ความคิดเห็นที่ 1 พูดแบบเป็นฉาก ๆ ได้แบบนี้ จขกท ก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนิ จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 15:34:50

ความคิดเห็นที่ 2 บุญที่ทำไป ยังไงก็ต้องได้ครับ แต่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ขนาดไหน อยู่ที่ปัจจัยแวด ล้อมอีกที ซึ่งไม่ต้องไปสนใจ รู้แค่ว่าถ้าทำเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องได้แน่ๆ และไม่ใช่แค่บุญครับ บาปเองก็เหมือนกัน ถ้าทำ ยังไงก็ต้องได้ผลสักวันแน่ๆ บริหารจัดการกันเองละกันเรื่องบุญบาป วิธีที่แนะนำก็คือ ให้ทำแต่บุญอย่างเดียว และให้เลิกทำบาปอย่างเด็ดขาดจะดีที่สุดครับ ส่วนบุญทำได้อย่างไร ให้ไปศึกษา บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ดูนะครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 15:39:33

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆเราต้องมองในมุมกลับบ้างนะครับ ที่บอกว่าเจ้าของกิจการเอาเปรียบพนักงานนั้น อยากให้คิดดูดีๆ ว่าเค้าเคยเบี้ยวการจ่ายเงินเดือนหรือเปล่า ถ้าไม่เคยก็อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย บางทีเจ้าของกิจการหลายๆแห่งบางช่วงก็ต้องประสบภาวะขาดทุนในบางเดือน แต่ก็ยังหาวิธีหมุนเงินต่างๆมาจ่ายเงินเดือนให้พนักงานจนครบ แต่พนักงานก็ไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้ เห็นแต่ว่าเจ้าของกิจการมีรายได้มาก (แต่ไม่เคยคำนวนว่ารายจ่ายของเจ้าของกิจการก็มากเหมือนกัน) ดังนั้นเรื่องที่เราคิดเอาว่า เจ้าของกิจการเอาเปรียบพนักงาน ควรดูในมุมกลับกันบ้าง ว่าแล้วพนักงานได้เอาเปรียบเจ้าของกิจการบ้างไหม อู้งาน หรือไม่ตั้งใจทำงานให้เต็มที่สมกับค่าเงินเดือนที่เค้าได้จ้างเราหรือไม่ อีกอย่างการนั่งรวมกันนินทาเจ้าของกิจการด้วยกันกับพนักงาน เช่นนี้ก็อาจจะนำไปสู่ ความคิดอคติต่างๆได้ง่าย ต้องระวังในกรรมต่างๆเหล่านี้ด้วยนะครับ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 16:03:06

ความคิดเห็นที่ 4 #3 ผมเป็นผู้บริหารระดับสูงครับเรื่องค่าใช่จ่ายนั้นผมทราบดีและผมก็รู้ดีกับนิสัยส่วนตัวของนายจ้างครับ ก็ได้แต่สงสารเขาครับ ตอนนี้ผมก็ลาออกแล้วจะพ้นวาระอีกไม่กี่วันครับ เราทำงานด้วยกันไม่ได้เพราะผมไม่ยอมไหว้ศาลพระภูมิกับศาลGaneshครับ เขาไม่ค่อยพอใจ มีหลายครั้งที่ผมทำผลงาานได้ดีแต่เขากลับไปชื่นชมศาลพระภูมิครับ ส่วนผมเป็นชาวพุทธแท้ๆที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ครับ แต่ก็ไม่ได้ไปลบหลู่ใคร พนักงานชั้นล่างเขาปกครองได้ครับเนื่องจากเขาศัทธาเรื่องทำนองนี้ ส่วนพนักงานชั้นกลางถึงสูง ก็มีไม่น้อยที่คิดเหมือนผม ไม่มีอะไรครับเพียงแต่สงสัยว่าเขาทำบุญ 100 เขาจะได้รับเท่าไหร่ (สมมุติเป็นจำนวนครับ) ส่วนผมก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับเขาได้สงสารที่เขามักโดนอาจารย์ หมอดู พระบางวัดนั้น นำทางไปทางนี้ครับ จากคุณ : veerapatra เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 16:24:58

ความคิดเห็นที่ 5 รับทราบครับ ศาลGanesh หมายถึง พวกพระพิฆเนศ เหรอครับ ถ้าอย่างนั้น ความศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาในพระรัตนตรัยของเค้าก็อาจจะยังไม่สมบูรณ์ถูกตรงเสียเท่าไหร่ ดังนั้น การทำบุญที่ยังไม่ประกอบด้วยกัมมัสสกตาปัญญา และความเลื่อมใสที่ถูกต้องในพระรัตนตรัย ก็อาจจะมีอานิสงส์ไม่ไพบูลย์ เหมือนอย่างคนที่มีทิฏฐุชุกรรมมีสัมมาทิฏฐิเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง..... แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 55 17:53:59 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 17:52:01

ความคิดเห็นที่ 6    ผมมองว่า เรื่องศรัทธา ความเชื่อของเจ้านายนั้น ก็ควรแยกแยะนะ  เพราะในชีวิตการทำงานของคนเรา โดยเฉพาะ พนักงานที่เติบโต จนกระทั่งเป็นผู้บริหารระดับสูง อย่างเจ้าของกระทู้ ย่อมที่จะต้องผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร  เช่น  - การมีเจ้านายเป็นผู้หญิง  เธอก็บริหาร ปกครอง ตามแบบแฐับของผู้หญิงซะส่วนใหญ่  - การมีเจ้านายเป็นคนต่างชาติ ซึ่งบางคนก็เป็นต่างชาติที่อลุ่มอล่วย ในเรื่องศรัทธา ความเชื่อในศาสนา  แต่บางคน ไม่ยอมเลย และค่อนข้าง ผลักดัน กดดัน ให้เราเข้าร่วมกิจกรรมในศรัทธาของเขาด้วยก็มี  - การมีเจ้านายที่อายุน้อยกว่าเรามาก ๆ  ซึ่งก็ต้องอดทน และยอมรับความจริง ในหลายๆ เรื่อง  - การมีเจ้านาย เป็นคนที่เชื่อโชคลาง เชื่อหมอดู เชื่อโหวเฮงของคน ซึ่งบ่อยครั้ง ที่พยายามมองหน้าเรา แล้วพยายามทำนายตามศาสตร์โหงวเฮง เจ้านายบางคน ทำนายออกมาดี ก็ดีไป หากทำนายออกมาไม่ดี   เราจะกระโดดเตะก้านคอ เจ้านาย เลยหรือ..รึยังไง ก็ต้องชั่งใจ     ในกรณี ของเจ้าของกระทู้ ก็น่าเห็นใจครับ  หากเป็นแค่เรื่อง การพยายามบังคับให้ไหว้พระคเณส และศาลพระภูมิ  หากเป็นผมนะ    และผมมีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง  ผมก็ควรต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้เจ้านายเห็นมาตั้งแต่ต้นว่า บางเรื่อง บางอย่าง ผมไม่อาจทำได้  (ดูอย่างพนักงานที่เป็นมุสลิม สิครับ เขาแสดงมาตั้งแต่ต้น ว่า เขาไม่ไหว้พระพุทธรูป  ก็ไม่มีใครสามารถบังคับให้เขาไหว้ได้เลย)   ดังนั้น หากเรามีจุดยืนของเราเอง ใคร ๆ ก็ต้องบังคับเราไม่ได้ ในเรื่องเช่นว่านี้  ส่วนเรื่องความศารัทธา ส่วนตัวของเขา  ก็คงต้องปล่อยไปนะครับ คุณคงไม่สามารถไปห้ามปรามหรือแนะนำอะไรเขาได้    นอกเสียจากว่า คุณจะเนียน ๆ หน่อย แบบว่า ลองยอมให้องค์ลงประทับร่างคุณบ่อย ๆ เข้า แล้วแสดงอิทธิฤทธิ์ ให้เขาเชื่อถือคุณ เพราะเขาเชื่อเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว  หลังจากนั้น เมื่อเขาเชื่อถือคุณ และเรียกคุณว่า "ปู่"  เมื่อไหร่ นั่นล่ะ.....เสร็จโก๋   ทีนี้ก็ค่อย ๆ แนะนำให้เขาเดินตามที่คุณต้องการ  ค่อย ๆ แนะนำไป จนกระทั่ง เขาได้ดวงตาเห็นธรรม อย่างที่คุณได้ เขาก็จะเลิกนับถือพวกนั้นไปเอง  รวมทั้งเขาจะเลิกนับถือ "ปู่" ด้วย  แต่หันมานับถือ ให้เกียรติตัวตนของคุณแทน จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 18:11:37

ความคิดเห็นที่ 7 บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ค่ะ จากคุณ : เดือนฉายของลูก เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 18:55:52

ความคิดเห็นที่ 8 นายจ้างคุณ มีศรัทธา  รู้จักทำบุญเกี่ยวกับการบริจาคทาน  แต่ไม่มีปัญญาเรื่องธรรมะ   ...  เดาว่าคงเป็นผู้หญิง  ใช่ไหม ?   ถ้าเป็นผู้ชายไม่น่าเป็นแบบนั้น จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 19:01:37

ความคิดเห็นที่ 9 ได้บุญซิ เป็นได้ถึงเจ้าของกิจการ เรียกว่าเฮงก็ได้ ^_^ จากคุณ : yvrhere เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 55 19:36:33

ความคิดเห็นที่ 10 นายจ้างเป็นผู้ชายครับ และก็ครอบครัวของท่านด้วย ก็มีความเชื่อไปในทางเดียวกัน มันมีเรื่องอีกอย่างอยากตั้งข้อสังเกตุคือ ผมก็เคยปฎิบัตินั่งสมาธิมาบ้าง มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่เราติดสุข เวลานั่งเกิดความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นเวลานั้น เช่น สุขมาก ทุกข์มาก น้ำตาไหล สว่างตรงหน้าผากขณะหลับตา.... ผมเคยคิดว่าผมได้ค้นพบอะไรๆที่พระหลายๆท่านเคยพบมาก่อนโดยเดินตามรอยพระพุทธ (ดูเหมือนตัวเองจะมีฤทธิซะงั้น) ปุจุบันผมไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้นแล้ว ก็เลยเฉยๆ ผมสงสัยว่า นายจ้างท่านกำลังอยู่ในภาวะแบบนี้รึเปล่าครับ จากคุณ : veerapatra เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 10:08:37

ความคิดเห็นที่ 11 นายจ้างทำบุญ อาจจะเพราะเพื่อสนองความโลภ คือทำแล้วได้อย่างนั้นอย่างนี้ จิตใจไม่ได้สละเพื่อทำบุญที่แท้จริง การทำบุญนั้นก็ได้บุญ แต่บุญที่สละของเพื่อขจัดความโลภนั้่นไม่มี  อาจเรียกได้ว่ายังมีตัวโลภะกุมจิตใจอยู่มาก ทำให้จิตใจยังไม่กว้างพอที่จะสละ เผื่อแผ่ผู้คนรอบข้างเช่นลูกจ้างทั้งหลาย...ถ้านายจ้างคุณเข้าใจคำว่าทำบุญ ที่แท้จริง เค้าจะเปลี่ยนเป็นอีกคนแน่นอนครับ ^^ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 55 14:15:05

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาอ่าน จากคุณ : ย่าอ้วนแพน เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 10:19:53