1 พรรษาในร่มกาสาวพัสตร์ ตอนที่ 20 บวชตลอดชีวิต ภูมิรัชต์ นิยมศิลป
|
 |
20. บวชตลอดชีวิต พระผู้ใหญ่ส่วนมากที่เป็นระดับพระครู เจ้าคุณ เจ้าคณะปกครองต่างๆท่านเหล่านี้บวชมาตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งนั้นและบางท่านบวชมาตั้งแต่เป็นสามเณรอายุ 12-13 ปีพอครบ 20 ปีก็บวชพระต่อมาเรื่อยจน 50-60 พรรษาไปเลย บางท่านที่บวชตอนอายุครบบวชคือ 20 ปีตั้งใจว่าพรรษาเดียว แล้วยังไม่สึกเลยจนเป็นเจ้าคณะปกครองมีตำแหน่งใหญ่โต การปกครองของคณะสงฆ์ก็คล้ายกับระบบราชการ คือมีเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขต เจ้าคณะจังหวัด ไปจนถึงเจ้าคณะภาคที่ดูแลหลายจังหวัด และเลยไปถึง มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนา และกระทรวงที่ดูแลด้านศาสนา เป็นขั้นตอนอย่างนี้ไปตามลำดับ เป็นองค์กรณ์หนึ่ง เป็นสังคมหนึ่ง มีหัวหน้าหรือมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลเป็นขั้นๆ แต่ผู้ที่จะมีโอกาสได้มาเป็นพระฝ่ายปกครองได้ ก็ต้องมีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิพอสมควร และยังต้องมีระบบเส้นสาย เด็กใคร สายใครเหมือนกับข้าราชการ มีทั้งบนโต๊ใต้โต๊ด้วย เพราะถ้าได้ขั้นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว ความสะดวกสบายเพรียบพร้อมก็ตามมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ากว่าจะไต่เต้าขึ้นไปได้ถึงระดับสูงๆ ก็ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ อิทธิฤทธิ์ หรือวิชามารบ้างในบางครั้ง พระที่บวชใหม่ในพรรษาแรกเรียกว่า พระนวกะหรือพระใหม่ กว่าจะได้เป็นพระเก่าก็ต้อง ห้าพรรษาขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงห้าพรรษาถือว่ายังเป็นพระใหม่อยู่ หรือถ้าพรรษามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เรียกเป็นพระเถระ พระมหาเถระ พอบวชได้หลายพรรษาก็ไม่รู้จะสึกออกไปทำไม เพราะมีแต่ความสะดวกสบายทุกอย่าง อยากได้อะไรก็มีคนถวายให้ ทั้งปัจจัยเงินทองของใช้ต่างๆ และเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า พระที่บวชมานานหลายพรรษาหรือแก่พรรษามากๆ ถ้าจะมีการสึกออกไป สาเหตุส่วนใหญ่มาจากเรื่องผู้หญิงทั้งนั้น เพราะในความเป็นพระนั้นมีทุกอย่างครบ กินอยู่สบาย รถยนต์ก็มีญาติโยมถวายให้ แต่เรื่องเดียวที่ไม่มีคือผู้หญิง พระบางรูปเจอโยมผู้หญิงปากหวานกล่อมมากๆเข้าก็ใจอ่อน ลาสึกขาออกไปอยู่กินด้วยกันก็เห็นมีมาก นี่แหละพระพุทธองค์จึงเตือนว่า ศัตรูที่อันตรายที่สุดของเพศบรรพชิตคือสตรี ยิ่งห่างเท่าไรยิ่งดี ดังเช่นเมื่อหลายปีมาแล้ว มีข่าวหลวงตาชื่อดังท่านหนึ่ง สึกออกไปเพื่อแต่งงานอยู่กินกับโยมผู้หญิงคนหนึ่ง พออยู่ไปได้ซักพักก็ต้องแยกทางกัน และบวชมานานหลายพรรษา จนไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร ผู้หญิงที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงดู พอถึงเวลาจริงๆสึกออกไปเขาก็ไม่นับถือไม่ศรัทธาท่านเหมือนตอนเป็นพระหลอก ท่านเจ้าอาวาสเคยบอกบอกว่า ในขณะที่เราบวชเป็นพระอยู่นี่มีแต่คนกราบไหว้ ใส่บาตรอาหารดีๆ รับศีลรับพรจากเรา แต่พอวันไหนที่เราสึกออกไปแล้ว ไม่มีใครมาสนใจเราหลอก เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง และที่ญาติโยมเค้ากราบไหว้นั้น เค้าไหว้พระสงฆ์ไหว้ผู้มีศีล พอเป็นฆราวาสแล้วเขาไม่เห็นหัวเราหลอก เพราะเราก็ไม่ต่างจากเค้า เหตุที่พระบางรูปบวชไม่สึกนั้น บางทีไม่ใช่ว่าซึ้งในรสพระธรรมหลอก เท่าที่ได้พูดคุยกับหลายๆรูปบอกเหมือนกันหมดว่า สึกไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร บวชมาตั้งแต่เป็นสามเณร สึกออกไปทำงานใครเขาจะรับ ประสบการณ์ก็ไม่มี ถึงจะมีวุฒิการศึกษาก็เท่านั้น แล้วจะไปอยู่ที่ไหนอยู่กับใคร ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกเรื่องใหญ่ทีเดียว อยู่อย่างนี้ดีกว่าสบาย ไม่ต้องคิดอะไรมากมีกินมีใช้ไปวันๆ หลวงพี่ท่านหนึ่ง บวชมาตั้งแต่เป็นสามเณร แล้วบวชพระต่อมาจนถึงปัจจุบันอายุ 27 ปี เรียนจบนักธรรมเอก เปรียญประโยค 7 จบปริญญาตรีจากมหาจุฬาราชวิทยาลัย ออกพรรษานี้จะลาสึกขาออกไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ผมนั่งคิดว่า ท่านจะออกไปดำเนินชีวิตอย่างไรอยู่ในโลกทางธรรมมาตลอด โลกแห่งความเป็นจริงภายนอกมันวุ่นวายสับสน มีแต่การแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ ท่านจะไปสู้กับคนเหล่านี้อย่างไร หรือท่านจะไปเทศน์สั่งสอน ก็ไม่มีใครฟังหลอก แล้วจะไปทำงานอะไร อย่าลืมนะว่าสังคมไทยเรื่องการทำงาน ประสบการณ์มีค่ายิ่งกว่าปริญญาเสียอีก คนที่ลาสึกขาไปแล้ว ต้องกลับเข้ามาบวชใหม่อีกก็มี เพราะไปใช้ชีวิตกับโลกภายนอกไม่ได้ ท่านอาจจะรู้ทันเค้าทุกอย่างแต่ในทางปฏิบัติท่านตามเค้าไม่ทันหลอก ยิ่งวัดในกรุงเทพด้วยแล้ว พระและเณรที่ออกไปเรียนหนังสือข้างนอก ต้องเจอกับสิ่งล่อตาล่อใจทั้งหลายเต็มไปหมด นักศึกษาสวยๆแต่งตัวโฉบเฉี่ยวจนต้องเหลียวหลัง โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า ใครที่เพิ่งได้เห็นก็อยากสัมผัส จึงตัดสินใจว่าเรียนจบแล้วจะลาสึกขา ญาติโยมของผมเวลามาเยื่อมที่วัด อดตั้งคำถามไม่ได้เมื่อเห็นสามเณรเล็กๆ ทำไมพ่อแม่เค้าถึงปล่อยให้ลูกมาอยู่อย่างนี้ ทำไมไม่ให้เรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป ผมเชื่อว่าถ้ามีปัญญาส่งเสียกันจริงๆ ไม่มีใครอยากอยู่ห่างลูกหรอก และการนำลูกมาฝากวัด มาบวชเป็นสามเณรก็หวังว่าจะได้เรียนหนังสือ ได้เรียนธรรมะ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ต้องเสีย เพราะวัดมีกองทุนการศึกษา ก็มาจากเงินที่ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคกัน ได้มาอยู่ในร่มกาสาวพักดิ์ก็จะได้อานิสงค์ และได้ฝึกระเบียบวินัยไปด้วย เรียนกันจนจบปริญญาไปเลย สามเณรบางรูปเรียนดีอายุยังไม่ถึง 20 ปีก็รอเป็นพระมหาแล้ว บางรูปได้วุฒิเทียบเท่าที่จะไปสมัครงานได้ พอครบ 20 ก็สึกออกมาเป็นฆราวาส มีความรู้ทางธรรม นำมาเป็นหลักดำเนินชีวิตก็ทำให้ไปได้ดี แต่ถ้ายังไม่ยอมสึกบวชไปจนอายุมากขึ้นๆแล้วเกิดเปลื่ยนใจ ก็คงออกไปหางานยากซักหน่อย เพราะการจะไปเริ่มต้นใหม่คงจะไม่ง่ายนัก นอกจากพวกที่ทางบ้านพอมีกิจการให้สานต่อหรือญาติคอยช่วยเหลือดูแล บางคนคิดไปไกลถึงกับจะบวชไปจนเป็นเจ้าอาวาสเลย แต่แนะนำให้ไปตั้งวัดเองตามต่างจังหวัดหรือในชนบทที่ห่างไกล จะได้ไม่ต้องรอนาน เพราะถ้าจะมารอเป็นเจ้าอาวาสในวัดใหญ่ๆ คงแก่ก่อนแน่ แล้วเผลอๆจะเสียเวลาอีกต่างหาก เพราะคิวยาวเหลือเกิน และเจ้าอาวาสแต่ละท่านก็อายุยืนกันทั้งนั้น แล้วพอได้ขึ้นเป็นแล้วไม่มีใครปล่อยตำแหน่งง่ายๆหลอก ที่สำคัญถ้าประจบหรือเลียแข็งเลียขาแบบข้าราชการไม่เป็น อย่าไปหวังเลยแค่อาวุโสอย่างเดียวไม่พอหรอก…….
จากคุณ |
:
Mr.key
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ค. 55 10:19:24
|
|
|
|