บนโลกกลม ๆ ใบนี้ ว่ากันว่า มีมนุษย์อยู่เกือบ ๆ เจ็ดพันล้านคน
ในเจ็ดพันล้านคนนี้ มีคนที่เชื่อว่า ข้อความในพระไตรปิฎกนั้น เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง ทุกตัวอักษร เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ถึงสิบล้านคนซะด้วยซ้ำมั้ง ( 10 ใน 7,000)
คนพวกนี้ จะเชื่อไม่เว้นแม้แต่ ตัวเอี้ยพูดได้ สอนธรรมให้แก่มนุษย์ ด้วยการอ้าปากงาบ ๆๆๆ พูดเป็นภาษามนุษย์นี่แหล่ะ ได้ หรือเชื่อว่ากระต่ายพูดได้ ที่มีความดีความชอบ จนได้จารึกเป็นรูปเป็นเงาบนดวงจันทร์ เชื่อแม้กระทั่งว่า กระรอกกระแต ตัวที่นั่งร้องให้ เอาหางวิดน้ำ เพื่อให้แม่น้ำ เพื่อให้ทะเลแห้ง ก็เคยมีอยู่จริง ๆ บนโลกใบนี้ หมาจิ้งจอก ที่กล่าวคาถา สอนใจได้ ก็มีจริง ๆ บนโลกนี้...เฮ้อ....เหนื่อแทน
คิด ๆ ดู ขนาดเด็ก ๆ อ่านนิทานอีสป ก็ยังมีความบันเทิงใจ และเอาคตินิทานนั้นมาเป็นปรัชญาสอนใจ เพื่อดำเนินชีวิตไปด้วยดี ในยามที่เขาเติบโตแล้ว...พอเขาโตแล้ว พวกเขาก็ลืมตัวละครนั้นซะ แต่ยังจำคติธรรม ที่ได้จากตัวละครในนิทานนั้น ๆ มาใช้เท่านั้น
แต่ชาวพุทธ เจ๋งกว่านั้น แม้ว่า เติบโต กลายเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว ก็ยังเชื่อว่า ตัวละคร ในชาดก ในธรรมบท ที่พระพุทธเจ้าเล่ามานั้น ยังคงมีตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าประกอบการบรรยาธรรม ของพระองค์แต่ประการใดไม่
นี่คือที่มา ที่ว่า ชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อทุกอย่าง ทุกตัวอักษร ที่มีในพระไตรปิฎก
พวกเขา ไม่แยกแยะด้วยซ้ำว่า อันไหนคือ ชาดก อันไหนคือธรรมบท หรือหัวข้อธรรม ที่เอามาขยายเรื่องแต่งเป็นชาดกประกอบให้บันเทิงใจ ให้มีสีสรร... แต่กลับคิดว่า ทุกอย่างที่เป็นตัวละครในชาดกนั้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
คนพวกนี้ จะเกรี้ยวกราดในทันที หากมีคนไม่เชื่อ ว่าตัวละครในชาดกพวกนั้น พูดได้......พวกเขาก็จะหาว่า คนที่ไม่เชื่อนั่นแหล่ะ ไปกล่าวหาว่า "พระพุทธเจ้าโกหก"
ทั้ง ๆ ที่คนที่เขาไม่เชื่อน่ะ เขาไม่เชื่อแค่ว่า......"สัตว์จะพูดได้จริง ๆ "
แต่เขาเชื่อว่า เรื่องชาดกนั้น บางเรื่อง "พระพุทธเจ้าท่านเล่าเอาไว้จริง ๆนั่นแหล่ะ"
เพียงแต่พระองค์ก็แค่เล่าประกอบการบรรยายธรรมะของพระองค์เท่านั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ การเปรียบเทียบ ตัวละคร ตัวนั้น ตัวนี้ ว่าใครทำดี ก้ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว.....
จากนั้นพระองค์ก็ทรง "ประชุมชาดก" คือการสรุปเรื่อง ด้วยการเปรียบเทียบว่า คนชั่วในชาดกนั้น ก็เปรียบเหมือนกับคนที่ทำชั่วอยู่ในเวลานี้ (สมัยพุทธกาลนั่นแหล่ะ) เช่น ตัวละครที่เป็นหมาป่าที่ดุร้าย อันธพาล ในชาดกนั้น ก็เป็นเหมือนพระเทวทัต ในขณะนี้นั่นแหล่ะ ส่วน สัตว์ตัวที่เฉลียวฉลาด ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาได้เสมอนั้น ก็เปรียบเสมือนพระองค์เอง หรือเหมือนกับพระสาวกบางรูป ในเวลานี้ (สมัยพุทธกาล) นั่นเอง
ความไม่เข้าใจตรงนี้ ก็เลยทำให้เกิดเป็นข้อถกเถียงกันมาหลายช่วงหลายตอนแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อ้างว่า เชื่อพระไตรปิฎกทุกตัวอักษรนั้น ก็มักจะอ้างว่าตนเองนั้น เฉลียวฉลาด มีสติปัญญาในระดับแนวหน้า
เช่นอ้างว่าตนเองเป็นหมอบ้าง เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือทำงานที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์บ้าง ฯลฯ เพื่อให้ดูสมจริงว่า ขนาดตนเป็นคนมีเรียนสูง ก็ยังเชื่อว่าสัตว์พูดได้......
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะคนเหล่านี้ ที่อ้างเป็นหมอ เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ละคน พวกเราก็ไม่เคยเห็นเลยว่า เขาเหล่านั้นจะเคยแสดงความรู้ใด ๆ ในเชิงวิทยาศาตร์ หรือเชิงหมอ ออกมาให้เห็นเลย แม้แต่ครั้งเดียว ตลอดหลายปีที่เห็นพวกเขาเขียนหนังสือ
ธรรมดา คนอยู่ในวงการไหน ก็มักมีการเขียนหรือแสดงออกมา ในสิ่งที่ตนเองถนัด บางครั้งบางคราว หรือมักจะบ่อย ๆ ด้วยซ้ำไป เพื่อเปรียบเทียบ สนับสนุนแนวคิดตน....
แต่กรณีที่ผมกล่าวถึงนี้ ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยเห็น...จึงอนุมานได้ว่า คนพวกนี้ แค่แอบอ้าง อาชีพใดอาชีพหนึ่ง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีความรู้เฉพาะในเรื่อง ที่บอกไว้แล้วประมาณว่า เรียนธรรมะแบบเชื่อทุกตัวอักษร ในพระไตรปิฎก...และเรียนศาสนา เพื่อความงมงาย โดยเฉพาะพวกบูชาภูติ ผี ปีสาจ แต่ก็ไม่กล้าบอกตรง ๆ กลัวคนหาว่างมงาย ก็เลยอ้างพระไตรปิฎก เฉพาะช่วงตอนที่สนับสนุนเรื่องความเชื่อ ในแนว พ่อมด หมอผี หรือภูติ ผี ปีศาจ ที่ตนชอบนั่นเอง
ทีนี้ หากใครไม่เชื่อตาม ก็จะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หาว่า ไปกล่าวหาพระพุทเจ้า ว่าโกหกบ้าง อะไรบ้าง ...ประมาณนั้น
ทีนี้ ก็อย่างที่ผมเกริ่นมาแต่ต้นแล้วว่า คนที่เชื่อพระไตรปิฎกทุกตัวอักษร มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่ในจำนวนนั้น เกือบทั้งหมด มักหลงตนเอง และเข้าใจผิดไปเองว่า พวกตนเองนั้น แสนจะฉลาดเฉลียว คนอื่น ๆ ที่เหลือ แม้จะมีมากสักกี่พันล้านก็ตาม....ล้วนแต่เป็นคนโง่เขลากว่าตน
เรื่องทำนองนี้ ไม่แปลกอะไรเลยครับ เพราะพวกพ่อมดในแอฟริกา พวกที่ยังไม่นุ่งผ้าน่ะ เวลารายการสารคดีไปสัมภาษณ์พวกเขา พวกเขาก็มักจะเข้าใจเอาเอง และสำคัญตนเองว่า ศาสนาและความเชื่อ ของเขาดีที่สุด ประเสริฐที่สุด และแน่นอน ย่อมดีกว่า ของพวกที่นุ่งผ้าทุกจากทุก ๆ ประเทศด้วย.......หมอผีแก้ผ้าพวกนั้น..ยืนยัน (ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี)
ดังนั้น จากกระทู้นี้....ผมมองว่า พระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านอธิบายพระไตรปิฎก แตกต่างออกไปจากพวก "เถนตรง" หรือพวก "ไม้เสียบผี" ที่ตรงแป๊ะ ๆ กับพระไตรปิก และเชื่อทุกตัวอักษร ไม่เว้นแม้แต่เรื่องสัตว์พูดได้นั้น.......พระอาจารย์ผู้มีปัญญาเหล่านั้น ท่านคงจะมองว่า....
....คงไม่สามารถมาคอยเอาอกเอาใจ แต่คน "เถนตรง ตระกูลเสียบผี" พวกนี้ได้ตลอดเวลาหรอกกระมังครับ ท่านคงจะหวังอยากจะให้ ชาวพุทธจำนวนมาก เฉลียวฉลาด ในการศึกษาธรรม ในการปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่ธรรม...มากกว่ากระมังครับ....
ส่วนคนที่เถนตรง ตระกูลเสียบผี....ก็คงต้องปล่อยพวกเขาไป ให้เขาเชื่อแบบนั้นไป จนแก่ จนตายไป ตามทิฏฐิของใครของมัน.....
เพราะหลังจากตายแล้ว มันก็ตัวใครตัวมันแล้วล่ะ ไม่มีใครมาก้าวก่ายกันได้อีก ใครจะไปเกิดเป็นตัวเอี้ยพูดได้ หรือจะไปเกิดเป็นลิงเป็นช้าง เป็นนก...ก็ช่าง ตัวใครตัวมัน แล้วล่ะ