ก็ลองถามมันดูสิครับ ว่ามันคืออะไร ลองถามมันดู ว่ามันเรียกว่าอะไร ลองถามอะไรกับมันก็ได้ แล้วดูซิ ว่ามันจะตอบไหม
มันเคยเรียกตัวเอง ว่ามันคือลมหายใจไหม หรือมันเคยบอก ว่ามันคือหายใจเข้า หรือหายใจออกไหม มันเคยบอกหรือเปล่า ว่านี่หายใจยาว ว่านี่หายใจสั้น
ถามอะไรกับกาย กายมันก็ไม่เคยตอบอะไรกลับมาเลยใช่ไหม นั่นแหละคือความจริงของกาย กายมันเป็นแค่อะไรๆอย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ให้เรารับรู้ได้ มีแต่ความแปรปรวนอยู่เรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัยของมัน อย่างเงียบๆ นี่คือกายตามความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าการรับรู้ หรือเรียกว่า กายปรมัตถ์
แล้ว I ตัวที่คอยบอกว่า "นี่กายกำลังทำอะไร" "กายในอาการอย่างนี้เรียกว่าอะไร" ฯลฯ ตัวนั้นแหละ เรียกว่า กายสังขาร เป็นสมมุติบัญญัติ ที่เข้ามาทาบ มากลบ มาปิด มาบัง กายปรมัตถ์
เมื่อใดที่ดำรงสติตั้งมั่น แล้วสำเนียกอยู่กับกายปรมัตถ์ เมื่อนั้น ผู้เห็นก็เงียบ อาการดำเนินไปตามปกติของกาย(ในที่นี้คืออาการหายใจ)ก็เงียบ ที่ผู้ดูสามารถที่เข้ามารู้เห็นถึงกายตามความเป็นจริงที่เงียบๆและอย่างเงียบๆได้ ก็เพราะสติตั้งมั่น และกายสังขารระงับลง
เมื่อรู้เงียบๆ อยู่กับกายตามความเป็นจริงที่เงียบๆ ก็จะเห็นว่ายังมี จิตสังขาร ที่มันไม่ยอมเงียบ แต่ก็จะไม่เดือดร้อนไปกับมัน เพราะจะเห็นมันเป็นแค่อะไรสักอย่างที่เหมือนละอองฝุ่นที่ฟุ้งไปมา ไม่มีแก่นสารสาระ ไม่มีค่ามีราคาควรค่าแก่การเข้าไปใส่ใจด้วยแต่อย่างใด
คราวนี้จิตสังขาร ก็จะค่อยอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ เพราะเราใส่ใจอยู่กับกายที่วิเวก ไม่ได้ไปใส่ใจตอแยให้ค่ากับจิตสังขาร จิตสังขาร ก็จะเบาบางไปเรื่อยๆ จนไปถึงภาวะแห่ง จิตวิเวก ได้
เล่าเรื่องเพื่อนำไปใช้ในภาคการปฏิบัติ ของกายสังขาร จิตสังขาร - กายวิเวก จิตวิเวก คร่าวๆ ตามที่เคยฟังพระท่านเล่ามา ก็มีประมาณนี้ครับ
จากคุณ |
:
รู้สึกตัว
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ค. 55 23:51:05
|
|
|
|