจะเอามาใช้กับ พระนอกรีตในไทย หรือ ไม่ก็พวก ผิดศีล 5  หรือ ไม่ก็พวกเด็กช่างกลที่ชอบยกพวกตีกัน หรือยิงกันในรถเมล์บ้างนะ คุณ mce เห็นว่าไงบ้าง แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 22:18:38 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:17:20

ความคิดเห็นที่ 19 ตาม คห 1 กฎหมายมาเลเซียนั้น ศักด์สิทธ์มากว่ากฎหมายไทย ดั่งนั้น จากคห 1 ที่ผมก้อปมาให้ดู ต่อจากนี้ คือหัวใจหลักกฎหมายเค้า กฎหมายศาสนาอิสลามมีชื่อเรียกว่า Sharia Laws ซึ่งใช้บังคับโดย Sharia Courts แต่กฎหมายศาสนานี้ ก็มีบทบาทค่อนข้างน้อยภายในระบบกฎหมายทั้งหมดของมาเลเซีย เพราะ Sharia Laws ใช้บังคับเฉพาะต่อชาวมุสลิม และ Sharia Courts มีเขตอำนาจเหนือคดีแพ่งที่เกี่ยวกับการสมรส, การรับมรดก, และการเปลี่ยนศาสนาเท่านั้น ส่วนกฎหมายอาญาของศาสนาอิสลามที่เรียกว่า Sharia Criminal Law มีใช้เฉพาะในบางรัฐเท่านั้น เช่น ที่กลันตัน แต่ก็มีเขตอำนาจจำกัดเพียงโทษปรับไม่เกิน ๓,๐๐๐ ริงกิต หรือโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:23:34

ความคิดเห็นที่ 20 คุณพิเชษฐ์ ได้เขียนไว้ชัดเจน เป็นที่ปรากฎว่า กฎหมายชารีอะห์ นั้นใช้กับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และบทลงโทษ คือโทษ ปรับเท่านั้น และโดยเฉพาะดึงมาใช้กับ กฎหมายครอบครัว เฉกเช่น สามจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีดาโตะ ยุติธรรม นั่งบัลลังค์ คู่กัน กับผู้พิพากษา   จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:26:46

ความคิดเห็นที่ 21 ทะนี่มาดูสิว่า คนไทย และผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ชายแดนไทยนั้นอยู่แถวใด จากรูปภาพข้างล่าง นี้ จะเห็นว่า มีอยู่ในเมืองและรัฐของมาเลเซีย คือ ปะลิส เคดดาห์ ปีนัง เประ กลันตัน รบกวนดู คห 19 ข้างบนว่า รัฐอะไรใช้ชารีอะห์ และใช้กับใคร กลันตันใช่ไหมครับ ซึ่งมีชายแดนติด ยะลา และนราธิวาส ของไทย   จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:33:58

ความคิดเห็นที่ 22 . จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:37:25

ความคิดเห็นที่ 23 รายได้ประชาชาติไทย ปี 2553  เรามี 114,441 บาท หรือ 3576 ยูเอสดอลล่าร๋ รายได้ประชาชาติมาเลเซีย ปี 2544 ในปี ดั่งกล่าว มาเลเซียประสพปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก รายได้ต่อหัว (PPP) 6,205  เหรียญสหรัฐฯ ของเค้ามากกว่าเราเท่าตัว ถามว่าค่าครองชีพของเค้าสูงกว่าเราไหม จากการที่ผมเดินทางไป เมื่อ เดือนที่แล้ว โดยทางรถ โดยเฉพาะที่รัฐเคดาห์ปะลิส และ ที่กัวลาลัมเปอร์ ข้่าวแกงเค้า กับข้าวสองอย่าง 3.5 ริงกิต น้ำมันลิตรละ 17 บาท ไทย จะเห้นได้ว่าฐานะการจับจ่ายใช้สอย และมีเงินออมนั้นมากกว่าคนไทย อย่างแน่นอน ถ้าท่านได้เห็นตัวเลขการค้าขายชายแดนไทย-มาเลย์ ท่านจะทราบว่า เค้าเดือดร้อนจริงหรือไม่ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 23:00:07

ความคิดเห็นที่ 24 ส่วนเรื่องพระบินฑบาตรไม่ได้นั้น ผมอยากให้ดูวีดีโอคลิป ข้างล่างนี้ ซึ่งสมาชิกท่านนึงได้ เคยเสนอแง่มุมพุทธศาสนาในพม่า มีทั้งหมด 4 ตอน ลองไปดูกันนะครับ น่ารักมาก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12331445/Y12331445.html การทำกิจกรรมทางศาสนา มาเลเซีย ไม่ได้กีดกัน สามารถกระทำได้ ไปทำกันที่วัด มีอย่างเดียวพระสงฆ์ท่านจะออกมา เดินไปมาในที่สาธารณะนั้นโดยไม่มีเหตุอันควร ไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 23:12:16 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 23:11:10

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนเรื่องการนับถือศาสนานั้นไม่ได้หวงห้าม แต่อย่างใด อยากนับถือศาสนาอะไร ก็นับไป แต่การห้ามเปลี่ยน นั้น เป็นกรณี ที่เป็นมุสลิมดั้งเดิมและผู้มาเข้ารับภายหลัง จะเปลี่ยนในรูปแบบ เอกสารไม่ได้ เพราะเหตุผลทางการเมือง  มิใช่ด้วยเหตุผลทางศาสนาแต่อย่างใด เอกสารไม่เปลี่ยน แต่ตนเองเปลี่ยน ไม่มีใครว่าอะไร จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 23:16:10

ความคิดเห็นที่ 26 ง่วงแระ เดวพรุ่งนี้มาวิเคราะห์กันต่อ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 23:17:27

ความคิดเห็นที่ 27 บทวิพากษ์ ด้วยหัวข้อกระทู้ ความเดือดร้อนจากการถุกกดขี่ข่มเหงชาวต่างศาสนิกในมาเลเซียนั้น เดือดร้อนจริงๆหรือ? จากการที่มวลสมาชิกที่มีข้อข้องใจและมองมุสลิมอย่างติดลบ พยายามสร้างประเด็นขึ้นชี้นำ มาในเรื่อง การละเมิดสิทธมนุษยชนในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในที่นี้ คือประเทศมาเลเซียนั้น ไม่ว่าจะเป็น คลิปวีดีโอ ข้อความตัดแปะ แบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ ขอให้ได้ ดิสเครดิต ศาสนาอิสลาม ผมก็นำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นในประเทสมาเลเซีย ตามประเด้นว่าเดือดร้อน จริง ๆ แสนสาหัสหรือไม่ เดือดร้อนจนกระทั่งไม่สามารถนับถือศาสนากิจและปฏิบัติศาสนากิจ ได้ เป็นตามที่กล่าวอ้างมาหรือไม่ ด้วยข้อมูลที่นำมา พอที่จะสรุปประเด็น ความเดือดร้อน ว่าเป้นจริง ตามคำชี้นำ ได้ พอสังเขปดั่งนี้คือ -ความเดือดร้อน จากการถูกจำกัดศิทธในการนับถือศาสนา เป็นจริงหรือไม่ ? จากข้อมูลข้างบน แสดงให้เห็นว่า ประเทศมุสลิม ไม่ได้กีดกันในการนับถือศาสนาแต่อย่างใด เพราะประเ?สมุสลิม มีประชากรที่ไม่ได้นับถือศาสนา อิสลามเกือบครึ่งนึงของประเทศ คือ 45 % ศาสนสถาน ไม่ว่า วัด โบสถ์ ก็มีให้เห้นอย่างดาษดื่น ทั่วทั้งประเทศ นักบวช ในศาสนาอื่น ที่นอกเหนือจากศาสนาอิสลาม ก็มีให้เห็นประจำศาสนสถาน นั้นๆ การประกอบกิจกรรมศาสนานั้น ก็ยังคงทำได้ บนกฎที่ว่า จะออกมาทำในที่สาธารณะไม่ได้ ไม่เว้นแม้นกระทั่งศาสนา อิสลาม ก็ตาม -ความเดือดร้อน จากกฎหมาย ชารีอะห์ นั้นเกิดขึ้นจริงกับ ศาสนิกอื่นหรือไม่ ? จากข้อมูลพื้นฐาน ข้างบนนั้น กำหมายชารีอะห์ถูกบังคับ ใช้ ใน รัฐ กลันตัน ซึ่งเป้น แค่ 1 รัฐ เท่านั้นจาก 13รัฐในประเทศมาเลเซีย และเป็นการบังคับในเรื่องทางแพ่งและกฎหมายครอบครัว กับมุสลิม เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ ครอบคลุมไปถึง ศาสนิกในศาสนาอื่นแต่อย่างใด -ความเดือดร้อนในเรื่องฐานะ ด้วยประเทศมาเลเซีย มีรายได้ประชาชาติ สูงกว่าประเทศไทย 1 เท่าตัว ในขณะที่ค่าครองชีพ เค้าสูงกว่าประเทศไทย ไม่ถึง 10% ประชากรของเค้าไม่ว่านับถือศาสนาใด มีเงินออม มีสวัสดิการขั้นพื้นฐาน อย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าดัชนี GDP GDH โดยเฉพาะ ดับชนี GHD ของเค้านั้นสูงกว่าประเทศไทยอย่างแน่นอน มีคำถามต่อมาว่า มีตรรก อันใด มารองรับ ด้วยประโยค ของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นาย ลี กวน ยู "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชาติมั่งคั่ง" นั้น หมายถึงความมั่นคงของประเทศชาตินั้น ขึ้นอยู่กับที่ฐานะของประชาชนภายในประเทศ หมายถึง ความเป้นอยู่ทีดี ของประชาชนในประเทศนั้นๆ และอีกประโยคนึง ของนายลี กวนยู "เสรีภาพอันใด ก้แล้วแต่ ไม่มีความสำคัญเท่ากับฐานะของคนในชาติ " ด้วยประโยคนี้ ก็เป็นข้อเขม็งเกลียว ตอกย้ำประโยคแรก และเน้นย้ำถึงความสุขของประชากรในประเทศนั้นมีความสำคัญยิง ถ้าประชาชนมีความสุขต่อให้ประเทศนั้นปกครองด้วยระบอบอะไรก็ตาม ก็ไม่สำคัญ " จากข้อมูล เมื่อปี 2544 ตามคหที่10 ที่ผมนำเสนอมา ว่าด้วยแค่ มูลค่าการส่งออก มีมากถึง  87.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งไม่รวม รายได้จากทิศทางอื่นภายในประเทศ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร 23 ล้านคน ในขณะที่ขณะปี 2544 ประเทศมาเลเซียกำลังบอบ ช้ำอย่างหนัก จากกรณี ต้มยำกุ้ง ดีซีส  ซึ่งผมเอาสถานการณืที่ย่ำแย่ที่สุด ของเค้ามาเทียบกับไทยในช่วงขาขึ้น สรุปในท่อนความเดือดร้อน ในเรื่องปากท้อง คนมาเลเซีย เดือดร้อน หรืออยู่สุขสบายกันแน่ ? แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 08:47:34 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 08:46:27

ความคิดเห็นที่ 28 จากกรณีวัดไทยถูกรื้อในประเทศมาเลเซีย ด้วยข้อความข้างบนทีนำเสนอ ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายของประเทศ ทำไมวัดอื่นมากมาย ในมาเลเซียถึงไม่ถูกรื้อเพียงถูกรื้อวัดนี้วัดเดียว และวัดอื่นๆภายในประเทศ อยู่ในความคุ้มครองขององค์อุปถัมพก ศาสนาคือท่านสุลตาน ประจำรัฐนั้นๆ มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว ไม่ว่าวัด หรือ มัสยิด หรือ โบสถ์ ถ้าปลูกผิดที่ผิดทาง ผิดกฎหมายของเค้า ไม่มีข้อยกเว้น โดนรื้อทั้งหมดครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 08:53:14

ความคิดเห็นที่ 29 ส่วนกฎการเฆี่ยนนั้น เป้นบทลงโทษ ของสังคมนั้นๆ โดยเฉพาะการเฆี่ยน ในคลิป ดั่ง กล่าว  เป็นการตอกย้ำว่า เป็นบทลงโทษ ของ มุสลิมกับมุสลิม ในรํฐกลันตัน สังเกตุ ผู้ถูกลงโทษ เป็นนักโทษในเรือนจำ จากผุ้ถูกลงโทษ  จะกล่าวนามพระเจ้า นั้นแสดงว่าเต็มใจรับโทษทัณฑ์ และในตอนท้าย หลังจากการลงโทษ ก็นำไปพบแพทย์เพื่อทำการักษาบาดแผล คำโบรานของไทยเรา  "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" นั่นแสดงว่าสังคมไทยการเฆี่ยนตี เป้นบทลงโทษอย่างนึงที่ใช้ได้ผล กฎกระทรวงศึกษาในยุค 15 ปีก่อนนั้น ก็ยังใช้ไม้เรียวในการลงโทษ กฎกระทรวงศึกษาไทยเรานั้น -ว่ากล่าวตักเตือน -เฆี่ยน -ทำทัณฑ์บน -พักเรียน - ให้ออก วัฒนธรรมไทยในสมัยก่อน ไม้เรียวนั้นมีความสำคัญ บางที่เอาไม้เรียวขึ้นหิ้งบูชาก็มี มายุคหลัง กฎกระทรวงยกเลิกโทษ การเฆี่ยน ไปแล้ว แต่การเฆี่ยนก็ยังเห็นอยู่ แถมตบกบาล ตบหน้า เขกกบาล ด้วยซ้ำ ตัวผมเอง ยังนิยมการเฆี่ยนตีบุตรหลาน เพราะผมเป้นคนไทย รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ลูกผมไปโรงเรียน ผมทำหนังสืออนุญาตให้ครูบาอาจารย์เฆี่ยนตี บุตรหลานผมได้ บุตรหลานผม ประเภท แหกๆทำสังคมวิปริตนั้นไม่มี สร้างปัญหาให้สังคมนั้นไม่มี แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 09:12:36 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 09:09:03

ความคิดเห็นที่ 30 เนื่องจาก ผมเป็นศิษย์เก่า อัสสัมชัญธนบุรี  มีเพื่อนสมาชิกท่านึงในนี้เรียนที่เดียวกันกับผมรุ่นใกล้เคียงกัน สามารถยินยันได้ว่าบทลงโทษ ในโรงเรียน อัสสัมชัญในสมัยนััน คือไม้เรียว หวายแช่เยี่ยว โก้งโค้งตูด แล้วหวด หวดตูดเสร็จ มาสเตอร์ เอายาหม่องทาแผลให้  บางมาสเตอร์ก้นิมยมให้กินหนมจีบ จากแปรงลบกระดานดำ บางมาเสตอร์ก็ตีมือ แต่ตีมือ มีวิธีตีได้เจ็บมักมากคือเค้าจะเอากิ่งสนเล็กๆ มามัดรวบปลายด้วย หนังสติ้ค หรือหนังยางให้เราแบมือ แล้วแอ่นมือ โค้งๆ จากนั้นตีลงไปบน เนิน อูม ๆบนฝ่ามือของเรานั้นแหละ เขียว และถึงขั้นแตกดีเดียวเชียว ขนาดลงโทษรุนแรงขนาดนี้ นายจิม ยังได้ดีแค่นี้เอง ไม่เป้นภาระและสร้างปัญหาให้สังคมแต่อย่างใดผมเห็นเด้กทุกวันนี้ไม่รู้จักไม้เรียว สังคมทุกวันนี้ถึงได้วิปริตแบบนี้ไงครับ ทุกวันนี้ผมนึกถึงบุญคุณครูทุกท่าน ที่ได้เฆี่ยนตี ผม วันนี้ผมภาคภูมิใจ ที่มีครูเช่นท่าน โดยเฉพาะคุณครู  ภาวิณี สอนผมในชั้นเตรียมประถม ที่โรงเรียน สุวกูลพิทยา ท่านตีผมไปร้องไห้ไป ตีเสร็จเอายาหม่องมาทาก้น แล้วบอกว่าที่หลังอย่าทำนะลูก แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 09:26:40 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 09:22:57 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 09:22:13

ความคิดเห็นที่ 31 ด้วยกระทู้นี้ ผมคาดหวังว่า กลุ่มป่วนศาสนาอิสลาม คงไม่ยกประเด็นแบบนี้ในประเทศมาเลเซียมาเป้นข้ออ้างอีก อีกอย่างนึง ก้นที่ถุกตี คือก้นของมุสลิม ไม่ใช่ก้นของศาสนิกอื่น ก้น ผู้ถูกตี เค้ายังยอมรับการถุกตี มุสลิมทั้งโลกเค้าไม่ได้เจ็บปวดแทนหรือเจ็บปวดแทนจนยอมรับไม่ได้ ตกลงกลุ่มป่วนอิสลามไปเจ็บปวดแทนตูด ของมุสลิม หรือไปเจ็บปวดกับการถูกดิสเครดิตตนเอง ด้วยตนเองกันแน่? ผมขอเตือนว่า ถ้าจะโจมตีศาสนาอิสลามกรูณาหาข้อมูล ที่มันมีน้ำหนัก มีตรรกมา นะครับ ถ้าข้อมูลไม่แน่น อย่าเสร่อมา จะโดนสอยกลางอากาศเอา และดูถุกสติปัญญาตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ริจะเป็นพระ ก็เป็นให้สุดๆไปเลย ยันเจ้าอาวาส ริจะเป็นโจร ก็ให้เป็นโจรสุดตีน เป้นหัวหน้าโจร เป็นลุกกะจ้อกโจร นะตายฟรี ไม่มีหัวหน้าโจร ตายเพื่อลูกน้องโจรแม้กระทั่งคนเดียว เอาเวลา ไปทำให้เยาวชนของท่าน 90 % หันมาอยู่ในร่องในรอย ของศาสนาของท่าน ดีกว่ามาแกว่งปาก หาเรื่อง ดิสเครดิตตนเองและศาสนาตนเองนะครับ มัวแต่ป่วนศาสนาคนอื่น อย่าลืมดูหลังด้วย มันจะหายไปเป็นแถบๆ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 10:26:32 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 09:50:47 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 09:41:01 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 09:36:52

ความคิดเห็นที่ 32 คิดว่าหลายท่านคงได้ดูคลิปนนี้แล้วแน่นอน (เดี๋ยวต้องมีคนเข้ามาบอกอีกว่า ในมาเลย์การสร้างสิ่งก่อสร้าง ถ้าไม่ถูกที่ถูกทางก็จะต้องรื้อถอน ) แล้วทำไมมันไม่รื้อถอนมัสยิดบ้างว่ะ เห็นรื้อถอนแต่วัด หรือว่าในมาเลย์มันจะมีวัดมากกว่ามัสยิด ? จึงได้เลือกทำลายแต่วัด จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 10:20:52

ความคิดเห็นที่ 33 จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 10:26:52

ความคิดเห็นที่ 34 มีดกรีดใจ มาแก้ผ้าสติปัญญา อีหรอ เนี่ย ความคิดเห็นที่ 32    คิดว่าหลายท่านคงได้ดูคลิปนนี้แล้วแน่นอน (เดี๋ยวต้องมีคนเข้ามาบอกอีกว่า ในมาเลย์การสร้างสิ่งก่อสร้าง ถ้าไม่ถูกที่ถูกทางก็จะต้องรื้อถอน ) แล้วทำไมมันไม่รื้อถอนมัสยิดบ้างว่ะ เห็นรื้อถอนแต่วัด หรือว่าในมาเลย์มันจะมีวัดมากกว่ามัสยิด ? จึงได้เลือกทำลายแต่วัด จากคุณ : มีดกรีดใจ   เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 10:20:52     ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ทำไมผมถึงว่า มีกรีดใจ แก้ผ้าสติปัญญาตนเอง โปรดดูตรงที่ผมขีดเส็นใต้ที่ไฮไลท์เอาไว้ ความคิดเห็นที่ 28 MsgStatus(Msv[28], 28); จากกรณีวัดไทยถูกรื้อในประเทศมาเลเซีย ด้วยข้อความข้างบนทีนำเสนอ ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายของประเทศ ทำไมวัดอื่นมากมาย ในมาเลเซียถึงไม่ถูกรื้อเพียงถูกรื้อวัดนี้วัดเดียว และวัดอื่นๆภายในประเทศ อยู่ในความคุ้มครองขององค์อุปถัมพก ศาสนาคือท่านสุลตาน ประจำรัฐนั้นๆ มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว ไม่ว่าวัด หรือ มัสยิด หรือ โบสถ์ ถ้าปลูกผิดที่ผิดทาง ผิดกฎหมายของเค้า ไม่มีข้อยกเว้น โดนรื้อทั้งหมดครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 08:53:14 ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ นอกจากไร้สติปัญยาแล้วยังเป็นหัวขโมยซีนอีกด้วย โปรดดู คห  ของมีกรีดใจ หมายเลข 32 คห ของผม ที่บอกเรื่องวัดในมาเลย์ ปลูกผิดที่ผิดทาง นั้น คห หมายเลข 28 ผมถาม มีดกรีดใจ ว่าหมายเลข 28 กับ 32 หมายเลขใดมาก่อนกัน ส่วนประเด้นเรื่องวัด กับมัสยิดใครมากว่ากัน ในการถุกทบทำลายเนื่อจากการทำผิดกฎหมาย เป็นข้อสังเกตุ ที่ไม่ได้ยืนบนเหตุผล เพราะอะไรผมถึงกล่าวดังนั้น คนมันจะทำผิด มันเลือกหรอว่ามันทำผิด ในคราบศาสนาใด ศาสนสถานใด คนน้อยทำผิดเยอะ หรือผิดน้อย คนมากทำผิดมากหรือผิดน้อย ไม่ใช่ดัชนีชี้วัด ว่า ใครมากว่ากัน ถ้าวัดศาสนาพุทธ ทำผิดกฎหมายน้อยกว่าก้ถูกรื้อน้อยกว่า ถ้ามัสยิดทำผิดกฎหมายมากว่าก็ถูกรื้อมากว่า ความหมายไม่ได้ชี้วัดในเชิงปริมาณเปรียบเทียบ แต่ชี้วัดว่าใครทำผิดกฎหมายก้ต้องถูกลงโทษ มีดกรีดใจ กลับ ไปดุยูทูป ของ MCE ให้เคลียร์  ดูยูทูปวัดถูกรือให้เคลียร์ ก่อนที่จะมาฟันธง แสดงถึงความด้อยสติปัญญาตนเองว่า คิดไม่เป้น แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 16:57:25 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 10:42:57

ความคิดเห็นที่ 35 วัดบ้านเรา ถ้าปลูกโดยการบุกรุกป่าสงวน ในที่อุทยานแห่งชาติ จะถูกรื้อหรือไม่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ถ้าเจ้าอาวาส หรือเจ้าสำนัก อยากเอายันต์การถูกรื้อ โดยอาศัยประเด็นที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศพุทธศาสนา โดยการเอาถาวรวัตถุ และองค์พระพุทธรูปเป็นเครื่องต่อรอง  โดยการลงหลักปักฐานสะ ด้วยระบบคิดแบบนี้แหละ เค้าเรียกว่า มารศาสนา เอาศาสนามาหากิน ตนเองทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วดึงศาสนามาเกลือกกลั้ว และด้วยกระบวนการคิดแบบนี้ที่คนไทยชอบคิดกัน กูรุกพื้นที่ไว้ก่อน สร้างมวลชนเข้าไว้ เอาพระพุทธรุป เอาถาวรวัตถุ เอามวลชน มาเป้นกำแพงบัง ความอยากของตนเอง ให้บรรลุเป้าประสงค์ มันเป็นระบบคิดที่ถุกต้องแล้วหรือ ? แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 10:55:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 10:52:51

ความคิดเห็นที่ 36 ข้อสังเกตุต่อมา ประเทศมาเลเซีย มีประชากร มุสลิม กับศาสนาอื่น ครึ่งต่อครึ่ง การออกกฎหมาย หรือ คำสั่งรื้อ นั้น คงจะออกมาจากมุสลิม แต่ฝ่ายเดียวกระมัง ? เจ้าหน้าที่ของรัฐ คงจะเป็นมุสลิมอย่างเดียวกระนั้นหรือ ? แล้วทำไม วัด อื่นๆ ในมาเลเซียไม่เดือดร้อนหรือไร? เศรษฐกิจในมาเลเซียถุกกุมชะตาไว้ด้วยคนสองกลุ่มคือ กลุ่มคนมาลายู และกลุ่มคนจีนที่นับถือสาสนาพุทธเป้นส่วนมาก และเป็นสปอนเซอร์ ศาสนาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องวัดไทย ถุกย่ำยี จริง ก้น่าไปตบกบาล คนที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศมาเลเซีย ว่ามันหลับทำไม ตื่นๆๆ สิ กลายเป็นว่าในยูทุป มีแต่เสียเพลง และหัวเรื่องยูทุป ดันเป็นภาษาไทย ไม่มีคำอธิบายว่า วัดไหน ที่ใด ทำไม ถึงถุกรื้อแต่อย่างใด ผุ้ทำยุทุป มีเจตนาแอบแฝงใดหรือไม่ คนนำมาผยแพร่ต่อมีเจตนา อะไรกันแน่ หรือเป็นแค่ทาส สื่อเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 11:14:45 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 11:03:55

ความคิดเห็นที่ 37 และถ้าท่านผู้ใด จับประเด้นเรื่องวัด มาเล่นอีก ซึ่งเป็นการพิจรณาจากสื่อ ที่ไม่ทราบว่า ต้นสายปลายเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ คลุมเครือ นั่นแสดงว่า ระบบคิดของท่าน จับแต่กระพี้ ซึ่งเป็นสิทธ์ของท่านที่จะเลือกจับกระพี้ แต่ระบบคิดของท่านนั้นเองจะส่อให้เห็นว่า ในเรื่องศาสนาในเรื่องในแนวการปฏิบัตตน ตามความเชื่อและศรัทธาของท่านนั้น ท่านก็จับแต่กระพี้เช่นเดียวกัน ด้วยประการดั่งนี้ เมื่อท่านมาอธิบายคำสอนใดๆในศาสนาของท่าน ท่านก็เอาระบบคิดจับแต่กระพี่้ มาอธิบายด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งก็เป็นสิทธ์ของท่าน แต่อย่าคาดหวังว่าศาสนิก อื่นๆ หรือคนที่เข้าถึงแก่นจะเชื่อถือในน้ำหนักของระบบคิดท่านด้วยเช่นเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 16:58:51 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 11:19:42 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 11:18:49

ความคิดเห็นที่ 38 นักรบปัตตานี ผงาดแจกใบปลิวขู่ไทยพุทธ กลุ่มผู้ไม่หวังดี นำแผ่นใบปลิว ซึ่งอ้างว่า เป็น กลุ่มนักรบฟาตอนี ออกแจกจ่ายตามร้านน้ำชา และในหมู่บ้านพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งใบปลิว เป็นกระดาษ A4 พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ โดยข้อความในใบปลิว มีการกล่าวถึง แผนการปฏิบัติการของกลุ่มนักรบฟาตอนี ซึ่งได้อ้างว่า ตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน ได้ขับไล่ "ชาวกาฟีรสยาม" หรือ คนไทยพุทธ ให้ออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ซึ่งมีการอ้างข้อมูลตัวเลขชัดเจน นอกจากนี้ ข้อความในใบปลิวทั้ง 3 ใบ มีการกล่าวอ้างที่จะพยายามกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานี และห้ามไม่ให้ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทำการค้าซื้อขายกับคนไทยพุทธ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน รถยนต์ สินค้าที่ดิน สวนผลไม้ สวนยางพารา หากต้องการ ให้ไปขับไล่คนไทยพุทธเหล่านั้น http://news.sanook.com/1130215/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5-%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98/ >> กรุณอ่านความคิดเห็น แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 55 22:45:08 จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 15 ก.ค. 55 22:19:24

ความคิดเห็นที่ 39 MCE พี่จิมขอถาม ว่า -จดหมายฉบบับนี้แจกเมื่อใด? -จดหมายฉบับ เป็นเอกสาร สิ่งพิมพ์ ธรรมดา เด็กป.4 ก็พิมพ์ได้หรือไม่? -ยังเชื่อตาม บัตรสนเท่ ใบปลิวอีกหรอ? -นิยมชมชอบ คำสอนศาสนาพุทธ ถามว่า ชอบกาลามสูตรไหม? ข้อสุดท้ายไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำบอกว่า *********กระทู้นี้เรื่องมาเลเซีย ไม่ใช่เรื่องประเทศไทย************* อยากจะโชว พาว ไปตั้งกระทู้ใหม่ ขึ้นมา  ถ้าไม่ตั้ง แสดงว่า ปัญญาไม่ถึง เมื่อปัญญาไม่ถึง ก็ได้แค่ ไทยมุง ขาดสติ เมื่อไม่มีสติ ปัญญาไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด คือ คนอับเฉาทางปัญญา คนอับเฉาทางปัญญา นั้นคือ *********************คนโง่********************* คนที่เชื่อคนโง่ คือคน   **********************โคตรโง่ บรมโง่****************** แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 07:27:44 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 07:26:48 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 07:26:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 06:21:46

ความคิดเห็นที่ 40 . จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 06:37:32

ความคิดเห็นที่ 41 MCE   ผมขอฉบับเต็ม ในใบปลิวนี้้ ผมจะบอกให้ฟัง ว่า ใบปลิวฉบับนี้ มีข้อน่าสงสัยตรงใดบ้าง และแผนยึดครองประเทศไทย ฉบับเขียนลายมือ ฉบับเต็ม ที่ผมถลกหนังหัว จดหมายปลอม จนเลิกเสนอข่าว ไปเมื่อปี 2549 ไปถามหาได้ที่กอง บก  www.prachathai.com และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ว่า โดนจับผิดเรื่องอะไร? จนความจริงปรากฎ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 55 07:25:32 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 55 06:54:00