ความคิดเห็นที่ 1 ว่าอาลัมมุซซาลามฯ ครับคุณอาแมท เพื่อให้บรรยากาศการพูดคุยนั้นเป้นเชิงสร้างสันติ ซึ่งเข้าหลักของการถือศีลอดในเดือนรอมดอน ผมขออนุญาตไม่ใช้คำว่าตอบปัญหา เพราะการตอบปัญหานั้นจะมีทั้งผู้ที่ถูกใจและไม่ถูกใจ อันเป็นบ่อเกิดของการฟิตนะห์ หรือการว่าร้ายกัน ผมขอใช้คำว่าอภิปรายกันดีกว่านะครับ เพราะคำว่าอภิปรายนั้นจะได้เนื้อหาที่ครอบคลุมในทุกมิติ คำถามหรือคำตอบนั้นอาจเป็นการชี้นำได้  ดังที่ทราบกันว่า อิสลาม ตามความเข้าใจ ของประชาคมโลกแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ -ซุนนะห์วัลญามาอะห์ คือผู้ที่เดินตามสายอัลกุอาน+หะดีษ+อัครสาวก+ตาบีอีน -ชีอะห์  คือ กลุ่มที่เดินตามสาย เชื้อสายวงศ์ตระกูลท่านนบีมูฮำหมัด  ส่วนกลุ่มเล็ก สุดท้าย น้องใหม่ล่าสุด  พึ่งเกิดมาไม่กี่สิบปีมานี้ -อะหุลุลกรุอาน คือ กลุ่มที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว ดังนั้นด้วยพื้้นฐานที่ตางกัน ปรัชญา ในแง่มุมอิสลามที่ต่างกัน ถ้าผมตอบก็ต้องไปเข้าทางฝ่ายใดฝ่ายนึง ทันที ผมเองเป้นคนที่ไม่นิยมความแตกแยกในสังคมอิสลาม และมีความต้องการให้เกิดเอกภาพในสังคมอิสลาม ผมจึงไม่ขอตอบคำถามที่เป้นข้ามสาย ข้ามความเชื่อกัน แต่เพื่อความเข้าใจอันดี และเพื่อการสานใสใยความสัมพันธ์กันในระหว่างศาสนา ท่านคุณอาแมท ก็มีความประสงค์เช่นเดียวกันกับผม ผมจึงใคร่ใช้คำว่าอภิปรายในประเด็น ที่คุณอา ได้กรุณาถามมา ตามหลักการของสายซุนนะห์วัลญามาอะห์ หรือสายที่ เอาอัลกรุอาน+หะดีษ+อัครสาวก+ตาบีอีน  ดั่งคห ข้างล่างต่อไปนี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 08:21:11

ความคิดเห็นที่ 2 1. ในศาสนาอิสลามยึดถือสิ่งใดเป็นข้อตัดสิน สูงสุดในความยุติธรรมต่อมวลมนุษยชาติ? ประเด็นตรงนี้ ต้องมาทำความเข้าใจขั้นพื้นฐานก่อนว่า หลัการศรัทธาของอิสลามนั้นมี 6 ประการ คือ ศรัทธาต่อเอกองค์อัลเลาะห์(ซบ) ว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า แต่เพียงพระองค์เดียว ศรัทธาในบรรดามาลิอิกะห์ของพระองค์ ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์ โดยเฉพาะคัมภีร์อัลกรุอาน เป็นเล่มสุดท้าย ที่ต้องยึดถือและนำมาปฏิบัติ ศรัทธาต่อบรรดารอซุลของพระองค์ โดยเฉพาะท่านนบีมูฮำหมัด ซึ่งเป็นรอซู้ลองค์สุดท้าย ศรัทธาต่อวันกิยามะห์ หรือวันสิ้้นโลก และวันอาคืเราะห์หรือวันโลกหน้า หรือรวมๆว่าวันแห่งการตัดสินและตอบแทน ศรัทธาในกฎและสภาวะ ของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง       ด้วยหลักการ 6 อย่าง เราจะทราบด้วยการวิเคราะห์ว่า เป็นเหตุที่ยึดโยงกันแบบบูรณาการ      ดังนั้นด้วยคำถาม ว่า      ในศาสนาอิสลามยึดถือสิ่งใดเป็นข้อตัดสิน สูงสุดในความยุติธรรมต่อมวลมนุษยชาติ? ก็จะได้คำตอบออกมาว่า คำตัดสิน ขั้นสูงสุดนั้น พระองค์อัลลอฮ์(ซบ ) คือคำตัดสินขั้นสูงสุด โดยผ่องถ่าย คำสั่ง  คำสอน  ข้อปฏิบัติ  ข้อเยียวยา โดยมีผู้นำสาร คือ มาลาอิกะห์  ในรูปของภาษา คือคัมภีร์ต่างๆ โดยเฉพาะ ณ ตรงนี้ คือคัมภีร์อัลกรุอาน มายังท่านรอซูล ซึ่งเป็นผู้ได้รับรอง จากองค์พระผู้อภิบาล ด้วยการตอบแทนผลของการกระทำต่อผู้เดินตามแนวทางของท่านรอซูล ในวันสิ้นโลก และวันอาคิเราะห์  ด้วยการกำชับอย่างแน่นหนา ถึง กฎและสภาวะการณ์ต่างๆนั้นพระองค์ได้ ให้แนวทางมาเป็นที่เรียบร้อยสมบูรณ์กับมนุษยชาติ ในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน จึงมีคำกล่าวถึง ท่านนบี ให้ไปป่าวประกาศ หลักการศาสนาและให้การรับรองท่านนบีมูฮำหมัด จนนับคำไม่ถ้วน สรุปด้วยหลักการทั้งหมด ตามสายซุนนะห์วัลญามาอะห์  คำตัดสิน จึงประกอบไปด้วย อัลกรุอาน +อัลหะดีษ เป็นสาระสำคัญ       จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 08:46:59

ความคิดเห็นที่ 3 ด้วย คห ที่ 1 เราได้คำตอบมาว่าสาระ ของคำตัดสินนั้น ประกอบไปด้วย อัลกรุอาน+หะดีษ เรามาทำความเข้าใจกันว่า หะดีษ นั้นคือพระจริยวัตรของท่านรอซูล หรือศาสดามูฮำหมัด (ซล)  ในบทอัลหะดีษ นั้น ได้ให้การรับรอง คอลีฟะห์ และเหล่าตาบีอีน ของท่านศาสดาเอาไว้ด้วย ก็จะได้บทบาทของการตัดสิน ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ตัวบท คืออัลกรุอาน ซึ่งเปรียบเสมือน รัฐธรรมนูญ เป็นแม่บท และได้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ คือ อัลหะดีษ เพื่อเป้นบทขยายความ และลงในรายละเอียดปลีกย่อยถึง วิธีการต่างๆ โดยกลุ่มคอลีฟะห์และตาบีอีน  ดังน้้นในกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ทางศาสนาอิสลาม จึงต้องประกอบไปด้วย กฎหมาย  เจ้าพนักงาน เบื้องต้น อัยการ ทนายความและผุ้พิพากษา ซึงเป็นผู้ทำหน้าที่ ไกล่เกลี่ย ตัดสินข้อพิพาท ทางศาสนาและสังคม ตามบทบัญญัติที่ได้รับการรับรอง จากคัมภีร์ อัลกรุอาน อัลหะดีษ ด้วยวิธีการลงลึกไปในขั้นตอนรายละเอียดด้วย คอลีฟะห์ หรืออัครสาวก กับตาบีอีน สรุปในขั้นตอนนี้ คือ กระบวนการยุติธรรมของอิสลามนั้น มีองคพายพ เป็นองค์กรณ์ที่บูรณาการกัน ทั้งในแง่ตัวบท และการปฏิบัติ โดยอาศัย การตัดสิน จากในคัมภีร์อัลกรุอาน และคำสั่งคำตัดสินตามแบบอย่างของท่านนบีมูฮำหมัด เป็นสาระในเบื้องต้น จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:02:45

ความคิดเห็นที่ 4 ประเด็นต่อมา 2. ตามหลักการของอิสลาม การกระทำผิดทางเพศในทุกๆกรณี มีโทษที่รุน แรงสูงสุด เท่าใด? มีโทษประหารหรือไม่? ถ้ามีเราเอาบัญญัตินั้นมาจากที่ใด? ตามตัวบทของอัลกรุอานนั้น คือ “หญิงผิดประเวณี และชายผิดประเวณี พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนในสองคนนั้นคนละหนึ่งร้อยที และอย่าให้ความสงสารยับยั้งการกระทำของพวกเจ้าต่อคนทั้งสองนั้นในบัญญัติของอัลลอฮ์เป็นอันขาด หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และจงให้กลุ่มหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นพยานในการลงโทษเขาทั้งสอง” (อัลกุรอาน 24: 2) จากอายะห์นี้ เราจะเห็นได้ว่า อัลกรุอานได้ให้บรรทัดฐานในการลงโทษ สำหรับผู้ละเมิดประเวณี ในลักษณะของผุ้ที่ยังโสด ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งตามที่ผมได้อภิปรายไปในเบื้องต้นว่า อัลกรุอานนั้นคือ แม่บทรัฐธรรมนูญ โดยมีอัลหะดีษ มาเป้นกฎหมายที่ขยายความต่อ โดยการรับรองจากเอกองค์อัลเลาะห์(ซบ) ให้ท่านรอซูล เป็นผู้นำมาเผยแพร่ เราก้จะได้บทลงโทษ ที่เพิ่มเติมตามกรณีนี้ ที่ขาดหายไป ในส่วนพระคัมภีร์ ดังนี้ คือ บทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดซินาซึ่งแต่งงานแล้ว คือร็อจม์ หรือ Stoning  กล่าวคือการขว้างปาด้วยก้อนหินจนกระทั่งตาย  ตามประวัติศาสตร์ นะบีมุฮัมมัด (ซล) เคยลงโทษร็อจม์แก่บุคคลสามคนด้วยกัน เป็นบุรุษ 1 คน และสตรี 2 คน  ซึ่งทั้งสาม คดี ได้มีการลงโทษตามคำสารภาพของผู้กระทำผิดด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น และถือเป็นสุดยอดของการสารภาพผิดของประชาชนที่มีต่ออำนาจรัฐ  ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ในสังคมที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมเท่านั้น สรุป ในคห นี้คือ การลงโทษตามตัวบทในอัลกรุอาน ได้ให้ทำการโบย สำหรับกรณี โสด ทั้งคู่ และทำการปาด้วยหินสำหรับคนที่เป็นชู้กัน ผิดผัวผิดเมียกัน  ตามการตัดสินของท่านนบี โดยการรับสารภาพ ด้วยความเต็มใจ และด้วยการร้องขอจากผู้กระทำผิดด้วยตนเอง ถ้าเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์ไทยนั่นคือ การร้องขอ จากพันท้ายนรสิงห์ นั่นเอง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:21:25

ความคิดเห็นที่ 5 3. ถ้ามุสลิมบางท่านเชื่อว่าฮาดีษ คือ ท่านรอซูล, จาก ฮาดีษบทนี้  ท่านรอซุลสั่งให้ Stoning ตามบัญญัติในคัมภีร์โตราของยิว ไม่ใช่จากบัญญัติในอัลกุรอาน บทอภิปรายในส่วนนี้คือ  ตาม คห ที่ 1 ที่ผมได้ทำการอธิบายไว้ในเรื่องหลักการศรัทธา ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์  ผมขอขยายความดั่งนี้คือ คัมภีร์ของพระองค์ได้ถูกประทานลงมาต่างยุคต่างสมัย ตั้งแต่วันกำเนิดโลกใบนี้ มีด้วยกัน ดั่งนี้คือ คือ บรรดาคัมภีร์ที่มีกล่าวในอัลกุรอาน อัลลอฮฺได้ทรงชี้แจงในอัลกุรอานว่าพระองค์ทรงได้ประทานบรรดาคัมภีร์ต่างๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 1. ศุหุฟ อิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม 2. อัต-เตารอฮฺ คัมภีร์ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่นบีมูซา อะลัยฮิสสลาม 3. อัซ-ซาบูร คัมภีร์ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่นบีดาวูด อะลัยฮิสสลาม 4. อัล-อินญีล คัมภีร์ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม 5. อัลกุรอาน คัมภีร์ที่พระองค์อัลลอฮฺได้ประทานลงมาแก่นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ดังนั้นการที่ท่านนบีมูฮำหมัดจะนำบทอ้างอิงจากคัมภีร์ที่ถุกประทานมาก่อนหน้านี้ ย่อมกระทำได้ เพื่อมาเติมเต็มจากบทในกรุอาน ทะนี้จะมาเป้นประเด้นกันอีกว่า ในเมื่อคัมภีร์อัลกรุอานเป้นฉบับที่สมบูรณ์แล้วทำไมยังต้องไปอ้างอิงอีก อันนี้มีหลักฐานที่จะใขข้อกังขาดังนี้คือ وَأَنْزَلْنَا إِلَيْكَ الْكِتَابَ بِالْحَقِّ مُصَدِّقًا لِمَا بَيْنَ يَدَيْهِ مِنَ الْكِتَابِ وَمُهَيْمِنًا عَلَيْهِ فَاحْكُمْ بَيْنَهُمْ بِمَا أَنْزَلَ اللَّهُ وَلا تَتَّبِعْ أَهْوَاءَهُمْ عَمَّا جَاءَكَ مِنَ الْحَقِّ ความว่า “และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าด้วยความจริงในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่ก่อนหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์ (ก่อนหน้า)นั้น ดังนั้น เจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ต่ำของพวกเขาโดยเขาออกจากความจริงที่ได้มายังเจ้า”  (อัล-มาอิดะฮฺ : 48) ถ้าเราจะเทียบเคียงกับประเทศไทย ในกรณีที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายมิได้ลงลึกไปในรายละเอียด จะอาศัย ประกาศคณะปฏิวัติ และอาศัยการตัดสิน ที่เคยพิพากษา มาก่อนหน้านี้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:34:02

ความคิดเห็นที่ 6 ทะนี้เรามาทำความเข้าใจคัมภีร์ โตรา ของยิว นั้น ท่านศาสดามูฮำหมัดมิได้ใช้ต้นแบบมาจากคัมภีร์โตรา แต่อย่างใด ศาสนายิว ก็คือ ศาสนายิว มิใช่ศาสนาอิสลาม  ท่านนบีมูฮำหมัด ได้ใช้ตัวอย่างจากคัมภีร์เตาร้อด ของท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม คัมภีร์โตราอาจมีบางส่วนคล้ายคลึงกับคัมภีร์เตาร้อด แต่ไม่เหมือนกัน ดั่งนั้นเพื่อความเข้าใจที่ถุกต้อง คัมภีร์เตาร้อด ก็คือเคาร้อด คัมภีร์ของอิสลาม มิใช่คัมภีร์ โตรา ของศาสนายิวแต่อย่างใด จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:38:37

ความคิดเห็นที่ 7 ต่างศาสนิกมักเข้าใจว่าเฉพาะสุกรเท่านั้นที่มุสลิมไม่กินยังมีอีกเยอะครับ แต่มุสลิมที่ท่านได้สัมผัสเค้าไม่ค่อยบอกท่านหรอก ยิ่งบางคนพกมาจากบ้านเลยก็มี ค จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:39:14

ความคิดเห็นที่ 8 จาก คห ที่  2  ของผม ที่พระองค์อัลเลาะห์ (ซบ) ได้ทรงรับรองท่าานบีมูฮำหมัดเป็นศาสดาผู้เผยแพร่คำสอน และบอกในรายละเอียด ของอัลกรุอาน นั่นคือ    พระองค์อัลลเาะห์(ซบ) ได้ตรัสไว้ว่า «لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولا مِنْ أَنْفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلالٍ مُبِينٍ» (آل عمران :١٦٤) ความว่า  "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งรอซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองลงมาในหมู่พวกเขา เพื่อให้อ่านบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขาฟัง และอบรมสั่งสอนให้พวกเขาบริสุทธิ์ และให้สอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (อาล อิมรอน : 164) สรุปเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอัลกรุอานได้ทำการับรอง พระจริยวัตรท่านนบี ในการขยาย และลงลึกในรายละเอียดของตัวบทของคัมภีร์อัลกรุอาน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:49:10

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ Lamelez สงสัยโพสกระทู้เรื่อง อาหาร ฮาลาลแน่ๆ ที่ตอบ คุณ ช้าง ชิมิ ชิมิ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:52:05

ความคิดเห็นที่ 10 ส่วนประเด็นเรื่อง บทลงโทษ สมควรหรือไม่ โหดร้ายเพียงใด  นั่นอยู่ที่มุมมองของแต่ละท่าน ผมมิอาจไปต่อว่าต่อขานในความไม่เห้นด้วยได้ คงเคารพสิทธ์ในมุมมอง ของท่าน ก็หวังว่า เราจะได้รับการเคารพสิทธ์ในมุมมองของเรา มุสลิม ชาวซุนนะห์วัลญามาอะห์ ด้วยครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:56:28

ความคิดเห็นที่ 11 ผมต้องขอขอบคุณท่านอาแมท ที่ได้ให้โอกาสผม มานำเสนอ และอภิปรายในประเด้นดั่งกล่าว ส่วนราบละเอียดปลีกย่อย ของการลงโทษ นั้นขออภิปราย หลังจากมีความเห็นใดๆขึ้นมาอีกนะครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 10:02:55

ความคิดเห็นที่ 12 มาฟังอัลกรุอานกันนะครับ ซูเราะห์ อาละ อิมรอน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 14:46:18

ความคิดเห็นที่ 13 มาลงทะเบียน ร่วมฟัง (ร่วมอ่าน) การอภิปรายครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 55 17:41:43 จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 17:41:29

ความคิดเห็นที่ 14 ยินดีครับท่านรถเรณู มีอะไรสงสัยถามได้เลยครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 20:19:36

ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณ, คุณจิมมากครับที่ให้ความร่วมมือในการคุยกันในเรื่องสำคัญเช่นนี้  เนื่องจาก ความศรัทธาของผม ต่อศาสนาอิสลามนั้น  ยึดมั่นอยู่ในพระเจ้าองค์เดียวและท่านศาสนทูตมูฮัมมัดผู้เป็นศาสนทูตของพระองค์ ซึ่งอย่างแน่นอนถ้ามุสลิมไม่ยอมรับและเชื่อศรัทธาต่อท่านรอซูลมูฮัมมัดแล้ว เขาผู้นั้นก็อาจจะยอมรับความแท้จริงของอัลกุรอานไม่ได้  การเชื่อและศรัทธาต่ออัลกุรอานว่าเป็นบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คือการเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ซุนนะห์ของท่านรอซูลอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ต้องผ่านมือที่สาม คือเชื่ออย่างแน่นอนว่า “อัลลออ์ตะอาลาเท่านั้น สมควรต่อการเคารพบูชาและ”ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดคือศาสนทูตที่แท้จริงของพระองค์”  มุสลิมทุกๆท่านมีความศรัทธาต่ออิสลามในเรื่องนี้ซึ่งไม่ต่างปจากความศรัทธาของผมต่ออิสลามแม้แต่น้อย   ด้วยเหตุนี่มุสลิมทุกๆคนไม่ว่าจะมีชาติเชื้อที่แตกต่างกันจะต้อง รักกันเหมือนพี่น้องที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ถ้ามุสลิมขาดความรักใคร่เยี่ยงพี่น้องแล้ว เราจะเรียกได้ว่า เราไม่เชื่อใน ความเป็นรอซูลของท่านนบีมูฮัมมัด และนำไปซึ่งการไม่เชื่อความแท้จริงของ อัลกุรอาน  จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:22:04

ความคิดเห็นที่ 16   เพื่อเป็นการเตือนใจพี่น้องมุสลิมด้วยกันผมขออ้างอิง บัญญัติในอัลกุรอาน 2 บัญญัติ ดังต่อไปนี้ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَلَا تَمُوتُنَّ إِلَّا وَأَنْتُمْ مُسْلِمُونَ {102} وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ وَاذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَانًا وَكُنْتُمْ عَلَىٰ شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا ۗ كَذَٰلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ {103}  โอ,บรรดาผู้มีศรัทธา! จงยำเกรงอัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตาย นอกจากพวกเจ้าจะอยู่ในฐานะเป็นผู้สวามิภักดิ์เท่านั้น(3:102), และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า  เพราะพวกเจ้า เคยเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงประสานระหว่างดวงใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้า ก็กลายเป็นภราดรกัน ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเจ้า เคยอยู่บนปากหลุมแห่งเพลิงนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้า ให้พ้นจากมัน เช่นนั้น อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวก เจ้า เพื่อพวกเจ้า จะได้รับทางนำ (3:103) แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 55 21:41:15 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:24:06

ความคิดเห็นที่ 17 ในบัญญัติ (3:103)นี้  มีคำที่สำคัญอยู่คำหนึ่งคือ   “ بِحَبْلِ اللَّهِ ” (บิฮับบลิ อัลลอ์ฮิ) ที่ว่าสำคัญคือสำคัญทางไวยกรณ์ ซึ่ง เป็นคำแสดง  “เอกพจน์”  หมายถึง “สายเชือกของ อัลลอฮ์ เพียงเส้นเดียว”  นั้นคือ “อัลกุรอาน”  จากบัญญัติ 3:103 นี้  เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้ามีบัญญัติให้มุสลิมมีความสามัคคีกันเหมือนคนๆเดียวกันในความศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม, ให้มุสลิมทุกๆคน เชื่อฟังท่านศาสนทูตหรือ ท่านรอซูลมูฮัมมัดโดย ให้ ยึดสายเชือกเส้นเดียวกันกับท่านรอซูลมูฮัมมัด,ที่อัลลอฮ์ตะอาลาประทานให้, นั้นก็คือ “อัลกุรอาน” ซึ่งเป็นแนวทางที่พระเจ้า อัลลอฮ์ ตะอาลา ส่งมาให้ในการปฏิบัติตามวิถีทางของอิสลาม เมื่อมีคำสั่งในบัญญัติของอัลกุรอานให้มุสลิมถือสายเชือกเส้นเดียวกันคืออัลกุรอานอย่างมั่นคงเพื่อเป็นแนวทางนำขึ้นไปสู่สวงสวรรค์ และไม่หลงทางไปใน  ความชั่ว ซึ่งทำให้เกิดการแตกความสามัคคี ทำให้เกิดมุสลิมกลุ่มใหม่ เพิ่มขึ้นมาอีก 2 กลุ่มรวมเป็นมุสลิม 3 กลุ่ม ความคิดเห็นที่ 1 MsgStatus(Msv[1], 1); ดังที่ทราบกันว่า อิสลาม ตามความเข้าใจ ของประชาคมโลกแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ -ซุนนะห์วัลญามาอะห์ คือผู้ที่เดินตามสายอัลกุอาน+หะดีษ+อัครสาวก+ตาบีอีน -ชีอะห์  คือ กลุ่มที่เดินตามสาย เชื้อสายวงศ์ตระกูลท่านนบีมูฮำหมัด  ส่วนกลุ่มเล็ก สุดท้าย น้องใหม่ล่าสุด  พึ่งเกิดมาไม่กี่สิบปีมานี้ -อะหุลุลกรุอาน คือ กลุ่มที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 08:21:11   แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 55 21:32:00 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:28:10

ความคิดเห็นที่ 18 จากสามกลุ่มที่เห็นนี้  เป็นการจัดลำดับที่ไม่ถูกต้องทีเดียว  คือ  กลุ่ม อะหุลุลกรุอาน ( กลุ่มที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว)  จะต้องเป็นกลุ่มแรก หรือเป็น Original ของศาสนาอิสลามในรูปแบบปัจจุบัน ซึ่งมีท่านรอซูลเป็น ผู้นำกลุ่ม ซึ่งมุสลิมทั้งโลกทุกๆคนไม่อาจจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้   ด้วยเหตุนี้   บรรดามุสลิมที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่น้องใหม่ดังที่ถูกจัดอันดับอย่างไขว้เขวเช่นนั้น, ในยุคนี้ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้กระทำหน้าที่ของท่านอย่างครบถ้วนตามบัญชาของพระเจ้าดังที่อัลกุรอานกำหนดไว้ดังนี้                       Allah did confer a great favour on the believers when He sent among them a messenger from among themselves, rehearsing unto them the Signs of Allah, sanctifying them, and instructing them in Scripture and Wisdom, while, before that, they had been in manifest error. [Yusufali 3:164]              แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่บรรดาผู้มีศรัทธา เนื่องจากพระองค์ได้ทรงส่งศาสนทูตคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขา เพื่ออ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะชำระพวกเขาให้สะอาด และจะสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่พวกเขา แม้ว่าเมื่อก่อนนั้น พวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง(3:164) จากอัลกุรอานบัญญัติที่ 3:164 1.ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทำหน้าที่เป็นครู เพื่ออ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้บรรดาสาวกผู้ติดตามและผู้ศรัทธาซึ่งไม่มีเรื่องอื่นใดเจือปนนอกจากบัญญัติในอัลกุรอานเท่านั้น 2. คำสอนและสาระในอัลกุรอานซึ่งพระเจ้าประทานให้เพื่อชำระจิตใจความเชื่อทางจิตวิญญาณและซึ่งเป็นต้นเหตุของการปฏิบัติที่ชั่วช้าต่างๆของบุคคลในยุคมืดให้เห็นแสงสว่าง และแนวทางคุณธรรมที่ถูกต้อง 3. ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้อธิบาย الْحِكْمَةَ  หรือภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา เช่นความมีเมตตากรุณาของพระเจ้า ต่อมวลมนุษยชาติที่ประทานสิ่งเจือจุนต่อชีวิมนุษย์ รวมทั้งการ รื้อฟื้นการปฏิบัติศาสนกิจ การละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายกุศลทาน การทำฮัจจฺ  ซึ่งสืบต่อมาจากท่านนบีอิบรอฮิม จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:35:05

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ คุณอาแมท ตามความคิดเห้นของผม ซึ่งผมเชื่อ ในหลักการข้อที่ 1 สายเชือกเส้นเดียวกันถูกต้องแล้วครับ สายเชือกแรกนั้นมาก่อน อีกสองสายนั้นไม่รู้จะแตกไปทำไม ปัญหามันอยู่ตรงนี้ นี่ยังไม่ถึงวันกิยามะห์ ถ้าถึงคงแตกออกไปอีกเยอะ ทุกวันนี้ก็แตกไปหลายค่ายทะเลาะกันออกอากาศ ของเค้ามาดีมีความสามัคคีกัน ก้มาแตกกันออกไปด้วยความไม่พอใจ หรือ นัฟซูหรือกิเลศ นั่นเอง ครับ สิ่งที่ทำให้แตกออกไปนั่นคือ การเอาศาสนามาตามโลกนั่นเองครับ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด อย่างมากมาย แท้ที่จริงนั้นโลกต้องตามศาสนาต่างหาก วัตถุประสงค์ ของการแตกไปอีกสองสาย คือ -สายชีอะห์ ไม่พอใจการแต่งตั้งคอลีฟะห์ -ส่วนสายน้องใหม่ คืออะห์ลุ้ลกรุอานนั้น คือ 1. ปวดหัวกับการตีความของนักวิชาการศาสนา 2.เอาศาสนาไปวิ่งตามโลก อนึ่ง ถ้าอธิบายง่ายๆคือ เสียงส่วนน้อยไม่พอใจเสียงส่วนใหญ่เลยออกไปตั้งสายตนเองขึ้นมา อันนี้ถ้าผมเข้าใจผิดต้องขออภัยด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 55 21:41:26 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:40:32

ความคิดเห็นที่ 20 คุณอาลองศึกษา กลุ่มอิควานุล สิครับ นั้นแหละ คือสิ่งที่ผมถวิลหา ยึดถือของตนเอง ไม่โจมตีผู้อื่น ใครจะทำอะไรก็ทำไป ฉันก็ปฏิบัติเผยแพร่ตามอุดมการณ์ ของฉันในการรวมมุสลิมให้เป็นเอกภาพ โดยเอาหลักเตาฮีด เป็นอุดมการณ์ ตามด้วยหลักปฏิบัติ คือ อัลกรุอาน และอัลฮาดิษ ที่ซอเฮี้ยะเป็นหลักการ ในกลุ่มนี้เป้นการรวมมันสมองของคนหลายกลุ่มมาร่วมกัน เดินด้วยกัน อย่างมีเอกภาพ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 55 21:52:45 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:46:58

ความคิดเห็นที่ 21 ขอต่ออีกหน่อยครับคุณจิมเพื่อไม่ให้ขาดข้อความสำคัญที่มุสลิมส่วนมากเข้าใจผิด ................   ตรงนี้มุสลิมจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ท่านรอซูลมูฮัมมัดไม่ได้เป็นผู้  กำหนดพิธีการศาสนกิจที่มุสลิมปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้  แต่เป็นหลักการปฏิบัติ ที่อยู่ในศาสนาของท่านนบีอิบรอฮิม (อิสลาม) ตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลหัจญ์ บัญญัติที่ 78 ดังนี้ และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้เรื่องของศาสนาเป็นความลําบากแก่พวกเจ้า เลย คือศาสนาของอิบรอฮีมบรรพบุรุษของพวก เจ้า พระองค์ทรงขนานนามพวกเจ้า ว่า "บรรดามุสลิม" ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอาน เพื่อศาสนทูตจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้า จะได้เป็นพยานต่อปวงมนุษย์ ดังนั้นพวกเจ้า จงดํารงการนมาซ และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ พระองค์คือพระผู้ทรงคุ้มครองพวก เจ้า พระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศยิ่งนัก และพระผู้ทรงช่วยเหลือที่ดียิ่งนัก (22:78)   เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เราจะเห็นได้แล้วว่า กลุ่ม อะหุลุลกรุอาน ( กลุ่มที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว)  นั้นคือมุสลิม ที่แท้จริงเริ่มแรกที่มีท่านศาสนทูต หรือ ท่านรอซูลมูฮัมมัดเป็นผู้นำกลุ่ม  มุสลิมในสมัยที่ท่านศาสนทตมูฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นมุสลิมที่ยึดถืออัลกุรอานเพียงอย่างเดียวตามคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่ไม่มีสิ่งใดเจือปนทำให้ศาสนาอิสลามยุ่งยากอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่า น้องใหม่ที่เกิดขึ้น หลังจาก ท่านรอซูลสิ้นชีวิตไปแล้ว คือ สองกลุ่มข้างล่างนี้ -ซุนนะห์วัลญามาอะห์ คือผู้ที่เดินตามสายอัลกุอาน+หะดีษ+อัครสาวก+ตาบีอีน -ชีอะห์  คือ กลุ่มที่เดินตามสาย เชื้อสายวงศ์ตระกูลท่านนบีมูฮำหมัด   จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:48:15

ความคิดเห็นที่ 22 คุณจิมต้องเข้าใจในการสนทนาของเรานี้เจตนาผมไม่ใช่ จะโจมตีผู้หนึ่งผู้ใดแต่ต้องการจะคุยกับคุณจิมเกี่ยวกับหลัก การของอิสลามที่ถูกต้องที่ไม่มีการแบ่งกลุ่ม เพราะผมเห็น ว่าคุณจิมใจกว้างพอที่จะกล่าวว่าสิ่งใดเป็นหลักที่แท้จริงสิ่ง ใดเป็นสิ่งที่เราไม่ควรกระทำเพราะถ้าผิดพลาดไปเราจะแก้ ไขไม่ได้ เช่นการลงโทษในเรื่องความศรัทธาต่างๆ ที่ไม่มี บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:53:01

ความคิดเห็นที่ 23 คุณอาครับ ด้วยความเคารพ แต่สมัยท่านนบีไม่ได้เอาศาสนาวิ่งตามโลกนี่ ท่านศาสดานำศาสนาให้โลกวิ่งตาม เพื่อแก้ใขยุคญาฮิลียะห์ ยุคเสื่อมของอาหรับ และอะห์ลุ้ลกรุอาน ทำไมวิ่งตามโลกละครับ ขออภัยนะครับ ผมสงสัยจริงๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 21:55:51

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 23   ข้อนี้คุณจิมเข้าใจผมผิด ผมกล่าวและเขียนมาหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มใดผมเป็นมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามตามคำขึ้นต้นของผมใน ความคิดเห็นที่ 15 , มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ความจริงแล้วผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ "อะห์ลุ้ลกรุอาน" เลยและไม่รู้ว่าเขาปฏิบัติกันอย่างไร?   แต่เนื่องจากความคิดด้วยเหตุผลธรรมดาว่า ทำไมสังคมมุสลิมจึงยุ่งยาก และสับสนอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกๆวันนี้  มันเกิดจากอะไร  ตัวอย่างก็คือ "เรื่องฮาดีษเกี่ยวกับประจำเดือน" ซึ่งยังสนทนาไม่จบ,  ทำไมมุสลิมจึงไม่เชื่อฟังพระเจ้าและท่านรอซุลที่ย้ำนักหนาว่า "ยึดอัลกุรอาน"  ซึ่งอย่างแน่นอน เราจะไม่มีการถกเถียงกันเรื่อง จะลงโทษการผิดประเวณีอย่างไร? จะตัดมือขะโมยอย่างไร ตัดหรือไม่ตัดกันแน่   ด้วยสามัญสำนึกอันนี้จึงทำให้ผมแน่ใจว่าซุนนะห์ที่แท้จริงที่มุสลิมควรจะตามนั้นคือ การยึดอัลกุรอานเป็นแนวทาง แล้วทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจะตามมาอย่างถูกต้อง จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 22:09:07

ความคิดเห็นที่ 25  จาก ความคิดเห็นที่ 12    คุณจิมนำมาให้ฟังนั้น... ซูเราะห์ อาละ อิมรอน บัญญัติที่ 80 นั้นถ้ายกมาให้ฟัง เพียงบัญญัติเดียวผมว่าจะเข้าใจยาก ทั้งนี้เพราะว่า ตาม บริบทของบัญญัตินี้ มีข้อความเกี่ยวข้องกับ บัญญัติที่ 3:79 ดังนี้   ไม่เคยปรากฎว่าบุคคลใดที่อัลลอฮฺทรงประทานคัมภีร์ และวิทยปัญญา และการเป็นนบีแก่เขา ที่เขาจะกล่าวแก่ผู้คนว่า "พวกท่านจงเป็นพวกบ่าวผู้สักการะฉัน อื่นจากอัลลอฮฺ" หากแต่กล่าวว่า "พวก ท่านจงเป็นปราชญ์ผู้ผูกพันธ์กับพระเจ้าเถิด เนื่องจากการที่พวกท่าน เคยสอนคัมภีร์และเคยศึกษาคัมภีร์มา" (3:79)    และพวกเขาจะไม่สั่งพวกท่าน ให้ยึดเอามะลาอิกะฮฺ และบรรดานบีเป็นพระเจ้า เขาจะสั่งพวกท่าน ให้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่พวก ท่านเป็นผู้สวามิภักดิ์แล้วกระนั้นหรือ?(3:80)   ทั้งสองบัญญัตินี้สอน ผู้ที่ยอมรับอิสลามแล้วและเมื่อเป็นมุสลิมแล้วไม่ให้ เทิดทูล (Idolize) ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด  เทียบเคียง พระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยการกระทำใดๆก็ตาม  คำกล่าวต่างๆของท่านรอซุลจะต้องไม่ขัดกับ บัญญัติของพระเจ้า หรือ ยกเลิกบัญญัติของพระเจ้า คือว่า มุสลิมจะยกย่องอำนาจ ของท่านรอซุลเทียบเท่า หรือ สูงกว่า บัญญัติ ในอัลกุรอานไม่ได้ อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะมีบทเรียนมาแล้วในอดีต   คำเตือน ในซูเราะห์ อาละ อิมรอนบัญญัติที่ 80 นี้ สำคัญมากสำหรับมุสลิมกลุ่มไหม่  คือ -ซุนนะห์วัลญามาอะห์ คือผู้ที่เดินตามสายอัลกุอาน+หะดีษ+อัครสาวก+ตาบีอีน -ชีอะห์  คือ กลุ่มที่เดินตามสาย เชื้อสายวงศ์ตระกูลท่านนบีมูฮำหมัด     เพราะสองกลุ่มนี้มี การเชื่อในหลายสิ่งนอกเหนือไปจากอัลกุรอาน และมีพิธีกรรมต่างๆที่ ใกล้เคียงกับการสร้างภาคี ซึ่งเปรียบเสมือน กลุ่มชนที่อยู่ในท่านมกลาง อากาศที่มีมลพิษ (Pollution)  การฟังอัลกุรอานบัญญัตินี้ ในความคิดเห็นที่ 12 จึงจำเป็นมากสำหรับ มุสลิมกลุ่มใหม่ทั้งสองกลุ่มดังกล่าวแล้ว ซึ่งจะต้องฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าฟังแต่เสียงภษาอรับที่เป้นกลอนที่ไพเราะเท่านั้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 22:53:50

ความคิดเห็นที่ 26 ผมยังมีความข้องใจเกี่ยวกับ คัมภีร์เตารอต ของท่าน นบีมูซา กับ คัมภีร์ โตราห์  ของศานาจูดายว่าแตกต่างกันอย่างไร? จากความคิดเห็นของคุณจิมข้างล่างนี้ อยากให้คุณจิมช่วยยกตัวอย่างเกี่ยวกับคัมภีร์เตาร้อด ของท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ซึ่ง ต่างจากโตราของยิว ความคิดเห็นที่ 6 MsgStatus(Msv[6], 6); ทะนี้เรามาทำความเข้าใจคัมภีร์ โตรา ของยิว นั้น ท่านศาสดามูฮำหมัดมิได้ใช้ต้นแบบมาจากคัมภีร์โตรา แต่อย่างใด ศาสนายิว ก็คือ ศาสนายิว มิใช่ศาสนาอิสลาม  ท่านนบีมูฮำหมัด ได้ใช้ตัวอย่างจากคัมภีร์เตาร้อด ของท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม คัมภีร์โตราอาจมีบางส่วนคล้ายคลึงกับคัมภีร์เตาร้อด แต่ไม่เหมือนกัน ดั่งนั้นเพื่อความเข้าใจที่ถุกต้อง คัมภีร์เตาร้อด ก็คือเคาร้อด คัมภีร์ของอิสลาม มิใช่คัมภีร์ โตรา ของศาสนายิวแต่อย่างใด จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 09:38:37 เท่าที่ผมอ่านพบคุณจิมพอจะอธิบายได้ไหมว่า โตราห์ และ เตารอต ต่างกันอย่างไร? ทั้งนี้เพราะว่า "ฮาดีษอ้างถึงเตารอตซึ่งความเข้าใจโดยทั่วไปเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์โตราห์" Tawrat (Tawrah or Taurat) (Arabic: توراة‎) is the Arabic word for the Torah. Muslims believe it was a holy book of Islam given by Allah to Musa (Moses). The Hebrew word for their scripture, the Torah (also known as the Five Books of Moses or the Pentateuch) means instructions, that is why Tawrat does not refer to the entire Tanakh or Old Testament. All prophets governed with Tawrat 5:44, and meaning of Tawrat as per Qur'an is the Law, mentioned in 5:45; We ordained therein for them: "Life for life, eye for eye, nose for nose, ear for ear, tooth for tooth, and wounds equal for equal." But if any one remits the retaliation by way of charity, it is an act of atonement for himself. And if any fail to judge by (the light of) what Allah hath revealed, they are (no better than) wrong-doers    จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 23:32:51

ความคิดเห็นที่ 27 คุณอาครับ ด้วยความเคารพ ด้วยหลักการทางความเชื่อ ผมเองเชื่อการรายงานตามสายรายงาน และผมเข่้าใจดีถึงแก่น ของอุลามอร์ ตาบีอีนของผมมิได้สอนให้หลุดกรอบของศรัทธา แต่อย่างใด ผมรับรองได้ สอนแบบที่ผมคิดนั้นแหละครับ มีเหตุมีผลมารองรับ และหัวไม่ชนฝาแน่นอน ด้วยประการที่ผมอภิปรายมา ข้างบน "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งรอซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองลงมาในหมู่พวกเขา เพื่อให้อ่านบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขาฟัง และอบรมสั่งสอนให้พวกเขาบริสุทธิ์ และให้สอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (อาล อิมรอน : 164) มันจบตั้งแต่ตรงนี้แล้วละครับ ดังนั้นสายรายงานใดที่เชื่อถือได้เราก็เอามา ไม่ใช่เราไม่เอาสักอันนึง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 55 23:39:48

ความคิดเห็นที่ 28 "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งรอซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองลงมาในหมู่พวกเขา เพื่อให้อ่านบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขาฟัง และอบรมสั่งสอนให้พวกเขาบริสุทธิ์ และให้สอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (อาล อิมรอน : 164) ข้อนี้ผมอธิบายชี้แจงแล้วครับว่าผมไม่มีอะไรขัดข้อง แต่ไม่มีอะไรที่กล่าวถึง "ฮาดีษ" ของ มุสลิม หรือ บุคอรี แม้แต่น้อย  ถ้าเราเชื่อว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นคือคำพูดของท่านรอซูล หรือตัวรอซุลแล้วจะถูกต้องหรือครับ ที่เราเชื่อว่า อัลกุรอานว่าเป็น"ฮาดีษ" ที่แท้จริงก็เพราะเหตุว่า เรามีศรัทธาต่ออัลลอฮ์ตะอาลาและศรัทธาต่อท่านรอซูล แต่ ท่านรอซูลไม่เคยหรือ กล่าวล่วงหน้าว่า ให้เชื่อเรื่องราวของ  อีมามบุคอรี  แต่ในทางตรงกันข้าม ท่านรอซุลสั่งห้าม การบันทึกสิ่งที่ เกี่ยวกับตัวท่านเว้นแต่ อัลกุรอานเท่านั้น   เอาเพียงเท่านี้ก็พอครับที่เหลือผมจะ เขียนต่อไป ถ้าคุณจิมไม่สนใจที่จะ คุยด้วยผมเข้าใจครับ   ขอบคุณที่สละเวลาให้ผมอย่างยาวนานพอสมควร จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 00:00:25

ความคิดเห็นที่ 29 คุณอา ด้วยความเคารพ ฮาดีษ คือตรงนี้ครับ ให้สอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (อาล อิมรอน : 164)    ถ้าคุณอาไม่เชื่อสายรายงาน บุคคอรี มุสลิม ของท่านอื่นก้มีนี่ครับ เอาอย่างงี้ง่ายๆ ทำไมผมเชื่อคุณอา ละครับ คุณอามีบางอย่าง ที่ผมเชื่อ ผมก็เลือกเชื่อ ในสิ่งที่คุณอาทำให้ผมเชื่อ ส่วนที่คุณอา มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมไม่เชื่อ ผมก็ไม่เอามาคิด อีกตัวอย่างนึง ผมสายกลาง หรือสายแอดวานซ์ แต่น้องๆในนี้สายอนุรักษ์นิยม ผมก้ไม่ไปขัดแย้งกับเค้า สิ่งไหนที่เค้าทำดีแล้ว ทำให้ศาสนานั้นมั่นคง ผมก็เห้นด้วย และสนับสนุน ไม่ว่ากิจกรรมอะไร ของศูณย์กลาง ของชมรมมุสลิมเพื่อสันติ ของกลุ่มอัซซาบิกูน ผมก็ไม่ได้เชื่อเขาทั้งหมด แต่ผมจะสนับสนุนในกิจกรรมที่ตรงกับอุดมการณ์ของอิสลาม อันไหน ที่ผมเห้นว่ามันไม่ชัดเจน ผมก็ไม่เดินตาม และผมก็ไม่ชี้ลงไป ไม่ลงไปในทะเลของวาทกรรม ใดๆ ไม่ยอมให้ความไม่เหมือน มาบั่นทอน ความสมัครสมานสามัคคีกัน ในกลุ่มชนอิสลาม สิ่งใดที่ผมทำผมคิดไม่เข้าท่า ไม่เข้าหลักการ ของน้องๆกลุ่มนี้ เค้าก็รักษาไว้ซึ่งความต่าง ไม่เข้ามายุ่งกับผม เพราะความไม่เข้าท่าของผมยังอยู่ในจุดที่เค้ารับได้ ตัวอย่างที่ผมยกมานั้น คือ การทำให้อิสลาม มีเอกภาพ และลดข้อโต้แย้งใดๆ ดังนั้นสายรายงานก็เช่นกัน มีนับร้อยนับพันสายรายงาน เราก็เลือกอันที่เราคิดว่าน่าเชื่อถือ แต่ไม่ใช่เราไปเหมารวมทั้งหมดว่าเชื่อถือไม่ได้ ด้วยความเคารพครับคุณอา แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 09:06:45 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 08:32:59 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 08:32:16 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 08:31:36 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 08:27:54

ความคิดเห็นที่ 30 ในศาสนาอิสลาม ไม่มีข้อเท็จจริง มีแต่ข้อจริง เราต้องรับหลักการตรงนี้ก่อนครับ ข้อเท็จจริง คือจริงมั่งไม่จริงมั่ง ดังนั้นสิ่งที่คุณอายกมา  มันก็จริง สิ่งที่น้องๆเค้ายกมามันก้จริง สิ่งที่ผมยกมามันก็จริง เมื่อมันจริงทั้งหมดแล้ว ใยเราต้องมานั่งโต้แย้งกันละครับ เราสู้เอาอายะห์กรุอาน ที่เป็นเชิงสร้างสันติให้กับสังคมมาอธิบายไม่ไดีกว่าหรือ เช่น อายะห์ของคุณอา “มุสลิมที่มีศรัทธาต่อพระเจ้าจะต้องแสดงออกให้เห็นของการมีความยุติธรรมอย่างมั่นคงเพื่อการเป็น พยานต่อพระเจ้า ถึงแม้ว่าการเป็นพยานเพื่อรักษาความยุติธรรมนั้นจะเป็นสิ่งที่ยืนยันความผิดของ ตัวเอง, หรือพ่อแม่ของเราเอง,หรือญาติพี่น้องของตัวเอง, หรือไม่ว่าจะเป็น ผู้ร่ำรวยหรือยากจนก็ตาม, ทั้งนี้เพราะว่า พระเจ้าจะไม่ปกป้องผู้ไม่เชื่อฟังพระองค์และตามใจชอบของเขาเอง, ไม่ทั้งผู้มีใจลำเอียง,บิดเบือนและปฏิเสธในความยุติธรรม,พระเจ้าทรงหยั้งรู้ในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่เรา กระ ทำ(4:135) อายะห์นี้ที่คุณอานำเสนอ มานั้นยอดเยี่ยม ถ้าคุณอาจะจับมุมมองทัศนคติ ที่เป็นบวก ไม่ก่อให้เกิดข้อพิพาท แล้วมานำเสนอต่อสาธารณะชน เรามีประเด็นต้องได้คุยกันอีกมากมาย นะครับ การมองนั้นมองได้หลายมุม องค์พระผู้อภิบาลของเรานั้นว่าสุดยอดที่สุด แต่ในสายตาต่างศาสนิก เค้ามองว่าเราเพ้อเจ้อ เราก็ต้องยืนในจุดที่เรายืนว่าสุดยอด อธิบายให้เค้าเห็น ว่าความเพิ้อเจ้อของเราตามเค้ามองนั้น คือความไม่เพ้อเจ้อของเรา ไม่ใช่เราไปวิ่งตามความคิดของเค้า ไปพยายามย้ำคิดย้ำทำในตรงนั้น ทำให้เค้ามองเราว่าเราเพ้อเจ้อจริงๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 08:44:58

ความคิดเห็นที่ 31 ด้วย คห ที่ 30 ประเด้นต่างศาสนิกมองเราด้วยความคิดว่าเราเพ้อเจ้อ ที่ผมยกตัวอย่างดังต่อไปนี้ -อิสลาม ด้วยกันมันยังทะเลาะกันเอง  ที่คือประเด้นของเค้า เราก็ต้องพิสูจน์ให้เค้าเห้นว่าเรามิได้ทะเลาะกันเอง มิใช่เราไปวิ่งตามเกมส์ หรือความคิดของเค้า -อิสลาม มีบทลงโทษที่โหดร้าย ทารุณ รับไม่ได้ เราก้ต้องพิสูจน์ชี้นำให้เค้าเห็นว่า สิ่งที่ว่ามันโหดร้ายนั้นคืออะไร ให้เค้าแยกแยะออกมาในระบบคิดของเค้า ว่ามันเป็นระบบการปกครอง ที่เป็นเอกสิทธของกลุ่มชน มิใช่มาสร้างประเด็น ซ้อนประเด้นขึ้นมา ว่า อย่าไปเชื่อไอ้พวกนี้ พวกนี้มันโหดร้ายทารุณ เข้าป่าเลยครับ แทนที่จะเข้าใจอิสลาม แบบจี้ดๆ ครานี้เข้าใจแบบออกทะเลไปเลย เพราะเราไปเดินตามระบบคิดของเค้าเอามาเป็นที่ตั้ง อิสลามนั้นสอนให้เราขาแข็ง ยืนบนหลักการ ผมอธิบายง่ายๆคือ เทียบเคียงกับ การเวลาเปิดปิดสำนักงาน สำนักงานทำงาน 8 .00-17.00 น. ผู้จะติดต่อธุรกิจ ย่อมมีกิจนอกเวลาทำการ ทุกคน แต่ผู้มีธุระก็ต้องถูกบังคับไปโดยปริยายว่าต้องมาติดต่อในเวลาทำการเท่านั้น ต้องรอ ถ้าเราทำงานเรื่อยเปื่อย ไม่มีเวลาเปิดปิดทำการที่แน่นอน เอาใจความคิดของคนมาติดต่อ ความวุ่นวายตามมาทันที แผนกนี้อยู่ทำการ อีกแผนกกลับบ้านไปแล้ว ต้องมานั่งจัดหาโอที ให้กับงานที่ไม่สำเร็จกระบวนการ เพราะรับงานไว้ก็ได้แค่ขาดๆเกินๆ ไม่คอมพลีทลี่  เป้นการ Lost งบประมาณโดยใช่เหตุ สู้เรายืนของเราให้แข็ง เค้ามาตามเวลา เราทำงานได้ครบกระบวนการมิเป้นการดีกว่าหรือครับ ให้เค้ามาอยู่ในเกมส์ของเรา เราจัดการตัวเราเองได้ง่ายกว่า ดังนั้น ต่างศาสนาเค้าต้องการให้เราอยากเป้นอะไร เราไม่ต้องไปวิ่งตามกระบวนการคิดของเค้า เรายืนของเราให้แข็งแรง ถ้าเค้าอยากที่จะยืนในที่เรายืนอยู่ให้เค้าก้าวหามาหาเราครับ แล้ววันนั้นเราจะอธิบายอย่างไร เค้าก็พร้อมที่รับฟังเราด้วยใจ ที่ปราศจากอคติใดๆ ขอพระองค์อัลเลาะห์ (ซบ) ทรงโปรด ส่วนผมต้องขอตัวไปพบแพทย์เพื่อนัดทำการผ่าตัด อาการของผม ในต้นสัปดาห์หน้า วัลลอฮ์ วัลเตาฟิกร์ วัลฮิดายะห์   แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 09:14:48 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 09:05:17 จากคุณ : จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 09:03:43

ความคิดเห็นที่ 32 ขออณุญาติ แบ่งปันข้อมูลครับ “คัมภีร์ (อัลกุรอ่าน) เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งมีความจำเริญ  เพื่อพวกเขาจะได้พินิจพิจารณา   อายาตต่าง ๆ ของอัลกุรอ่านและเพื่อปวงผู้มีสติปัญญาจะได้ใคร่ครวญ”    (ซูเราะฮ Saad 38:29) “พวกเขาไม่ได้ใคร่ครวญความหมายของอัลกุรอ่านอย่างแท้จริงหรอกหรือ  หรือว่าหัวใจของพวกเจ้า ถูกคลุมไว้ (จากการเข้าใจความหมายของมัน)”  (ซูเราะฮ Muhammad 47:24) ตรงนี้อัลเลาะห์ใช้ให้มนุษย์ใช้สติปัญญาใคร่ครวญกุรอ่าน ชัดเจนครับ และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย(ซูเราะห์อาลิอิมรอนโองการที่ 159 ) และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือกันระหว่างพวกเขา (ซูเราะห์ อัชชูรอ โองการที่ 38) ตรงนี้อัลเลาะห์นั้นใช้ให้มนุษย์ปรึกษาหารือกัน ชัดเจนครับ ดูชื่อซูเราะห์ได้เลยครับ “แน่นอนอัลลอฮทรงยกย่องบรรดาผู้ศรัทธาของพวกเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้รับความรู้หลายฐานันดร” (58:11) “ดังนั้น  เจ้าจงสอบถามผู้ที่มีความรู้เถิด  หากแม้นพวกเจาไม่รู้”   (16:43) อัลเลาะห์นั้นใช้ให้มนุษย์แสวงหาความรู้จากผู้รู้ และยกย่องและให้เกียรติมนุษย์ที่เป็นผู้รู้ ไว้มากมาย "แน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺนั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งรอซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองลงมาในหมู่พวกเขา เพื่อให้อ่านบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขาฟัง และอบรมสั่งสอนให้พวกเขาบริสุทธิ์ และให้สอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง" (อาล อิมรอน : 164) ชัดเจนมากครับ รอซูลสอนทั้งคัมภีร์ และ ความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนา ....................................................................................................................... จะเห็นได้ชัดว่า 1) อัลเลาะห์สร้างมนุษย์มาพร้อมกับสติปัญญา 2) อัลเลาะห์นั้นส่งรอซู้ลมาสั่งสอน ทั้ง คัมภีร์ และ ข้อปฏิบัติศาสนา 3) อัลเลาะห์นั้นใช้ให้มนุษย์ศึกษาหาความรู้จากผู้ที่เป็นผู้รู้ 4) อัลเลาะห์นั้นใช้ให้ใช้สติปัญญาในการใคร่ครวญกุรอ่าน 5) อัลเลาะห์นั้นยกย่องให้เกียรติผู้รู้อย่างมาก 6) อัลเลาห์ใช้ให้ทำการปรึกษาหารือในทุกกิจการ ตอนนี้นบีเสียชีวิตไปแล้ว ท่านได้ทิ้งกุรอ่าน และ ข้อปฏิบัติ ไว้เป็นมรดก กุรอ่าน นั้นถูกบันทึกไว้ชัดเจน และ จดจำโดย บรรดา ซอฮาบะห์ แต่รายละเอียดในการปฏิบัติก็ถูกบรรดาซอฮาบะห์จดจำ ทีนี้จะทำยังไงละจะให้รายละเอียดการปฏิบัติของท่านศาสดาถูกสืบทอดโดยไม่ผิดเพี้ยน ผมไม่เข้าใจครับ ในเมื่อ อัลเลาะห์ ประทานสติปัญญาให้มนุษย์ และพร้อม ประทานวิธีการใช้สติปัญญาที่มีความเชื่อมั่นได้ และผู้รู้ในอดีตก็ทำตามทั้ง 6 ข้อ ที่อัลเลาะห์ใช้ จึงเกิดเป็นฮาดิษขึ้นมา ผู้รู้ในอดีต เป็นผู้ที่ใกล้ชิดท่านศาสดา เป็นผู้ที่สืบสายเชือก คำสั่งสอนของท่าน ทำไมไม่เชื่อมั่นใน ศักยภาพของมนุษย์ ที่อัลเลาะห์ประทานมาให้ละครับ การอ่านกุรอ่านคนเดียว ไคร่ครวญคนเดียว คิดเองเออเอง เท่ากับเป็นการปฏิเสธ กุรอ่านในหลายๆอายะห์ข้างบนซึ่งอันตรายมากนะครับ อลิสซุนนะห์วั้ลญามาอะห์ (ตามแบบอย่างศาสดา และ เป็นTeam) นั้นปฏิบัติตามคำสั่งใช้ที่มีกำหนดในกุรอ่านได้อย่างชัดเจนที่สุดครับ ปล ผมไม่เข้าใจอยู่อีกอย่างหนึ่งครับ ในเมื่อฮาดิษเชื่อไม่ได้ แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่า นบีไม่เคยกล่าวเรื่องราวของอีหม่ามบุคอรี  แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่า ที่นบีห้ามการบันทึกฮาดิษนะ เป็นความจริงครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 10:51:48 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 10:12:15 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 09:47:15

ความคิดเห็นที่ 33 อยากให้ลองดูข้อมูลในสองเวบ นี้ ครับ http://www.fityah.com/index.php?option=com_content&task=view&id=554&Itemid=31 และ http://www.fityatulhaq.net/forum/index.php?topic=89.0;wap2 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 11:16:12

ความคิดเห็นที่ 34 "السلام عليكم" ผ่านมาอ่าน ที่ท่านผู้รู้ได้นำเสนอมา ผมไม่แปลกใจแล้วครับว่า ทำไมเพื่อนชาวซูดาน มารุมถามผมเรื่องภาษาของอัลกูรอ่านที่ใช้ในประเทศไทย ผมขอแชร์ประสปการณ์นิดหนึ่ง ครับ เมื่อก่อนตอนผมเข้ามหาลัยใหม่ๆที่ซูดานรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยครับว่าทำไม เพื่อนๆชาวซูดานของผมถึงได้มารุมถามผมว่าอัลกุรอ่านของประเทศไทยเขียนด้วยภาษา อะไรหรือ?ผมก็รีบถามพวกเขาไปว่าแล้วมีหรือที่องค์อัลเลาะห์ประทานอัลกุรอ่านด้วยภาษา อื่นนอกจากอาหรับนะ พวกเขาต่างก็พยักหน้าแล้วตอบพร้อมกันเป็นภาษาอาหรับว่า "مافيه" แปลว่าไม่มี, แล้วผมก็ตอบไปว่าประเทศผมก็เหมือนกันนั้นแหละเป็นภาษาอาหรับแต่ตัฟเซร เป็นภาษามลายูและภาษาไทย ก็เหมือน ตัฟเซรอาหรับเป็นอาหรับอีกทีนั้นแหละเพื่อนซูดาน จึงเห็นด้วย แต่คงไม่แน่ใจแล้วมีเพื่อนคนหนึ่งก็ลองให้ผมอ่านอัลกุรอ่านให้ฟัง ผมก็อ่านใด้ โดยไมผิดเพี้ยน หลังจากนั้นเพื่อนชาวซูดานของผมก็ยอมรับครับว่า เรามีอัลกุรอ่านที่เป็น ภาษาอาหรับเหมือนกัน จากประสปการณ์อันนี้ผมเห็นว่า การที่จะนำเสนอซูเราะห์หรืออาญะห์ บทไหนก็แล้วแต่ผมขอเสนอครับว่า ควรมี บทภาษาอาหรับนำก่อนแล้วค่อยแปลให้เป็นภาษา ที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจกัน อย่าหาว่าผมสอนนะครับเพราะคนความรู้น้อยนิดอย่างผมคงเทียบผู้รู้อีก หลายๆท่าน อย่างพี่จิม หรีอผู้รู้ท่านอื่นๆไม่ได้อยู่แล้วครับ นึกเสียว่าเป็นการช่วยรื้อฝื้นความนึก คิดเพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ท่านผู้เขียนและท่านผู้อ่านทั่วกันครับ ขออัลเลาะห์ทรงโปรดชี้ทางตรงให้พี่น้องร่วมศรัทธาในความเที่ยงตรงของอัลอิสลามทุกท่านครับ "والسلام" แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 12:01:40 จากคุณ : senyuman เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 11:56:47

ความคิดเห็นที่ 35 จริงๆ ผมไม่อยากเข้ามา เพราะดูจากการตั้งกระทู้ เป็นการตั้งเพื่อเลี่ยงการปะทะกับผมอย่างชัดเจน แต่เมื่อพาดพิงอิสลาม ผมจึงต้องมาชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นเสียหน่อย ตอนแรกมีการอ้างว่า นบี ปฏิบัติตามกุรอ่านอย่างเดียว แล้วอ้างโดยฉ้อฉลว่า ท่านนบีเป็นผู้นำกลุ่ม กุรอานิยูน (เป็นการตั้งข้อหาต่อท่านนบีอย่างบิดเบือนมาก) ดังนี้ กลุ่ม อะหุลุลกรุอาน ( กลุ่มที่ยึดถือกรุอานเพียงอย่างเดียว)  จะต้องเป็นกลุ่มแรก หรือเป็น Original ของศาสนาอิสลามในรูปแบบปัจจุบัน ซึ่งมีท่านรอซูลเป็น ผู้นำกลุ่ม ซึ่งมุสลิมทั้งโลกทุกๆคนไม่อาจจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้  แต่ต่อมาดันบอกว่า ท่านรอซูลมูฮัมมัดไม่ได้เป็นผู้  กำหนดพิธีการศาสนกิจที่มุสลิมปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้  แต่เป็นหลักการปฏิบัติ ที่อยู่ในศาสนาของท่านนบีอิบรอฮิม ซึ่งตรงนี้เท่ากับว่า ในทัศนะของผู้กล่าว ท่านนบีก็ไม่ใช่ ผู้ยึดกุรอ่านอย่างเดียวแล้วครับ แต่เป็นผู้ยึดเอาฮะดีษ หรือแบบอย่างซุนนะห์ของท่านนบีอิบรอฮีมมาด้วย เราจะเห็นได้ว่า มันเป็นความลักลั่น ย้อนแย้ง ไม่ลงตัว และมีข้อบกพร่องมาก เพราะเมื่อหนึ่งเมื่อใดอ้างว่า มุสลิมต้องใช้กุรอ่านเท่านั้นแล้ว ก็จะมีคำถามตามมาทันทีว่า แล้วเราจะปฏิบัติศาสนกิจอย่างไร เพราะกุรอ่านไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ คำตอบของพวกปฏิเสธฮะดีษ จะแตกทันที โดยบ้างก้ว่า บรรพบุรุษ บ้างก็ว่า นบีอิบรอฮีม แต่ทั้งสองข้ออ้าง แสดงให้เราเห็นได้ชัดเลยว่า มันคือการยึดสิ่งอื่น นอกจากกุรอ่านอยู่ดี แถมเป็นการยึดเอาสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานได้ด้วย เพราะถ้าบอกว่าทำตามบรรพบุรุษ เราก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า จริงหรือโกหก หรือจะอ้างท่านนบีอิบรอฮีม เราก็ตรวจสอบไม่ได้เช่นกันว่า ผู้ที่อ้างถึงนบีอิบรอฮีมนั้นคือใคร? โกหกหรือไม่?   นี่จึงเป็นความบกพร่อง และขัดแย้งกันเองของกลุ่มผู้ปฏิเสธฮะดีษอย่างเด่นชัด ประการต่อมาเรื่องการใช้ฮะดีษ กุรอ่านบอกชัดเจนว่า ท่านนบี ไม่ได้สอนเฉพาะกุรอ่านเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ท่านสอนอื่นเราต้องยึดด้วย และถ้าเราไม่เอาฮะดีษ เราจะไม่มีทางไหนเลยในการหาแหล่งที่เชื่อถือในการปฏิบัติตาม สิ่งอื่นที่ไม่ใช่กุรอ่าน ที่ท่านนบีสอนเรา ดังนั้น ผู้ใดปฏิเสธฮะดีษ จึงเสมือนหนึ่งเขาได้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามโองการที่เราปฏิบัติตามนบีไปโดยปริยายนั่นเอง   และคำอ้างว่าท่านยึดกุรอ่านเท่านั้นไหม? ก็ปรากฎว่า การละหมาดไม่ได้มีรายละเอียดในกุรอ่าน แล้วท่านละหมาดตามแบบใคร ซึ่งนักวิชาการได้บอกเราว่า ท่านละหมาดตามที่ท่านญิบรออีลสอนครับ ก่อนซุบฮ์เล็กน้อยของคืนอิสรออฺ  ท่านญิบรีลได้มาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เพื่อทำการสอนท่านเกี่ยวกับวิธีละหมาด  และเวลาละหมาดคือ มี 2 ร่อกะอัตเมื่อแสงอรุณขึ้น  มี 4 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์คล้อย  4 ร่อกะอัตเมื่อเงาของสิ่งหนึ่งเท่าตัวมันเอง  3 ร่อกะอัตเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  4 ร่อกะอัตเมื่อแสงแดงลับขอบฟ้า  ก่อนที่ละหมาด 5 เวลา จะถูกบัญญัติขึ้นนั้น  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เคยละหมาด 2 เวลา คือตอนเช้าและตอนเย็นเหมือนกับที่ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม เคยปฏิบัติมาก่อนหน้านี้ วัลลอฮุอะลัม http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=1071.0   จึงชัดเจนเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างอันฉ้อฉลของกลุ่มผู้ปฏิเสธฮะดีษว่าบิดเบือนมาก นี่คือสิ่งที่ผมจำเป็นต้องชี้แจงถึงความฉ้อฉล ของพวกปฏิเสธฮะดีษ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 12:06:49

ความคิดเห็นที่ 36 มุสลิมทุกท่านในโลกนี้ ไม่ว่าสังกัดสายใดก็แล้วแต่ที่มีเป็นหลายร้อยสายล้วนมีสายเชือกหลักเดียวกันที่ยึดโยงกันดั่งใยแมงมุม นั่นหมายถึงการที่ทำให้โลกนั้นหมุนตามศาสนา มิใช่ให้ศาสนาหมุนตามโลก ในที่นี้ในสายซูนนะห์วัลญามาอะห์ ที่บางท่านอาจเข้าใจว่าตามนบี มิใช่ตามกรุอาน แม้นกระทั่งสายอื่นๆก็ตาม ไม่ว่าจะ ซูฟียร์ แมซลาวี ชีอะห์ อะห์ลุ้ลกรุอาน ฯลฯ ******ล้วนตามกรุอานทั้งนั้น**** ด้วยประการดั่งนี้ ผมจีงไม่ต่อว่าต่อขานใดๆ ในหลายสายหลายแนงทางนับร้อย แต่สิ่งที่ผมไม่สนับสนุน นั้นคือ ใครก็ตามที่อยู่ในสายนั้นๆ แปรเจตนารมย์ของอัลอิสลาม ให้ไปตามโลก ทำอย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วย และคิดว่าการทำตนแบบนั้น ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่ ในข้อคิดเห็นต่อไปข้างล่าง นี้ผมต้อขอมาอัฟทุกท่านรวมทั้งคุณอาแมท ด้วยผมไม่จงเจตนาว่าใครตำหนิใคร แต่ผมพูดด้วยหลักการวิธีคิด ในทัศนะของผม มีคนสองคนเดินเข้ามา บอกในสิ่งที่เหมือนกัน 1.คนแรกปฏิบัตตนตามห้ามตามใช้ของศาสนา 2.กับอีกท่านนึง โลเล ไหวตามลม ไอ้นั่นก็ไม่เอาไอ้นี่ก็ไม่เอา ผมถามว่าคนใดที่น่าเชื่อถือมากกว่า? 1.กับการรายงานต่างๆทางศาสนาอิสลาม ด้วยอัครสาวก และ กลุ่มตาบีอีน 2.กับคนอีกกลุ่ม มาจากที่ใดไม่ทราบสาเหตุมาถึง คนนั้นก็ไม่ถูกคนนั้นก็ผิด สายไหนก็เชื่อไม่ได้สักสาย ต้องสายฉันเท่านั้น และที่สำคัญรายงานตามความคิดเห็นของตนเอง ผมถามว่าคนใดที่น่าเชื่อถือมากกว่า? อีกตัวอย่างนึง สำหรับต่างศาสนิกเพื่อเข้าใจง่ายๆ 1.คนที่มาบอกท่านนึง เป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติเคร่งครัด 2.กับอีกคนนึง ศีลอะไรก็ไม่เอาสักข้อ ไม้หลักปักเลน ทั้ง2-3ตัวอย่าง ผมใคร่ถามไปว่า ท่านใดน่าเชื่อถือมากกว่ากัน? ด้วยประการดั่งนี้ คือเหตุผลเบื่้องต้นว่า ทำไมผมถึงเลือกเชื่อท่านนบี เชื่อ อัครสาวก และเชื่อกลุ่มตาบีอีน ว่าเป็นผู้เดินตามอัลกรุอานอย่างแท้จริง แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 15:34:32 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 15:32:48 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 15:28:51 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 15:27:02 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 15:20:34

ความคิดเห็นที่ 37 ทะนี้ มาดู คุณสมบัติ -ท่านนบี เป็นผู้ที่เอกองค์อัลเลาะห์ไว้วางพระทัย มอบหมายภาระกิจเป้นผู้นำอัลอิสลาม -ท่านอัครสาวก คอลีฟะห์ ทั้ง 4 คือคนที่เดินตามท่านนบีทุกกระเบียดนิ้ว -กลุ่มตาบีอีน คือกลุ่มที่เดินตามท่านนบี และกลุ่มอัครสาวกอย่างเข้มแข็ง ด้วยเครื่องหมายทางภาษา ++++  อาจทำให้เข้าใจผิดไปได้ว่า ความคิดถูกแตกแยกออกไปมีการนำมาผสมปนเปกัน แท้ที่จริงแล้ว ผมควรใช้เครื่องหมายห่วงโซ่ ที่ยึดโยงกัน จากต้นโซ่ คือเอกองค์อัลเลาะห์(ซบ) อัลกรุอาน ท่่านนบี อัครสาวก ตาบีอีน ผู้รู้ทางศาสนา คณาจารย์ ครุบาอาจารย์ พ่อแม่ เรา  แล้วไล่ทวนขึ้นไป ย้อนศรขึ้นไป เราก้จะไปพบกับพระองค์อัลเลาะห์(ซบ)ในขั้นสุดท้าย นั่นเอง ถ้าเราบอกว่า เราเอาอย่างใดอย่างนึง และบายพาสไป ผมคิดว่า แล้วกระบวนการทั้งหมด มันจะสมบูรณ์ได้เช่นไร ถึงแม้นว่าเราจะเกิดทีนในสมัยนบีก็ตาม เราเอาอัลเลาะห์ อย่างเดียว อย่างอื่นฉันไม่สน แล้วเราจะเดินทางไปถึงพระองค์ได้เช่นไร ในเมื่อเราทำลายถนนเหล่านั้นไปหมดแล้ว ด้วยตัวเราเอง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 15:46:55

ความคิดเห็นที่ 38 พอผมอธิบายแบบนี้ บางท่านอาจเข้าใจว่า อย่างงี้พี่จิม ก้ตั้งภาคีสิ ผมก้ต้องมาอธิบายต่อไปว่า หัวใจของการศรัทธาของผมนั้นและผมเชื่อว่ามุสลิมทุกท่านในโลกใบนี้ เอาหัวใจยึดไว้ที่พระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว นั่นคือเป้าหมาย และปลายทาง แต่หนทางที่จะเดินไปเล่า เราเกิดมา พอรู้ความ อ้อแอ้ เรารู้จักพระองค์อัลเลาะห์ รู้จักศาสนาอิสลามโดยอัตโนมัติ หรือไม่ ? เรารู้ด้วยอะไร ?  เรารู้โดยผุ้ที่ทำการเลี้ยวดูเราใช่ไหม พร่ำบอกเรา ว่าศาสนาของเราคืออะไร ใครคือพระผุ้อภิบาลของเรา ดังนั้น พ่อแม่เรา ครุบาอาจารย์ที่สอนพ่อแม่เรามา ไล่ขึ้นไปจนถึงท่านศาสดา นั่นคือถนน ที่เราจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้ คือเอกองค์อัลเลาะห์(ซบ)  เราไปกราบไหว้ ถนน หรือป่าวละ เราไปยกย่องถนนเทียบเท่าพระองค์หรือไม่ ถ้าหลักคิดของเราว่า ถนน คือถนน ที่จะนำพาเราไป พระองค์คือเส้นชัยของเรา การตั้งภาคีก็ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 15:57:57

ความคิดเห็นที่ 39   อัซซาลามุอาลัยกุม คุณจิม ผมเข้าใจว่าคุณกำลังศีลอดอยู่, และเจ็บป่วยต้องการจะพักผอ่นผมจึงหยุดการคุยไปนอนพัก ผ่อน เพราะคืนนี้ต้องทำงาน แต่เมื่อตื่นมาทานข้าว ซุโฮร์ หลังจากประกอบธุระประจำเสร็จ เข้ามาอ่านก็เห็นการ เขียนของ คุณซึ่งเป็นการ โต้เถียงกันระหว่าง กลุ่มมากกว่าการ ใช้หลักการเขียนคุยกัน ตามที่ผมตั้งใจไว้ หลักการที่คุณอธิบายนั้นเป็นหลักการของการสังคมในระหว่างมุสลิม เพื่อไม่ให้มีการทะเลาะกัน และเป็นการแทรกของผู้ที่ไม่ชอบอิสลาม โดยที่พยายามไม่มอง ความผืดพลาดในการปฏิบัติที่ไม่ตรงตามหลักการของอิสลาม ของมุสลิมบางกลุ่ม แล้วชี้แจงให้ถูกต้องทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่วัตถุประสงค์ของผมต้องการสนทนากับคุณแบบหลักการจากตัวบทในอัลกุรอาน VS.หลักการที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้น ถ้าคุณอ่านหัวข้อกระทู้ให้เข้าใจ เพราะ ผม ไม่ ต้องการที่จะโต้เถียงกัน แล้วลงเอยด้วยไม่เกิดผลอะไร  เช่นการโต้วาทีว่าใครจะมี คำคมมากกว่ากัน     การสนทนาในรูปแบบการใช้อัลกุรอานและ ความยุติธรรมเป็นบรรทัดฐาน นั้น เป็นการยืนอยู่บนหลักที่มั่นคงของ "หลักการอิสลาม" อย่างที่คุณ อธิบายอบรมให้ผมฟัง,ซึ่งผมก็ยอมรับฟัง โดยพยายามที่จะไม่เอามาใส่ใจในทางลบ    ผมมุ่งหวังจะ อธิบาย บัญญัติ ที่  16:44 และ 3:164  ว่า เป็นบัญญัติในอัลกุรอาน ที่อนุมัติให้ "มุสลิมสามารถที่จะใช้ อะฮาดีษ เป็นหลักในการบัญญัติิข้อปฏิบัติิในศาสนาอิสลาม และ มีความเทียบเท่ากับอัลกุรอานได้หรือไม?   ซึ่งการสนทนานี้ไม่เป็นการเอาใจผู้ต่างศาสนาหรือ วิ่งไปตามโลกหรือความพอใจของผู้ต่างศรัทธา  ผมไม่มีความต้องการที่จะนำอิสลามมาให้ผู้ดนเหยียบย่ำ แต่ต้องการจะให้เขาเข้าใจให้ถูกต้อง     คุณจะเห็นว่าการสนนาได้กลายเป็นการเหน็บแนมไปแล้วแต่อย่างไรก็ตามผมยังเข้าใจในเจตนาดีของคุณเพราะผมทราบและรู้จักคุณ,มากกว่าที่บนหน้าเวบไซด์ ผมจึงรักคุณและนับถือคุณเหมือนบุคคลในครอบครัว เนื่องจากความสุภาพของคุณเป็นส่วนตัวที่มีต่อผม  ไม่มีผู้ใดที่จะดีไปกว่าผู้ที่มีความรักความกตัญญูต่อ พ่อแม่ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครผมเคยบอกคุณในที่สาธารณะในที่นี้มาแล้ว เมื่อตอนที่คุณพ่อไม่สบาย    ผมขึ้นต้นกระทู้ด้วยบัญญัติในอัลกุรอานที่คุณชอบ ก็เพื่อให้การสนทนาของเรา อยู่บนหลักที่มั่นคงไม่คล้อยไปตามโลกอิสลามและโลกของผู้ต่างศรัทธา   คุณอาจจะเข้าใจผิดว่าผมโลเลในเรื่องศาสนา หรือพยายามทำลายหลักการของอิสลาม  แต่เป้าหมายผมไม่ได้อยู่ในสังคมมุสลิมเท่านั้น เป้าหมายใหญ่คือให้ผู้ต่างศรัทธาจากอิสลามให้เข้าใจหลักการของอิสลามให้ถูกต้อง เพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใจผิด และนำอิสลามมาดูถูกเหยียดหยาม, อย่างที่ผ่านมาแล้ว ผมได้บอกให้คุณทราบอย่างชัดเจนแล้ว  การป้องกันอิสลามคือการสร้างรั้ว แห่งความเข้าใจ ไม่ใช่ ป้องกันโดยการดึงอิสลามและศาสนาอื่นๆมาเหยียบย่ำกัน    ผมยังคงเขียนต่อไปเนื่องจากหัวข้อกระทู้ผมต้องการจะอธิบายความจริงและตอบคำถาม ตามหัวข้อกระทู้ของผม  ถ้าคุณสุขภาพดีเมื่อใดและยินดีจะสนทนากันต่อ ผมจะยินดีมาก ทีเดียว  ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจเจตนาและความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณเป็นส่วนตัว   เดือนนี้เป็นเดือนที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะคุยกันเรื่องความสำคัญของบัญญัติต่างๆในอัลกุรอาน โดยหาความเข้าใจและการ อธิบายที่ถูกต้องมาแสดง  จากหัวข้อกระทู้ของผม คำตอบ คำถามข้างล่างนี้ จะเป็นการวางรากฐานในการตอบคำถามในหัวข้อกระทู้    บัญญัติ ที่  16:44 และ 3:164  เป็นบัญญัติในอัลกุรอาน ที่อนุมัติให้ "มุสลิมสามารถที่จะใช้ "อะฮาดีษ"  เป็นหลักในการบัญญัติิข้อปฏิบัติ หรือบทลงโทษ ในศาสนาอิสลามเทียบเท่ากับอัลกุรอาน หรือไม? ผมหวังว่าคุณจิม,คงเข้าใจเจตนาของผม ขอองค์อัลลออ์ตะอาลาทรงคุ้มครองคุณให้การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีและกลับสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว วัสลามฯ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 19:27:02 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 19:14:59 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 55 18:33:25 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 18:30:17

ความคิดเห็นที่ 40 ก่อนที่จะดำเนินต่อไปขอสรุปเท่าที่ได้เขียนมาตั้งแต่ต้นไว้ดังนี้ 1.การเชื่อและศรัทธาต่ออัลกุรอานว่าเป็นบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงก็คือการเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม ซุนนะห์ของท่านรอซูลอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ต้องผ่านมือที่สาม คือเชื่ออย่างแน่นอนว่า “อัลลออ์ตะอาลาเท่านั้น สมควรต่อการเคารพบูชาและ”ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดคือศาสนทูตที่แท้จริงของพระองค์”   2.เพื่อเป็นการเตือนใจพี่น้องมุสลิมด้วยกันผมขออ้างอิง บัญญัติในอัลกุรอาน 2 บัญญัติ ดังต่อไปนี้ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَلَا تَمُوتُنَّ إِلَّا وَأَنْتُمْ مُسْلِمُونَ {102} وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ وَاذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَانًا وَكُنْتُمْ عَلَىٰ شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا ۗ كَذَٰلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ {103} โอ,บรรดาผู้มีศรัทธา! จงยำเกรงอัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตาย นอกจากพวกเจ้าจะอยู่ในฐานะเป็นผู้สวามิภักดิ์เท่านั้น(3:102), และพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า  เพราะพวกเจ้า เคยเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงประสานระหว่างดวงใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้า ก็กลายเป็นภราดรกัน ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเจ้า เคยอยู่บนปากหลุมแห่งเพลิงนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้า ให้พ้นจากมัน เช่นนั้น อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวก เจ้า เพื่อพวกเจ้า จะได้รับทางนำ (3:103) 3.บรรดาผู้ที่ยึดถืออัลกุรอานเพียงอย่างเดียว คือมุสลิมกลุ่มแรก หรือเป็น Original ของศาสนาอิสลามในรูปแบบปัจจุบัน ซึ่งมีท่านรอซูลเป็น ผู้นำกลุ่ม ซึ่งมุสลิมทั้งโลกทุกๆคนไม่อาจจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ 4.จากอัลกุรอานบัญญัติที่ 3:164หน้าที่ของท่านรอซูลคือ ก.ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ทำหน้าที่เป็นครู เพื่ออ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้บรรดาสาวกผู้ติดตามและผู้ศรัทธาซึ่งไม่มีเรื่องอื่นใดเจือปนนอกจากบัญญัติในอัลกุรอานเท่านั้น ข. คำสอนและสาระในอัลกุรอานซึ่งพระเจ้าประทานให้เพื่อชำระจิตใจความเชื่อทางจิตวิญญาณและซึ่งเป็นต้นเหตุของการปฏิบัติที่ชั่วช้าต่างๆของบุคคลในยุคมืดให้เห็นแสงสว่าง และแนวทางคุณธรรมที่ถูกต้อง ค. ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ได้อธิบาย الْحِكْمَةَ  หรือภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา เช่นความมีเมตตากรุณาของพระเจ้า ต่อมวลมนุษยชาติที่ประทานสิ่งเจือจุนต่อชีวิมนุษย์ รวมทั้งการ รื้อฟื้นการปฏิบัติศาสนกิจ การละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายกุศลทาน การทำฮัจจฺ  ซึ่งสืบต่อมาจากท่านนบีอิบรอฮิม หมายเหตุ:   สำหรับการชำระจิตใจให้สะอาดนั้น "อัลลอฮ์ตะอาลา" ทรงเป็นผู้ ชำระจิตใจของมนุษย์ รวมทั้งท่านรอซูลและครอบครัวของท่านด้วยด้วย 4.ท่านรอซูลมูฮัมมัดไม่ใช่ผู้ที่  กำหนดพิธีการศาสนกิจที่มุสลิมปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้  แต่เป็นหลักการปฏิบัติ ที่อยู่ในศาสนาของท่านนบีอิบรอฮิม (อิสลาม) ตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลหัจญ์ บัญญัติที่ 78 ดังนี้ وَجَاهِدُوا فِي اللَّهِ حَقَّ جِهَادِهِ ۚ هُوَ اجْتَبَاكُمْ وَمَا جَعَلَ عَلَيْكُمْ فِي الدِّينِ مِنْ حَرَجٍ ۚ مِلَّةَ أَبِيكُمْ إِبْرَاهِيمَ ۚ هُوَ سَمَّاكُمُ الْمُسْلِمِينَ مِنْ قَبْلُ وَفِي هَٰذَا لِيَكُونَ الرَّسُولُ شَهِيدًا عَلَيْكُمْ وَتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ ۚ فَأَقِيمُوا الصَّلَاةَ وَآتُوا الزَّكَاةَ وَاعْتَصِمُوا بِاللَّهِ هُوَ مَوْلَاكُمْ ۖ فَنِعْمَ الْمَوْلَىٰ وَنِعْمَ النَّصِيرُ {78}  และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้เรื่องของศาสนาเป็นความลําบากแก่พวกเจ้า เลย คือศาสนาของอิบรอฮีมบรรพบุรุษของพวก เจ้า พระองค์ทรงขนานนามพวกเจ้า ว่า "บรรดามุสลิม" ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอาน เพื่อศาสนทูตจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้า จะได้เป็นพยานต่อปวงมนุษย์ ดังนั้นพวกเจ้า จงดํารงการนมาซ และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ พระองค์คือพระผู้ทรงคุ้มครองพวก เจ้า พระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศยิ่งนัก และพระผู้ทรงช่วยเหลือที่ดียิ่งนัก (22:78) 5.  "ฮาดีษอ้างถึงเตารอตซึ่งความเข้าใจโดยทั่วไปเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์โตราห์" the Torah (also known as the Five Books of Moses or the Pentateuch) means instructions, that is why Tawrat does not refer to the entire Tanakh or Old Testament. All prophets governed with Tawrat 5:44, and meaning of Tawrat as per Qur'an is the Law, mentioned in 5:45; 6.มุสลิมจะต้อง "ยึดอัลกุรอานเป็นแหล่งวิชาของศาสนาอิสลามเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น" 7. ถ้ามุสลิมไม่เชื่อฟัง ต่อท่านรอซูลของพระเจ้าแล้ว เขาจะไม่ใช่ผู้ศรัทธาต่ออิสสาม 8. อิสลามห้ามเทิดทูลศาสดาจนเกินหน้าที่ของท่านและความป็นมนุษย์ เรื่องที่จะแสดงความคิดเห็นต่อไปคือ "บัญญัติ ที่  16:44 และ 3:164  เป็นบัญญัติในอัลกุรอาน ที่อนุมัติให้ "มุสลิมสามารถที่จะใช้ "อะฮาดีษ"  เป็นหลักในการบัญญัติิข้อปฏิบัติ หรือบทลงโทษ ในศาสนาอิสลามเทียบเท่ากับอัลกุรอาน หรือไม?" จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 20:38:27

ความคิดเห็นที่ 41 คุณอาแมทที่เคารพ ผมเรียนด้วยความสัจจริง ผมไม่ได้เหน็บใครๆ แต่ผมพูดด้วยหลักการที่ผมยึดถือ ถ้าคุณอาจามผลงานผม ไม่ว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องเรื่องศาสนา เวลาผมจะมองอะไร ผมจะถอดหัวโขนออก สิ่งที่ผมมอง ผมมองมุสลิมไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ผมมองด้วย Bird eye view มิใช่ผมมองในฐานะผมซุนนะห์วัลญามอะห์ ผมมองว่าในฐานะมุสลิมคนนึง ว่า มันจะยิงถล่มกันทำไมฟะ ให้ต่างศาสนาเห็น ไม่จุดประเด้น ก็ไม่มีประเด้น คุณอา ครับ ผมเองก็ไม่ได้สบอารมย์ ของ แต่ละกลุ่ม ที่ออกอากาศในทีวี ท้าดวลกัน ผมนึกในใจว่า มันจะแย่งกันเป็นโตะครูกันทำไม สมัยผมไม่เห็นโตะครู เค้าจะออกมาถล่มกัน แบบสมัยนี้ ผมว่าผู้รู้มันเยอะครับ แต่ที่รู้จริงมันน้อย ผมเองผมบอกตนเองเสมอผมไม่ขอเป้นโตะครู และเวลาผมสอน ผู้อื่น ผมก้สอนให้ปฏิบัติตนให้ดีตามศาสนาไม่ให้ไปถล่มคนอื่น ส่วนเรื่องต่างศาสนาไม่เข้าใจอิสลามก็ปล่อยเค้าไม่เข้าใจต่อไปครับ เค้าเหยีบย่ำอิสลาม ก็เหยียบคืน ครับคุณอา เราไม่จำเป็นต้องไปแคร์คนที่หาเรื่อง เราอธิบายเข้าทางเค้า เค้าก็โอเค เราอธิบายไม่เข้ารูหู มันก็ด่า เพื่อนต่างศาสนิกที่เค้าเข้าใจเราให้เกียตริเรามีมากมาย อย่าไปเสียเวลากับพวกหาเรื่อง ไม่มีประโยชน์ครับ เราให้เกียตริเค้า เค้าให้เกียตรเรา เราให้เกียติเค้า  เค้าดูถูกเรา ก็ดูถูกกลับไป อย่าไปเสียเวลากับสิ่งที่ไร้ค่า คนที่เห้นคุณค่าของเรามีอีกมากมาย สู้เอาเวลาตรงนั้นไปอธิบายให้คนที่พร้อมรับฟังดีกว่าครับ คุณอาคงรู้จัก ดร. อะฮฺมัด ศุบฮี มันศูร ชาวอิยิปต์ ที่อยู่ในนอร์เธินเวอร์จิเนีย แนวคิดแบบนี้แหละที่ผมไม่เอาด้วย ที่พยายามง้อคนอื่นจนเสียจุดยืนของตนเองไป หรือ ไปรับเงินใครเค้ามา ถึงยอมทิ้งจุดยืนของตนเอง       จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 20:49:35

ความคิดเห็นที่ 42 ขออมาอัฟ ด้วยผมไม่ทันเห็น คห 40 นะครับ จากคุณ : จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 20:50:48

ความคิดเห็นที่ 43 รบกวนคุณอาเขียน ฝากไว้นะครับ ผมละหมาดตะรอเวียะอ์ กับคนในครอบครัวก่อนนะครับ จากคุณ : Jimbovy เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 55 20:56:15

ความคิดเห็นที่ 44 ยังไงผมก็ไม่เข้าใจครับ เรื่องกุรอ่าน กับ ฮาดิษ มัน common sense มากๆ ใช้สติปัญญาของคนปกติก็คิดได้แล้ว อุปมาดั่ง ในห้องเรียน คุณครู ชื่อ มูฮัมหมัด สอนวิชาอิสลาม โดยมี หนังสือชื่อ กุรอ่าน เป็นตำราเรียน นักเรียน ก็เลคเชอร์ จดตามที่ครูสอน  คุณครูก็บอกว่า จดเฉพาะ กุรอ่านนะ การประยุกต์ใช้ (สุนนะห์) อย่าเพิ่งจดนะ ให้จำไว้ก่อน เดี๋ยว กุรอ่าน กับการประยุกต์ใช้(สุนนะห์) จะผสมกันมั่ว นักเรียนบางคน ก็ถามคุณครู ถ้าผมจดแยกกันละ ระหว่างกุรอ่าน กับสุนนะห์ละทำได้ไหมครับ เพราะผมกลัวจะหลงลืม คุณครูมูฮัมหมัด ก็บอก OK พอมีปัญหานักเรียนก็ถามคุณครู คุณครูก็อธิบาย นักเรียนบางคนก็จด นักเรียนบางคนก็จำเอา ดังนั้นนักเรียนในห้องเรียนก็มีทั้งประเภท 1) มีเลคเชอร์กุรอ่าน การประยุกต์ใช้ก็จำเอา 2) มีเลคเชอร์กุรอ่าน กับเลคเชอร์การปะยุกต์ใช้ 3) จำกุรอ่าน จำการประยุกต์ใช้ พอเวลาผ่านไปคุณครูเสียชีวิต นักเรียนในห้องบางคนก็เสียชีวิต นักเรียนคนโปรด ชื่อ อบูบักร อุมัร อุสมาน ก็ดำริจะรวบรวมกุรอ่าน ก็ทำกันจนเสร็จสิ้น วิชาก็สอนกันต่อ ทีนี้ ไอ้เจ้าการประยุกต์ใช้ ที่บอกต่อๆกันมา และที่จดบันทึก มันใช่หรือเปล่า เพราะลูกศิษย์รุ่นแรก ก็เริ่มเสียชีวิตลงแล้ว นักเรียนหัวดี ชื่ออบูฮะนีฟะห์ ก็มองว่า กุรอ่าน รวบรวมเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มั่ว ดั่งเจตนารมย์ของคุณครูมูอัมหมัด ก็ทำการรวบรวมการประยุกต์ใช้ จากผู้ที่ได้จำ และบันทึกมา นักเรียนหัวดีรุ่นถัดมาชื่อบุคอรี ก็คิดวิธีคัดกรอง ที่สามารถทำให้เชื่อมั่นได้ว่า เป็นการประยุกต์ใช้ของคุณครูมูฮัมหมัดจริงๆ แล้วทำการคัดเอาแต่ที่เป็นหัวกระทิจริงๆ มาเป็นหนังสือเรียกว่าฮาดิษ นักเรียนคนอื่นๆ มาดูก็ต่างก็บอกว่า เจ๋งนี่หว่า และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาศิษย์ตางๆ ของคุณครูมูฮัมหมัด ก็เริ่มใช้ กุรอ่าน เป็นตำราเรียน และหนังสือรวบรวมการประยุกต์ใช้ ชื่อฮาดิษ เป็นหนังสือ อ้างอิงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกท่านส่วนใหญ่ก็เคยเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ก็ใช้ตำราเรียน และก็ใช้ หนังสือแบบฝึกหัด ที่เราๆเรียกว่าเทค กันเป็นปกติ ฮาดิษมันก็คือ เทค ที่เราใช้ๆกัน ในการเรียนมหาวิทยาลัย common sense มากๆ ใช้แต่ตำราเรียน ไม่ใช้เทคประกอบ เพื่อนเตือน เพื่อนบอก ก็ดื้อ แล้วมันจะเข้าใจ วิชาการได้ยังไง เจอโจทย์แปลกๆมา หงายท้องกลิ้งเข้ารกเข้าพงหมดสิคร้าาาบ แปลก จริงๆ ครับ การทำแบบนี้ มันเป็นการเทิดทูน คุณครูมูฮัมหมัด เกินความเป็นมนุษย์ตรงไหน แปลกโคตรๆ เลยครับ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 13:45:04 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 12:14:51 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 12:13:50 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 12:11:49

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องของเรื่อง อ่านตามอายะห์กรุอานที่ให้ความหมายมา มุสลิม   ร้อยละ 90%   ก็เข้าใจ เหมือนกับที่เรา เข้าใจ  وَجَاهِدُوا فِي اللَّهِ حَقَّ جِهَادِهِ ۚ هُوَ اجْتَبَاكُمْ وَمَا جَعَلَ عَلَيْكُمْ فِي الدِّينِ مِنْ حَرَجٍ ۚ مِلَّةَ أَبِيكُمْ إِبْرَاهِيمَ ۚ هُوَ سَمَّاكُمُ الْمُسْلِمِينَ مِنْ قَبْلُ وَفِي هَٰذَا لِيَكُونَ الرَّسُولُ شَهِيدًا عَلَيْكُمْ وَتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ ۚ فَأَقِيمُوا الصَّلَاةَ وَآتُوا الزَّكَاةَ وَاعْتَصِمُوا بِاللَّهِ هُوَ مَوْلَاكُمْ ۖ فَنِعْمَ الْمَوْلَىٰ وَنِعْمَ النَّصِيرُ {78} และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้เรื่องของศาสนาเป็นความลําบากแก่พวกเจ้า เลย คือศาสนาของอิบรอฮีมบรรพบุรุษของพวก เจ้า พระองค์ทรงขนานนามพวกเจ้า ว่า "บรรดามุสลิม" ในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอาน เพื่อศาสนทูตจะได้เป็นพยานต่อพวกเจ้า และพวกเจ้า จะได้เป็นพยานต่อปวงมนุษย์ ดังนั้นพวกเจ้า จงดํารงการนมาซ และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ พระองค์คือพระผู้ทรงคุ้มครองพวก เจ้า พระองค์คือผู้คุ้มครองที่ดีเลิศยิ่งนัก และพระผู้ทรงช่วยเหลือที่ดียิ่งนัก (22:78) รงที่ผมขีดเส้นใต้ ไม่ต้องไปคิดให้ลึกซึ้้งอะไร บอกว่า ศาสนาที่นบีอิบรอฮีมบรรพบุรุษของพสกเรานั้นนับถือ ก็คือศาสนาอิสลาม และมีคัมภีร์ก่อนๆถุกประทานลงมา และในที่สุดฉบับก้คือคัมภีร์อัลกรุอาน บริบทเต็มมันจบไปตั้งแต่ตอนนี้แล้ว  ส่วนเรื่องอิสลาม ในยุคนบีมูฮำหมัด กับคัมภีร์กรุอาน ก็มาว่ากันเรื่องคัมภีร์อัลกรุอาน กับเรื่องท่านนบีมูฮำหมัด ถ้าไปว่าเรื่อง คัมภีร์ ในสมัยโบราน สารพัดคัมภีร์ มันมิยุ่งตายหรอครับ ไม่มีใครสักคนเคยเห็นคัมภีร์ก่อน คัมภีรือัลกรุอาน ฉบับออริจินัล สักราย มีใครเคยเห็นคัมภีร์สมัยท่านนบีอิบรอฮีมหรือไม่ มีใครเคยเห็นคัมภีร์ เตาร้อดหรือไม่ มีใครเคยเห้นคัมภีร์อินญีล หรือไม่ อย่างที่ท่าน Ghanees ว่านั้นแหละ ใช้หลักCommon sense มุสลิมส่วนใหญ่ในโลก เค้าก็อ่านเหมือนกับที่เราอ่านและเข้าใจเหมือนกับที่เราเข้าใจ นอกจากเราจงใจ ให้เป็นอย่างอื่นนั้นแล  จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 14:34:37

ความคิดเห็นที่ 46 ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ การจะเป็นมุสลิมแต่ ไม่เอาฮะดีษ เอาแต่เฉพาะกุรอ่านอย่างเดียว มันไม่สมเหตุสมผลหรอกครับ เราก็ทราบว่า ในกุรอ่านไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องละหมาด แล้วท่านนบีได้วิธีละหมาดจากไหน? แน่นอนว่าไม่ใช่กุรอ่าน แล้วจะบอกว่ายึดแต่กุรอ่านอย่างเดียว ปฏิเสธฮะดีษได้อย่างไร? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 18:05:01

ความคิดเห็นที่ 47   ขอบคุณมากครับที่คุณทั้งสองช่วยอธิบาย ความง่ายในการเข้าใจหลักการของศาสนาอิสลาม, ซึ่งทำให้ผมสามารถเข้าใจฮาดีษข้างล่างนี้ได้ แต่อาจจะไม่ถูกต้องทีเดียวนัก  คือผมเข้าใจว่า การที่มีคำสั่งห้าม หญิงที่มีประจำเดื่อน ทำการละหมาดและงดการถือศีลอดได้นั้น ถือว่าไม่มีบาปถ้าทำทดแทน เมื่อหมดประจำเดือนแล้ว และรวมทั้งการให้กุศลทาด้วย  บรรดาหญิงที่อยู่ในนรกเนื่องจาก หญิงเหล่านั้นพกพร่องในการทำศาสนกิจภาคบังคับ ก็คงเนื่องมาจากว่า  เมื่อหมดประจำเดือนแล้วไม่ยอมละหมาดใช้ หรือไม่ยอมจ่ายซะกาต นั้นเอง ทีแรกผมเข้าใจว่า มีคำสั่งห้ามการละหมาดและถือศีลอดในขณะที่มีประจำเดือนแล้ว, แต่เกิด รำคาญผู้หญิงที่ ไม่เกรงกลัว "ผัว" เลย  "เอานรกมาเล่าขู่กันเพื่อให้ ฟังว่า " เป็นเพราะพวก เอง ไม่เกรงกลัว ผัว และ อีกทั้ง ไม่ละหมาดและถือศีลอด เวลามีประจำเดือน, ระวังให้ดี จะตกนรกกันเป็นแถวทิว, รวมทั้งไอ้พวกแกที่มาแต่งตัวยั่วยวน ชายผู้ทรงศีลอย่าง ตู ให้เหลียวหลังดูด้วย ตามเรื่องราวของฮาดีษข้างล่างนี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12395090/Y12395090.html The following are the things that are prohibited for a woman on the days when she is menstruating or having postnatal bleeding: 1. She cannot perform namaz (salat, ritual prayer). It is declared in a hadith-i sharif, "A menstruating woman cannot perform namaz" (Bukhari, Muslim, Abu Dawud). 2. She cannot fast. [It is declared in a hadith-i sharif narrated by our mother Hadrat Aisha that the fasts that are not observed during menstruation must be made up later while namazes that are not performed during menstruation are forgiven. (Bukhari)] ความคิดเห็นที่ 28 MsgStatus(Msv[28], 28); จาก ศอเฮี๊ยะฮาดีษ บุคอรี หมายเลข  304 มีรายงานว่า นาย ซาอี๊ด อัล-คุฮฺดริ กล่าวว่า     ขณะที่ท่านรอซูล เดินไปมัสยิดในวันอิ๊ีด อัลอัดฮา, ท่านเดินผ่านผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง   ท่านรอซูลกล่าวกับหญิงกลุ่มนั้นว่า, "โอ, บรรดาหญิงเอ๋ย จงทำบุญจ่ายกุศลทาน ให้มากไว้,      "เพราะฉันได้มองเข้าไปยังนรก, ชาวนรกส่วนมากนั้นเป็นผู้หญิง" บรรดาหญิงเหล่านั้นเกิดความสงสัยก็ถามท่านรอซูลว่า, " โอ, ท่านรอซูล เพราะเหตุ ใดหรือทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?" ท่านรอซูลตอบแก่หญิงเหล่านั้นว่า 1."ทั้งนี้เพราะพวกเจ้าสาบานด้วยความหยาบคายและไม่รู้บุญคุณของสามีของพวกเจ้าอยู่ตลอดเวลา,และ 2.ฉันไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีความเบาปัญญา,และ 3.บกพร่องในการประกอบศาสนากิจซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อความศรัทธา ต่อศาสนาผู้หญิงเช่นพวกเจ้า เลย" 4.ถึงแม้ว่าผู้ชายที่มีคุณธรรมและความระมัดระวังก็ยังถูก ผู้หญิงบางคนในหมู่พวกเจ้าหลอกให้หลงออกนอกแนวทางของศาสนา    หญิงเหล่านั้นถามท่านรอซูลต่อไปว่า,  "ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าพวกเราขาดสติ ปัญญาและบกพร่องในการปฏิบัติศาสนกิจ?  ท่านรอซุล ย้อนถามหญิงเหล่านั้นว่า, " มันไม่เป็นความจริงหรือที่ในการเป็นพยานต่อ ศาลต้องการผู้หญิงถึงสองคนในการเป็นพยานซึ่ง,เท่ากับ พยานผู้ชายเพียงคนเดียว? ผู้หญิงเหล่านั้นก็ตอบว่า  "มันเป็นความจริงคะ"  ท่านรอซูล อธิบายต่อไปว่า, "ที่เป็นเช่นนั้นแสดงถึงความมีสติปัญญาของหญิงน้อยกว่าชาย.  ท่านรอซูลกล่าวต่อไปอีกว่า, "มันไม่เป็นความจริงดอกหรือที่ ผู้หญิงไม่อาจจะทำการละหมาดหรือถือศีลอดในช่วงเวลาที่พวกเจ้ามีประจำเดือน?" บรรดาหญิงเหล่านั้นก็ตอบท่านรอซุลว่า,  "มันเป็นความจริงค่ะ   ท่านรอซูลก้กล่าวตอบหญิงเหล่านั้นว่า,    "นี่คือ ความบกพร่องในการประกอบศาสนากิจซึ่งเป็นความรับผิด ชอบ ต่อความศรัทธาต่อศาสนา"    ถ้าผมคิดตามแบบ ลึกเกินไป หรือ มอง อย่าง Microscopic view ของ "ฮาดีษ" แล้ว เข้าใจว่า  ฮาดีษ สั่งอย่าง แต่พอไม่พอใจ ผู้หญิง หรือหมั่นใส้ พวกผู้หญิงที่ไม่กลัว ผัว แล้ว เลยเอา เรื่องศาสนาเรื่องนรก มาขู่ แถมเอาบุญคุณด้วย ทั้งๆที่เป็นผู้ห้าม  ต่อไปนี้ผม จะลองคิดอย่างง่ายๆบ้าง    อย่าเพิ่งขัดจังหวะนะครับกำลังเข้าใจ ขอตามต่ออีกเรื่องหนึ่งก่อน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 18:45:19

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 45 ตรงที่ผมขีดเส้นใต้ ไม่ต้องไปคิดให้ลึกซึ้้งอะไร บอกว่า ศาสนาที่นบีอิบรอฮีมบรรพบุรุษของพสกเรานั้นนับถือ ก็คือศาสนาอิสลาม และมีคัมภีร์ก่อนๆถุกประทานลงมา และในที่สุดฉบับก้คือคัมภีร์อัลกรุอาน บริบทเต็มมันจบไปตั้งแต่ตอนนี้แล้ว  ส่วนเรื่องอิสลาม ในยุคนบีมูฮำหมัด กับคัมภีร์กรุอาน ก็มาว่ากันเรื่องคัมภีร์อัลกรุอาน กับเรื่องท่านนบีมูฮำหมัด ถ้าไปว่าเรื่อง คัมภีร์ ในสมัยโบราน สารพัดคัมภีร์ มันมิยุ่งตายหรอครับ ไม่มีใครสักคนเคยเห็นคัมภีร์ก่อน คัมภีรือัลกรุอาน ฉบับออริจินัล สักราย มีใครเคยเห็นคัมภีร์สมัยท่านนบีอิบรอฮีมหรือไม่ มีใครเคยเห็นคัมภีร์ เตาร้อดหรือไม่ มีใครเคยเห้นคัมภีร์อินญีล หรือไม่ อย่างที่ท่าน Ghanees ว่านั้นแหละ ใช้หลักCommon sense มุสลิมส่วนใหญ่ในโลก เค้าก็อ่านเหมือนกับที่เราอ่านและเข้าใจเหมือนกับที่เราเข้าใจ นอกจากเราจงใจ ให้เป็นอย่างอื่นนั้นแล  จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 14:34:37 ถูกใจ : เพื่อนร่วมทาง     Volume 4, Book 56, Number 829:        Narrated 'Abdullah bin 'Umar: The Jews came to Allah's Apostle and told him that a man and a woman from amongst them had committed illegal sexual intercourse. Allah's Apostle said to them, "What do you find in the Torah (old Testament) about the legal punishment of Ar-Rajm (stoning)?" They replied, (But) we announce their crime and lash them." Abdullah bin Salam said, "You are telling a lie; Torah contains the order of Rajm." They brought and opened the Torah and one of them solaced his hand on the Verse of Rajm and read the verses preceding and following it. Abdullah bin Salam said to him, "Lift your hand." When he lifted his hand, the Verse of Rajm was written there.  They said, "Muhammad has told the truth; the Torah has the Verse of Rajm. The Prophet then gave the order that both of them should be stoned to death.   ('Abdullah bin 'Umar said, "I saw the man leaning over the woman to shelter her from the stones." ........... จากฮาดีษนี้ถ้าผมไม่คิดให้ลึกซึ้งผมเข้าใจว่ามีคนเคยเห็น ไม่แต่เพียง ตัว "คัมภีร์โตราห์" เท่านั้น  แต่เห็นบัญญัคิของ "การ Stoning " ในโตราห์ด้วย, หรือว่าผมเข้าใจคำอธิบายเรื่อง คัมภีร์ ที่มาก่อนอัลกุรอานไม่เกี่ยวข้องกับ อิสลามสมัยท่านนบีมูฮัมมัดผิดไป? แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 55 18:48:08 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 55 18:46:01

ความคิดเห็นที่ 49   ต้องขออภัยด้วยที่ต้อง Scan เป็นภาพ 2 ภาพ  ภาพที่1 ตอนเริ่มต้นตัวบทฮาดีษ Volume 4, Book 56, Number 829: แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 55 01:30:16 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 01:26:39

ความคิดเห็นที่ 50   Volume 4, Book 56, Number 829: ภาพ2 ข้อความ ต่อจากภาพแรก จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 01:32:16

ความคิดเห็นที่ 51    จากฮาดีษ Volume 4, Book 56, Number 829:  นี้ ถ้าเราเชื่อว่าเป็นเรื่องเล่าที่แท้จริงแล้ว เราจะเห็นว่า แม้แต่ในสมัย ท่านรอซุลเอง ท่านรอซุลก็เคยเห็น คัมภีร์ โตราห์ ต้นฉบับ และ บัญญัติของ การ Stoning มีอยู่จริง ใน คัมภีร์ โตราห์ ซึ่ง คุณจิมบอกว่า "ส่วนเรื่องอิสลาม ในยุคนบีมูฮำหมัด กับคัมภีร์กรุอาน ก็มาว่ากันเรื่องคัมภีร์อัลกรุอาน กับเรื่องท่านนบีมูฮำหมัดถ้าไปว่าเรื่อง คัมภีร์ ในสมัยโบราน สารพัดคัมภีร์ มันมิยุ่งตายหรอครับไม่มีใครสักคนเคยเห็นคัมภีร์ก่อน คัมภีรือัลกรุอาน ฉบับออริจินัล สักรายมีใครเคยเห็นคัมภีร์สมัยท่านนบีอิบรอฮีมหรือไม่มีใครเคยเห็นคัมภีร์ เตาร้อดหรือไม่มีใครเคยเห้นคัมภีร์อินญีล หรือไม่" จากฮาดีษที่เห็นนี้ผมมองจาก Microscopic view ของ เนื้อความของฮาดีษ แสดงให้เห็นว่า 1. ไม่มีเรื่อง STONING ในอัลกุรอาน ท่านรอซูลไม่รู้เรื่องว่า เขาลงโทษเรื่อง การผิดประเวณี อย่างไร ตามคัมภีร์โตราห์ เนื่อง "จากท่านรอซูลไม่เคยรับวะฮีย์ ในเรื่องการ Stoning " จากพระองค์อัลลอฮ์ตะอาลา 2. ฮาดีษบทนี้ชี้ให้เห็นว่า คำอ้างของท่านอุมัร ที่เคยได้ยินท่านรอซูลอ่านอัลกุร อานบัญญัติ ที่เกี่ยวกับ การลงโทษ การผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยหินจนตายนั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพราะว่า ฮาดีษบทนี้  แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านรอซูลผู้ที่มีความจำดีเป็นเลิศ ย่อมไม่มีทางที่ท่านจะจำไม่ได้ในสิ่งที่ท่านรับวะฮีย์มา  ฮาดีษต่างๆที่สนับสนุนฮาดีษบทนี้ก็จะมีคุณภาพเดียวกับฮาดีษบทนี้ คือ ขาด ตรรกะ และเหตุผลจากฮาดีษด้วยกันมาสนับสนุน เนื่องจาก ฮาดีษ เป็นเรื่องเล่า ปากต่อปาก และการเล่า ก็ขัดกับอัลกุรอาน ในเรื่องสำคัญ ต่อชีวิต มนุษย์เช่นนี้  ซึ่งเราไม่อาจจะตัดสิน "การลงโทษประหารชีวิตมนุษย์" ด้วยเรื่องเล่าจากปากของผู้ที่เราไม่เคยพบเห็นหรือ หรือเชื่อ ตามโดยไม่คิดหาเหตุผล ตามที่ อัลลอฮ์ตะอาลาทรงบัญญัติไว้นอัลกุรอาน (ผมต้องไปทำงานจะกลับมาให้ความเห็นต่อเมื่อกลับเข้าบ้านแล้ว)   จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 02:14:50

ความคิดเห็นที่ 52 มีรายงานจาก อะบุฮุรอยเราะห์ ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านรอซู้ล ขณะอยู่ในมัสยิด และกล่าว่า “ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลเลาะห์ แท้จริงฉันได้ทำซินา “ .... ท่านรอซู้ล ได้ยินเช่นนั้นก็ผินหลังให้ เขาก็ยังเรียกซ้ำแบบเดิมอีก 4 ครั้ง และ ยืนยันว่าเขาได้ทำซินาจริง พร้อมมีพยาน 4 คน .... ท่านรอซู้ล จึงไปหาเขา แล้วถามว่า “ ท่านบ้าไปแล้วหรือ ? “ ชายผู้นั้นตอบว่า “เปล่า” ...ท่านรอซู้ล จึงถามอีกว่า “ ท่านผ่านการแต่งงานมาหรือยัง “ .... เขาตอบว่า “เคยแล้ว” ท่านรอซู้ล จึงกล่าว่า “จงเอาเขาออกไป และพวกท่านจงขว้างเขาด้วยก้อนหินจนกว่าจะตาย” มีรายงานจาก อะบุฮุรอยเราะห์ เช่นกัน ได้เคยรายงานว่า ท่านนบีได้ใช้ให้คนของท่าน (คือ ท่านอะนีส อัลอัสละมี) ไปสอบถามหญิงคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่า ทำผิดประเวณี โดยกล่าว่า “ โอ้อะนิส เอ๋ย พรุ่งนี้เจ้าจงไปหาผู้หญิงคนนั้น (แล้วสอบถามนาง) หากนางยอมรับ เจ้าก็จงขว้างด้วยก้อนหินจนตาย” .... เมื่อได้มีการสอบถาม และหญิงคนนั้นให้การยอมรับ การลงโทษจึงได้เกิดขึ้น อีกกรณีนึง มีรายงานจาก อิบนุอับบาส เล่าว่า “ แท้จริงชายคนหนึ่ง จากตระกูล บักร์ อิบนุ ลัยษ์ ได้มาหาท่านนบี ฯ และได้ยอมรับผิดต่อหน้าท่านนบีว่า เขาได้ทำซินากับหญิงคนหนึ่งถึง 4 ครั้ง ด้วยกัน ท่านนบีจึงได้เฆี่ยนเขา 100 ที ... ต่อมาท่านนบีได้ถามเขาถึงหลักฐานการยืนยันการทำความผิดของชายคนนี้ กับหญิงที่เขาพาดพิง แต่หญิงนั้นปฏิเสธ และกล่าวว่า ชายคนนี้โกหก ท่านนบีฯ จึงได้เฆี่ยนชายคนนี้อีก 80 ที ในข้อหา ใส่ร้ายเรื่องการผิดประเวณี”   เรื่องการลงโทษด้วยก้อนหิน ก็คล้ายกับวิธีการละหมาด นั่นคือไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ในกุรอ่าน แต่ท่านนบี "ปฏิบัติ" และ "สั่งใช้" ด้วยตัวท่านเองครับ ไม่ใช่มีเฉพาะฮะดีษที่อ่านอุมัรอ่านเท่านั้น จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 09:22:46

ความคิดเห็นที่ 53 ผมว่าคุณ อาแมทท์ มีปัญหาเรื่อง การอ่าน การจับใจความ อย่างแรงเชียวละครับ จาก ฮาดิษ บุคคอรี หมายเลข 304 ผมไม่ได้หาข้อมูลใหม่เลยนะครับ ผมอ่านจากคุณ อาแมทท์ ยกมาโดยตรงเลย เนื้อหาของ ฮาดิษนี้ ประกอบด้วย สองส่วน คือ 1) คำสั่งใช้ 2) เหตุผลรองรับ หัวใจสำคัญของฮาดิษนี้ คือ คำสั่งใช้ให้ "ผู้หญิงทำบุญทำกุศลให้มากๆ" นี่คือสิ่งที่จะต้องปฎิบัติ ส่วนเหตุผลรองรับ ในเรื่องต่างๆของผู้หญิงเป็น ข้อมูลประกอบ เท่านั้น ทำไมถึงไปให้ความสำคัญของข้อมูลประกอบ เหนือกว่าคำสั่งใช้ไปได้ ทั้งที่เป็น เรื่องปกติของการอ่านจับใจความ ของคนปกติทั่วๆไปแท้ๆ แปลกโคตรเลยครับ แต่ก็พอจะเข้าใจได้นะ เพราะตามหลักจิตวิทยา มนุษย์มักจะเลือกรับข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิดและคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญน้อยหรือปิดกั้นในสิ่งที่ตนเองไม่ยอมรับ ทำให้การสื่อสารในองค์กรทั่วโลกประสพปัญหาอยู่บ้างพอสมควร ผมเองเมื่อสั่งงานลูกน้องยังต้องให้ทวนคำสั่งอยู่บ่อยๆ เพราะพบว่าทำงานผิดจากที่ได้สั่งไป ทั้งๆที่ว่าเราสั่งงานดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งถ้าดูฮาดิษนี้ให้ดีๆบรรดาเหตุผลรองรับต่างๆ ไม่ว่าเรื่องอยู่ใน นรกบ้าง เรื่องมีประจำเดือนแล้วทำศาสนกิจไม่ได้บ้าง บลาๆๆๆ มันก็จะไม่มีปัญหา ได้ด้วยกับการทำตามคำสั่งใช้ "ผู้หญิงทำบุญทำกุศลให้มากๆ" มิใช่หรือ ดังนั้นฮาดิษนี้มันไม่มีปัญหาแต่ประการได ตามวิธี การอ่านจับใจความของคนปกติ ทั่วๆไป ปัญหาอีกอย่างของคุณอาแมทท์ คือ คุณอา ไม่มีความรู้และไม่เข้าใจหลักศรัทธาในพระเจ้า ไม่เข้าใจว่า อะไรคือกิจการของมนุษย์ อะไรคือกิจการของพระเจ้า วิชาอูซูลุดดีนพื้นๆที่เด็กประถมเรียนเลยครับ เลยไม่เข้าใจว่า ไอ้ที่ผู้หญิงอยู่ในนรกบ้าง การปฏิบัติศาสนาของผู้หญิงไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีประจำเดือนบ้าง "มันเป็นกิจการของพระเจ้า ครับ ไม่ใช่กิจการของมนุษย์" ต่อให้เราทำดีมาตลอดชีวิต ถ้าพระองค์ จะ โยนเราลงนรก มันก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์ แล้วจะ Worry ไปทำไม หน้าที่ของมนุษย์ คือ ทำตามห้ามตามใช้ ก็จบแล้ว ต้องเรียนเยอะๆครับ ต้องมีครูด้วย ไม่แปลกใจเลยครับ ทำไมถึงเข้าใจศาสนาไปในลักษณะนี้ได้ ครูศาสนาเคยสอนผมไว้ ถ้าเราไม่เอาครู ไชตอนจะเป็นคุณครูให้ เห็นภาพเลยครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 11:54:41

ความคิดเห็นที่ 54 ฮาดิษ นั้น มันมี standard การคัดกรองที่ยอดเยี่ยมอยู่ครับ ซึ่งมุสลิมทั่วโลกยอมรับ ดังนั้น ไม่ว่าข้อมูล ที่ผ่านมาตรฐานการคัดกรอง มันจะออกมารูปใด ก็ต้องยอมรับกันครับ ไม่ใช่ว่า พอผลออกมาถูกใจเราก็ยอมรับ แต่พอผลออกมาไม่ถูกใจเรา ก็เหวี่ยงมันทิ้ง โดยหา มาตรฐาน ทีดีกว่ามาทดแทนก็ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ไร้ มาตรฐาน ครับ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 12:04:20

ความคิดเห็นที่ 55 ตามคคห ที่ 48 คุณอาแมทท์ ก็อ่านจับใจความไม่แตกอยู่เหมือนเดิม ผมอ่านจากที่คุณอาแมทท์ยกมาล้วนๆ ไม่ได้หาจากที่อื่นเลย ในเรื่อง ชาวยิว มาถาม ท่านอับดุลเลาะ เรื่องการผิดประเวณี ท่านอับดุลเลาะห์ ก็ใช้ให้ ไปเปิดคัมภีร์โตราห์ ที่ชาวยิวคนนั้นมี ชาวยิวก็พยายามปิดบัง ท่านอับดุลเลาะห์ ก็ให้เปิดออกดู ก็พบว่ามีคำสั่งเรื่อง stoning ท่าน ศาสดาก็สั่งให้ทำตาม ผมมองไม่เห็นเลยนะครับว่า ฮาดิษเป็นการยืนยันว่า โตร่าห์ ที่ยิวถือ คือ ฉบับเดียว กับคัมภีร์เตารอด ที่ นบีมูซา ได้รับการประทานลงมา ผมเห็นแค่ว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ท่านสั่งลงโทษตามที่ระบุในโตราห์ ที่ยิวคนนั้นถือเท่านั้น ถึงแม้นบีจะเคยบอกว่าในคัมภีร์เตารอตจะมีระบุไว้ก็ตาม เอ้าตัวอย่าง คุณอาแมทท์ กับ ตัวผม ชอบใส่นาฬิกา seiko เหมือนกัน แล้วคุณอา กับ ผม ก็มีชื่อเหมือนกันว่า โตร่าห์ ดังนั้น ผม กับคุณอาแมทท์ คือคน คนเดียวกัน ใช่หรือครับ เป็นตรรกที่แปลกมากๆ ดังนั้น ที่พี่ จิมออกความเห็นว่า "ส่วนเรื่องอิสลาม ในยุคนบีมูฮำหมัด กับคัมภีร์กรุอาน ก็มาว่ากันเรื่องคัมภีร์อัลกรุอาน กับเรื่องท่านนบีมูฮำหมัดถ้าไปว่าเรื่อง คัมภีร์ ในสมัยโบราน สารพัดคัมภีร์ มันมิยุ่งตายหรอครับไม่มีใครสักคนเคยเห็นคัมภีร์ก่อน คัมภีรือัลกรุอาน ฉบับออริจินัล สักรายมีใครเคยเห็นคัมภีร์สมัยท่านนบีอิบรอฮีมหรือไม่มีใครเคยเห็นคัมภีร์ เตาร้อดหรือไม่มีใครเคยเห้นคัมภีร์อินญีล หรือไม่" จึงถูกต้องครับ ไม่ได้ผิดแม้แต่น้อยครับ นบีเคยเห็นเตารอดหรือเปล่า นั้น ยังไม่แน่ แต่ที่แน่ๆ เรานะ ไม่เคยเห็น ดังนั้น เราจะอ้างถึงคัมภีร์ก่อนหน้าไม่ได้ มันน่า แปลกไหมครับ ถ้าอยู่ในวงการวิศวกร drawing ที่ใช้งาน คือ revision ล่าสุดเท่านั้น ไม่มีวิศวกรคนไหนใช้ drawing ที่ยกเลิกไปแล้วสักคน ถึงแม้ว่า revision ล่าสุด จะมีบางส่วนเหมือนกับ revision ก่อนหน้า ที่ยึดถือ คือ revision ปัจจุบัน เท่านั้นครับ  ยิ่ง ไบเบิ้ล กับ โตร่าห์ เปรียบเสมือน drawing revision เดิม แต่มีข้อมูล บัคๆๆ อยู่เพียบ ไม่มีวิศวกรคนไหนเอาไปใช้งานหรอกครับ และการทำ Stoning ของนบี ไม่ว่าจะท่านจะอ้างอิงจากอะไร ถึงแม้จะไม่มีระบุกุรอ่านโดยตรง ท่านนบีก็ตัดสินใจสั่งทำด้วยตัวท่านเอง ดั่งที่ท่าน carroth ได้ให้ คคห ไว้ ตามการรายงานฮาดิษที่ผ่านมาตรฐานการคัดกรองที่เข้มงวด ในเมื่อผลเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องยอมรับครับ เพราะมุสลิมเรา คือ มนุษย์ที่รักษามาตรฐานครับ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 55 11:50:10 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 55 14:34:35 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 55 13:39:15 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 55 13:08:45 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 55 12:58:39 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 55 12:53:16