เห็นเรื่องราวน่ารักดีของเด็กน้อยในช่วงเดือนรอมฎอน
ก่อนหน้าจะเข้าเดือนรอมฎอน หมีน้อยมาชวนแม่หมีอีกครั้งว่าอยาก
จะไปทำงานที่โรงเรียนสอนคนตาบอด หมีน้อยบอกว่าช่วงเดือนรอมฎอน
เขาตั้งใจที่จะทำความดีในทางศาสนาให้เด็มที่ ถ้าไปทำในช่วงเดือนรอมฎอน
เขาก็สงสารคุณแม่เพราะคุณแม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 มาหาอาหารให้เขาให้พ่อ
ให้พี่แล้วยังต้องเตรียมอาหารละศิลอดอีกด้วยแถมคุณแม่ก็ต้องถือศิลอด
เหมือนกัน เขาเกรงใจคุณแม่แต่ก็อยากไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนสอนคน
ตาบอด แม่หมีเลยตกลงค่ะ ลูกอยากทำความดีเป็นเรื่องที่เราควรสนับสนุน
วันที่18 กรกฎาคม เราจึงไปทำกิจกรรมอีกครั้งและก็คงมีครั้งต่อๆไปอีกแต่
แม่หมีคิดว่า จะไม่เขียนเรื่องการไปทำจิตอาสาที่โรงเรียนแห่งนี้อีกแล้ว
เพราะไม่ใช่เป็นการประกาศว่าเราไปทำความดี
แต่แม่หมีเขียนเพื่อให้ทุกคนได้ทราบว่าที่
โรงเรียนสอนคนตาบอดกทม.ยังต้องการอาสาสมัครอีกมาก
นอกจากเราแม่-ลูกจะไปทำที่อื่นอีก
ตอนหมีน้อยเรียนอยู่ชั้นประถมมีคุณครูคนหนึ่งเคยถามแม่หมีว่า
"ไม่สงสารลูกหรือที่ให้อดอาหารกลางวัน "แม่หมีเข้าใจค่ะว่าคุณครูเป็นห่วง
เด็กๆเกรงว่าจะหิว เกรงว่าจะไม่ไหว" แม่หมีตอบว่า "มุสลิมทุกคนต้องปฎิบัติ
อันเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของศาสนาอิสลาม ในสิ่งที่ศาสนาได้กำหนด
ไว้ เด็กมุสลิมทุกคนจะได้รับการฝึกค่ะแต่ถ้าเขารู้สึกป่วยหรือร่างกายไม่ไหว
เขาก็สามารถจะรับประทานอาหารได้ ไม่ต้องฝืนแต่เขาจะต้องชดใช้ใน
วันหลัง แต่อย่างไรก็ต้องถือศิลอดอยู่ดี" แม่หมีและพี่น้องของเราถูกสอนให้
รักและศรัทธาเชื่อมั่นในศาสนาอิสลาม เรียนรู้ศาสนาอิสลามอ่านภาษาอาหรับ
และพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ เด็กมุสลิมทุกคนไม่
ได้ถือว่าเป็นภาระที่หนัก เราถูกฝึกมาเช่นนั้น เช้าเราไปโรงเรียนตามปกติ
เย็นกลับมารีบทำการบ้านแล้วเราก็ไปเรียนศาสนา เรียนละหมาด อ่านภาษา
อาหรับทำเป็นกิจวัตร เสาร์-อาทิตย์คุณย่าก็จะให้คุณครูมาสอนศาสนาที่บ้าน
เมื่อถึงเดือนรอมฎอนหรือเรียกกันง่ายๆว่าเดือนบวช มุสลิมทุกคนจะยินดีและรอ
คอยที่เดือนรอมฎอนมาถึงเพราะเป็นเดือนแห่งความประเสริฐ เป็นเดือนที่เหล่า
ศรัทธาชนจะทำความดี(แม่หมีจะไม่เขียนให้มากหรอกค่ะเพราะถ้าสนใจก็ดูในเว๊ป
ไซต์ต่างๆได้มากมาย จะเสริชด้วยคำว่าการถือศิลอด หรือศาสนาอิสลามฯลฯก็จะ
ได้ทราบว่า มุสลิมจะได้รับผลอย่างไรถ้าได้ถือศิลอดแล้วก็อีกหลายๆเรื่องที่สนใจ)
สำหรับตัวแม่หมีเองในวัยเด็กก็จะถูกฝึกมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ คือการได้ตื่นมา
ทานอาหารสะฮูร(บ้านแม่หมีจะกินประมาณตี 3)เป็นเรื่องที่สนุกและดีใจ หากวันใด
ไม่ได้ถูกปลุกก็จะร้องไห้ ใครๆเขาถือศิลอดกันทั้งบ้านมีแต่เราไม่ได้ถือ แต่ถ้าเรา
ได้ทานอาหารสะฮูรแล้วคุณแม่ก็จะไม่ให้ทานอาหารเช้า ไม่ให้ทานอะไรจนถึง
กลางวันคุณแม่ก็จะให้ทานอาหารได้แล้วก็จะถือบวชต่อแล้วพอถึงใกล้เวลาละ
ศิลอด เราก็จะตื่นเต้นเพราะในละแวกบ้านก็จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารกัน บ้านนั้น
แกงนั้น บ้านนี้มีขนมแบบนี้ เด็กๆอย่างแม่หมีก็จะได้เดินถืออาหารไปแลกกัน แต่
บางบ้านไม่มีอะไรให้ก็ไม่เป็นไร นั่น...เป็นหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักการแบ่งปัน เด็กๆ
อาจจะเริ่มฝึกแค่ครึ่งวัน ปีถัดมาก็เริ่มใช้เวลานานขึ้น ในที่สุดเราก็สามารถ
ถือศิลอดได้เต็มวัน ดังนั้นลูกๆของแม่หมีทั้งสองคน(รวมทั้งมุสลิมอื่นๆ)ก็ได้รับการ
ฝึกแบบนี้เช่นกัน ไม่ได้รับการยกเว้นนั่นเพราะเรามีความศรัทธาเชื่อมั่น
ศาสนาอิสลามสอนให้มนุษย์ทำแต่ความดี แบ่งปันกันฯลฯ
ดังนั้นแม่หมีจึงไม่เข้าใจที่ผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้เขาคิดเช่นไร จึงได้ทำร้ายและ
เข่นฆ่าผู้คนได้อย่างโหดเหี้ยม ศาสนาไม่ได้สอนให้ทำเช่นนี้แน่
"คุณอย่าได้กล่าวอ้างศาสนา สิ่งที่พวกคุณทำไม่ใช่ศรัทธาชนแต่พวกคุณกำลัง
ทำมันเป็นบาป ศาสนาสอนให้ทำแต่ความดีละเว้นความชั่ว เดือนรอมฎอนเป็น
เดือนที่ประเสริฐและมีความศักดิ์สิทธิ์ ขอจงกลับตัวเสียใหม่ อย่าได้เอาศาสนา
ไปแปดเปื้อนกับความคิดชั่วๆอีกเลย" ความจริงแล้วไม่อยากจะว่าใครเพราะย้ำ
ตลอดเวลาว่าเป็นเดือนแห่งการทำความดี แต่ถ้าการเตือนนี้จะช่วยให้เขา
เหล่านั้นฉุกคิดบ้างก็จะเป็นการดี
สำหรับหมีน้อย หมีน้อยถือศิลอดเต็มวันมาตั้งแต่อยู่ชั้นป.4และก็สามารถ
ถือได้เต็มเดือนหากมีวันใดที่ไม่ได้ถือศิลอดก็จะทำการชดใช้จนครบและจะถือ
ต่ออีกหกวันในเดือนเซาว้าล(เดือนถัดจากเดือนรอมฎอน)ครอบครัวของเรา
ปฎิบัติกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
มีรูปประกอบเกี่ยวกับจิตอาสาที่โรงเรียนสอนคนตาบอด
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่